ศาลสั่งคุก 2 ปี พระเกษม หมิ่นพุทธศาสนา

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย สังขารไม่เที่ยง, 13 มีนาคม 2012.

  1. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เห็นด้วยกับคุณภานุเดชครับ

    ผมลองใช้ญาณตรวจสอบดูแล้วปรากฏว่า

    นักบวชเกษม ก็คือ พระเทวทัต นั่นเองครับ คนเดียวกัน


    พอพ้นนรกขึ้นมาได้ ก็เอาเรื่องเลย เพราะยังละสันดานเดิมไม่ได้นั่นเอง
    ส่วนพวกลูกศิษย์ก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็พวกสาวกของพระเทวทัตสมัยพุทธกาลนั่นแหละ

    ผมเลยมีโอกาสได้ชม(ทางYoutube) จริยาของท่านพระเทวทัตในสมัยพุทธกาล โดยไม่ต้องไปเปิดตำราอ่านให้เสียเวลา

    ใครเป็นสาวกของนักบวชเกษม ก็ช่วยเตือนท่านหน่อย ถ้าก่อนตายท่านละสังโยชน์3 เพื่อปิดอบายภูมิไม่ได้ล่ะก็....ลงยาว
     
  2. savanna2

    savanna2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +65
    มักหลายเด้[/QUOTE]

    สาธู ที่นำบทธรรมหลวงปู่ชามาให้ครับ
     
  3. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    กลับมาดูกำลังใจของพระโสดาบันก่อน อย่าเพิ่งไปดูถึงอรหันต์

    ท่านสุปพุทธกุฏฐิ
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเคยปรารภกันว่า ในสมัยองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เขาฟังเทศน์กันอย่างง่าย ๆ แล้วก็ปฏิบัติกันแบบง่าย ๆ พระพุทธเจ้าเทศน์จบเมื่อไร ก็ปรากฎว่าบางท่านได้เป็นพระอรหันต์บ้าง บางท่านได้เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระสกิทาคามีบ้าง เป็นพระโสดาบันกันบ้าง อย่างนี้รู้สึกว่าง่ายมากเกินไป แต่ว่าในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศน์ เหตุที่เขาจะได้เป็นอริยเจ้าอย่างนั้น เขาตั้งใจยังไง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะทราบได้จากเรื่องนี้

    ความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จไปในภาคพื้นปกติ เวลาที่พระพุทธเจ้าเทศน์น่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หาธรรมาสน์เทศน์นี่ยากเต็มที เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์มักจะเทศน์กลางป่าบ้าง กลางทุ่งนาบ้าง เอาสังฆาฏิปูบ้าง นั่งบนตอไม้บ้าง นาน ๆ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาจึงจะเทศน์ในพระมหาวิหาร ในวันนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงเสด็จประทับอยู่ที่ตอไม้ มีคนทั้งหลายแวดล้อมนั่งฟังกันอยู่เป็นอันมาก

    ขณะที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา เวลานั้นก็ปรากฎว่ามีกระทาชายนายหนึ่ง มีนามว่าสุปพุทธกุฏฐิ คำว่า “สุปพุทธะ” เป็นชื่อ กุฏฐิ นี่เป็นฉายา ที่มีฉายาอย่างนี้เพราะว่าแกเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว ชาวบ้านจึงให้นามว่า สุปพุทธะ แล้วก็ลงท้ายว่า กุฏฐิ ซึ่งแปลเป็นใจควาว่า นายสุปพุทธะผู้เป็นโรคเรื้อน แล้วท่านผู้นี้ก็มีอาชีพเป็นขอทานด้วย

    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่เธอเข้ามาเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับนั่งอยู่บนตอไม้ มีบรรดาประชาชนทั้งหลายแวดล้อมอยู่เป็นส่วนมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังจะแสดงพระสัทธรรมเทศนา ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บังเกิดมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้นั่งลงตั้งใจจะฟังองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์แสดงธรรม แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ควรจะนึกถึงความเป็นจริง เขาทั้งหลายเหล่านั้นทั้งชายและหญิง เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาปกติ มีฐานะดี แต่ทว่าชายผู้เป็นโรคเรื้อนคนนี้เป็นโรคเรื้อนด้วยแล้วก็เป็นขอทาน ไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่งปะปนกับชาวบ้านเพราะเกรงว่าเขาจะรังเกียจ จึงได้นั่งอยู่ท้ายปลายสุดของบรรดาบริษัทที่รับฟังพระธรรมเทศนา นั่งห่าง ๆ เขา

    เวลานั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมกล่าวถึงโทษของการละเมิดศีล 5 กล่าวถึงคุณการปฏิบัติในศีล 5 เป็นต้น โดยองค์สมเด็จพระทศพลเทศน์มีใจความว่า บุคคลที่จะมีความสุขได้ ก็ต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีใจร้าย นั่นก็คือ

    1. ไม่ทำลายชีวิตสัตว์และไม่ทำลายชีวิตคน เพราะสัตว์ก็ดี คนก็ดี ย่อมมีการรักชีวิตรักร่างกายของตน มีสภาวะเสมอกัน เหตุฉะนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงทรงแนะนำให้ทุกคนมีเมตตาความรักซึ่งกันและกัน มีกรุณาความสงสารซึ่งกันและกัน ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน

    และประการที่ 2 ไม่ยื้อแย่งทรัพย์ของบุคคลอื่นมาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรม

    และก็ประการที่ 3 ไม่ยื้อแย่งคนรักของบุคคลอื่นมาครอบครอง โดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต

    ประการที่ 4 องค์สมเด็จพระโลกนาถตรัสว่า ควรจะพูดแต่ความจริง เพราะคนทุกคนรักความจริง

    ประการที่ 5 สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสว่า ไม่ควรดื่มสุราและเมรัย เพราะเป็นฐานะที่ตั้งแห่งความประมาท

    แล้วองค์สมเด็จพระโลกนาถก็ทรงกล่าวแสดงถึงโทษของการละเมิดศีล 5 ว่า บุคคลใดทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประทุษร้างร่างกายเขา ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นสัตว์นรก แล้วก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาภายหลังก็มาเป็นคน กรรมที่เป็นอกุศลให้ผลยังไม่ถึงที่สุด ก็ตามมาให้ผลในสมัยที่เป็นมนุษย์ นั่นก็คือมีร่างกายมีการป่วยไข้ไม่สบายบ้าง มีร่างกายทุพลภาพบ้าง มีชีวิตสั้นพลันตายบ้าง เป็นต้น

    หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงตรัสโทษของอทินนาทานว่า คนที่ทำอทินนาทาน คนประเภทนี้เกิดมาเป็นคนก็จะพบกับการถูกล้างผลาญทรัพย์สมบัติ คือไฟไหม้ทรัพย์สมบัติบ้าง น้ำท่วมบ้าง ลมพัดให้สมบัติสลายตัวบ้าง ถูกโจรลักบ้าง

    โทษของกาเมสุมิจฉาจาร ก็เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีชีวิตไม่เป็นสุข คือคนในครอบครัวหรือในบังคับบัญชาว่ายากสอนยาก เป็นการขื่นขมระทมใจ
    โทษมุสาวาท เป็นปัจจัยให้ไม่มีใครเชื่อฟัง ถึงแม้จะพูดวาจาจริง
    ข้อที่ 5 องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว คือผ่านนรก เปรต อสุรกาย มาแล้วอย่างนี้ องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า โทษการดื่มสุราและเมรัย จะต้องกลายเป็นคนเป็นโรคเส้นประสาทบ้าง เป็นคนบ้าบ้าง

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวถึงโทษการละเมิดศีล 5 คือปัญจเวร แล้วต่อไปสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็กล่าวถึง คุณการปฏิบัติในศีล 5 ประการครบถ้วนว่า

    ศีลข้อที่ 1 คนรักษาได้ด้วยเมตตา ถ้าเกิดมาภายหลังจะมีโรคภัยไข้เจ็บเล็กน้อย มีชีวิตมีอายุขัย ร่างกายสะสวยงดงาม ร่างกายดีเป็นปกติ

    ศีลข้อที่ 2 ถ้ารักษาได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่จะไม่สลายตัว เพราะไฟไหม้ 1 น้ำท่วม 1 ลมพัด 1 โจรผู้ร้ายไม่รบกวน 1

    ศีลข้อที่ 3 พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ถ้าทรงไว้ได้ คนใต้บังคับบัญชาจะว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาท

    ศีลข้อที่ 4 องค์สมเด็จพระโลกนาถกล่าวว่า สัจวาจาที่กล่าวไว้ในชาติก่อน ๆ นั้นไซร้ จะเป็นปัจจัยให้เกิดมาในชาติหลัง มีวาจาเป็นที่รักของบุคคลผู้รับฟัง

    ศีลข้อที่ 5 องค์สมเด็จพระศาสดากล่าวว่า ถ้ารักษาได้ เกิดมาภายหลังจะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีปัญญาดี

    เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็ลงท้ายศีลว่า สีเลน สุคติง ยันติ บุคคลใดมีศีลบริสุทธิ์ เกิดในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีความสุข มีสวรรค์เป็นที่ไป

    ข้อที่ 2 องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า สีเลน โภคสัมปทา บุคคลใดปฏิบัติในศีลได้นี้ ในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า มีทรัพย์สมบูรณ์แบบ คือการจับจ่ายใช้สอยทรัพย์จะมีตามปกติ ทรัพย์ไม่สิ้นเปลือง จะมีความสุขเพราะการปกครองทรัพย์ ตายไปเป็นเทวดาก็มีทิพยสมบัติ มาเป็นคนก็จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เพราะความดีในข้อนี้
    ข้อสุดท้ายองค์สมเด็จพระชินสีห์กล่วว่า สีเลน นิพพุติง ยันติ บุคคลใดมีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ จะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสจบ ก็ปรากฎว่าบุคคลผู้รับฟังได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามีบ้าง อนาคามีบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง สำหรับท่านที่เป็นอรหันต์ก็ขออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาทันที แต่ทว่า สุปพุทธะ ผู้เป็นโรคเรื้อนและเป็นยาจกคนนี้ ปรากฎว่าเธอได้เป็นพระโสดาบัน มีความปลื้มใจเป็นอันมาก

    เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสจบคนทั้งหลายก็พากันลาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เสด็จกลับพระวิหาร สำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐิ ซึ่งเป็นพระโสดาบัน ก็กลับกระท่อมของตน ในตอนกลางคืนได้มาปรารภพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลว่า

    “โอหนอ พระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไพเราะอย่างยิ่ง ทำให้ท่านบรรดาพุทธบริษัทชายหญิงเข้าถึงความเป็นคนดี แต่ว่าพระธรรมเทศนาที่เราฟังแล้วนี้จับใจมาก เป็นจิตใจให้คิดเห็นว่า ชีวิตของบุคคลเราเกิดมามันต้องตาย เมื่อตายแล้ว ความตายไม่ได้ทำให้จิตใจสลายไปด้วย ช่วยให้คนมีความสุข อาศัยตัวเราที่เป็นโรคเรื้อนและเป็นขอทานในชาตินี้ เห็นจะเป็นเพราะที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า เคยทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำร้ายร่างกายเขา ร่างกายเราจึงไม่เป็นปกติ มีเชื้อโรคเรื้อนประจำกาย ที่มีทรัพย์สินไม่พอกินไม่พอใช้ต้องขอทานเขากิน เห็นจะเป็นโทษอทินนาทาน แต่ทว่าเวลานี้ สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสอนเราให้เข้าใจถึงความเป็นจริง ฉะนั้น พระพุทธศาสนา มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ เป็นที่เคารพสักการะของจิตใจของเราเป็นอย่างยิ่ง”

    เป็นอันว่าสุปพุทธกุฏฐิฟังเทศน์แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าด้วย เลื่อมใสในพระธรรมด้วย เลื่อมใสในบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายด้วย และจิตใจของเธอคิดไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะตาย จะมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นก็ตามที เรานี้จะไม่ยอมละเมิดศีล 5 เป็นอันขาด องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถกล่าวในข้อท้ายว่า สีเลน นิพพุติง ยันติ คือกล่าวว่า การทรงศีลบริสุทธิ์เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย ฉะนั้น ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสแล้ว เราจะรักษาด้วยดี เราต้องการพระนิพพาน

    รวมความว่า ท่านมีความรู้ตัวว่าท่านนี้ต้องการพระนิพพาน ท่านเองท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ทราบ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จงจำให้ดีว่า การฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระชินสีห์นั้น เขาก็คิดไปด้วย หาเหตุหาผล เมื่อได้เหตุได้ผลก็ตั้งใจของตนให้ตรงตามความเป็นจริง ตามธรรม ปฏิบัติตามนั้น ทรงอารมณ์ตามนั้น

    สำหรับท่านสุปพุทธกุฏฐินี่ท่านเป็นขอทาน ก็คิดว่าเป็นคนที่ชาวบ้านเขาเหยียดหยามว่าเป็นคนชั้นต่ำ เป็นคนมีทรัพย์สินน้อย แล้วประการที่สอง ท่านเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคที่น่ารังเกียจ แต่ทว่าความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เลือกบุคคล ไม่ใช่ว่าต้องเป็นบุคคลที่มีฐานะดี มีร่างกายดี มีความรู้ดี มีความสามารถดีเป็นพิเศษ มีศักดิ์ศรีดี จึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้เลือกบุคคล เลือกใจคน

    รวมความว่า ท่านสุปพุทธกุฏฐิท่านถึงความเป็นคนทรงคุณธรรม 3 ประการได้ครบถ้วน ก็คือ

    ในข้อแรก มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ นี่เป็นปัจจัยตัวที่หนึ่งให้เป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี
    จำไว้ให้ดีนะว่า คนที่จะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีน่ะ เขาทรงคุณธรรมตามนี้ ที่เรียกกันว่าองค์ของพระโสดาบัน ท่านที่เป็นพระโสดาบันนั้น มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจริงใจ
    ประการที่สอง ทรงศีล 5 บริสุทธิ์

    แล้วก็ประการที่สาม จิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ นึกอย่างเดียวว่า เราตายชาตินี้ขอไปนิพพาน การทำความดีทุกอย่างเราทำเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี
    ถ้าใครทำใจได้อย่างนี้ ปฏิบัติได้ตามนี้ละก็ ทุกคนเป็นพระโสดาบันก็ได้ เป็นพระสกิทาคามีก็ได้ ใจความสำคัญในตอนนี้มีเท่านี้

    ต่อไปตอนกลางคืน ท่านสุปพุทธะได้มาพิจารณาความดีที่ท่านได้ในคราวนี้ว่า ท่านเป็นพระโสดาบันเพราะพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมา-สัมพุทธเจ้าแท้ ๆ ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้า ทรงมีคุณแก่ท่านอย่างยิ่ง แต่ก็คิดในใจว่า เวลานี้ สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบหรือเปล่าว่าท่านเป็นพระโสดาบัน
    แต่ความจริงใครจะเป็นอะไร พระพุทธเจ้าทรงทราบเสมอ ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ แต่ทว่า ท่านสุปพุทธกุฏฐิ ท่านเพิ่งจะเป็นพระโสดาบัน ท่านเพิ่งจะพบพระพุทธเจ้าใหม่ ๆ จึงไม่มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า พระพุทธเจ้าจะทราบหรือไม่ทราบ จึงได้นอนคำนึง คืนนั้นทั้งคืนท่านนอนไม่หลับ เพราะความปลื้มใจ มีความอิ่มใจในความเป็นพระโสดาบัน ท่านจึงได้คิดในใจว่า 1. เราเป็นขอทานด้วย แล้วก็ประการที่ 2. เราก็เป็นคนเป็นโรคเรื้อน ถ้าสมเด็จพระมหามุนีทรงทราบว่าเราเป็นพระโสดาบันจะทรงดีพระทัยมาก จึงอยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จะทูลให้ทรงทราบว่า ท่านเองได้เป็นพระโสดาบัน คืนนั้นจึงนอนไม่หลับ

    ตอนเช้ารีบกินข้าวแต่เช้า หุงข้าวกิน กับข้าวก็ไม่มีอะไรมาก จัดแจงแต่งกายอย่างดีที่สุดของขอทาน ออกจากบ้านตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จะกราบทูลให้ทรงทราบว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน ทั้งนี้เพราะอาศัยธรรมปีติล้นกำลังใจ

    เวลานั้น ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือพระอินทร์อยู่บนวิมาน นั่งอยู่ที่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงทราบว่า เวลานี้สุปพุทธกุฏฐิจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ตั้งใจจะกราบทูลให้ทรงทราบว่าเป็นพระโสดาบัน ถ้ากระไรก็ดี วันนี้เราจะลองใจสุปพุทธกุฏฐิดู ว่ามีความเคารพในองค์พระบรมครู จะเป็นพระโสดาบันจริงหรือเปล่า คิดแล้วท่านจึงได้เหาะมาลอยอยู่ในอากาศ ใกล้ข้างหน้า คือไม่สูงกว่าศรีษะของสุปพุทธกุฏฐิเท่าไร จึงได้ตรัสถามว่า “สุปพุทธกุฏฐิ เธอจะไปไหน”
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิ เห็นท้าวโกสีย์สักกเทวราชลอยอยู่ใกล้ ๆ จึงได้กล่าวว่า “ท้าวโกสีย์ เวลานี้เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า”
    พระอินทร์ท่านจึงได้ถามว่า “ไปเฝ้าทำไม”
    ท่านสุปพุทธะก็ตอบว่า “ฉันจะไปกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า เวลานี้ ฉันเป็นพระโสดาบันแล้ว”
    พระอินทร์ก็เลยแกล้งพูดว่า “เธอน่ะรึ คนอย่างเธอเป็นโรคเรื้อนอย่างนี้ เป็นขอทานอย่างนี้น่ะรึ จะเป็นพระโสดาบัน ฉันไม่เชื่อ” และพระอินทร์ก็กล่าวต่อไปว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มาพิสูจน์กัน ไม่ใช่ว่าพิสูจน์ผิดพิสูจน์ถูก เธอทราบไหมว่า เวลานี้เธอเป็นขอทาน”
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า “ฉันเป็นขอทานอาชีพจ้ะ ทำไมฉันจะไม่รู้ ตั้งแต่ออกจากท้องพ่อท้องแม่ฉันก็ขอทานตลอดมา”
    พระอินทร์ก็ถามต่อไปว่า “ท่านทราบหรือเปล่าว่า ตัวเองเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคที่ชาวบ้านเขารังเกียจ”
    สุปพุทธะก็บอกว่า “ไม่น่าจะถาม ไม่น่าจะโง่ ฉันรู้”
    แล้วพระอินทร์ก็เลยบอกว่า “สุปพุทธะ ความเป็นคนจนเป็นของไม่ดี ไม่มีความสุขในชีวิต และร่างกายที่ประกอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้ ก็จะมีความทุกข์หนัก เอาอย่างนี้นะ ถ้าหากว่าท่านพูดตามคำเราพูด 3 คำ จะตั้งใจพูดหรือว่าสักแต่ว่าพูดก็ได้ พูดเฉย ๆ เล่น ๆ ก็ได้ ถ้าหากท่านพูดตามคำเราแนะ 3 คำ ละก็ ประการที่ 1 เราจะบันดาลทรัพย์ให้มากมายให้กลายเป็นมหาเศรษฐี ประการที่ 2 โรคเรื้อนนี้ในร่างกายของท่านจะหมดไป จะกลายเป็นคนมีร่างกายสมบูรณ์ และจะมีความสวยสดงดงามมาก”
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็ดีใจ ถามว่า “จะให้ว่ายังไงล่ะ พระอินทร์ ว่ามาเถอะ ถ้าไม่เกินวิสัยที่ฉันจะพูดได้ ฉันจะพูด”
    พระอินทร์ก็บอกว่า “เธอพูดเล่น ๆ ก็ได้นะ ไม่ต้องตั้งใจว่าหรอก ไม่ต้องตั้งใจเอาจริงเอาจัง แค่ว่าตามเรา พูดเล่น ๆ ก็พอ”
    ท่านสุปพุทธะก็พร้อมรับ ท่านจึงกล่าวว่า “เธอจงพูดอย่างนี้นะ ว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ เอาแค่นี้ก็แล้วกัน พูดเล่น ๆ ก็ได้ไม่ต้องตั้งใจ”
    สุปพุทธะพอฟังเท่านั้นเกิดความไม่พอใจ ชี้หน้าด่าพระอินทร์ทันทีว่า “พระอินทร์ถ่อยจงถอยไป เจ้ามาพูดอะไรตามนั้น สำหรับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นจิตใจที่เราเคารพอย่างยิ่ง เวลานี้กล่าวว่าเราเป็นคนจนนั่นเราจนจริงสำหรับโลกียทรัพย์ แต่อริยทรัพย์ของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ เราเป็นพระโสดาบัน ท่านจงถอยไป ไอ้โรคเรื้อนจังไรอย่างนี้ไซร้ มันเป็นกับเรามาตลอดกาลตลอดสมัย เราไม่มีทุกข์ใจ เจ้าสรรหาอะไรมาพูดตามถ้อยคำเลว ๆ ของท่าน จงหลีกไปเดี๋ยวนี้”
    รวมความว่า ท่านสุปพุทธะจึงได้ไล่พระอินทร์ไป แต่พระอินทร์ท่านหลีกไปแล้วท่านก็ไม่ไปไหน ท่านย่องไปบ้านสุปพุทธกุฏฐิ
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็หลีกจากพระอินทร์ไป แล้วก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ตอนนี้ตามพระบาลีท่านไม่ได้บอก เข้าใจว่าจะไปพบพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วกราบทูลจริง ๆ

    สำหรับพระอินทร์ ท่านก็ย้อนหลังมาที่บ้านของสุปพุทธกุฏฐิ มาถึงก็บันดาลแก้วเจ็ดประการให้ตกจากอากาศเต็มบริเวณบ้านสุปพุทธกุฏฐิ เต็มเลยหลังคากระท่อมไป แล้วบันดาลให้ร่างกายของสุปพุทธกุฏฐิหมดจากความเป็นโรคเรื้อน เป็นคนที่มีความสวยสดงดงามตามที่ท่านให้สัญญา แต่ความจริงไม่พูดท่านก็ไม่ว่า ท่านทราบว่าสุปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบันจริง ที่ท่านสอบอย่างนี้เพราะว่าพระอินทร์ท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านรู้กำลังใจของสุปพุทธกุฏฐิและรู้กำลังใจของบุคคลผู้เป็นพระโสดาบัน

    เมื่อท่านสุปพุทธกุฏฐิกลับมาบ้าน เห็นบ้านหาย บริเวณลานบ้านทั้งหมดสูงกว่าหลังคาเป็นไหน ๆ เต็มไปด้วยแก้วเจ็ดประการ ร่างกายของตนนั้นก็กลายเป็นร่างกายของบุคคลที่มีความสวยสดงดงามอย่างยิ่ง และโรคเรื้อนก็หายไป จึงตกใจคิดว่าไอ้ทรัพย์นี่มันมาจากไหน จึงเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอเป็นพระราชาเวลานั้น กราบทูลว่า “เวลานี้ทรัพย์ของพระองค์ ทรัพย์ของแผ่นดินเกิดขึ้นในบ้านของข้าพระพุทธเจ้า พระเจ้าข้า”
    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่า “มีอะไรบ้าง”
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า “มีแก้วเจ็ดประการ มันเต็มไปหมดเต็มบริเวณพื้นที่บ้านทั้งหมด สูงเกือบจะเท่ายอดตาล”
    พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ถามว่า “ต้องการภาชนะเท่าไรจึงจะขนพอ”
    ท่านสุปพุทธกุฏฐิก็บอกว่า “ประมาณ 500 เล่มเกวียน จึงจะขนพอพระเจ้าข้า”
    พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้ให้คนนำเกวียนประมาณ 500 เล่มเกวียนเศษ ขนแก้วเจ็ดประการมากองที่พระลานหลวง แล้วประกาศให้คนมาดูกัน ถามว่า “เวลานี้ทรัพย์ใหญ่เกิดขึ้นแล้วแก่หลวง ใครมีสมบัติเท่านี้บ้าง”
    เศรษฐีทั้งหลายก็บอกว่า “แก้วเจ็ดประการ อย่าว่าแต่มีเท่านี้เลย 1 ทะนานมันยังหาได้ยาก”

    ฉะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงแต่งตั้งให้สุปพุทธเป็นมหาเศรษฐี ให้เศวตฉัตร 3 ชั้น ให้ข้าทาสหญิงชาย 100 ให้ช้าง 100 ม้า 100 โค 100 กระบือ 100 ข้าทาสหญิง 100 ชาย 100 มีบ้านส่วยสำหรับเก็บภาษี 100 หลัง
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่เล่ามานี้ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า การฟังเทศน์นะอย่าฟังกันเฉย ๆ ในสมัยโบราณน่ะท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ ท่านฟังแล้วต้องคิด ต้องตั้งใจปฏิบัติตามไปด้วย จึงช่วยให้คนเป็นพระอริยเจ้ากันง่าย ๆ

    สำหรับการเป็นพระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี ทั้งสองประการนี้ไม่ใช่ของสูงของเลิศประเสริฐ คิดว่าเราจะทำไม่ได้ ถ้าจะเรียกกันไป พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีก็เป็นเรื่องของชาวบ้านชั้นดีนั่นเอง ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกพระแล้วนะ ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตามที่ไม่ได้บวชพระ ไม่ได้บวชเณร ถ้าเป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่าพระ เพราะว่าเป็นพระแท้

    สำหรับคนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ท่านเรียกว่าสมมุติสงฆ์ เพราะว่าเป็นสงฆ์สมมุติ ไม่ใช่สงฆ์แท้ ความเป็นพระแท้ของความเป็นพระ ก็เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบัน อย่างที่ท่านเรียกนางวิสาขา หรืออนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเรียกนางวิสาขาว่าพระโสดาบัน เรียกอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าพระโสดาบัน อันนี้เป็นพระแท้ ๆ

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท จงจำไว้ว่า ความเป็นพระโสดาบันเขาเรียกว่า องค์ของพระโสดาบัน เราไม่ต้องพูดถึงสังโยชน์ สังโยชน์ฟังกันแล้วลำบากใจ จำไว้แต่เพียงว่า ความเป็นพระโสดาบันมีทรงคุณธรรม 3 ประการ จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ

    1. มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระสงฆ์นี่เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นักหรอก ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี
    2. งดการละเมิดศีล 5 โดยเด็ดขาด เรียกว่า รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล 5 ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด
    3. จิตใจของพระโสดาบันมุ่งอย่างเดียวคือนิพพาน ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฎิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย ความดีนี่ไม่ต้องการตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน เพียงเท่านี้เขาเรียกกันว่า พระโสดาบัน
    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่เล่ามาในเรื่องสุปพุทธกุฏฐิ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

    **************

    นี่เอาแค่พูดเล่นๆ พระโสดาบันท่านยังไม่พูดเลย ยังด่าพระอินทร์ซะขนาดนั้น

    แล้วมาดูนักบวชเกษม
    1.เหยียบฐานพระพุทธรูป
    2.ตบหน้าพระพุทธรูป
    3.เผา ทุบทำลาย พระพุทธรูป และ พระเครื่อง
    4.ทุบทำลายศาลเจ้าที่ ศาลพระภูมิ

    ลองเปรียบเทียบกับท่านสุปพุทธกุฏฐิ ดูสิ
    ความหมายของคำว่า เคารพพระรัตนตรัยยิ่งกว่าชีวิต แปลว่าอะไร ลองใช้ปัญญาพิจารณาดูเถิด


    ที่มา ท่านสุปพุทธกุฏฐิ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  4. Sikkha

    Sikkha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +421
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/WPFv0dhkkCE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ยอดเยี่ยมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  5. รัศมีสีทอง

    รัศมีสีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +391
    ถ้าคุณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยานจริงคุณจะไม่พูดแบบนี้ ที่คุณพูดแบบนี้อย่ามากล่าวอ้างเลยครับ อย่าเอาครูบาอาจารย์มาหากิน ตั้งแต่อดีตมา ถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคตไม่มีพระอริยเจ้าองค์ใดทำแบบนี้นี้กับพระพุทธรูปหรอก ถ้ามีคนทำแบบนี้แล้วเป็นพระอรหันต์ผมยอมตกนรกเอง จะไม่มาผุดมาเกิดเป็นผู้เป็นคนอีกจะขออยู่ในนรกตลอดไปตราบชั่วนิจนิรันดร์ ไม่ต้องคนมีการศึกษามาดูพฤติกรรมหรอก เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าอันไหนเหมาะไม่เหมาะ จิตมันหยาบจะเป็นจิตพระอรหันต์ไปได้อย่างไร ที่คุณอ้างหลวงพ่อฤาษีคุณกำลังปรามาสองค์หลวงพ่ออยู่นะ คุณบอกว่าพระเกษมเป็นพระอรหันต์พระเกษมทำลายพระพุทธรูป แต่หลวงพ่อฤาษีไม่ทำแบบนั้น คุณเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อประสาอะไร ลูกศิษย์โมเมน่ะไม่ว่า หลวงพ่อฤาษีกราบพระพุทธรูปนะ คุณเป็นลูกศิษย์ยังสนับสนุนพระเกษมที่เอาเท้าเหยียบพระอีก อันนี้เขาเรียกว่าลูกศิษย์ชั่ว ลูกศิษย์ที่ชั่วจะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อได้อย่างไร ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายท่านอย่างน้อยได้อริยมรรค อริยผลหลายท่านอยู่นะ ทุกท่านรู้ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรถูกอะไรผิด ถ้าให้เอาเท้าเหยียบองค์พระ กับการตัดคอแลกกัน ผมยอมโดนตัดคอครับ ดีกว่าอยู่แบบคนไม่มีคุณค่าใดๆเลย เขาเรียกว่าตาลยอดด้วน เกิดมาเสียชาติเกิด ไม่รู้สำนึกบุญคุณ คุณไม่น่าจะอยู่บนโลกใบนี้เลยนะ อยู่ไปก็เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ ขายขี้หน้าลูกศิษย์หลวงพ่อท่าน ผมมั่นใจว่าลูกศิษย์หลวงพ่อ(ที่แท้) ยอมตายดีกว่ายอมเอาเท้าเหยียบองค์พระนะ
     
  6. Sikkha

    Sikkha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +421
    ผมไม่ใช่พระอรหันต์ 1000 000 %ครับไม่มีความสามารถจะรู้องค์ไหนเป็นพระอรหันต์องค์ไหนไม่เป็นพระอรหันต์เพราะผมไม่มีความสามารถทดสอบจิตพระองค์นี้องค์นั้นมีกิเลสหรือเปล่า
    [​IMG]
    แต่ผมเชื่อว่าองค์นี้ต้องเป็นพระอรหันต์ 1000 000 %

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ของดีของดังของหลวงปู่
    แม้ว่าไม่มีอยู่ในตำราคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่พระมีหน้าที่สงเคราะห์พุทธบริษัทให้อยู่เย็นเป็นสุขดังนั้นของขลังก็เป็นเหมือนคำสอนของพระพุทธองค์ที่ให้คนยึดมั่นการทำความดี
    หลวงปู่สุภา กันตสีโล วัดสีลสุภาราม
    พระอริยะสงฆ์ 5 แผ่นดิน
     
  7. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +10,787
    ....................สาธุ สาธุ สาธุ ...................
     
  8. Sikkha

    Sikkha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +421
  9. รัศมีสีทอง

    รัศมีสีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +391
    ผมคนหนึ่งล่ะที่จะถวายชีวิตทั้งหมดเป็นพุทธบูชา จะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นพระรัตนตรัยอย่างเด็ดขาดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอเอาหัวเป็นประกันเทอดทูนบูชาพระรัตนตรัย จะทำทุกอย่างปกป้องพระรัตนตรัยจนสุดความสามารถจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ตายไปแล้วก็ขอปกป้องพระรัตนตรัยจนกว่าจะเข้าสู่นิพพาน จะไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาดูหมิ่นพระรัตนตรัยอย่างเด็ดขาดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอเทพเจ้าทั้งหลายและสาธุชนทั้งหลายจงเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย
     
  10. Sikkha

    Sikkha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +421
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541
    อืม ผมชอบมากเลยนะครับใช้ญาณตรวจ แต่เดี๋ยวนะครับ เอ๋....
    ในพระไตรปิฏกได้บอกไว้ว่า พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ตกสู่อเวจีมหานรก แล้วถ้าพ้นจากอเวจีแล้ว พระเทวทัตก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า...(จำไม่ได้อะครับ)

    แล้วอีกอย่าง เวลาของอเวจีมหานรกนี่

    อเวจีมหานรก ("นรกอันมิขาดสาย") : มีลักษณะเพิ่มเติมจากนรกขุมที่แล้วคือ นรกขุมนี้มีกำแพงหกด้านอยู่ขุมเดียว โดยสัตว์นรกจะเคลื่อนไหวร่างกายมิได้เลยเพราะถูกอาวุธร้อนตรึงไว้กับพื้นหมดในท่ายืนกางแขนและขา โดยมีไฟลุกท่วมย่างสัตว์นั้น นอกจากนี่ยังมีเตาเผาใหญ่ นายนิรยบาลจะจับสัตว์โยนลงไปย่างในเตานั้นด้วย สัตว์นรกนี้ต้องรับโทษเป็นเวลาหนึ่งกัลป์หรือคือเวลาอันประมาณมิได้ ................แล้วนี่แค่ 2500 กว่าปีเอง เวลา 1 กัป นี่ น้อยแค่ 2500 ปีมนุษย์เองหรอครับ แล้วอีกอย่าง ถ้าพระเทวทัต จะหนีออกจากอเวจีมหานรกได้นี่ ไม่มีทางเลยนะครับ คุณใช้ญาณคุณตรวจดูอีกทีซิครับ ว่ามีโอกาสไหม

    แล้วอีกอย่าง ท่านอาจจะสำเร็จทิพจักขุญาณหรือมโนมยิทธิ
    แต่เอ๋...ท่านเล่นเกม Diablo ซะด้วย ท่านละจากเกม มาปฏิบัติได้จนสำเร็จได้นี่สุดยอดเกินคนเลยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  12. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541

    เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับท่านนี้

    งั้นพระเกษมลอง ไปที่ อุเทนถวาย หรือ ปทุมวันซิครับ ขณะที่ พวกเขากำลังสักการะองค์พระวิศณุกันอยู่

    แล้วพระเกษมก็บอกว่า ทองหล่อนี้ หรือปูนปั้นนี้ ไม่ใช่พระวิษณุ..ไม่ต้องไปกราบไหว้มัน ไม่ต้องสวดมนต์บูชามัน

    แล้วก็จะมี พระเครื่องพระวิษณุอยู่ ถ้าพระเกษมหยิบมา แล้วเอามาเหยียบ

    .................เท่านั้นแหละ บรรดาศัตราวุธต่าง ปืน มือ ระเบิด ไหม้ พายุมือ พายุเท้า ระดม ลงที่ พระเกษมอย่างเดียว........

    พวกท่านจะว่าอย่างไรครับ

    คนเขาศรัทธาในพระพุทธรูปหรือรูปปั้นมาก

    กราบขอขมาองค์พ่อพระวิษณุกรรมด้วยครับ
     
  13. นฤมิต๑

    นฤมิต๑ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +40
    เราพิจารณาดังนี้
    พระพุทธองค์ ทรงสอนไว้ในธรรมะ ยังมีธรรมที่ละเอียดกว่า เมื่อพิจารณาธรรมนั้นแล้ว ความเข้าใจในธรรมนั้นจะกระจ่าง
    ...พระพุทธองค์ ทรงให้เอาหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ธรรมใดที่พิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ ก็ควรนำเอาธรรมนั้นมาปฏิบัติ
    ...สังเวชนีย์ใด ที่เป็นจารีตอันดีงามแล้ว ปฏิบัติมาดีแล้ว มีประโยชน์แล้ว ย่อมไม่ควรแก่การทำลาย หรือ เหียดหยามดูหมิ่น ให้ผู้ที่สักการะได้แสดงความอันน่ารังแกียจต่อเรา
    ....การกระทำใด อันเป็นสิ่งน่าติเตียน ภิกษุทั้งหลาย ไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้
    หลักที่พิจารณาได้อีก
    ....ผู้รู้ทั้งหลายกว่าว่าพระนิพพาน เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่
    ....ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าบรรพชิตเลย
    ....ผู้ทำให้สัตว์อิ่นลำบากอยู่ ไม่ชื่อว่าสมณะเลย
    ....การไม่พูดร้าย ...การไม่ทำร้าย
    ....การนั่ง การนอน ในที่อันสงัด
    ....การสำรวมในปฏิโมกข์
    ....ความเป็นผู้รู้ในการประมาณการบริโภค
    ....การมั่นประกอบทำจิตให้ยิ่ง
    เหล่านี้ คือ ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อดูแล้ว พิจารณาแล้ว ก็เข้าใจได้ว่าผู้ใดมีธรรมโดยแท้ หรือมีธรรมเพียงแค่ได้ชื่อว่าผู้หลงผิด
     
  14. นฤมิต๑

    นฤมิต๑ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +40
    เราพิจารณาดังนี้
    พระพุทธองค์ ทรงสอนไว้ในธรรมะ ยังมีธรรมที่ละเอียดกว่า เมื่อพิจารณาธรรมนั้นแล้ว ความเข้าใจในธรรมนั้นจะกระจ่าง
    ...พระพุทธองค์ ทรงให้เอาหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ธรรมใดที่พิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ ก็ควรนำเอาธรรมนั้นมาปฏิบัติ
    ...สังเวชนีย์ใด ที่เป็นจารีตอันดีงามแล้ว ปฏิบัติมาดีแล้ว มีประโยชน์แล้ว ย่อมไม่ควรแก่การทำลาย หรือ เหียดหยามดูหมิ่น ให้ผู้ที่สักการะได้แสดงความอันน่ารังแกียจต่อเรา
    ....การกระทำใด อันเป็นสิ่งน่าติเตียน ภิกษุทั้งหลาย ไม่ควรปฏิบัติเช่นนี้
    หลักที่พิจารณาได้อีก
    ....ผู้รู้ทั้งหลายกว่าว่าพระนิพพาน เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่
    ....ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าบรรพชิตเลย
    ....ผู้ทำให้สัตว์อิ่นลำบากอยู่ ไม่ชื่อว่าสมณะเลย
    ....การไม่พูดร้าย ...การไม่ทำร้าย
    ....การนั่ง การนอน ในที่อันสงัด
    ....การสำรวมในปฏิโมกข์
    ....ความเป็นผู้รู้ในการประมาณการบริโภค
    ....การมั่นประกอบทำจิตให้ยิ่ง
    เหล่านี้ คือ ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อดูแล้ว พิจารณาแล้ว ก็เข้าใจได้ว่าผู้ใดมีธรรมโดยแท้ หรือมีธรรมเพียงแค่ได้ชื่อว่าผู้หลงผิด
     
  15. Sikkha

    Sikkha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +421
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/I9wJZZbvn9Q" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    พระสอนให้โง่ไม่ได้สอนให้ฉลาดก็เพราะคุณโง่อยู่แล้วถ้าฉลาดจริงต้องรู้จักเลือกเอาเองพระที่น่าศรัทธาซึ่งมีเยอะในเมืองไทย

    จนกระทั่งถึงวันนี้ผมยังไม่เชื่อว่ามีคนไปหลงฅามพระแบบพระเกษมไม่เห็นมีคุณธรรมอะไรเก่งแค่อ้างพระไตรปิฎกยกเท้ายกมือสอนลูกศิษย์เผาพระพุทธรูปเผาแล้วได้บุญไม่ฉลาดขึ้นไม่

    ผมไม่สงสารพระเกษมและศิษย์ของเขาต้องตกนรกแต่สงสารชาวบ้านบางโง่ๆ เบลอๆ ไปหลงฅามพระเกษมตกนรกด้วยกัน

    พระเก่งอ้างพระไตรปิฎกมีแค่พระเกษมหรือพระที่สอนธรรมะได้มีแค่พระเกษมหรือ

    พระดีมีเยอะทำไมไม่ไปหาเองทำไมไม่เปรียบเทียบการสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายหรือไปถามครูบาอาจารย์ทั้งหลายทำอย่างนี้ถูกต้องไม่ควรทำไม่

    ครูบาอาจารย์ที่สอนผมฉลาดมีเยอะเป็นผมเองลวงวัตถุมงคลและครูบาอาจารย์


    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/TuFRc0YnZF4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ถ้าไป จ. เพชรบูรณ์ขอแนะนำ พระอริยสงฆ์หลวงปู่อ่ำ ธมฺมกาโม วัดสันติวรญาณ ไปถามท่านเผาพระพุทธรูปถูกต้องไม่ถ้าท่านบอกว่าถูกต้องเป็นอานิสงส์ผมจะลงมาวัดป่าสามแยกช่วยเผาด้วยกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  16. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    839
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ผมนับถือท่านที่เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามหรือเห็นด้วยท่านทุกเรื่อง ผมจะไปทำลายทำไม อยู่เฉยๆสบายกว่าเยอะ จริงๆผมยังชอบสร้างด้วยซ้ำไป เราต้องพิจารณาด้วยตัวเอง พระอรหันต์เหมือนกันแต่สอนคนละอย่างก็มี พระอรหันต์มีเยอะแยะเมืองไทย เพียงแต่จะมีใครรู้เท่านั้น แต่อย่าคิดว่า กริยาสำรวมแล้วจะเป็นอรหันต์ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  17. ...คนสู้กรรม...

    ...คนสู้กรรม... เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +967
    เผาพระพุทธรูป เป็นอานิสงส์ อย่างนั้นก็คงคิดเหมือนกับพวกยุโรปสมัยก่อน ที่จับผู้หญิงมาเผาทั้งเป็น ข้อหาเป็นแม่มดเลยเนาะ เพราะเขาบอกว่าทำแบบนั้น จะสามารถหยุดยั้งวันสิ้นโลกได้ ก็เลยเผาไปไม่รู้กี่หมื่นคนแล้ว จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ที่รู้ๆคือตายฟรีไปเยอะ อืม... นะ

    ...แต่ถ้าลองพิจารณากันแล้ว เผาคน = ฆ่าสัตว์ = ปาณาฯ เต็มๆ........... , เผาพระพุทธรูป = ทำลายวัตถุ = ไม่มีในข้อห้าม.............. เอาแล้วไง??? งงสิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  18. 479

    479 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2012
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +138
    พระพิมลธรรมและครูบาศรีวิชัยในอดีตก็ถูกกลั่นแกล้งเช่นเดียวกับ พระเกษม ใครที่ได้มโนมยิทธิไปสวรรค์ได้จะไม่พระพุทธรูป มันมีแต่โลกมนุษย์นี้แหละท่านบอก
     
  19. Sikkha

    Sikkha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +421
    [​IMG]

    ปัญหา : หลวงปู่ครับ บางทีเขาว่าการสร้างพระพุทธรูปเป็นการสร้างพระอิฐ พระปูน ไม่มีประโยชน์
    จนบางที่ถึงขนาดไม่ให้ยกมือไหว้ พระพุทธรูปเสียเลย หลวงปู่อย่างนี้เราจะถืออย่างไรครับ

    หลวงปู่อ่อนแสง : อันนี้นี่นะ คนพูดนี่ไม่คิด ไม่พูดโดยใช้ปัญญา การสร้างพระพุทธรูปเขาไม่ได้มุ่งหมายให้เราไปงมงาย
    ที่สร้างพระพุทธรูปนี่เขาให้เราเอารูปนั้นไว้เป็นสิ่งแทนพระเจ้า (หลวงปู่เรียกพระพุทธเจ้าว่าพระเจ้า)
    ให้รำลึกถึงคุณงามความดีพระเมตตาคุณพระปัญญาคุณพระวิสุทธิคุณที่พระเจ้าได้เสด็จสั่งสอนสัตว์
    ไม่ได้ให้ว่าไหว้ก้อนเหล้ก ก้อนอิฐก้อนปูน น้อ

    ปัญหา : แล้วที่บางสำนักบอกให้ไม่ต้องไปกราบไม่ต้องไว้ให้ทำลายพระพุทธรูปทิ้งเสียครับหลวงปู่

    หลวงปู่อ่อนแสง : โอ๊ย มันขาดปัญญาน๊อ การกราบพระพุทธรูปไม่ใช่กราบพระอิฐพระปูน
    เป็นการกราบไหว้สาคุณแห่งองค์พระเจ้าที่เมตตาสั่งสอนอริยะสัจจ์4แก่เวไนยสัตว์ มีบุญญานุภาพมากน้อ
    ส่วนพวกที่คิดว่าพระพุทธรูปเป็นอิฐหินปุนทรายแล้วทำลายนี่เป็นอนันตริยกรรม ลงอเวจีน่ะ
    เพราะการที่ทำลายพระพุทธรูปนี่เท่ากับปองร้ายองค์พระเจ้าน้อ เป็นอนันตริยกรรม ด้วย

    ปัญหา : แล้วคนที่หลงเชื่อกล่าวลบหลู่พระพุทธรูปหรือทำลายตามที่เจ้าสำนักตนเชื่อล่ะครับ

    หลวงปู่อ่อนแสง : คนที่ทำร่วมเพราะเขลาตามเขาไปก็เป็นวิบากกรรม แต่คนต้นคิดคนเผยแผ่สั่งสอนนี่หนักสุด

    ปัญหา : หลวงปู่ครับ บางคนเขาว่าวัตถุมงคลไม่มีในมงคลพระพุทธเจ้าอ่าครับ

    หลวงปู่อ่อนแสง : อันนี้เป็นความเห็นที่ผิดเลยล่ะนะ (ผมผู้ถามงง) หลวงปู่เมตตาอธิบายหน่อยครับ
    ท่านยิ้ม ก็เป็นความเห็นที่ผิด วัตถุมงคลใครว่าไม่มีในมงคล 38 ของพระพุทธเจ้าล่ะ มีสิ
    อย่างเราใส่รูปที่เป็นรูปแทนพระเจ้า ก็หมายถึงว่าเราเคารพบูชาในองค์พระเจ้า
    ก็เป็นปูชาจปูชนียานัง(บูชาคนที่ควรบูชาเป็นมงคล) แถมได้พุทธานุสสติเป็นเครื่องระลึกถึงองค์พระเจ้าอีก

    ครั้นเป็นรูปพระอริยสงฆ์ ก็ได้มงคลข้อ การเห็นรูปสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง หากใส่พระวัตถุมงคลทำความดี ตัวคนใส่ก็ได้มงคลคือการละเว้นบาป ไปบุชาวัตถุมงคลจากวัดก็เรียกว่ามงคลจากการให้ทาน แล้วอย่างนี้จะว่าวัตถุมงคลไม่มีในมงคลของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ผู้ที่พูดที่กล่าวไม่เข้าใจในเรื่องวัตถุมงคลเลย

    การมีวัตถุมงคลไม่ใช่การงมงาย เป็นการมีเครื่องระลึกนึกถึงในองค์แก้วประเสริฐ 3 ประการ ผู้ใดระลึกถึงแก้วประเสริฐ 3 ประการ ก็ย่อมมีความเจริญนะ ผู้ที่ต่อต้านเข้าใจผิดนี่อาจจะเป็นการปรามาสในคุณของพระเจ้า พระธรรมพระสงฆ์ได้นะเพราะ การสร้างวัตถุมงคลผู้สร้างก็มีไว้เพื่อให้เป็นเครื่องระลึกในองค์ 3 ทีนี้เราไปต่อว่า ก็บาปเปล่า ๆ ๆ ปรามาส แก้วสามประการ กรรมหนักเน้อ

    ไขปัญหาธรรมหลวงปู่อ่อนแสง ตอน วัตถุมงคล
    ขอบคุณมากคุณ joni_buddhist

    พระอรหันต์เหมือนกันแต่สอนคนละอย่างก็มี

    แต่ไม่มีพระอรหันต์สอนลูกศิษย์ทำบาป

    ถ้าทำลายวัตถุมงคลและเผาพระพุทธรูปดีจริงๆ ทำไมตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันไม่มีพระใดๆ สอนให้

    แม้กระทั่งพระมหายานและพระทิเบตกิริยาแตกต่างจากพระสงฆ์เถรวาทก็ไม่ได้สอนลูกศิษย์ทำลายวัตถุมงคลและเผาพระพุทธรูป

    พระจี้กงเป็นพระยุ่งเหยิงองค์หนึ่งเขาว่าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้สอน

    ถ้ามี zen master เผาพระพุทธรูปก็เป็นแค่ใช้เป็นเครื่องแสดงธรรมไม่ได้สอนลูกศิษย์ทำลายวัตถุมงคลและเผาพระพุทธรูปจริงๆ เหมือนพระเกษม

    วิบากกรรมมีจริงครับ ว่างๆ ไปหาอาจารย์เจน ญาณทิพย์ อาจารย์หม่อม คุณริว จิตสัมผัส เปิดกรรมให้จะได้รู้ว่าตกนรกชั้นไหนครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  20. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541
    เห็นด้วยอย่างยิ่งอย่างสุดซึ้งเลยครับ

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Sikkha<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5857012", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2010
    สถานที่: สิงคโปร์
    อายุ: 43

    แล้วนี่พระเกษมไม่โกนคิ้วอีกต่างหาก จะอ้างว่าไม่ทำตามเถระสมาคมไม่ได้
    เพราะพระพุทธองค์ก็กำหนดพระวินัยไว้ชัดเจนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...