แก้วมณีโชติ สิ่งวิเศษสูงสุดในโลกิยภูมิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jets-one, 5 กรกฎาคม 2011.

  1. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    ในชีวิตของผม บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุเพียง 11 ขวบ อยู่วัดเรื่อยมาจนอุปสมบท ได้อาศัยผ้าเหลืองเล่าเรียนพระธรรมวินัยถึง 20 ปี อยู่ทั้งวัดบ้าน วัดใหญ่ชื่อเสียงก้องประเทศในเมืองหลวง อยู่วัดป่าของครูอาจารย์ที่ชื่อก้องเมืองไทยและก้องโลกก็หลายวัด อยู่ป่า อยู่ถ้ำ อยู่เขาคนเดียวก็มากแห่ง ออกจากวัดก็ได้สัมผัสครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นในทางวิปัสสนากรรมฐานก็หลายท่าน บัดนี้อายุ 51 ปี
    ผมยอมรับว่าครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ผมไปอยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านนั้นถึงพร้อมด้วยสีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์ มีภูมิรู้ภูมิธรรมมาก แต่ความอัศจรรย์ที่ผมได้พบก็มีเพียงการรู้จิตรู้ใจคน ยังไม่เคยเห็นท่านองค์ไหนได้แสดงฤทธิ์เดชให้ผมเห็นกับตา เคยอ่านประวัติของบางท่านก็ล้วนเป็นคำบอกเล่าในอดีตของคนที่ตายไปแล้ว หาคนอ้างอิงที่ยังมีชีวิตยืนยันยังไม่ได้ เรื่องต่าง ๆ ที่อ่านก็เลยเป็นตำนานที่เล่าขาน ครูบาอาจารย์ทุกวันนี้ที่ทำให้ผมทึ่งก็น่าจะเป็นพระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล ที่ผมได้แจกหนังสือและแผ่นซีดีของท่านมามากมายแล้ว ผมนำคำสอนของท่านมาปฏิบัติแล้วทำให้ทึ่งว่าได้ผลจริง ๆ แต่ฤทธิ์เดชของพระอาจารย์เกษมก็ก้องในหมู่ศิษย์ที่ใกล้ชิด เชื่อถือได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2011
  2. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    และหลวงปู่สรวง ท่านท่องเที่ยวไปมาอยู่แถวเขมร บุรีรัมย์ ท่านมีฤทธิ์ที่แสดงให้คนรับรู้เห็นจับต้องได้ แต่ท่านจากโลกนี้ไปแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่ก็มีเล่าลือกันว่ามีคนไปพบท่านยังมีชีวิตอยู่ ทั้ง ๆ ที่ร่างของท่านนอนอยู่ในโลง ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ แต่ผมคิดว่าท่านคือขรัวขี้เถ้าที่ผู้คนเล่าขานกันมาแต่อดีต ท่านเคยพูดกับสานุศิษย์ชิดใกล้ว่า หลวงพ่อโต วัดระฆัง เป็นลูกศิษย์ของท่าน ผู้เฒ่าผู้แก่อายุ 80 ปี เมื่อ50-60 ปีที่ผ่านมาเล่าว่า ตั้งแต่เป็นเด็กก็ยังเห็นหลวงปู่สรวงมีรูปร่างลักษณะและวัยเดียวกันกับเดี๋ยวนี้ ผมมีบุญน้อย กว่าจะรู้เรื่องหลวงปู่สรวงท่านก็จากไปแล้ว

    แต่คราวนี้ผมกลับมาพบฆราวาสเพศหญิง ไม่ใช่แม่ชี ไม่ใช่นักบวชลัทธินิกายไหน เธอเป็นเพียงร่างที่เทพผู้รักษาเหล็กไหลสื่อผ่านเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ ผมได้สัมผัสเองก็หลายเรื่อง คนที่เล่าเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ให้ผมฟังก็หลายคน เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ อัศจรรย์พันลึก ความอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ทั้งหลายล้วนเกิดจากเทพที่รักษาเหล็กไหลหรือแก้วมณีโชติและพรหมชั้นพรหมาวาส ซึ่งเป็นอาจารย์ของเทพที่รักษาแก้วมณีโชติ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2011
  3. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    ผมจึงได้เรียงร้อยถ้อยคำบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ให้ท่านได้อ่านกัน จะเชื่อหรือไม่ท่านสามารถไปพิสูจน์ได้ แต่ผมเชื่อไปแล้วครับ


    พวกเราชาวพุทธ ต่างรู้กันว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา เป็นผู้วิเศษสูงสุด เป็นที่พึ่งอันสูงสุดของมวลมนุษย์ แต่ในด้านโลกิยภูมิแล้ว แก้วมณีโชติ คือของวิเศษสูงสุด ที่มวลมนุษย์อยากได้ครอบครอง แต่ผู้ที่ได้ครอบครองมีเพียงคนมีบุญญาธิการที่ได้สร้างไว้ดีแล้วเท่านั้น

    คนไทยทุกคนเคยได้ยินคำว่า “มณีโชติ” ในคำอวยพร ที่พระสวดเวลาให้พรไงครับ

    “ ยถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
    อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโทปัณณะระโส ยะถา
    มะณิโชติ ระโส ยะถา “

    “แปลความว่า “ สายน้ำที่ไหลจากทุกทิศทาง ย่อมทำให้แม่น้ำใหญ่เต็มฝั่งได้ฉันใด ทานที่ท่านให้จากโลกนี้ย่อมถึงแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเช่นเดียวกัน ขอให้ความปรารถนาที่ท่านตั้งไว้จงสำเร็จเดี๋ยวนี้ ขอให้ความดำริทุกอย่าง จงสำเร็จทุกประการ ดุจพระจันทร์วันเพ็ญ และดุจผู้มีแก้วมณีโชติ”

    พวกเราชาวบ้านได้ยินถ้อยคำภาษาบาลีที่พระท่านให้พร ทุกงาน ทุกพิธีการ แต่ไม่รู้ความหมาย วันนี้ให้รู้เสียทีว่า ที่ท่านสวดนั้นหมายความอย่างไร
    พระท่านก็ว่าไปตามพิธี พวกเราชาวบ้านก็ฟังไปตามประเพณี ต่างคนต่างเอาภาษาบาลีที่ไม่รู้เรื่องมาพูดกัน เหมือนนกแก้วนกขุนทอง งานอะไรมันก็เป็นเพียงพิธีกรรมไปเสียสิ้น ไม่ได้ก่อให้เกิดสติปัญญา ไม่ก่อให้เกิดความสงสัยและอยากซักถาม แต่จากคำแปลวันนี้ ก็คงอยากซักอยากถามกันขึ้นมา “แก้วมณีโชติคืออะไร สำคัญไฉน มีจริงหรือไม่ ?“
    แก้วมณีโชติ คือแก้ววิเศษ หรือแก้วจินดามณี หรือแก้วสารพัดนึก สามารถเปล่งแสงได้ในตัวเองดุจแสงจากหลอดไฟนีออน หรือดุจแสงพระจันทร์เพ็ญ และสามารถดลบันดาลให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ และผู้เลื่อมใสศรัทธาได้รับสิ่งที่ตนเองปรารถนา

    คนไทยเราจึงรู้จักในนาม “แก้วจินดามณี หรือแก้วสารพัดนึก” แต่ก็เพียงแค่ได้ยินชื่อในนิยาย ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแก้วสารพัดนึกมีลักษณะอย่างไร หรือเป็นเพียงนิยายปรัมปราที่เล่าสู่กันฟัน
    แต่ก่อนผมก็ไม่รู้ คนที่เคยบวชมากว่า 20 กว่าปี เรียนบาลีมาจนเป็นมหาเปรียญหลายประโยค ยังไม่รู้ จะไปโทษชาวบ้านว่าทำไมจึงไม่รู้...มันก็เกินไป....! เพราะมันเหลือวิสัยไง แล้วทำไมจึงรู้ มันรู้มาแต่เมื่อไหร่ อืม...! ...ดีครับ สงสัยกันเสียบ้าง ความสงสัยคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ และจะได้รู้กันจริง ๆ เสียเดี๋ยวนี้แหละ
    สมัยผมเป็นสามเณรน้อย เคยแปลภาษาบาลีตามหลักสูตรที่ท่านกำหนดไว้ มันมีหลายเรื่องที่ชวนสงสัย และก่อให้ผมอยากรู้เสมอมา นั่นคือเรื่องแก้วมณีโชติ ท่านเล่าว่า มหาเศรษฐีผู้มีบุญเช่นโชติกะเศรษฐี เคยทำบุญไว้มากมายในสมัยพระพุทธเจ้าปางก่อน เมื่อมาเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์นี้จึงมีบุญบารมีมาก เมื่อถึงวัยที่จะมีเหย้ามีเรือน พ่อให้คนถางที่เพื่อสร้างบ้านให้อยู่ พอถางที่เสร็จ อาสนะของท้าวสักกเทวราชก็เร่าร้อน ท่านส่องทิพย์เนตรตรวจดูก็รู้ว่าเทพบุตรผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไปเกิดในโลก บัดนี้ถึงเวลามีเหย้ามีเรือนแล้ว ท่านจึงไปเนรมิตปราสาทแก้ว 7 ชั้นให้เกิดขึ้นในบริเวณนั้น ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วดุจกำแพงกระจก
    เทวดาที่มีฤทธิ์อีกพวกหนึ่งก็ไปนำสาวงามจากอุตตรกุรุทวีป (โลกในจักรวาลอื่น) มาเป็นเจ้าสาว เมื่อเธอมานั้นมีของวิเศษติดตัวมา 2 อย่างคือ แผ่นหินวิเศษ และแก้วมณีโชติ
    แผ่นหินวิเศษนั้นเหมือนเตาไฟฟ้าของเราสมัยนี้นี่เอง เมื่อนำหม้อหุงข้าว หรือหม้อแกงตั้งบนแผ่นหินมันจะเดือดพล่าน โดยไม่ต้องใช้ฟืนใช้ไฟใด ๆ ข้าวและอาหารจะสุกในเวลาไม่กี่นาที ส่วนแก้วมณีโชตินั้น ให้คุณ 2 ประการ คือ เมื่อปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นจะบังเกิดขึ้นดุจเทพยดาบันดาล และเวลากลางคืน แก้วมณีจะเปล่งแสงสว่างจ้าดุจกลางวัน เศรษฐีและภรรยาผู้เลอโฉมจึงมีชีวิตอยู่ในปราสาทแก้วดุจเทพยดา ไม่ต้องทำมาหากินอะไรก็มีทรัพย์สมบัติ มีข้าทาสหญิงชาย ให้ใช้สอยอย่างมีความสุข พอตะวันตกดิน ปราสาทแก้วของเศรษฐีก็มีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นยิ่งกว่าแสงจันทร์วันขึ้น ๑๕ ค่ำ (อย่าเพิ่งเถียงว่าเราดีกว่าเพราะมีไฟฟ้าใช้)
     
  4. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    พระเจ้าพิมพิสาร และเจ้าชายอชาติศัตรู ได้ยินคำร่ำลือยังต้องไปดูสมบัติของโชติกะเศรษฐีถึงบ้าน ภรรยาสาวของโชติกเศรษฐีมานั่งถือพัดพัดวีให้พระเจ้าพิมพิสาร ได้กลิ่นเหม็นจากควันไฟที่ติดพระภูษา และกลิ่นแขกของพระเจ้าพิมพิสารถึงกับน้ำตาไหล เพราะไม่คุ้นกับกลิ่นสามัญมนุษย์ จึงฟ้องสามีว่า “พี่จ๋า เรามีบุญมากมายถึงปานนี้ ทำไมต้องมานั่งรับใช้คนอื่นอีก บุญของเราที่ทำมาไม่มากพอหรือไง?”
    ผมอ่านมาถึงตอนนี้ขำกลิ้งเลย คิดว่า “แหม...พวกแขกนี่มันเข้าใจแต่งเรื่องหลอกคนจริง ๆ “
    รู้มั้ยครับ พวกมหาเปรียญที่แปลบาลี มีความคิดแบบนี้ 99 % แม้คนไทยทั่ว ๆ ไปที่อ่านธรรมบทที่แปลแล้วก็มีความคิดเช่นนี้ เพราะเรารู้ไม่ทั่วถึงไง เราเกิดในสมัยที่คนมีบุญน้อยมาเกิด เราจึงไม่ได้สัมผัสคนมีมหาบุญมาเกิด ทำนองเดียวกับที่เราไม่เชื่อว่าในเทวโลกเขาอยู่เขากินกันยังไง เพราะส่วนมากเราคิดว่าเรื่องเทวดา สัตว์นรก เป็นเพียงนิยายปรัมปรา หลอกให้คนทำดี.....!

    แต่...ท่านเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิมั้ย ? คนมีเหล็กไหล ใครจะฆ่าก็ไม่ตาย ใครยิง ลูกปืนก็ด้าน แน่ะ ๆ.... ความคิดติดลบอีกแล้ว นั้นมันเรื่องภาพยนต์เขาสร้างมาหลอกคนดู ! …… ถ้าท่านคิดเท่านี้ก็จบเห่...!
    ภาพยนต์เกิดมาจากนวนิยาย..... นวนิยายมาจากเรื่องจริง....นำเรื่องจริงมาสร้างเสริมเติมแต่งไปตามจินตนาการ ทำไมผมจะไม่รู้ ผมรู้จัก “เพชรสถาบัน” นักแต่งนวนิยายที่มีเรื่องของท่านเป็นภาพยนต์มามากกว่าร้อยเรื่อง (เช่นเพชรตัดเพชร เป็นต้น) ต่อมาท่านมาแต่งนิยายธรรม ใช้นามปากกาว่า “สิทธา เชตวัน” และช่วงปลายชีวิตท่านบวชเป็นพระ จาริกธุดงค์ไปทั่วประเทศ มาถึงแก่มรณภาพที่วัดยานนาวา ผมเคยท่องเที่ยวไปกับท่าน และนอนคุยกับท่าน ซึมซับเอาความรู้จากท่านมากมาย นิยายธรรมะแต่ละเรื่องมาจากความจริง แล้วเสริมต่อด้วยจินตนาการ เพื่อปลูกฝังธรรมให้คนได้ถึงธรรม
    ท่านสิทธา เชตวัน ก็เขียนเรื่อง เหล็กไหลไว้มากมาย เขียนจากการพิสูจน์ค้นคว้าของท่าน แม้ผู้มีเหล็กไหลจริง ๆ ยังยอมรับว่าสิ่งที่ท่านเขียนนั้นถูกต้อง
    ผมเป็นคนแพร่ ได้ยินเรื่องเหล็กไหลมาตั้งแต่จำความได้ เพราะที่บ้านเป็นชุมเสือ เป็นสถานที่คนติดยาฝิ่นต้องมานอนเอาส้นเท้าจุกตูดดูดฝิ่นกันทุกวี่วัน ผมและ พี่ ๆ มีหน้าที่วิ่งซื้อฝิ่นให้ผู้หลักผู้ใหญ่สูบ ตั้งแต่คนธรรมดาสามัญ ครูอาจารย์ ทหารตำรวจ มือปืน เสือร้าย ที่ติดฝิ่นงอมแงมมาแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ซึ่ง พล.ต.อ.เผ่า เป็นใหญ่ในกรมตำรวจ เป็นยุคที่ตำรวจเป็นใหญ่ในแผ่นดิน พ่อเลี้ยงในหมู่บ้านของผมเป็นเพื่อน อ.ต.ร.เผ่า ร่ำรวยมหาศาลจากการค้าฝิ่น เป็นผู้มีรถยนต์คันแรกในเมืองแพร่ มีวิทยุคนแรกในเมืองแพร่ เงินแบ๊งค์บาท 5 บาท สิบบาท วางเป็นตั้ง ๆ เรียงกัน ดูราวกับว่าชาตินี้ใช้ไม่หมด มีลูกน้องมือปืนเป็นสิบ ๆ คน แต่เมื่อผมอายุราว 7-8 ขวบ พ่อเลี้ยงคนนี้ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง ผมเห็นแกเดินไป ๆ มา ๆ แถวหน้าวัด บ้านของแกเหมือนบ้านร้างผีสิง จนที่สุดแกก็ตายเหมือนคนไม่มีอะไร (หมดตัวตั้งแต่ท่านเผ่าหนีออกประเทศ)
    แต่คนติดฝิ่นก็ไม่ได้ตายตามไป ผลกรรมที่ตาของผมค้าฝิ่นเป็นคนแรกในหมู่บ้าน (ก่อนพ่อเลี้ยงคนนั้น) ยังตามหลอกหลอน..... ลุงผม น้าผม ติดฝิ่นงอมแงม เพื่อน ๆ ของลุงและน้าจึงมากมาย เสี้ยนฝิ่นก็ต้องมานอนสูบฝิ่นที่บ้านลุง หรือใต้กอสีสุก คนวิ่งซื้อหาก็พวกผมนี่แหละ ได้เศษตังค์สลึงบาทก็ดีใจเหลือหลาย แต่พวกเราไม่มีใครตามอย่างสักคน และเกลียดคนสูบฝิ่นสูบยาเป็นที่สุด (ใครอย่ามาลงความเห็นนะว่าผู้ใหญ่เป็นอย่างไรจะทำให้เด็กเป็นอย่างนั้น นั่นมันทฤษฎีของนักวิชาการ)
    แต่ผมก็ชอบฟังเขาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เขาสูบฝิ่นไป คุยกันไป เรื่องเชิงนักเลงต่าง ๆ ก็ได้ยินถึงหูของผมผู้เป็นเด็กน้อย อายุ 6-7 ขวบ ซึ่งนั่งฟังอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเขานึกว่าผมไม่ประสีประสา หารู้ไม่..ผมจำความได้ตั้งแต่เพิ่งหัดเดิน สาวคนไหนสวยหรือขี้เหร่ เด็กเพิ่งหัดเดินอย่างผมยังดักมอง และรู้สึกเขินอายยามถูกสาวเจ้าเข้ามาอุ้ม.....อย่าหาว่าคุย....!
    คุณตาคนหนึ่งอายุ 60 กว่า เล่าว่า ได้ติดตามตาของผมไปซื้อฝิ่นกับพวกชาวเขา มีลูกน้องของตาคนหนึ่งคิดไม่ซื่อ ตาของผมรู้จึงสั่งให้ลูกน้องคนอื่น ๆ จับไปฆ่า แต่จะเอาปืนยิง เอามีดฟัน เอาไม้ทุบ ก็ไม่ตาย จึงเอาไม้ไผ่ตัดปลายแหลมสวนทวารจึงตาย แต่แกไม่ได้บอกว่า เขามีดีอะไร
    ลุงคนหนึ่งเป็นครู จึงเล่าว่า เรื่องข่ามนี่สู้นายทองแหล้ บ้านแม่คำมีไม่ได้ นายทองแหล้มีเหล็กไหล และเป็นนักเลง คู่อริจึงมาแอบยิงหลายครั้ง ยิงไม่ออกสักที จนบัดนี้นายทองแหล้ก็ยังมีชีวิตอยู่ (นายทองแหล้เสียชีวิตเพราะโรคชะรา เมื่อไม่นานมานี่เอง คนแพร่ส่วนมากรู้จักชื่อนี้)
     
  5. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    นั่นคือคำว่า “เหล็กไหล” ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กหัวเท่ากำปั้น
    ต่อมาผมอายุได้ 11 ปี ไปเป็นลูกศิษย์วัดอยู่วัดหนึ่ง ห่างจากหมู่บ้านของแม่ราว 5-6 ก.ม. ผมก็เป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่ ตั้งแต่หนุ่มสาว จนผู้เฒ่าผู้แก่ คุณยายหลังวัดซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็ก ๆ ท่านเอื้อเอ็นดู ไปซื้อหาอะไรท่านไม่เอาตังค์เลย แต่ท่านมีหลานชายวัยรุ่นคะนองอยู่ 2 คน คือเสือลอย และเสือมาตร ซึ่งเขา 2 คนก็รักเอื้อเอ็นดูผมมาก ปีนั้น 2510 ปลายปี มีอุกกาบาตตกมาจากท้องฟ้า ก้อนใหญ่มาก ลอยผ่านท้องฟ้าตรงหัวของเรา ส่งเสียงเสียดสีกับบรรยากาศของโลกราวกับเสียงเหล็กแดงชุบลงน้ำ เวลาขณะนั้นประมาณ 2 ทุ่ม พวกเรานั่งคุยกันอยู่กลางลานวัด เสือลอยเห็นดังนั้นก็วิ่งตาม นึกว่าลูกแก้ววิเศษจะตกบริเวณนั้น แต่แก้วมหึมานั้นก็ล่องลอยไปตกที่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าเสือลอยตัวเปียกปอนไปหมด ต่อมาผมได้รู้จักลูกพี่ของเสือลอยคือเสือน้อย
    เสือน้อย ฟังชื่อดูน่าหวาดหวั่น แต่เมื่อสนิทชิดใกล้ เสือน้อยมีอัธยาศัยดี รักเอ็นดูเด็กอย่างผม หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาสนุกสนาน เสือลอยกับเสือมาตร 2 พี่น้องให้ความนับถือเป็นอย่างสูง
    เสือลอยเล่าว่าเสือน้อยนี่เก่งนัก ตำรวจดักยิงมานักต่อนัก แต่ยิงไม่ออก เขาล้อมจับ เสือน้อยก็หายตัวได้ จึงรอดตายมาถึงทุกวันนี้ เขาจึงเคารพเลื่อมใสนับถือเป็นลูกพี่และเจริญลอยตาม ยายน้อยที่รักของผมได้ยินดังนั้นตวาดแว๊ดขึ้นมาทันที “ไอ้ลอย..มึงอย่ามาชักชวนให้เด็กเสียคนนะ ตัวมึงนะให้ระวังเถอะ ไอ้นี่...” แต่ผมก็ไม่ได้ถือสากับถ้อยคำของใคร แต่เห็นว่าเสือน้อยน่ารักและเคารพ และผมก็ไม่รู้ว่าคำว่า”เสือ”คืออะไร เพียงแต่ทึ่งในคำเล่าว่าปืนยิงไม่ออก ตำรวจล้อมจับยังหายตัวได้
    มาถึงปี 2511 จ่าตำรวจที่เป็นพ่อของเพื่อนนักเรียนร่วมห้องประถมของผมมาก่อน ไปล้อมจับเสือน้อย ก็ต้องเอาชีวิตไปสังเวย แม้เขวี้ยงระเบิดใส่เสือน้อย เสือน้อยยังไม่ตายและหนีไปได้ ผมเป็นสามเณรน้อยยังไปร่วมงานศพจ่าตำรวจคนนี้ที่ท้องสนามหน้าอำเภอ แต่ต่อมาไม่นานก็ทราบว่าเสือน้อยจบชีวิต แต่ไม่ทราบรายละเอียด
    นั่นคือความเข็ดขลัง เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ทราบมาสมัยเป็นเด็ก ๆ จากเมืองแพร่ดงนักเลง คนแพร่จึงมีถ้อยคำหรือคติประจำตัวว่า “ เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องกลาง เรื่องตะรางเรื่องเล็ก” หะฮ้า...ไม่ใช่มาเผยแพร่อุดมคตินี้นะ.
    เมื่อผมโตขึ้น ร่ำเรียนพระธรรมวินัยมากขึ้น ผมก็ไม่เอาใจใส่เรื่องเครื่องรางของขลังเลย แต่ชอบธุดงค์กรรมฐานไปตามป่าเขาลำเนาไพร มุ่งด้านปัญญาการหลุดพ้น เคยไปอยู่กับท่านพุทธทาสตั้งหลายเดือน ไปอยู่กับหลวงพ่อชา ไปอยู่ป่าอยู่เขา อยู่ถ้ำอยู่เหวในดงคอมมิวนิสต์แถวเขาค้อคนเดียว (2523) โดยไม่กลัวลูกปืน ทั้ง ๆ ที่ไม่สนใจคาถาอาคมและเครื่องรางของขลังอะไรเลย แต่ก็อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา ผีไม่เคยหลอก งูไม่เคยกัด เสือไม่เคยปรากฎ คนไม่เคยรังแก ช้างไม่เคยเหยียบ นอกจากชาวบ้านบุกป่าฝ่าดงไปขอหวย หึ ๆ...
    หลังจากผมสึกออกมา ก็มาเป็นนักเขียนเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าในนิตยสารเครือข่ายโลกทิพย์ จนรู้จักหลวงพ่อดำ(สยบโรค) ศิษย์พ่อท่านคล้ายวาจาศิษย์ เขียนเรื่องราวของท่านจนดังเป็นพลุ คนหลั่งไหลไปให้ท่านรักษาโรคด้วยนิ้วมือชี้แต่ก็หายได้ แต่ประวัติที่ผมเล่าว่าหลวงพ่อเคยขายเหล็กไหลได้ 120 ล้าน เจ้าของเอาไป 60 ล้าน ท่านกับเพื่อนแบ่งกันคนละ 30 ล้าน ก็โด่งดังถึงหูนายหน้าผู้อยากร่ำรวยด้วยเหล็กไหล ทำให้ผมต้องมาคลุกคลีกับเรื่องเหล็กไหลโดยไม่ตั้งใจ
     
  6. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    แกะรอยเหล็กไหล
    พวกเราตามรอยเหล็กไหลตั้งแต่ถ้ำที่คุณวัชรินทร์ ไปขุดทอง (ตอนนั้นคุณวัชรินทร์ยังไม่รู้จักที่แห่งนี้) คนที่ไปคุมการขุดทองบอกว่าเหล็กไหลไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ เจ้าของเป็นทหารยศ พันเอก ต้องไปที่เวียงชัย เชียงราย พวกเราก็ตะลอน ๆ ไป คนอื่นเขาอยากได้เงิน แต่ผมอยากรู้อยากเห็นตามประสานักข่าวนักเขียน ไปพบพันเอกจริง ๆ เป็นลูกน้อง พล.เอกฉลาด หิรัญศิริ ท่านก็วิ่งหาเหล็กไหลจนสิ้นเนื้อประดาตัว ฤาษีนารอดสงสาร จึงมาเข้าฝันให้ไปเอาเหล็กไหลของท่านที่ถ้ำปุ่ม อนุญาตให้ขายได้
    ผู้พันก็ได้มาจริง ๆ เป็นชนิดปีกแมงทับ มีพลังรุนแรงมาก พอนำเข้าบ้านไฟฟ้าดับไปครู่หนึ่งจึงกลับติดเหมือนเดิม ทดลองยิงด้วยเอ็ม 16 หลายสิบนัด ก็ยิงไม่ออก ไม้ขีดไฟหมดเป็นกล่อง(ไม่ใช่กลัก) ขีดไม่ติดแม้แต่ซีกเดียว ท่านก็ประกาศขาย
    ใช้เวลาหลายปีอยู่กับเหล็กไหล มีนายหน้าวิ่งเข้าออกบ้านแทบทุกวัน มาทดลองแล้วก็หาย บางคณะนัดไปหานายทุนคนซื้อตรงนั้น ตรงนี้ เพื่อทดลองต่อหน้าเขา ทดลองผ่านก็หาย ไม่เคยมีคนซื้อจริง มีแต่นายหน้าหลอกหากินกับคนกลาง ประเภทกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว จนวันหนึ่งมีกลุ่มหนึ่งนัดไปเชียงใหม่ วางแผนที่จะปล้นเอาเหล็กไหล หลังจากทดลองจนผ่านแล้ว เขาก็แสดงตัวจะยืดครองเหล็กไหลนั้น ทันใดก็ได้ยินเชียะที่กล่องเซฟ เกิดรูโหว่ขึ้น เปิดดูเหล็กไหล แหกกล่องหนีไปแล้ว ผู้พันเสียใจมาก จึงต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ปรากฏเหล็กไหลหนีกลับไปอยู่บนหิ้งพระที่บ้าน
    ฤาษีนารอดมาเข้าฝันอีก ถามว่า “พอหรือยัง เข้าใจมนุษย์หรือยัง มึงจะเก็บเหล็กไหลไว้พ่อก็ไม่ว่า จะนำไปคืนที่ถ้ำก็ไม่ว่า ถ้าพบคนซื้อจริง ๆ ค่อยไปเอาก็ได้ เพราะพ่ออนุญาต”
    ผู้พันเข้าใจกิเลสมนุษย์ดีแล้ว จึงเอาเหล็กไหลไปคืนที่ถ้ำ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่ดิ้นรนอยากได้อยากมีอยากเป็นอะไรอีก แต่งชุดขาว ถือศีลบำเพ็ญภาวนา หน้าตาผุดผ่อง ท่านสรุปว่า”อย่าเชื่อใครว่ามีคนซื้อ เหล็กไหลมีจริง พ่อฤาษีท่านก็อนุญาตให้ขาย แต่นายทุนที่ซื้อร้อยล้านพันล้านไม่มีจริง อย่าเอาเวลาและเงินทองมาทิ้งเพราะเหล็กไหลเลยครับ กลับบ้าน ไปทำมาหากินตามหน้าที่ของท่านเถิด”
    คุณนายเมียนายพลที่ไปด้วยยืนยันว่า นายทุนมีจริง ๆ ถ้าผู้พันไม่เชื่อดิฉันจะถอดกำไลเพชรวงนี้ไว้จำนำก็ได้ แล้วจะพานายทุนมา แต่ขอชมและทดลองเหล็กไหลก่อน” ผู้พันบอกว่า “เชื่อผมเถอะคุณนาย เอากำไรล้ำค่าของท่านเก็บไว้เถอะ อย่าเสียเวลาเลยครับ เดี๋ยวท่านจะมาสิ้นเนื้อประดาตัวเพราะแก๊งเหล็กไหลนี่แหละ”
    พวกเราจึงลากลับด้วยความผิดหวัง ผมดีใจที่ทราบความจริง แต่บรรดาผู้ที่ไปด้วยออกอาการไม่พอใจ บางคนพูดว่าผู้พันหลอกลวง เหล็กไหลไม่มีหรอก ถ้ามีจริงต้องเอามาให้ดู หลวงพ่อดำบอกว่า เหล็กไหลอยู่ในบ้านแกนั่นแหละ แต่แกไม่อยากให้ดูหรอก เพราะแกเข็ดแล้ว
    ต่อมาก็มีอีกกลุ่มหนึ่งนำเหล็กไหลจากพิมาย พร้อมเจ้าของ ไปทดลองกันต่อหน้าหลวงพ่อ แต่ทดลองไม่ผ่าน เวลาเขาไปทดลองที่บ้านผ่านหมด เมื่อจะเอามาขายจริง ๆ กลับทดลองไม่ผ่าน เจ้าของก็หน้าแตก ทั้งนี้เพราะเทพที่ประจำเหล็กไหลเขาไม่ยอมให้ขายนั่นเอง แต่คนไม่รู้ก็ลงความเห็นว่าของเขาปลอม หญิงคนนี้ยากจนมาก ได้รับสืบทอดเหล็กไหลจากตระกูล
     
  7. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    แก๊งเหล็กไหล
    งานนี้ผ่านไปปีกว่า ผมก็มาสัมผัสกับกลุ่มค้าเหล็กไหลรายใหม่ เพื่อนของผมซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจ ถูกฟ้องล้มละลาย เกิดหนี้สินติดตัวถึง 45 ล้าน ชวนผมวิ่งหาของศักดิ์สิทธิ์และเลขหวยจนทั่วอีสาน เจอแต่เรื่องหลอกลวงกันทั้งนั้น จนที่สุดแกก็มารู้จักกับกลุ่มที่มาถามหาซื้อเหล็กไหลพันล้าน ก็มาปรึกษาผม ว่าแกมีนายทุนซื้อเหล็กไหล ใครมีเหล็กไหลบ้าง ช่วยหาให้ด้วย ผมก็ปรามว่าเหล็กไหลมีจริง แต่คนซื้อไม่มีอย่าหลงกล แกก็ยืนยันว่ามีจริง ๆ กลัวแต่เหล็กไหลจะไม่มี แล้วขอร้องให้ผมพาไปหาผู้พันที่เชียงราย ผมก็ปฏิเสธ แต่น้องภรรยาบอกว่ารู้จักคนที่มีเหล็กไหล อยู่ทางใต้ จะติดต่อให้ และแล้วก็นัดหมายพบกันที่บ้านพ่อตาผมนั่นแหละ เอาเหล็กไหลออกมาอวดกันตรงนั้น แต่นัดทดลองกันอีกแห่งหนึ่ง อีกวันหนึ่ง แต่วันนี้ต้องจ่ายเงินค่าเดินทางให้เจ้าของเหล็กไหลก่อน ก็เป็นหมื่นนะครับ เพราะมากันหลายคน ไหนจะค่าน้ำมันรถ ค่ากิน ค่าที่พัก คนกลางเจอไม้นี้ก็ต้องควัก เพราะความหวังได้เงินพันล้านมันมีอยู่ นัดไปนัดมาหลายทีคนกลางหมดเงินร่วมแสน เกิดหนี้สินขึ้นอีก จึงบอกลา กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้วครับ
    ต่อมาก็ไปพบพระรูปหนึ่ง ท่านก็คุยฟุ้งว่าเคยไปตัดเหล็กไหล ที่ถ้ำนั้นถ้ำนี้ เกือบได้แล้ว แต่คนที่ไปด้วยบางคนทำเสียพิธี เหล็กไหลจึงกลับคืนสู่รัง ผมก็ได้แต่รับฟัง ท่านชวนไปตัดเหล็กไหลตรงนั้นตรงนี้ ผมก็โอเคนะครับ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปสักที พบกับท่านทีไรก็มีเรื่องเหล็กไหลอยู่ถ้ำนั้นถ้ำนี้มาเล่าให้ฟังเสมอ เมื่อ 3 เดือนก่อนเจอกัน บอกว่าว่านขันหมากที่โยมต้องการมีตรงนั้นตรงนี้ มากมายก่ายกอง จะพาไปเอา ผมก็ไปตามท่านถึง 2 แห่ง เดินจนขาลาก ไม่พบสักแห่ง แล้วเรื่องเหล็กไหลที่ท่านพูดถึงมันจะจริงหรือ

    พบสุภาพสตรีผู้ครองเหล็กไหลโกฏิปี
    มาช่วงหลังนี้ผมเบื่อสังคม ทิ้งสังคม ทิ้งเพื่อนฝูง ประกอบกับแม่ซึ่งตนเองห่วงใยก็จากไปแล้ว ผมจึงทิ้งญาติพี่น้องและทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสร้างมา ยกให้เขาหมด ไม่คบหากับใครทั้งนั้น แล้วตัวเองก็หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า ทำตัวเป็นอนาคาริก เร่ร่อนไปนอนตามวัดวาอาราม แสวงหาที่ปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่ได้ดังใจสักแห่ง ก็เลยรู้ว่าการเป็นฆราวาสหาที่ปฏิบัติธรรมนี้ช่างยากลำบากจริง ๆ ไม่ว่าวัดบ้านหรือวัดป่าก็ช่างคับแคบไปหมด ห้องว่าง ๆ ก็ไม่ว่างให้เรา เพราะมันติดกฏระเบียบมากมายก่ายกอง แม้มีพระที่เคยเป็นเพื่อนสนิทเป็นอาจารย์สอนกัมฐานในสำนักใหญ่ เราก็ยังอยู่ไม่ได้ เพราะเขาจะให้เราปฏิบัติตาม “หนอ” ของเขาเท่านั้น ต้องส่งอารมณ์ คือรายงานอารมณ์กรรมฐานกับอาจารย์ทุกวัน ผมขอปฏิบัติตามแนวดูจิตของผม ท่านก็รับไม่ได้ ผมก็ย้ายหาวัดไปเรื่อย ๆ อยู่แห่งละไม่เกินอาทิตย์ก็เปลี่ยนอีก รู้สึกเหนื่อยกับการเร่ร่อน จะหนีเข้าป่า มันก็เป็นป่าของรัฐบาลหมด ก็นึกจะหาที่สร้างสำนักเองเพื่อเพื่อนฆราวาสผู้สนใจการปฏิบัติโดยเฉพาะ
    จนมารู้จักกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่ศรัทธาในงานเขียน เขาก็ติดตามสืบข่าวหา จนที่สุดก็ได้พบกัน เมื่อบอกเขาว่าอยากได้ที่สร้างสำนักสักแห่ง เขาก็วิ่งเต้นแสวงหาให้ คบกันไปคบกันมา เห็นมีคนติดสอยห้อยตามเขาราวกับสานุศิษย์ เมื่อสอบถามจึงทราบว่าเขามีเหล็กไหลที่ใช้รักษาโรคได้ และได้มาอย่างพิสดาร ตั้งแต่ได้เหล็กไหลมาก็พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา นึกอยากจะได้อะไรก็ได้ดังใจหวัง อยู่ไหน ไปไหน ก็มีคนคอยอุปฐากบำรุงดูแลจนแทบจะเป็นไข่ในหิน
    เหล็กไหลที่เธอครอบครองอยู่เป็นเหล็กไหลหยดน้ำค้างสีปีกแมลงทับ หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกเหล็กไหลโกฏิปี เป็นเหล็กไหลที่มีอานุภาพรุนแรงพอ ๆ กับของฤาษีนารอด แต่เทพประจำองค์ท่านไม่ยอมให้ขายเป็นเงินตรา ก่อนหน้านี้เป็นของชายคนหนึ่งที่บุรีรัมย์ เคยออกรายการทีวีมาแล้ว
     
  8. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    อยู่มา เทพที่ประจำเหล็กไหลมาเข้าฝันเจ้าของว่า หมดวาระที่เองครอบครองข้าแล้ว ข้าต้องไปอยู่กับลูกสาวข้า ชื่อ...อยู่ที่....รูปร่างลักษณะอย่างนี้ ๆ ให้ไปหาดู เขาจึงโทร.หาญาติที่อยู่แถวอำเภอโชคชัยไปสืบดูหาคนที่มีชื่อดังกล่าว จนพบเธอก็เล่าเรื่องให้ฟัง และเชิญเธอไปพบที่บ้าน เมื่อประมาณเดือน กุมภาพันธ์ 2542 เธอจึงเดินทางไปคนเดียว เมื่อเจ้าของเหล็กไหลเห็นเธอก็บอกว่า “คนนี้แหละที่เขาเห็นในนิมิตที่พ่อให้หาตัว”
    ในวันนั้น เธอได้นำไม้ขีดไฟไปห่อใหญ่ ซึ่งมีด้วยกันหลายสิบกลัก เธอขออนุญาตทดสอบบารมีโดยนำไม้ขีดไปวางทาบกับเหล็กไหล ไม่ถึงนาทีก็นำมาทดลองขีดดู เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าไม้ขีดทุกกลักขีดไม่ติดแม้แต่ซีกเดียว
    เมื่อเธอกลับบ้านจึงโทร.เล่าให้น้องชายที่ทำงานอยู่ท่าอากาศยานดอนเมือง ประกอบกับน้องชายคนนี้ก็กำลังหาเหล็กไหลให้นายทุนอยู่พอดี จึงรีบไปพบในไม่กี่วัน แล้วชักชวนกันไปหาเจ้าของเหล็กไหลพร้อมกับตัวแทนนายทุนที่จะซื้อ เจ้าของนัดไปดูและทดสอบกันที่กระท่อมกลางนาห่างไกลจากบ้านคนมาก เพราะไม่ต้องการให้เอิกเกริก ฝ่ายคนกลางและนายทุนที่จะซื้อได้นำไม้ขีดไปต่างหาก สตรีที่จะเป็นเจ้าของคนต่อไปก็นำไม้ขีดไปต่างหาก แล้วตกลงทำสัญญากันว่า ถ้าทดสอบผ่านทางฝ่ายนายทุนจะวางเงินก่อน 1 ล้านบาทเป็นค่ามัดจำ ที่เหลือจะมาจ่ายทีหลัง ถ้าทดลองไม่ผ่าน ฝ่ายคนกลางที่นำมาดูจะต้องจ่ายให้ฝ่ายนายทุน 3 หมื่นบาท ค่าเสียเวลา
    เมื่อเวลาจะทดสอบกัน มีขันห้า ขันแปด พร้อมดอกไม้ธูปเทียน เพื่อเป็นการคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และขออนุญาตท่านก่อน หลังทำพิธีแล้ว นายจ่อยซึ่งเป็นเจ้าของก็หลบไปอยู่หลังกระท่อม ปล่อยให้เขาทดสอบกันเอง แต่มีคนของตัวเองคอยดูแลอยู่
    เหล็กไหลไม่ใช่สินค้าซื้อขาย
    ไม้ขีดที่ฝ่ายนายทุนทดสอบนั้นไม่ผ่านแม้แต่ซีกเดียว จากนั้น สุภาพสตรีซึ่งท่านเลือกเป็นเจ้าของจะไปอยู่ด้วยก็ขอทดสอบต่อ เธออธิษฐานในใจว่า ลูกทดสอบเพื่อขอชมบารมีอีกครั้ง ไม่ได้หวังจะซื้อจะขายท่าน แล้วเธอก็วางไม้ขีดทาบ เพียงไม่ถึงนาทีก็นำไม้ขีดมาขีดดู ไม้ขีดของเธอขีดไม่ติดแม้แต่ซีกเดียว สร้างความอัศจรรย์ให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก เพราะไม้ขีดเหล่านี้ได้แวะซื้อกันในระหว่างทางที่ผ่านทั้งสิ้น และซื้อกันคนละร้านก็เห็น ๆ กันอยู่
    การทดสอบในวันนั้น สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็ได้เกิด นายจ่อยเจ้าของนอนชักดิ้นชักงออยู่หลังกระท่อม เลือดไหลออกจากปากและจมูก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทุกคนตกใจ ฝ่ายสุภาพสตรีผู้จะได้เป็นเจ้าของคนต่อไป จึงทำพิธีขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่ออภัยโทษให้แก่นายจ่อยเจ้าของ นายจ่อยก็มีอาการดีขึ้น จนลุกขึ้นนั่งสนทนาได้ การทดสอบแบบนี้เกิดขึ้นถึง 9 ครั้งด้วย ต่างที่ต่างวาระ เพราะนายจ่อยก็อยากได้เงิน คนกลางก็อยากได้เงิน แต่ทดสอบทุกครั้งนายจ่อยป่วยเกือบทุกครั้ง และเสียเงินให้กับฝ่ายนายทุนทุกครั้งตามสัญญา ครั้งสุดท้ายทราบว่าฝ่ายคนกลางและนายจ่อยแอบนัดหมายกับฝ่ายนายทุนที่กรุงเทพ ฯ นายจ่อยไปพักที่บ้านคนกลาง แต่จุดนัดหมายทดสอบเป็นอีกที่หนึ่ง เมื่อทำพิธีขอขมากันแล้วก็เริ่มทดสอบ เมื่อเปิดผอบขี้ผึ้งเพื่อนำเหล็กไหลออกมา เหลือแต่ผอบเปล่า ไม่มีเหล็กไหลอยู่ข้างในนั้น ทุกคนตกตลึง นายจ่อยน้ำตาร่วงทีเดียว เพราะรู้แล้วว่าท่านไม่ยินยอมจริง ๆ และหนีไปแล้ว ไปอยู่ไหน ขากลับบ้าน นายจ่อยนั่งอธิษฐานจิตตลอดเวลาว่า ขอให้องค์พ่อไปรอที่บ้านพักเถิด พอกลับถึงบ้าน เหล็กไหลวางอยู่บนพานดอกไม้ที่จัดไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา บ้านคนกลางที่ตัวเองไปนอนพัก ตั้งแต่นั้นมานายจ่อยก็เลิกทดสอบ ฝ่ายคนกลางก็เลิกเช่นกัน เพราะแน่ใจแล้วว่าท่านไม่ยินยอมให้ขายท่านจริง ๆ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะท่านต้องการไปอยู่กับสุภาพสตรีท่านนี้ แต่ก็หมดเงินไปมากมายแล้ว
    ครูสุรัชพร ซึ่งเป็นคนสนิทขององค์ญาณเล่าว่า มีครั้งหนึ่งที่ไปทดสอบเหล็กไหลด้วยกัน องค์พ่อแทนที่จะลงประทับร่างลุงจ่อย กลับลงมาประทับร่างองค์ญาณ พูดเป็นภาษาลาว ซึ่งปกติแล้วองค์ญาณพูดภาษาลาวไม่เป็น ฟังก็ไม่รู้เรื่อง แต่วันนั้นองค์ญาณพูดภาษาลาวป้อเลย องค์พ่อว่า “ไอ้จ่อย มึงไม่ต้องขับไล่ไสส่งกูหรอก ถึงเวลากูจะไปเอง กูจะไปอยู่กับลูกสาวกู”
    ต่อมานายจ่อยก็นัดหมายให้สุภาพสตรีท่านนี้นำบายศรีไปรับเป็นเจ้าของ แต่เหล็กไหลก็ยังอยู่ที่นายจ่อย บางครั้งก็เสด็จมาหาเธอเองบนโต๊ะบูชาที่ทำพานรอรับไว้ที่บ้านสวนโชคชัย
     
  9. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    เริ่มเป็นองค์ญาณร่างของเทพ
    ตั้งแต่นั้นอาการแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นกับตัวเองมากมายหลายเรื่อง กลายเป็นคนมีหูทิพย์ตาทิพย์ ได้ยินเสียงที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน ได้เห็นภาพภูตผีปีศาจต่าง ๆ ที่คนอื่นไม่เห็น ตาของเธอกลายเป็นตาทิพย์ที่มองทะลุมิติ เธออยู่ที่โคราช สามารถมองเห็นเจ้าของเดิมที่อยู่บุรีรัมย์ว่ากำลังนั่งร่วมวงกินข้าวกัน เมื่อโทร.ไปถามก็เป็นจริงตามนั้น มองเห็นน้องชายที่อยู่กรุงเทพ ฯ กำลังอยู่กับใคร พูดคุยกับใครอย่างไร ก็รู้เห็นและได้ยินหมด เมื่อโทร.ไปถามก็ทราบว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด หมดเงินค่าโทรศัพท์แต่ละเดือนเป็นหมื่นเพื่อโทร.ถึงคนนั้นคนนี้เพื่อสอบถามในสิ่งที่ตัวเองเห็น ก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น พฤติกรรมส่วนตัวก็แปลกเป็นคนละคน บางครั้งองค์เทพก็เข้ามาสิงร่าง ทำให้เธอหวาดกลัว ไม่อยากเป็นร่างทรง จึงหนีไปอยู่ต่างประเทศหลายประเทศ แต่ก็หนีไม่พ้น เมื่อกลับมาอยู่บ้านท่านก็ทรมานให้เธอเจ็บป่วย ไม่ยอมให้ไปไหนอีก เมื่อเธอยอมรับ จึงหายป่วยอย่างถาวร และกลายเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บเคยป่วยเลย นอกจากนั้นองค์เทพก็ให้เลขติดต่อกันหลายงวด สานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดต่างร่ำรวยไปตาม ๆ กัน แม้ตัวเธอทรัพย์ไม่เคยขาดมือ มีใช้จ่ายจนมือเติบ แต่มักนำไปทำบุญและช่วยเหลือคนยากจนและตกทุกข์ได้ยากมากกว่า
    ญาณหูทิพย์ตาทิพย์นี้เกิดจากองค์เทพชั้น ๑๖ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ขององค์พ่อเหล็กไหล ท่านมาพร้อม ๆ กับเหล็กไหล แต่เมื่อเหล็กไหลอยู่กับนายจ่อยนั้นองค์พ่อ ๑๖ ไม่เคยลงมา มีแต่องค์พ่อเหล็กไหลซึ่งมีชื่อว่า “จิตรา”
    แต่การรับเป็นร่างขององค์พ่อ ๑๖ เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เมื่อเริ่มมีญาณต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้ว และองค์พ่อจิตราลงมาบ่อยครั้งแล้ว จนอยู่มาวันหนึ่ง มีญาติผู้ชายคนหนึ่งมาชวนไปร่วมงานทรงเจ้าขององค์พ่อฤาษีที่โคราช จึงได้ชักชวนครูพรไปกัน 2 คน เมื่อไปก็ไม่ได้เข้าไปร่วมกับเขา เพียงนั่งเป็นผู้ชมอยู่กับคนทั่ว ๆ ไป และไม่มีใครรู้จักเธอเลย วันนั้นมีร่างทรงมาร่วมงานมากกว่า 10 คน ทุกคนแต่งชุดขาว เมื่อเทพลงประทับร่างกันทั่วแล้ว ก็มีร่างทรง 3 คน ตรงเข้ามาที่สุภาพสตรีท่านนี้ พากันก้มลงกราบ พูดว่า “ขออัญเชิญท่านมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมาจากสวรรค์ชั้น ๑๖ เป็นประธานของเทพทั้งปวง ขออัญเชิญท่านขึ้นไปเป็นประธานในพิธีนี้ด้วยเถิด”
    สุภาพสตรีท่านนี้ตกใจ ถามครูพรว่า ทำไมเขารู้จักเรา เอาไงดี แล้วเธอก็กล่าวปฏิเสธว่า เธอไม่มีอะไร ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรทั้งนั้น เพื่อนชวนมาดูก็มา ไม่ได้เป็นร่างทรงอะไรของใคร” ฝ่ายร่างทรงที่พากันมากราบก็อ้อนวอนว่า ท่านเป็นร่างของมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ องค์ท่านอยู่ข้าง ๆ นี่แหละ ถ้าขึ้นไปท่านก็จะลงประทับร่างทันที” เธอจึงถามครูพรว่าเอาไงดี ครูพรก็ยุส่งว่า ขึ้นไปเถอะยาย ลองดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น
    เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอก็เดินตามเขาขึ้นไป (ถูกจูงมือขึ้นไป) เขาก็พาไปนั่งตำแหน่งประธาน จากนั้นเธอก็หมดความรู้สึก ครูพรเล่าว่า ร่างทุกร่างพากันสวดมนต์ และองค์ญาณก็สวดมนต์กับเขาด้วย ซึ่งปกติเธอไม่รู้คำสวดอะไรทั้งนั้น นอกจากนะโมตัสสะ เมื่อสวดมนต์เสร็จ พวกเขาก็พูดคุยกันด้วยภาษาเทพ ซึ่งฟังเหมือนภาษาแขก คุยกันได้คุยกันดี งงไปหมดเลย องค์ญาณก็คุยภาษาเทพกับเขา ยิ่งทำให้งงใหญ่
    เมื่อเสร็จพิธีในวันนั้น ร่างทรงของปู่ฤาษีผู้เป็นเจ้าของสถานที่ ก็แนะนำให้เธอนำบายศรีไปทำพิธีรับเป็นร่างทรงให้ถูกต้อง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็ปรึกษากับครูพร กับน้องชายคือคุณประมิน ว่าจะทำยังไงดี เพราะค่าบายศรีและทำพิธีทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท ทุกคนก็สนับสนุนให้ทำ จึงทำพิธีรับเป็นร่างขององค์พ่อ ๑๖ ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา
    หนีสภาพเป็นร่างทรง
    แต่เธอก็กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่อยากเป็นคนทรง จึงหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ นำเสื้อผ้าจากไทยไปขายมาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จนถึงเดนมาร์ค ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ เที่ยวไปทั่ว กลับมาไม่นานเธอก็ไปอีก เป็นแบบนี้เรื่อยมา แต่ไม่ว่าเธอจะทำอาชีพอะไรก็ล้วนประสพความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมาไม่เคยลำบากยากจน ไปอยู่ไหนก็พบแต่คนชุบอุปถัมภ์ แม้แต่ไปอยู่ออสเตรเลีย ยังไปได้แม่บุญธรรมที่เป็นเศรษฐีคอยอุปถัมภ์ดูแล ซึ่งก็ล้วนเป็นไปด้วยบุญญาภินิหาริย์อันเกิดจากฤทธิ์ขององค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา และองค์พ่อจินดาทั้งสิ้น เพราะไปอยู่ที่ไหนความสามารถของเธอก็เปล่งประกายที่นั่นจนผู้คนให้ความเคารพนับถือ ส่วนมากเป็นการรักษาอาการป่วยที่แปลกประหลาดที่หมอรักษาไม่หาย เมื่อเธอทำให้หายได้ เจ้าของไข้จึงรักและนับถืออย่างจริงจัง เมื่อกลับมาอยู่บ้านไม่นาน ชาวต่างประเทศที่คิดถึงก็ส่งเงินค่าเดินทางให้ไปเยี่ยมเยือนเขาอยู่เสมอ
     
  10. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    องค์ญาณตาส่อน
    ถ้าใครไปพบองค์ญาณ จะเห็นว่าตาของเธอไม่สามัคคีกัน ที่เขาเรียกว่าตาส่อน แต่เชื่อมั้ย องค์ญาณเป็นผู้มีรูปร่างลักษณะที่งดงาม สมัยเป็นสาวก็ขึ้นเวทีประกวดถึงขั้นเป็นนางงามนพมาศมาแล้ว เธอก็สวยของเธอเรื่อยมา จนมาถึง พ.ศ.2547-48 ที่องค์เทพทรมานเธอจนไปไหนไม่ได้ ที่ท่านว่าคลานเหมือนหมา ตาของเธอก็เริ่มผิดปกติ จากตากลมโตเหมือนสาวแขก (ผิวพม่านัยน์ตาแขก) ตาก็เริ่มหยี และไม่สามัคคีกัน คนใกล้ชิดเช่น ครูพร เจ๊เล็ก และคุณประมิน รู้เรื่องนี้ดี แต่ในความเป็นคนนัยน์ตาส่อนนั้นก็มีข้อที่พิเศษไม่เหมือนคนอื่น ตาด้านซ้ายของเธอแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ส่วนมากมักมองด้วยตาขวา ซึ่งสามารถมองเห็นได้รอบตัวเหมือนตาม้า แต่ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ ตาขวาของเธอเป็นตาทิพย์ที่มองทะลุมิติ ถ้าเธออยากเห็นอะไร เช่นเทวดา ภูติ ผี ปีศาจ อดีต ปัจจุบัน อนาคต หรือแม้แต่สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ดิน หรือแม้เงินในกระเป๋าของคุณมีอยู่กี่บาท องค์ญาณจะมองเห็นหมด ด้วยนัยน์ตาข้างขวา แต่เธอก็กลัวความมีตาทิพย์ของเธอจนไม่กล้าเปิดมิติ ทั้งนี้เพาะเธอกลัวผี ผมเย้าเธอว่า เป็นลูกพ่อเหล็กไหล อะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น แต่กลับกลัวผี เธอว่า ผีมีรูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว จึงไม่อยากพบอยากเห็น
    เมื่อผมไปสัมภาษณ์เจ๊เล็ก องค์พ่อจิตราลงมาคุยกับผม ผมก็แหย่ท่านว่า “พ่อ ทำให้ตาขององค์ญาณกลับคืนเหมือนคนปกติได้มั๊ย” พ่อจิตราบอกว่า “ขนาดตาส่อนอย่างนี้คนยังหลงกันเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าตามันสวยคนจะคลั่งมันขนาดไหน ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ พ่อไม่อยากให้มันสวยหรอก”

    แก้วมณีโชติเสด็จมาเองที่พานครู
    มาถึง 29 ตุลาคม 2548 นายจ่อยเจ้าของเดิมเสียชีวิต แก้วมณีโชติจึงเสด็จมาอยู่บนหิ้งบูชาที่บ้านเธอแบบถาวร และตั้งแต่นั้น ก็มีเพิ่มขึ้นอีกหลายองค์ เสด็จมาเองก็มี พระธุดงค์ลี้ลับนำมามอบให้ก็มี มีเจ้าของเดิมติดต่อให้ไปรับก็มี แต่เธอไม่เคยคิดขายเหล็กไหลกิน แม้มีคนมาขอแบ่งบูชาองค์อื่น ๆ ที่มีอยู่ เธอก็บอกว่าไม่หวง แต่ให้อธิษฐานเสี่ยงบารมีเอาเอง ถ้าท่านอยากไปอยู่ด้วย เธอก็จะให้บูชา เมื่อเขาอธิษฐานแล้วจับองค์เหล็กไหล ก็จะเกิดความร้อนเหมือนจับก้อนเหล็กไฟ ก็ไม่มีใครเคยได้เหล็กไหลไปครอบครอง แต่เธอก็แบ่งให้สานุศิษฐ์ผู้ใกล้ชิดไปครอบครองเป็นบางคน แต่อยู่ไม่เกิน 1 ปี ก็กลับมาหาเธอเองทุกองค์ บางองค์เจ้าของเดิมใส่กรอบไว้อย่างดี ยังทำให้กรอบเปิดออกเอง แล้วหนีไปอยู่บนหิ้งบูชาที่บ้านของเธอ
    มีอยู่วันหนึ่ง องค์ญาณไปธุระที่ตัวจังหวัด มีหลานสาวเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว เธอก็โทร.หาองค์ญาณ บอกว่า ”มัม...รีบกลับบ้านเถอะ มีคนแก่หนวดเครายาวถึงอก ใส่ชุดขาว สะพายย่ามเข้ามาที่บ้าน บอกว่าทราบว่าบ้านนี้มีเหล็กไหล อยากมาขอซื้อ “พูดพลางก็ล้วงเงินในย่ามออกมาให้ดูมากมาย แล้วพูดว่า “เรียกเจ้าของเหล็กไหลมาหน่อย” หลานสาวถามว่า มัมนัดกับใครไว้รึเปล่า
    องค์ญาณพูดว่า “ไม่มีหรอก ไม่ได้นัดกับใคร ไม่ต้องการขายให้ใคร บอกให้เขากลับไป มัมไม่ขายพ่อกินหรอก บอกเขาว่าไม่มีเหล็กไหลขายให้ใครหรอก”
    เด็กสาวจะหันไปบอกกับชายแก่คนนั้น เห็นเขาเดินไปทางหลังบ้านซึ่งมีต้นมะขามใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่มองหาที่ไหนก็ไม่พบ เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
    ผมคิดว่า ชีผ้าขาวท่านนั้นคือองค์พ่อเหล็กไหล (องค์พ่อจิตรา) จำแลงกายมาทดสอบองค์ญาณ เมื่อท่านทราบอย่างนี้ท่านจึงรักองค์ญาณขึ้นอีกหลายร้อยเท่าตัว
     
  11. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    แก้วมณีโชติคือเหล็กไหล
    ความอัศจรรย์ของเหล็กไหลหรือแก้วมณีโชตินั้นน่าพิศวงนัก บางคืนจะทอแสงประกายเจิดจ้าราวกับแสงหลอดนีออน ทำให้นึกถึงแก้วมณีโชติในบาลีที่เคยแปลสมัยบวชเรียน บางครั้งก็หนีไปเที่ยว แล้วกลับมาเอง แต่กับองค์ญาณแล้ว มันทำให้ผู้หญิงสมัยใหม่ไฮโซที่ไม่เชื่ออะไรเลยต้องมาเป็นองค์ญาณของท่าน ทำให้เธอมีฤทธิ์อำนาจ มีญาณรู้จิตรู้ใจคน รู้อดีตอนาคตของคน สามารถทำนายทายทักชีวิตคนได้แม่นยำโดยไม่ต้องถามวันเดือนปีเกิด ไม่ต้องใช้ไพ่ ไม่ต้องดูลายมือ นั่งดูหน้ากันก็ทำนายกันออกมาจะ ๆ เลยทีเดียว แต่การมีญาณวิเศษนี้เธอบอกว่ามาจากอำนาจขององค์พ่อ ๑๖ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพ่อจิตรา จักรพรรดิ์เหล็กไหล

    แมงช้างขององค์พ่อจิตรา
    และที่บ้านสวนนั้น มีต้นลำใยใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เมื่อถึงฤดูหนาว จะมีแมลงชนิดหนึ่งมีปีกสีลายเขียว ชมพู ขาว มีงวงเหมือนช้าง เป็นงวงสีชมพูชูขึ้น ตัวขนาดนิ้วมือ สวยงามยิ่งนัก แมลงชนิดนี้ไม่เคยพบเห็นที่ไหน แม้ในหนังสือภาพแมลงต่าง ๆ ก็ไม่เคยปรากฎให้เห็น พอย่างเข้าฤดูหนาว มันจะพากันมาอาศัยต้นลำใยบ้านสวนขององค์ญาณจำนวนมากบางปีหลายร้อยตัว บางปีมีเป็นจำนวนพัน มันจะเดินเรียงกัน ไต่ขึ้นไต่ลงตามกิ่งลำใย ไม่มีใครเข้าใกล้หรือจับมันได้ยกเว้นองค์ญาณ ถ้าคนอื่นเข้าไปใกล้มันจะรีบหนีขึ้นบนต้นไม้ เมื่อหมดฤดูหนาวมันก็จะหายหน้าไปจนหมด มันมาอาศัยตั้งแต่ได้องค์มณีโชติมาอยู่กับบ้าน องค์พ่อจิตราบอกว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน มันตามท่านมาเอง

    ฤทธิ์ขององค์พ่อเหล็กไหล และองค์พ่อ ๑๖
    อิทธิฤทธิ์อิทธิเดชขององค์พ่อจิตรานั้นน่าเกรงขามนัก คราวหนึ่งเธอโกรธอะไรไม่รู้ ไม่รู้จะหาทางระงับโกรธอย่างไร ยกนิ้วชี้ต้นกระถินณรงค์ต้นขนาดขาที่อยู่ในบ้าน กล่าวด้วยความโกรธว่า มึงล้มเดี๋ยวนี้ ๆ ๆ ทันใดนั้นต้นไม้นั้นก็ล้มให้เห็นต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอและเจ๊เล็กตกตะลึงกับเหตุการณ์นั้น จึงรู้ฤทธิ์ของเหล็กไหลดี มีพยานเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยคือเจ๊เล็ก

    อยู่มาวันหนึ่ง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซด์ส่งเสียงรบกวนชาวบ้าน แล่นเข้าแล่นออกฉวัดเฉวียน เสียงก็ดังจนแสบแก้วหู เธอโกรธเลยลุกขึ้นมายืนชี้ “มึงล้มเดี๋ยวนี้ ขอให้เลื้อยเป็นงูเลย” เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่สามารถประครองมอเตอร์ไซด์ไว้ได้ จนล้มได้รับบาดเจ็บมาก ตั้งแต่นั้นก็หายซ่า
    ท่านสามารถคุ้มครองป้องกันลูกหลานที่เคารพนับถือท่านได้ตลอดเวลา เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นหลานชายขององค์ญาณ อยู่ด้วยกันที่บ้านสวน องค์ญาณรักเหมือนลูกชาย แต่ตามปกติของวัยรุ่นมักชอบเที่ยว และมีศัตรูอยู่เสมอเมื่อวัยรุ่นด้วยกันหมั่นไส้ คืนวันหนึ่งจึงมีกลุ่มวัยรุ่นถือดาบมาดักฟันหลานชายที่ต้นแขน แต่คมดาบหาระคายผิวไม่ หลานชายคว้าได้ท่อนไม้ก็ไล่ตีจนแตกกระเจิงหลบหนีไปได้
    อยู่มาวันหนึ่ง องค์ญาณชวนหลานชายไปซื้อของที่ตลาด ขณะที่เธอเดินซื้อของ ก็ได้ยินเสียงหลานชายร้องเสียงหลง เธอหันไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งชกต่อยหลานชายจนเลือดกลบปาก และจมูก เธอทิ้งของเดินรี่เข้าไปจับเด็กหนุ่มคนนั้นตบผวัวะ ๆ ๆ ทั้งตบทั้งเตะจนเด็กหนุ่มคนนั้นล้มลุกคลุกคลาน เลือดกลบปาก ฟันหักไปหลายซี่ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นลูกเศรษฐีผู้มีอิทธิพล ร่ำรวยหลายร้อยล้านอยู่แถวนั้น เธอยืนชี้หน้าว่า “ฉันรู้ว่าเธอเป็นลูกหลานใคร แต่เธอรู้มั้ยว่าฉันคือใคร อย่ากำแหงว่าพ่อแม่รวย ฉันทำให้ฉิบหายเมื่อไหร่ก็ได้ ไปบอกโคตรเง่าของมึงมาเลย เดี๋ยวกูจะสั่งสอนเอง มีลูกมีหลานปล่อยให้ระรานชาวบ้านแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน รีบไปนะ เดี๋ยวกูเอาตายนะ” เด็กหนุ่มคนนั้นรีบขึ้นรถเก๋งคันแพงขับหนีไปอย่างรวดเร็ว และไม่เคยกล้ำกรายกลับมาเอาเรื่องอีกเลย
     
  12. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    พ.ศ.2547 น้องเติ๊ก หรือเด็กชายปรัชญา ลูกชายคนเล็กขององค์ญาณ เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนศรีนภาอนุบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อของอำเภอโชคชัย วันหนึ่งในปลายปีนั้น ทางโรงเรียนได้ทำการคัดเลือกนักกีฬาวิ่งแข่งขัน แต่น้องเติ๊กได้แค่ตัวสำรอง พอถึงวันแข่งขัน น้องเติ๊กก็ไปกราบองค์พ่อที่บัลลังก์ พูดว่า “องค์พ่อ เติ๊กอยากลงวิ่งแข่งกีฬากับเขา แต่เขาให้เป็นเพียงตัวสำรอง ทำอย่างไรเติ๊กจึงจะได้ลงแข่งกับเขา” องค์ญาณมองเห็นเหตุการณ์นั้น จึงบอกน้องเติ๊กว่า “ลูกเอ๊ย ให้ใส่ชุดกีฬาไปเลยนะ เติ๊กต้องได้ลงวิ่งแข่งกับเขาแน่นอน “ ว่าแล้วองค์ญาณก็ไปจุดธูปกราบองค์พ่อขอพรให้หลาน น้องเติ๊กได้ยินก็ดีใจ ใส่ชุดกางเกงดำเสื้อแดง ไปโรงเรียนในวันนั้น
    พอถึงเวลาแข่งขันก็มีเหตุให้เป็นไป นักกีฬาตัวจริงที่จะต้องลงวิ่งก็เกิดหน้ามืดเป็นลมล้มลง ทางครูอาจารย์เห็นเช่นนั้น ก็ตัดสินใจส่งตัวสำรองลง จึงเรียกน้องเติ๊กให้ลงแข่งกับเขา และน้องเติ๊กก็คว้ารางวัลชนะเลิศในการวิ่งคราวนั้นเสียด้วย
    ครูสุรัชพร ศรีโพธิ์ สอนอยู่โรงเรียนบ้านท่าลาดขาว ต.ท่าลาดขาว อ.โชคชัย ซึ่งเป็นคนสนิทของสุภาพสตรีท่านนี้ ได้ร่วมเหตุการณ์ต่าง ๆ มาด้วยกันตั้งแต่ต้น และมีความเคารพนับถือสุภาพสตรีท่านนี้และองค์พ่อเหล็กไหลมากที่สุด จนหวาดกลัวก็ว่าได้ ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า อยู่มาวันหนึ่ง ก่อนวันลอยกระทงปี 2548 เกิดเหตุการณ์แตกตื่นในโรงเรียน ครูพรเป็นครูเวร ได้ยินเสียงเด็กนักเรียนหญิงพากันร้องวี๊ด ๆ เมื่อเธอออกมาดูก็พบว่า มีนักเรียนหญิงชั้นประถมปีที่ ๕ คนหนึ่งนอนหลับใหลไม่ได้สติ ชีพจรอ่อนล้ามากแล้ว ทางครูอาจารย์ก็พากันปฐมพยาบาลก็ไม่ได้สติ จึงพาไปศูนย์อนามัย แล้วเรียกผู้ปกครองมาพบ ฝ่ายผู้ปกครองจึงบอกว่า เด็กเป็นแบบนี้มาครั้งหนึ่ง เพราะผีจะเอาตัวมันไป ทำพิธีแล้วจึงหาย ฉันจะนำกลับบ้าน เดี๋ยวจะเรียกอาจารย์มาทำพิธีให้ คุณครูสุรัชพรบอกว่าอย่าเพิ่งนะ ขอเวลาสักครู่ ครูจึงกดโทรศัพท์หาองค์ญาณคือสุภาพสตรีที่ครอบครองเหล็กไหล เพราะได้เห็นฤทธิ์เห็นเดชมามากแล้ว ท่านน่าจะช่วยได้ ขณะนั้นองค์ญาณกำลังไปสระผมที่ร้าน เมื่อรับโทรศัพท์แล้วเธอจึงบอกว่า ก่อนอื่นให้นำเด็กออกจากขื่อก่อน เพราะเด็กนอนอยู่ใต้ขื่อ ซึ่งก็เป็นจริง องค์ญาณถามว่าเด็กคนนี้มีรูปร่างขาวโปร่ง หน้าตาสวยงามใช่มั้ย ทางครูพรก็บอกว่าใช่ องค์ญาณจึงแนะนำว่าให้นำเด็ก หรือญาติของเด็กก็ได้มาหาองค์พ่อที่ตำหนัก เดี๋ยวจะกลับแล้ว
    เมื่อครูพรและญาติ ๆ พากันไปถึงตำหนัก องค์ญาณก็แต่งชุดขาวรอท่า เมื่อพร้อมหน้ากันแล้วพ่อ ๑๖ ก็ลงประทับร่าง บอกว่า ” เด็กคนนี้ถูกผีประคำช้างหมายปอง เขาจะเอาไปอยู่ด้วย ให้นำดอกไม้ธูปเทียน พร้อมด้วยกล้วย อ้อย ไปทำพิธีที่ฝั่งน้ำลำพระเพลิง เมื่อเด็กหายดีแล้วให้นำบายศรีมาถวายองค์พ่อ เด็กก็จะปลอดภัย ไม่เป็นอะไรอีกเลย แต่ตอนนี้เด็กลุกขึ้นได้แล้ว กำลังหิวข้าว ขอกินก๋วยเตี๋ยว” ทางญาติฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงกดโทรศัพท์ไปถาม ก็ทราบว่าเด็กลุกขึ้นมาขอกินก๋วยเตี๋ยวจริง ๆ สร้างความพิศวงงงงวยให้กับญาติเป็นอย่างมาก
    ต่อมาผู้ปกครองก็นำบายศรีไปถวายองค์พ่อที่ตำหนักบ้านสวน เดี๋ยวนี้เด็กหญิงคนนี้เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๖ โรงเรียนบ้านท่าลาดขาว ชื่อน้องบิว หรือพัชราภรณ์ เดชพร
     
  13. pgame

    pgame เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +184
    อนุโมทนาครับ เป็นเรื่องที่น่าฟังครับ
    คนบุญน้อยอย่างผม ได้รับฟังเรื่องราวก็รู้สึกตื้นตันครับ
    มีของดี นำไปช่วยเหลือผู้คนที่ตกยาก เป็นเรื่องที่เหมาะแล้วครับ
     
  14. dewvader

    dewvader Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +88
    ที่เล่ามานี้ตรงกับที่พ่อผมเล่าให้ฟัง ของแบบนี้มันขายกันไม่ได้
     
  15. poplight

    poplight Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +84
    อนุโมทนาครับ เป็นเรื่องน่าทึ่งมากครับ ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่ ดีมากครับ
     
  16. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    พ่อเบรคหน่อย ๆ
    คุณครูชมชิด ชื่อเล่นว่าโทน สอนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับครูสุรัชพร มีความเคารพเลื่อมใสองค์พ่อมาก จึงนำบายศรีไปถวายเป็นสานุศิษย์ อยู่มาวันหนึ่ง ครูชมชิดไปถอยรถเก๋งมือสองออกมาขับ แต่ยังอยู่ระหว่างฝึกหัด เกียร์ไหนเป็นเกียร์ไหนก็ยังงงอยู่ วันหนึ่งองค์ญาณไปนั่งอยู่ร้านอาหารของครูสุรัชพร ความที่ชอบร้องเพลง เธอก็นั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหาร ร้องเพลงไปตบโต๊ะเป็นจังหวะไปด้วย ร้องไปร้องมาก็ตะโกนขึ้นว่า ตายแล้ว ๆ โทน ตายแล้ว พ่อเบรคหน่อยพ่อ ๆ แล้วเธอก็ร้องเพลงตบโต๊ะต่อไป ครูสุรัชพรรีบวิ่งมา เห็นเธอร้องเพลงอยู่คนเดียวก็ถามว่า ยาย..มีอะไรหรือ องค์ญาณว่า ก็ป้าโทนนะสิ ขับรถจะพุ่งชนกำแพงอยู่แล้ว จึงร้องให้พ่อช่วยเบรคไว้ ไม่เป็นไรหรอก แล้วเธอก็นั่งร้องเพลงตบโต๊ะต่อไปอีก
    เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ครูชมชิดก็โผล่มาที่ร้านครูสุรัชพรด้วยสีหน้าตื่นตะหนก เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น บอกว่าฉันงงไปหมด นึกจะเหยียบเบรคก็ไปเหยียบคันเร่ง แต่ไม่รู้ไง อยู่ ๆ รถมันก็หยุดกึกก่อนที่จะพุ่งชนกำแพงบ้าน องค์ญาณและครูพรได้ฟังก็หัวเราะ ครูพรจึงเล่าเรื่ององค์ญาณให้ฟัง วันต่อมาครูชมชิดก็ไปตำหนัก นำดอกไม้ธูปเทียนไปถวายองค์พ่อ ท่านลงมาประทับร่างองค์ญาณ บอกว่าลูกเอ๊ย รถที่เองซื้อมาขับนั้นมันไม่เหมาะสมหรอก มันจะทำให้ชีวิตเองมีแต่เสื่อม ขายเสียนะ พ่อจะให้เงินก้อนหนึ่ง เองซื้อที่หมายเลขทะเบียนนั่นแหละ งวดนั้นครูชมชิดจึงซื้อบนดิน ถูกเลขท้าย 3 ตัวตรง ๆ ได้มา 8 หมื่นบาท เธอก็ขายรถคันนั้นไปในราคาที่เหมือนให้เปล่า ขาดทุนเท่าไรไม่ว่ากัน
    อาจจะมีผู้สงสัยว่า องค์พ่อ ๑๖ บอกให้ซื้อเลขนั้น แล้วทำไมมันออกเลขนั้น โปรดทราบว่า องค์พ่อ ๑๖ ก็คือพระโสฬส ผู้ที่อยู่ในวงการ ไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้า หรือฆราวาสที่เชี่ยวในวิทยายุทธเวทยาคม ต่างก็รู้กันว่า วิชาโสฬสนั้นใคร ๆ ก็ปราถรนาจะเรียนและบรรลุถึง ถ้าบรรลุวิชาโสฬสแล้ว เรื่องตัวเลขหวย กำถั่วกำโป ลูกเต๋า จะมองทะลุหมด นี่คืออิทธิฤทธิ์ขององค์พ่อ ๑๖ แต่ก็มีอีกประการหนึ่ง องค์พ่อเหล็กไหลคือองค์พ่อจิตรา ท่านเป็นหัวหน้าเทพ ดังนั้นเทพที่เป็นหัวหน้ากองสลากก็เป็นลูกน้องของท่าน ท่านสั่งอย่างไรก็ได้อย่างนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ เพราะกฏเกณฑ์ของวิบากกรรม กฎเกณฑ์ของสวรรค์และฟ้าดินยังมีอยู่
     
  17. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    พูดได้ทุกภาษาในโลกนี้
    ผมเคยไปกราบพระอาจารย์เกษม ผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์ มองเห็นเทวดาและภูตผีปีศาจเหมือนเราเห็นด้วยตาปกติ ท่านจึงมีความรอบรู้เรื่องเทวดาแต่ละชั้นดี ผมเรียนถามท่านว่า “อาจารย์ครับ เทวดาชั้นไหนขึ้นไปที่เข้าใจภาษามนุษย์ทุกภาษา และสามารถพูดภาษาในโลกนี้ได้ทุกภาษา พระอาจารย์เกษมตอบว่า “เทวดาตั้งแต่ชั้นจตุมหาราชิกาขึ้นไป รู้เข้าใจและพูดภาษาได้ทั้งโลก เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องจริง เมื่อผมได้มาฟังเรื่องขององค์ญาณและองค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา ครูพรเล่าว่า ครั้งแรกที่องค์พ่อจิตราลงประทับร่างขององค์ญาณนั้นเกิดขึ้นที่บุรีรัมย์ ก่อนที่จะได้ครอบครองเหล็กไหลอย่างเป็นทางการ คือโดยปกติท่านจะลงประทับร่างนายจ่อย แต่วันนั้นท่านลงร่างองค์ญาณ พูดเป็นภาษาลาวไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งปกติองค์ญาณแม้แต่ฟังภาษาลาวอีสานยังไม่เข้าใจ อย่าพูดถึงการพูดเลย
    และเมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา มีคนจากสุโขทัยพากันมาหลายคน มีคนหนึ่งเจ้าตัวเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงมากราบองค์พ่อ ท่านบอกว่าเจ้าแม่กวนอิมอยากประทับร่างเพื่อสร้างบารมี แล้วท่านก็เรียกวิญญาณเจ้าแม่กวนอิมให้ลงประทับร่างนั้น เมื่อเจ้าแม่กวนอิมลงเต็มที่แล้วก็พูดภาษาจีน องค์พ่อ ๑๖ ก็พูดภาษาจีนกับเขาป้อทีเดียว แต่ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองท่านคุยกันด้วยเรื่องอะไร เมื่อเจ้าแม่ออกแล้ว องค์พ่อบอกว่า อีกปีหนึ่งให้มาขึ้นบายศรีรับเป็นร่างของเจ้าแม่กวนอิม
    เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เป็นวันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเหล็กไหล ทำพิธีกลางแจ้งในเวลาเที่ยงคืน ก่อนที่องค์พ่อ ๑๖ จะลงประทับร่างเพื่อเป็นประธานจัดพิธี ก็มีเทพประจำเหล็กไหลองค์หนึ่งชิงลงประทับร่าง ชื่อทองดำ ท่านมาแจ้งให้ทราบว่าท่านจะมาอยู่ด้วยในเร็ว ๆ นี้ แต่ท่านพูดภาษาเขมรปนไทย เมื่อวันดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์เดือนก่อนก็เคยลงมา แต่พูดภาษาเขมรล้วน ไม่มีใครเข้าใจสักคน แต่องค์ญาณนั้นรู้แต่ภาษาไทยกลาง ฟังลาวยังไม่เข้าใจ
    องค์พ่อจิตราลงมาประทับร่างองค์ญาณ บอกว่าจะมีเหล็กไหลมาขออยู่ด้วยอีก 3 องค์ เป็นเหล็กไหลดำ 2 องค์ เหล็กไหลขาว 1 องค์ แต่เหล็กไหลขาวเป็นตัวเมียชื่อสำลี ท่านว่าตัวเมียมันไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไรมาก ปล่อยมันอยู่ตามประสาของมันไปก่อน แต่ไอ้ทองดำมันเก่ง จะเอามันมาอยู่ช่วยงาน
     
  18. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    คืนชีวิตให้มด
    ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ ครูสุรัชพรโทร.มา บอกว่า “พี่หมอ มีเรื่องอัศจรรย์จะเล่าให้ฟัง เมื่อบ่ายวันนี้ มีมดไต่ขึ้นไปกัดคอองค์ญาณ แกนึกว่าหมัดจึงจับขยี้แล้วเอามาวางไว้บนโต๊ะ ถามว่า “พี่พรดูสิ มดหรือหมัด” หนูเห็นเป็นมด ถูกขยี้จนแทบจะไม่เป็นตัวอยู่แล้วจึงบอกว่า มดจ๊ะ องค์ญาณตกใจ โอ้...นึกว่าหมัด สงสารมันจัง มดจ๋า ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่าเองเป็นมด องค์พ่อจ๋า ช่วยให้มดมันฟื้นหน่อยสิจ๊ะ ว่าแล้วเธอก็เป่าไปที่มด บอกว่าฟื้นนะ ๆ ทันใดนั้นมดตัวนั้นก็ค่อย ๆ กลับคืนเป็นรูปร่างมดเหมือนเดิม แล้วลุกขึ้นเดินไปเหมือนปกติ หนูขนลุกหมดเลยค่ะ”

    รักษาสุนัขขาลากให้เดินได้ปกติในไม่กี่นาที
    ดต.บันลือศักดิ์ เกรียวกระโทก เป็นสานุศิษย์ที่ใกล้ชิดคนหนึ่งขององค์พ่อ เวลาองค์ญาณจะไปไหน ก็มักได้ ดต.บันลือศักดิ์นี่แหละขับรถไปส่ง (ถ้าแกว่าง) ดต.บันลือศักดิ์มีชื่อเล่นว่า ดาบใบ ดูรูปก็รู้ว่าเป็นเจ้าพ่อมีอิทธิพลคนหนึ่งของโชคชัย แต่เดี๋ยวนี้เลิกเป็นแล้ว คงเป็นดาบใบคนดีและซื่อสัตย์ขององค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา นายดาบมีประสพการณ์ที่ประทับใจเกี่ยวกับองค์พ่อเช่นเดียวกัน
    ช่วงไหนไม่ได้เข้าเวร มีเวลาว่าง ๆ พี่ดาบใบชอบไปนั่งจิบเบียร์อยู่ใต้ต้นไม้ในบ้านสวนขององค์ญาณ เพราะมีความเคารพนับถือองค์ญาณและองค์พ่อเป็นอย่างสูง อยู่มาวันหนึ่ง พี่ดาบนั่งจิบเบียร์อยู่ ก็มีสุนัขตัวหนึ่งเดินลากขาผ่านหน้าบ้านองค์ญาณ มีลักษณะเหมือนหมาหลังหัก เดินได้เฉพาะ 2 ขาหน้า จึงลาก 2 ขาหลังไปอย่างทุลักทุเล องค์ญาณเห็นจึงเรียกให้มันหยุด ว่า “เองมานี่ ข้าจะรักษาให้เองเดินได้ปกตินะ มันก็หยุดอย่างว่าง่าย องค์ญาณนั่งลงข้าง ๆ มัน ยกมือประนมระลึกถึงองค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา ขอบารมีท่านรักษาสุนัขตัวนี้ให้หาย ณ บัดนี้เถิด แล้วเธอก็เป่าพรวด ๆ ไปที่สุนัข พลางนวดแข้งนวดเอวให้มัน จากนั้นพูดว่า มึงหายเดี๋ยวนี้ เดินได้เดี๋ยวนี้” พี่ดาบเล่าว่า “เหมือนดูหนังนะครับหมอ ผมไม่อยากเชื่อสายตาเลย ไอ้หมาตัวนั้นหายจากขาลากเดี๋ยวนั้นเลย มันเดินได้เหมือนไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน ผมขนลุกเลยครับ”
    เมื่อราวต้นเดือนมกราคม สานุศิษย์คนหนึ่งขององค์พ่ออยู่ลพบุรี จะถวายพระพุทธรูปให้องค์พ่อ ทางองค์ญาณจึงชวนพี่ดาบขับรถไปส่ง ชวนครูสุรัชพรไปด้วย และนัดหมายให้ผมไปดักรอที่ปากช่อง เมื่อไปถึงลพบุรี สานุศิษย์องค์พ่อชื่อคุณธนะศักดิ์ ทำงานอยู่ที่ดินอำเภอโคกเจริญ ลพบุรี ได้นำพระพุทธรูปมาถวาย 2 องค์ จากนั้นได้พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองลพบุรี กินข้าวเสร็จแล้วเราก็เดินออกมา มีชายหนุ่มผิวขาว ลักษณะดีนั่งอยู่โต๊ะอาหารไม่ไกลกันนัก เดินตรงมาที่พี่ดาบใบ ยกมือไหว้ทักทาย ผมนึกว่าเขารู้จักกัน แต่เขาเอ่ยว่า ขอโทษครับพี่ ผมอยากทราบว่าพี่ห้อยพระอะไร ผมเห็นแสงพุ่งออกมาจากองค์พระที่พี่ห้อยอยู่ ชมหน่อยได้มั้ยครับ พี่ดาบก็ยืนให้เขาเอามือมาจับพลิกดูไปมา ถามว่าอะไรนี่ ไม่ใช่พระนี่พี่
    พี่ดาบว่า เป็นธาตุกายสิทธิ์นะครับ แกถามว่า พี่ได้มาจากไหน พี่ดาบว่าได้มาจากองค์ญาณนี่ไง ชี้ไปที่องค์ญาณ เขาก็สนใจมาก แต่ไม่มีเวลาพูดคุยกันนัก เขาก็ขอโทรศัพท์องค์ญาณ และโทร.สอบถามรายละเอียดกันทีหลัง ผมจึงขอดูสิ่งที่พี่ดาบใส่กรอบห้อยคออยู่ เป็นหินดำเลื่อมมะเมื่อมตะปุ่มตะป่ำ เรียกว่าเหล็กไหลงอก หรือโคตรเหล็กไหล ผมถามองค์ญาณว่าได้มายังไง องค์ญาณบอกว่า มันมาวางอยู่ที่พานครูนั่นเอง องค์พ่อนำมา จึงมอบให้พี่ดาบไว้ป้องกันตัว
     
  19. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    หลังๆมานี้เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ ยังไงก็คิดวะเคราะห์กันเอาเองนะครับผมไป เอา มาจากอีก เวปนึงถ้าใครอ่านแล้วติดตาม หรืออยากอ่านให้จบก็สามารถ หาในกูเกิลได้นะครับ หรือจะติดตามทางนี้ก็ได้รับ
     
  20. jets-one

    jets-one เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    460
    ค่าพลัง:
    +737
    พ่อแหวกหน่อย
    พี่ดาบใบเล่าว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมกับญาติ พาฝรั่งซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานเขย ไปเที่ยวปราสาทหินพนมรุ้งที่บุรีรัมย์ วันนั้นฝรั่งเป็นคนขับรถ พอไปถึงช่วงหนึ่ง ก็ขับแซงรถพ่วง 2-3 คันติดกัน พอถึงระหว่างกลางยังไม่ทันพ้น อีกฟากหนึ่งก็มีรถพ่วงวิ่งสวนตามกันมาอีก 2 คัน รถเราอยู่ระหว่างกลาง ต้องถูกเบียดยับเยินแน่ ๆ พี่ดาบใบเอามือจับธาตุกายสิทธิ์ ในใจก็คิดว่า “พ่อแหวกหน่อย ๆ ๆ ๆ “ ก็เกิดปาฏิหาริย์ที่หาคำตอบไม่ได้ รถโตโยต้าคันใหญ่กึ่งรถเก๋งกึ่งรถตู้ สามารถวิ่งอยู่ตรงกลางรถพ่วงคันใหญ่จนหลุดผ่านไปได้ มองดูเจ้าฝรั่งมันเซ่อแดกจนพูดไม่ออกไปประมาณ 15 ก.ม. มองดูคนที่นั่งด้านหลังอีก 3 คน หน้าซีดขาวเหมือนคนทาแป้ง หัวใจของทุกคนแทบหยุดเต้นทีเดียว ผ่านไปตั้งนานจึงเริ่มพูดคุยกันได้ ไอ้ 3 คนที่นั่งด้านหลังบอกว่า ต่อไปไม่นั่งรถที่ฝรั่งขับแล้ว ส่วนเจ้าฝรั่งก็พูดว่า เราผ่านมาได้อย่างไร
    ต่อมาไม่นาน องค์พ่อเหล็กไหลลงมาประทับร่างองค์ญาณ ขณะนั้นพี่ดาบใบนั่งเฝ้าอยู่ด้วย ท่านเย้าว่า
    “ ไอ้หมูตอน มึงให้กูแหวก กูก็ช่วยแหวก จนสีข้างร้อนราวกับไฟลน ไม่เห็นมึงซื้อเหล้ามาให้กูดื่มมั่ง”

    เรียกเด็กหายกลับคืนในหนึ่งชั่วโมง
    ครูพรเล่าเรื่องสลับฉากอีกว่า น้องเม็ค กับน้องแมน เป็นลูกชายของคุณประมิน เมื่อวันอาสาฬหบูชา ปี 2548 คุณประมินเดินทางจากกรุงเทพ ฯ มาทำพิธีอาบน้ำวันพระจันทร์เพ็ญให้องค์พ่อเหล็กไหลที่บ้านสวน เมื่อมาถึงบ้านสวน มีคนที่บ้านโทร.มาว่าน้องเม็คกับน้องแมนหายตัวไป คุณประมินก็บอกให้เขาไปหาที่ร้านคอมพิวเตอร์ เพราะลูกชายสองคนนี้ชอบเล่นเกมส์ เขาไปดูแล้วไม่พบ จึงโทร.มาบอก คุณประมินก็ร้อนตัว ตอนนั้นวุ่นวายไปหมด ทั้งคุณประมิน ทั้งป้า และองค์ญาณ ๆ จึงไปใส่ชุดขาวมานั่ง องค์พ่อลงประทับร่าง บอกว่าเด็กทั้งสองถูกเขาโขมยไป เดี๋ยวพ่อตามกลับมาเอง แล้วพ่อก็ร้องบอกว่า “มึงนำลูกกูมาคืนเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่คืนมึงตาย” แล้วท่านก็บอกว่าเขาจะพามันไปขายนะสิ ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวมันก็พาไปคืนที่บ้าน
    แต่คุณประมินร้อนรนมาก อยากกลับกรุงเทพ ฯ เสียตอนนั้น แต่พ่อทัดทานไว้ ผ่านไปอีกราวชั่วโมงกว่า ทางกรุงเทพ ฯ ก็โทร.กลับมาว่าเขาเอาเด็กมาส่งคืนแล้ว ทางพ่อจึงขอพูดกับเด็ก ได้ความว่า มีคนขับมอเตอร์ไซด์มาหลอก ว่าจะพาไปทำงานด้วย เพราะเห็นเด็กทั้งสองเก่งคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อเขาขับมอเตอร์ไซด์ไปพบตำรวจจึงนำกลับมาส่งที่บ้าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...