พระพุทธรูปในโบสถ์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 12 มกราคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ที่มา : พุทธทาสศึกษา
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎกหน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘ ข้อที่ ๑๒๒

    ครั้งนั้น สมเด็จพระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์
    ผู้หวาดกลัว พระองค์ได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม มี
    ตาข่ายอันท่านกำหนดด้วยจักร จำเดิมแต่นั้นมา เราก็เป็นผู้ถูก
    รักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้พ้นจากความป่วยไข้ทุกอย่าง อยู่
    โดยสุขสำราญ เราเว้นจากพระสุคตเสียเพียงครู่เดียวก็กระสัน พอ
    อายุได้ ๗ ขวบ เราก็ออกบวชเป็นบรรพชิต เราเป็นผู้ไม่อิ่มด้วย
    การดูพระรูปอันประเสริฐ เกิดพระบารมีทุกอย่าง มีดวงตาสีเขียว
    ล้วน เกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสันฐานอันงดงาม ครั้งนั้น พระพิชิต
    มารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  6. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +81
    ผมคิดว่า คนมีหลายประเภท อาทิ
    1 ผู้ที่เห็นธรรมแล้ว เปรียบประดุจเห็นพระองค์ แม้เขาไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าเลย
    2 ผู้เห็นทั้งธรรม เห็นทั้งพระพุทธเจ้า (สมัยพุทธกาล)
    3 ผู้เห็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่เห็นธรรม
    4 ผู้ไม่เห็นธรรม และไม่เห็นพระพุทธเจ้า

    ผมแม้ไม่เห็นทั้งธรรม ไม่เห็นทั้งพระพุทธเจ้า แต่ได้เห็นพระพุทธรูปก็รู้สึกดีดี
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "นี่หากพระพุทธองค์เสด็จกลับมาเห็นพระพุทธปฏิมาองค์นี้ พระองค์ก็คงจะถามว่า นี่ใครกันมานั่งอยู่ในโบสถ์"

    จากหนังสือ คุรุวิพากษ์คุรุ คำนำโดย ท่าน ว.วชิรเมธี
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CJODesdt91Q]พระเกษม-พุทธรูปไม่ใช่ที่พึ่ง - YouTube[/ame]
     
  9. ธรรมภูมิ

    ธรรมภูมิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +142
    โมทนาบุญเฉพาะหลักธรรมคำสอนที่เป็นสัจธรรม

    "เมื่อเห็นจิตพุทธะภายในเราฉันใด จิตสังขารเราย่อมพัฒนาแปรเปลี่ยนกลายเป็นพุทธะฉันนั้น"

    จาก ผู้ที่กำลังแปรเปลี่ยน
    ธรรมภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัวคุกคามเอาแล้ว

    ย่อมยึดถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง

    สวนศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง ว่าเป็นที่พึ่งของตนๆ

    นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันทำความเกษมได้เลย นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด

    ผู้ใดถือเอาสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้.

    ส่วนผู้ใด ที่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว

    เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์ , เห็นเหตุเป็นเครื่องให้เกิดขึ้นของทุกข์ , เห็นความก้าวล่วงเสียได้ซึ่งทุกข์ , และเห็นมรรคประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐ ซึ่งเป็นเครื่องให้ถึงความเข้าไปสงบรำงับแห่งทุกข์

    นั่นแหละคือ ที่พึ่งอันเกษม , นั่นคือที่พึ่งอันสูงสุด ; ผู้ใดถือเอาที่พึ่งนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้แท้

    ที่มา : อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น โดย พุทธทาสภิกขุ
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  14. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +81
    ก่อนจะไปถึงจุดหมาย ก็ย่อมต้องเดินทาง ทางเดินมีไว้ให้ยึดถือ ให้เดิน

    ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดให้ถือแล้ว จะถึงฝั่งได้อย่างไร เมื่อถึงแล้วซึ่งจุดหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรอีกแล้ว

    ใช้กิเลส สยบกิเลส กิเลสฝ่ายดีเป็นกำลังใจให้สบยกิเลสฝ่ายไม่ดี นี่ก็ต้องถือว่ายึดถือกิเลส เพื่อละกิเลส เมื่อสำเร็จกิจค่อยปล่อยวางทั้งหมด

    การเห็น การเคารพพุทธปฏิมา ก็เป็นไปเพื่อพุทธานุสสติ ยึดถือ ให้เกิดกำลังใจ ให้เกิดความมั่นใจ ที่จะต่อสู้กับชีวิต

    บางสำนวนแห่งเซ็น กล่าวว่า พบพระพุทธเจ้า ให้ประหารเสีย ถ้าเราพิจารณาอย่างถ่องแท้ ก็เป็นเพียงกุศโลบายในการคลายความยึดติด ยึดมั่น การยึดไว้จนเกินไป ไม่อาจถึงฝั่งได้ ต้องพอดีๆ เมื่อสำเร็จกิจแล้ว พระพุทธเจ้าก็หมดความหมาย ไม่ยึด ไม่ติดอีก และไม่อาจลบหลู่เกียรติองค์ปฏิมา

    จริงอยู่ การเจริญปัญญาญาณ ไม่ต้องการพิธีกรรมและศรัทธาอะไรมากมาย นั่นก็เหมาะสมกับผู้ที่มีวาสนา และปัญญาอันเอกอุเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องการเพียงแว๊บเดียวแห่งธรรมก็บรรลุแล้ว ในโลกนี้มีบุคคลเช่นนี้สักกี่คนกัน

    ข้อธรรม ข้อปฏิบัติ มีหลากหลาย มากมาย สิ่งสำคัญที่สุด ต้องหาสิ่งที่เหมาะสมกับตน เพื่อฝึกฝนตนเอง แนวทางที่ดีเลิศของคนหนึ่ง ไม่อาจรับประกันความสำเร็จของอีกคนหนึ่งได้ เช่นเดียวกัน วิธีการที่ล้มเหลวของอีกคนหนึ่ง ก็ไม่อาจสรุปได้ถึงความสำเร็จของอีกคน
    คนทุกคนมีบารมีธรรม สะสมมามากมายกันทุกคน ปัญหามันอยู่ที่ การต่อยอดธรรม การเฟ้นหาทางธรรมเพื่อต่อยอดจากของเดิม มันยากจนถึงยากที่สุด การปฏิบัติที่ผิดไปจากแนวทางเดิม ก็เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งไป แล้วผู้ใดเล่าจะชี้หนทางเสริมต่อนั้นให้แก่เราได้
     
  15. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    ในศรัทธาความเชื่อของผม

    กล่าวคือ มิใช่หลักคำสอนของผู้นี้ไม่ดี มิใช่หลักคำสอนของผู้นั้นไม่ดี แต่อยู่ที่ว่าหลักธรรมคำสอนเหล่านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความดีงามเกื้อกูลซึ่งกันหรือไม่? หรือเป็นหลักธรรมคำสอนที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงเป็นสัจธรรมหรือไม่? พระพุทธเจ้ามิเคยสอนให้เราพูดตำหนิติเตียนหรือปรามาสใครหรือทำลายศรัทธาความเชื่อที่เป็นกุศลของใครก็ตาม ไม่ว่าศรัทธานั้นจะมีในพระพุทธรูป,รูปปั้นสักการะหรือเศษดินหรืออะไรก็ตาม ถ้าศรัทธาความเชื่อนั้นสามารถน้อมนำไปสู่กุศล ซึ่งเป็นพื้นฐานความดีงามแห่งจิต เพื่อน้อมนำสู่การคิดดี ทำดี พูดดี กระทั้งผลสุดท้ายย่อมน้อมนำผู้นั้นไปสู่ความหลุดพ้นแห่งจิตได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้น จงใช้วาจากุศลอบรมสั่งสอนชี้แนะให้พวกเขาเหล่านั้นได้รู้แจ้งในเหตุปัจจัยและผลด้วยสติปัญญาที่พึงมีอยู่ในภาวะจิตขณะนั้นของคุณเอง จิตอกุศลย่อมไม่สามารถชี้แนะสั่งสอนจิตใดๆ ให้พัฒนาเป็นกุศลได้ แต่จงโปรดเลือกใช้จิตกุศลของท่านชี้แนะพวกเขาเหล่านั้นเทอญ เราจะอนุโมทนายิ่ง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  16. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,515
    ค่าพลัง:
    +9,765
    เดิม ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า พบพระพุทธรูป จึงรู้ว่ามีพระพุทธเจ้า
    เรียนรู้ธรรมมากขึ้นพบว่าพระพุทธรูปมาจากดิน อิฐหินปูน ไม้ โลหะที่จิตสังขารปรุงแต่งขึ้นเป็นรูป

    บางช่วงเข้าไปในป่า ไม่มีพระพุทธรูปมีจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมาครั้งใดก็อุ่นใจ

    เมื่อปฏิบัติธรรมเข้าใจแล้ว ไม่มีพระพุทธรูปก็ระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ทันที

    การมีพระพุทธรูปเป็นประโยชน์ในขั้นต้นสำหรับผู้ที่ยังเริ่ม อินทรียไม่แก่กล้า โดยเฉพาะปัญญากำลังยังอ่อน(หมายถึงยังไม่สามารถคิดได้เองต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเป็นวัตถุ)

    ผู้คนมีระดับที่หลากหลาย การเข้าถึงธรรมใช้เวลาใช้เวลาไม่เท่ากัน

    แม้หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นยังเคยหล่อพระพุทธรูปด้วยตนเองเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดกุดเม็กบ้านคำบง
    แต่ท่านทั้งสองก็ไม่เน้น หรือสรรเสริญการสร้างวัตถุใด ๆ
     
  17. kiatp123

    kiatp123 โมฆะแมน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,493
    ค่าพลัง:
    +19,616
    สาธุ สาธุ สาธุ ดีแล้ว ชอบแล้ว
    ผู้มากด้วยอวิชชาเป็นโมฆะบุรุษเช่นข้าพเจ้า
    ได้รู้แล้ว ได้เห็นด้วย
     
  18. yindee1917

    yindee1917 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +211
    พระสุปฏิปันโณองค์หนึ่ง นามว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ท่านสอนว่า "ติดในวัตถุมงคลก็ดีกว่าติดในวัตถุอัปมงคล" โบราณาจารย์ท่านมีปัญญา ท่านฉลาดมาก ท่านสอนให้เรายึดในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ คือ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการสร้างวัตถุมงคล และพระเครื่องขึ้นมา ให้เราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่โดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านให้เราอาราธนาทุกวัน โดยระลึกถึงทุกวันเป็นอนุสสติอยู่ แล้วมีข้อกำกับว่า ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะมีอานุภาพคุ้มครองเราได้ระดับหนึ่ง ที่ไม่เกินกฎของกรรม

    การที่คนเรายึดติดในพระเครื่องวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าไปยึดติดอบายมุข เหล้า ยาเสพติด การพนัน เพราะมันทำให้เราตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

    ดังนั้นการที่คนเรายอมเสียสตางค์ทีละมากๆ หามาก็เพื่อเป็นอนุสสติ เพื่อเป็นการปฏิบัติ เพราะไม่ว่าการเดินทางไปในที่ใดก็ตาม ถ้ามีสิ่งให้ยึดให้เกาะมันจะปลอดภัยมากกว่า คนที่ชื่นชอบพระเครื่องไม่ใช่คนหลงงมงาย เพราะเป็นการเจริญสติ เป็นพื้นฐานให้เข้าถึงพระนิพพานได้

    คนที่มากล่าวหาคนที่เขาชอบบูชาพระว่าโง่งมงาย หรือกล่าวหาว่าทำบุญบูชาพระแล้วไม่ได้อะไร มีแต่จะเสียเวลา เสียทรัพย์ ก็ให้ย้อนถามเขาไปว่า "ณ บัดนี้คุณบรรลุพระอริยะบุคคลแล้วหรือยัง หรือคุณว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ทางสายใด และบารมีของคุณนั้นถึงขั้นไหนแล้ว คุณจะต้องเกิดอีกกี่ชาติถึงจะบรรลุพระนิพพาน" ถ้าเขาตอบคำถามเหล่านี้นี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะอาสวะกิเลสของเขายังไม่หมดสิ้น เขายังไม่หลุดพ้นจากภัยวัฏฏสงสาร กิเลสตัณหายังมากในขันธสันดาน ยังต้องเกิดตายอีก

    การปีนเขาก็ดี การขึ้นบันไดก็ดี ถ้ามีที่ให้ยึดให้เกาะมันก็จะปลอดภัยกว่าคนที่ไม่ยอมยึดไม่ยอมเกาะ จำไว้ว่าเราต้องยึดก่อน เราถึงจะมีสิ่งที่ปล่อยวางได้ ถ้าเราไม่ยึดก่อนจะเอาอะไรมาวาง ทุกคนที่บอกว่าอนัตตาๆ ไม่เอาอะไรๆ นั้น ไม่เอาอะไรแล้ว มันยึดถือตัวไม่เอาอะไรนั้นแหละ ยึดคำว่าอนัตตานั้นแหละ

    จำไว้ว่า ถ้ายังไม่มีอัตตาก็จะหาอนัตตาไม่ได้ มันต้องมีอัตตาขึ้นมาก่อนมันถึงจะวางลงเป็นอนัตตาได้ เหมือนกับที่เราเดินขึ้นบนห้องเรียน เราเดินขึ้นบันได เราเกาะบันไดมาด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาทตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอเราเดินมาถึงหน้าประตู เปิดประตูเข้ามา เราได้แบกราวบันไดเข้ามาหรือไม่ ? เราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น

    เราไม่สามารถปล่อยวางได้ ถ้าไม่มีสิ่งให้ยึดเกาะ มันต้องรู้จักยึดก่อนมันถึงจะรู้จักวาง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับแม่ลูกลงไปงมจับปลา ลูกชายจับได้หัวงูกำไว้แน่นเลย “แม่ๆ ได้ปลาตัวเบ้อเร่อเลย” แม่ คือครูบาอาจารย์เห็นเข้าก็ “เออ...ดีไอ้หนูลูกกำให้แน่นๆ เดี๋ยวมันจะหลุดไป” เพื่อไม่ให้ลูกตกใจ แล้วพอเสร็จแล้วลูกกำแน่นดีแล้ว “ไอ้หนูขึ้นฝั่งไปลูก เสร็จแล้วดึงหางมันออกมาสลัดมันไปไกลๆ เลยลูก” พอลูกเหวี่ยงทิ้งไปเสร็จเรียบร้อยแล้วบอก “นั่นงูพิษนะลูกคราวหน้าอย่าไปจับมัน” ถ้าไม่กำให้แน่นตายไหมตอนนั้น ? ฉกตาย...ไม่เหลือหรอก...ประมาณลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องยึดก่อน

    อนุโมทนา สาธุ
     
  19. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    ยิ่งรู้เยอะ ก็ยิ่งโง่เยอะ
     
  20. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +215
    พระแก้วมรกต ในหลวงยังกราบเลย
    ทำไมละ ???
     

แชร์หน้านี้

Loading...