เรื่องของพญาธรรมมิกราชองค์ที่ ๓

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย plaspirit, 23 มกราคม 2010.

  1. plaspirit

    plaspirit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,118
    [FONT=AngsanaUPC, serif]เรื่องของพญาธรรมมิกราชองค์ที่ ๓[/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]ผมขออนุญาตเขียนเพิ่มเติมบทความ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]...[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]ต่อจาก ท่าน Vera p ที่ได้โพสต์ไว้ที่แห่งหนึ่งภายในเวปบอร์ดพลังจิตแห่งนี้ เพื่อให้เนื้อความสมบรูณ์เป็นส่วนๆไป และเพื่อสร้างความเข้าใจที่ค่อนข้างคลาดเคลื่อนจากหลายๆองค์ ที่เคยได้รับข้อมูลมาจากสำนักต่างๆในเรื่องพญาธรรมมิกราชในยุคปัจจุบันที่จะถึงเร็วๆนี้นะครับ[/FONT]


    [​IMG]

    สมเด็จพ่อองค์ฐม(พระพุทธปฐมสิกขีทศพลที่ 1)


    [FONT=AngsanaUPC, serif]เรื่องของพญาธรรมมิกราชองค์ที่ ๓ [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]([/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]พระเจ้าจักรพรรดิ์[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif])[/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]เนื่องจากยังมีคนเข้าใจสับสนเรื่องของ พญาธรรมมิกราช[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]([/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]พระเจ้าจักรพรรดิ์[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]) [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า อยู่เป็นจำนวนมาก ผมจึงขออนุญาติเรียนชี้แจงทำความเข้าใจให้ถูกต้องดังนี้ครับ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]พระศรีอาริยะเมตไตรยโพธิสัตว์ คือผู้ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคหน้า หลังจากที่อายุของพระพุทธศาสนานี้ครบ [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]5,000 [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]ปีไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาอีกหลายล้านปีข้างหน้า[/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC, serif]([/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]ตามหนังสืออนาคตวงศ์[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]10[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]พระองค์ ที่ได้ตกแต่งกันมาในชั้นหลังๆ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif])[/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC, serif]ข้อนี้[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]...[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]ขอจงยกไว้ก่อนนะครับ [/FONT]

    [​IMG]



    [FONT=AngsanaUPC, serif]แต่เรื่องของพระมหาโพธิสัตว์กึ่งพุทธกาลนี้ หรือที่พวกเราชาวพุทธรอคอยและที่เรียกว่า[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]"[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]พระเจ้าจักรพรรดิ์[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]"[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]นั้น มันเป็นเรื่องของพระมหาโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่ง ผู้ที่มีบุญบารมีเต็มแล้ว ถึงวาระเวลาที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ มาปกครองโลกนี้ ตามบุญบารมีที่ตนเองได้สั่งสมเอาไว้ คือมาเป็นกษัตริย์ปกครองคนทั้งโลกนี้และคนในโลกอื่นๆ และในจักรวาล[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]หลังจากที่พระมหาโพธิสัตว์องค์นั้นองค์ใด ได้มาปกครองโลกนี้ในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิ์จนหมดอายุขัยแล้ว ก็จะเสด็จกลับไปยังสวรรค์ชั้นดุสิตตามเดิม เพื่อรอคอยเวลาที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์เอาไว้ครับ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]การได้มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น เป็นเรื่องที่พระมหาโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จะต้องได้มาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ปกครองโลกนี้ทั้งโลก ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าเป็นธรรมเนียมของพระโพธิสัตว์ที่ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบันนี้ครับ[/FONT]
    [FONT=AngsanaUPC, serif]ตามความเข้าใจของคนทั่วๆไป ก็คิดแต่เพียงว่าพระมหาโพธิสัตว์องค์นั้นองค์ใดหรือพระศรีอาริยเมตไตรย ที่มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัดครับ [/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=AngsanaUPC, serif]([/FONT][/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]หาก ท่านดับขันธ์จากโลกมนุษย์แล้ว ก็อาจเลือกได้ว่า ไม่เข้าไปดำรงที่ชั้นดุสิตหรือเข้าไปดำรงอยู่ที่ชั้นดุสิตได้เพียงครู่เดียว ก็ทรงอธิฐานจิตลงมาเลยก็ได้ เพราะท่านจะรู้จัก กาล สถานที่ บุคคล ว่าควรทำอะไรในกาลเวลาสถานที่และบุคคลนี้ ข้อนี้เป็นความสามารถเฉพาะมหาสัตว์เท่านั้น[/FONT][FONT=Times New Roman, serif][FONT=AngsanaUPC, serif])[/FONT][/FONT]



    [FONT=AngsanaUPC, serif]เพราะพระโพธิสัตว์นอกจากจะต้องบำเพ็ญบารมีแล้ว ยังต้องมีหน้าที่ต้องคุ้มครองรักษาพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นี้ ให้ดำรงคงอยู่จนครบอายุ [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]5,000 [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]ปี ตามที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้อีกด้วย ดังตำนานละแวกที่ผมจะขอยกมาเป็นความรู้ในเรื่องนี้ครับ[/FONT]


    [FONT=AngsanaUPC, serif]ตำนานละแวก[/FONT]​


    [FONT=AngsanaUPC, serif]ต้นฉบับตำนานละแวกนี้ เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]([/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]วัดศรีปิงเมือง[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]) [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif][/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]หายยา อ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]เมือง จ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูก ความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif][/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]. [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]๒๔๒๓ ตรงกับ จ[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif][/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]๑๒๔๒ ปีกดสะง้า เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้ [/FONT]


    [FONT=AngsanaUPC, serif]ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายัง ทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้ พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕ พันปี [/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองทุกองค์เจดีย์ ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ พันวา สูง ๔ พันวา คูเมืองลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วา ฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้าน เหมือนกันหมดทุกองค์ [/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้ พระพุทธองค์ให้สร้างไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์ เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปี เจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน [/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]ใน ช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕ พันปีนั้น จะมีพญาธรรมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื สำหรับพญาธรรมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓ พันปีนั้น[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]([/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif][/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].[/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif][/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif].2001-3000) [/FONT][FONT=AngsanaUPC, serif]จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว[/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]ก่อนที่จะมีพญาธรรมมิกราชปรากฏกายลักษณะขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการมาทำพิธีราชาภิเษกโดยมีนางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป [/FONT]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษก แล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธรรมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐ จำนวน ๖ คน พญาธรรมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดินมาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่าย เป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป[/FONT]

    [​IMG]

    [FONT=AngsanaUPC, serif]พระศรีอาริยเมตไตรย[/FONT]


    [FONT=AngsanaUPC, serif]เรียบเรียงจาก ไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2010
  2. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป แปลว่ามาจากต่างดาวเลยซิครับ เพราะโลกของเราเรียกว่า ชมภูทวีปคือดาวสีชมพูเวลาที่มองมาจากนอกโลก

    ทวีปต่างๆในจักรวาล

    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยหนึ่งมนุษย์ในชมพูทวีปเคยมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"


    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๙,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์ มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)" ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว

    อ่านต่อ :
     
  3. markkjkj

    markkjkj สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    พระยาธรรมิกราชในพระไตรปิฎกที่สอนให้ตนพึงตนไม่ใช้ลอไอ้ใครที่ไหนไม่รู้มาช้วย

    [​IMG]คิริมานนทสูตร ( อุบายรักษาโรค ) : พระยาธรรมิกราช
    แล้วจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า
    อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้มีปัญญาพึงคิดถึงตน แล้วปราบใจของตนให้พ้นจากทุกข์และความลำบาก และให้ออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารให้ได้เถิด ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แม้จะมีปัญญาก็มีเสียเปล่า ไม่นับเข้าในจำนวนที่มีปัญญา กิริยาที่พ้นทุกข์พ้นยากและพ้นออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารได้ก็คือพ้นจากกิเลสตัณหาของเรา เมื่อพ้นจากกิเลสตัณหาได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าพ้นจากความทุกข์ความยากโดยสิ้นเชิง ถ้ายังไม่พ้น ก็ได้ชื่อว่ายังไม่พ้นจากความทุกข์ความยาก เมื่อตนยังไม่หลุดไม่พ้นก็ไม่ควรสั่งสอนผู้อื่นเพราะตัวยังไม่พ้น จะสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นได้ด้วยอาการอย่างไร เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามแม่น้ำ ถ้าตัวของเราข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นแล้ว จึงร้องบอกให้ท่านผู้อื่นข้ามมาตามตน เช่นนี้สมควรแท้ เมื่อเราร้องบอกเขา แล้วเขาพอใจจะไปหรือหาไม่ ก็แล้วแต่ใจเขา ส่วนตัวของเราข้ามไปได้สมประสงค์แล้ว ข้ออุปมานี้ฉันใด ผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์สอนให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ ก็ต้องทำตัวให้พ้นทุกข์เสียก่อน จึงสมควรจะสอนคนอื่น มีอุปไมยเหมือนผู้ที่จะพาข้ามแม่น้ำฉันนั้น บุคคลที่เปลื้องตัวให้พ้นออกจากกองกิเลสยังไม่ได้ แล้วจะไปเปลื้องปลดสัตว์ในป่าช้า ผีทั้งหลายเขาจะหัวเราเยาะเย้นว่า อะโห โอหนอ! ตัวของท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ แล้วจะมาพาเอาพวกข้าพเจ้าออกจากทุกข์ได้อย่างไร ตัวของท่านและพวกข้าพเจ้าก็ยังไม่พ้นนรกอยู่เหมือนกัน จะมาพาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกได้ด้วยอาการอย่างไรฯ
    ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใดที่ให้ผีในป่าช้าหัวเราเยาะเย้ยเล่น เช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้น ถ้ามีขึ้นก็เป็นเหตุให้เกิดโรภภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุจความเจริญมิได้ฯ
    ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ตัวเห็นและได้พูดจากับผีดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขาเป็นคนอุบายเจ้าเล่ห์เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริงพูดจาสนทนากับผีได้ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง เป็นคนอุตริทั้งนั้นฯ
    ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้า จักเกิดมีพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนา อวดอ้างว่าตัวรู้ตัวเห็นผีได้ พูดจากับผีได้ ครั้นบุคคลพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จักเบียดเบียนพระศาสนาของเรา ให้เสื่อมถอยลงไปด้วยวาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จักเกิดความระส่ำระสายหาความสบายมิได้ เขาจักสอนทิฏฐิวัตรอย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัตต์ ภายหลังก็จักเกิดพระบ้านพระป่ากันขึ้นแล้วก็จักแตกกันออกเป็นพวกๆ ไม่สามัคคีกัน ต่างพวก็ถือแต่ตัวดีศาสนาของเราจักเสื่อมถอยลงไปเพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ เห็นแก่ลาภและยศหาความสุขมิได้ มรรคผลธรรมวิเศษก็จักไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจักเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรมอันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้ รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อยก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้นล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลยฯ
    ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้าจักมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียงพยายามละเว้น ก็จักได้ประสบความสุข การที่จะระงับดับกิเลส ก็ให้ระงับบริโภค ๑ ประการให้เบาบางลง บริโภค ๒ นั้นคือ จีวรปัจจัย และเสนาสนะ ปัจจัย ๒ อย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายนอก นับเป็นอย่างหนึ่ง บิณฑบาตปัจจัยและคิลานปัจจัย ๒ อย่างนี้ชื่อว่าปัจจัยภายใน นับเป็นอย่างหนึ่ง บริโภคทั้ง ๒ นี้เป็นตัวกิเลส ตัวทุกข์ ตัวสุขสิ้นทั้งนั้น ถ้าบริโภค ๒ นี้มากขึ้นเท่าใด ทุกข์ก็มากขึ้นไปตามเท่านั้น ถ้าบริโภค ๒ นี้น้อยลง ทุกข์ ก็น้อยลง ความสุขก็มากขึ้น คือว่าบาปน้อยลงเท่าใด บุญกุศลก็มากขึ้นเท่านั้น อันบุญกุศลก็มีอยู่ที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น ผู้ที่ละบริโภค ๒ นั้นได้แล้ว นรกก็พ้น สวรรค์และพระนิพพานสิ่งใดๆ ก็ได้ในที่นั้นฯ
    ดูกรอานนท์ บุคคลที่บวชเข้าแล้ว ไม่รู้จักระงับดับกิเลส คือบริโภค ๒ ให้เบาบาง เข้าใจว่าบวชรักษาศีลถือครองวัตรเอาบุญ ไม่หาอุบายระงับดับกิเลสและบริโภค ๒ จะได้บุญได้ความสุขมาแต่ที่ไหน ถ้าคิดอย่างนั้น แม้จะรักษาศีลตลอดพระปาติโมกข์และธุดงควัตร ก็หากเป็นอันรักษาเปล่า รักษาให้เหนื่อยยากลำบากกายเปล่า ไม่อาจเป็นบุญกุศลได้ พระปาติโมกข์ธุดงควัตรทั้งกลานที่ทรงบัญญัติแต่งตั้งไว้นั้น ก็เพื่อให้เป็นเครื่องระงับดับกิเลสตัณหาคือบริโภคทั้ง ๒ ถ้าระงับไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญเป็นกุศล ผู้ที่ทำความเข้าใจว่าพระปาติโมกข์และ ธุดงควัตร จะช่วยยกตัวให้ขึ้นไปสวรรค์และพระนิพพานเขฃช่นนี้ เป็นความเห็นของคนที่โง่เขลาเบาปัญญา จักไม่พ้นทุกข์เลย บริโภคทั้ง ๒ นั้นได้ชื่อว่าปลิโพธ ๒ ที่แปลว่าความกังวล การรักษาพระปาติโมกข์และธุดงควัตร ก็เพื่อจะตัดปลิโพธความกังวลให้เบาบางลงได้เท่าใด ก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นสวรรค์และพระนิพพานขึ้นไปเท่านั้น พระพุทธเจ้าย่นโอวาทคำสั่งสอนลงสู่ปลิโพธ ๒ ว่าเป็นที่สุดโดยสิ้นเชิง คือว่า นรก สวรรค์ และพระนิพพาน มีอยู่ที่ปลิโพธ ๒ ครบบริบูรณ์ ผู้ศึกษาเล่าเรียนจะรู้มากรู้น้อยเท่าไรไม่นิยม รู้มากหรือรู้น้อย ถ้าระงับปลิโพธนั้นได้ก็เป็นดี จะอยู่วัดบ้านหรือวัดป่าประการใดก็ตาม ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นได้ ย่อมเป็นความดีความชอบทั้งสิ้น ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นไม่ได้ แม้จะรู้มากมายและอยู่วัดบ้านวัดป่าประการใด ย่อมไม่ดีทั้งสิ้นฯ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเทศนาเป็นใจความอย่างนี้ฯ
    ลำดับนั้น จึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า
    อานนฺท ดูกาอานนท์ ธรรมนี้ชื่อว่าพระยาธรรมิกราช เพราะเป็นใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้คือได้ชี้นรก สวรรค์ พระนิพพาน กิเลสตัณหา โดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือกประพฤติตามความปรารถนา เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว จึงซ้ำตรัสอนุญาตปัจฉิมบรรพชาไว้แก่ข้าฯ อานนท์ ว่า
    อานนฺท ดูกรอานนท์ แม้ในปัจฉิมกาล เมื่อหาพระสงฆ์ครบคณะบรรพชาไม่ได้ โดยที่สุดแม้พระสงฆ์องค์เดียว เมื่อกุลบุตรมีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งเราตถาคต อยากจะบวชเป็นภิกษุในสำนักแห่งภิกษุองค์เดียวก็จงบวชเถิด โดยที่สุดลงไปอีก แม้จักหาภิกษุสักองค์เดียวไม่ได้ กุลบุตรผู้มีศรัทธาใคร่จะบวชสืบศาสนาแห่งเราตถาคต ก็ให้ศึกษาจตุตถปาราชิกและบริโภค ๒ นั้นให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่เฉพาะพระพุทธรูป หรือพระสถูป หรือพระเจดีย์ หรือแม้หาที่ควรเคารพเช่นนั้นไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงเราตถาคตแล้วบวชเป็นภิกษุเถิด ให้ตั้งใจสมาทานว่า อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ แล้วให้สมาทานจตุตถปาราชิกว่า ปฐมํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ ทุติยํ จตุตฺถํ ปราราชิกํ สมาทิยามิ แล้วบวชเป็นภิกษุเถิด ถ้าหากพระสงฆ์ยังมีอยู่อย่างน้อยเพียงองค์เดียวแล้ว จะบวชโดยลำพังไม่ได้ ถ้าขืนบวช ชื่อว่าดูหมิ่นพระศาสนาเป็นบาปยิ่งนัก อย่าทำเลย เมื่อบวชโดยวิธีนี้ ผู้ใดคัดค้านว่าไม่ควร จักเป็นบาปเป็นกรรมยิ่งนัก เราอนุญาตไว้สำหรับคราวอันตรธานต่างหาก ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้ฯ
    ขอพระอริยสงฆ์ทั้งหลายจงทราบด้วยพลญาณของตน โดยนัยดังข้าพเจ้า อานนท์ แสดงมานี้เทอญ แล้วพระองค์ก็หยุด ไม่ทรงตรัสเทศนาอีกต่อไป ข้าพเจ้ากราบถวามบังคมแล้วก็กลับไปสู่สำนักท่านคิริมานนท์ แสดงสัญญาทั้ง ๒ ประการ คือรูปสัญญา นามสัญญา ให้พระผู้เป็นเจ้าฟังโดยพุทธบริหารทุกประการ ท่านคิริมานนนท์กำหนดตามพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหันต์ผลในขณะที่วางธุระในรูปในนาม โรคภัยของท่านที่เจ็บปวดก็อันตรธานหายไปในขณะนั้นฯ
    ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระสูตรนี้จะได้ชื่อว่า พระยาธรรมิกราชสูตรตามรับสั่งนั้น จักเสียนิมิตไป เพราะอาศัยพระผู้เป็นเจ้าคิริมานนท์เป็นนิมิต
    พระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาที่วัดเชตวนาราม ปรารภพระคิริมานนท์เกิดอาพาธให้เป็นเหตุ จึงได้ชื่อว่า คิริมานนทสูตร มีเนื้อความดังแสดงมานี้แลฯ
    ........................................................................................................................................
    ขอขอบคุณที่มาบทความ : หนังสือคิริมานนทสูตร (อุบายรักษาโรค) แปลจากภาษาสยามฝ่านเหนือสู่ภาษาสยามกลาง โดย พระธรรมมีรราชมหามุนี (จันทร์ สิริจนฺโท)

    09 ตุลาคม 2549
     
  4. markkjkj

    markkjkj สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัส พุทพจน์
    อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึงแห่งตน
    อันความคิดผมเองนะ
    ต่อให้มีพระยาธรรมมิกะราชมาจริงถ้าเราไม่ช้วยตัวเองก็
    ไม่รอดอยู่ดีที่ชีวิตถูกกำหนดด้วยกำผู้ไม่ทำดีไว้ใยจะได้ผลดีภัยทั้งหลายเราจะผ่านมันได้เราต้องลุยเองมัวแต่นอนกลิ้งเกลือกอยู่ก็ตายลูกเดียว
    อนาคตยังไม่มา
    ปัจจุบันสำคัญสุด
    อยู่อย่างมีสิต (สติปัฏฐาน 4)
    สงสัยไปดูเอาในพระไตรปิฎก
    แค่นี้ก็ไม่ต้องลอให้ใครมาช้วยทั้งนั้น
    เพราะช้วยตัวเองแล้ว
     
  5. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    การบำเพ็ญเองล้วนๆกับมีอาจารย์ชี้นำมันต่างกันมากนะ สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าตรัสไม่มีคำก็ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว เดี๋ยวนี้มีความรู้กันมากมายแต่จะมีใครรู้แจ้งสักกี่คน
     
  6. markkjkj

    markkjkj สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +2
    การที่เราลงมือทำอะไรเดียวนี้ดีกว่าการนั้งลออนาคต ครับ
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้แนวทางการปฎิบัติแล้วแก่เรา ซึ่งพระอานนจดจำแล้วบอกพระเถระทั้งหลายตอนสังคยานากลายเป็นพระไตรปิฎกนั้นแหละทางที่พระองค์ทรงจี้นำไว้ดีแล้ว
    เราทำเพื่อละ ไม่ใช้เพื่อบรรลุเป็นโนเป็นนี้ แล้วก็สถานที่สอนกรรมฐานมีมากมาย
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แบ่งกรรมฐานเป็น40กองแล้วแต่จะลิตของแต่ละคนเลือกเอาครับ อย่าเอาแต่นั้งรอไม่เกิดอะไรที่ดีขึ้น เราชาวพุทธต้องเชื่อพระปํญญาตรัสรู้พระผู้มีพระภาคเจ้าสิ ทางสายเองนำไปสู้ทางพ้นทุกข์ คือ สิตปัฐฐาน4นะ จงเร็งทำกัน ชีวิตเราสั้นนัก "ความรู้บางอย่าเกิดจากการปฎิบัตติไม่ใช้การฟังหรืออ่านแม้คิดก็ไม่รู้นะ"ติดขัดถามอาจารย์ผู้รู้อ่านหนังอาจารย์ไม่ใช้นั้งลอ
     
  7. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    :cool::cool::cool::cool: แค่ผมรอพระโคตะมะ พระองค์นี้ก็นานพอแล้ว ผมจะขอปฏิบัติเองตามคำสอนของพระองค์
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ในพุทธทำนาย ในพระปริตร" อภยปริตร" มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของพระยาธรรมิกราช ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้น พระยาธรรม คือผู้รู้และเห็นธรรมเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ทรงตรัสรู้เห็น แต่ไม่มีทศพลณญาน10 และมหาปุริลักษณะ บารมีก็ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับพระพุทธทั้งหลายได้ พระยาธรรมิกราชเป็นผู้มีปฎิสัมภิทาญานอย่างไม่ต้องสงสัย ชัดเจนเด็ดขาด เป็นผู้มีฤทธานุภาพ ชี้แจงแก้ไขพระไตรปิฎกที่ถูกตีพิมพ์และจารึกเขียนขึ้นได้อย่างชัดเจนตามแบบพระธรรมแม่บทฉบับทิพย์ เป็นผู้ลงทัณฑ์สงฆ์ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบททั้งหลาย โดยฐานะกรรมบันดาล เป็นผู้รู้ทิพย์ภาษาเป็นผู้ประกาศธรรมเหนือโลก เหนือลัทธิความเชื่อมายาคติต่างๆจะพีงพินาศเป็นผู้รวบรวมจักรวรรดิธรรม จากแตกแยกนิกายเป็นหนึ่งเดียว เป็นผู้ช่วยบอกทางและสรรเสริญในพระธรรมอย่างที่สุด แม้มีใครชื่นชมท่าน ท่านก็จะชี้แนะให้สรรเสริญแด่พระธรรม พระพุทธ และพระสงฆ์ผู้อยู่ในสารคุณเพียงเท่านั้น! ตราบใดที่ยังไม่ปรากฎปาติหาริ์ย3 ตราบนั้น พระยาธรรมิกราชก็จะยังไม่ปรากฎ ผู้ใดที่แสดงปาติหาริ์ย3ในพระธรรมได้ พึงสำเหนียกไว้ว่าเป็นผู้เข้าใกล้ชิดพระยาธรรม กิจต่างๆย่อมเกิดขึ้นตามการ ภาระเป็นไปตามกรรม เมื่อพระธรรมิกราชปรากฎ. อวิชาและอาสวะกิเลสทั้งมวลจะสิ้นไปในผู้ที่สั่งสมบุญบารมีมาดีแล้ว. พึงเข้าใจเถิดว่า. ในยุคนี้ ผู้ที่แสดงพุทธภาษิต แค่เพียงภาษิตเดียว ก็ยังไม่สามารถแสดงได้เทียบเทียมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพและพระอรหันต์ผู้ที่อยู่ในสารคุณ ให้ผู้รับฟังได้เข้าใจแจ่มแจ้งเข้าถึงวิมุติได้เลยแม้สักผู้เดียว (เมื่อผู้เสวยวิมุติแสดงธรรม ธรรมนั้นย่อมเป็นวิมุติ). ผู้ไม่รู้จริงไม่ควรแก้อรรถที่เราแสดง เหล่าสหชาติของพระยาธรรมเป็นผู้มีบุญรู้ธรรมตามกาลเป็นอย่างยิ่ง. สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญ ขอจงเจริญในภาวะธรรมตามกาล
     
  9. Uncle lloyd

    Uncle lloyd สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    อ่านหลากหลายความคิดเห็นในเวปนี้เรื่องของพระธรรมิกราชและพระมหาโพธิสัตว์เถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ มีทั้งคนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อว่าจะมีจริงตามนั้น มีคนที่วิเคราะห์กล่าวกันว่าบุคคลในตำนานทั้งสองท่านจะปรากฏตัวประมาณปี2562ภายหลังจากเกิดภัยพิบัติทั้งหลายซึ่งเรื่องนี้บางคนก็กล่าวว่าครูบาอาจารยสายปฏิบัติหลายองค์แม้แต่หลวงปู่มั่นก็ยังเคยกล่าวถึงเรื่องนี้.เมื่อเวลานั้นยังมาไม่ถึงก็มีคนที่คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติตามตำนานออกมาสมอ้างว่าเป็นองค์จริงโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม เห็นมีสมอ้างกันมานานเป็นสิบปีแล้วก็มี ทำไมไม่อดทนรอให้ถึงเวลาก่อน ใจร้อนกันนัก เหมือนกับดูทีวีในงานวันเด็กที่มีคนสัมภาษณ์เด็กว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไรมีเด็กหลายคนตอบว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี ในชีวิตจริงโตขึ้นจะได้เป็นตามนั้นหรือไม่คงไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนปรารถนาพุทธภูมิ บางคนปรารถนาโพธิสัตว์ ถ้าเพียงความปรารถนาของตนเองอย่างเดียวแล้วทำให้ทุกคนสมหวัง โลกนี้คงเปลี่ยนไปเยอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...