จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. thipong

    thipong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2013
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +1,673
    ..
    .วันนี้ได้ส่งการบ้านแล้วนะครับ..
    ..ขออนุโมทนาสาธุๆๆๆกับทุกๆท่านที่เมตตามาสอนนะครับ..
    ..
    ..
     
  2. ถั่วฝักยาว

    ถั่วฝักยาว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +82
    เข้าไปแอบเยี่ยมในหลายกระทู้ มีแต่เถียงกัน เพราะความเห็นต่างกัน เรื่องสัพเพเหระบ้าง เรื่องการเมืองในปัจจุบันบ้าง
    สู้เข้ามากระทู้นี้ไม่ได้ มีแต่ความสงบเย็น ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ ที่นี้ไม่วุ่นวายหนอ
    แถมได้ความรู้ทางธรรมกลับไปฟรีด้วยนะจ๊ะ บางคราวก็ได้รูปพระพุทธงาม ๆ กลับไป
     
  3. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    อ่านแล้วมีสมาธิดีครับ หลังอ่านก็มีความเข้าใจและก็มีความเบาสบายใจดีครับ
    อนุโมทนาครับ ...

    ... ^^ ...
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อย่าไปเร่าร้อนตามเขา

    เพราะภายในของตนนี่แหล่ะ คือเขตเย็น สงบ สบาย และนิพพานบนดินแล้ว
    แต่ถ้าจิตผู้ใดสงบแล้ว ที่นี่ธรรมชัดๆ
    แต่ถ้าตรงกันข้าม ทั้งนอกหรือในจิต ก็นรกชัดๆ


    อย่าลืมนะ จิตเป็นใหญ่ คือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    แต่ถ้าบุคคลใดทำตนเป็นใหญ่แทนจิตละก้อ อีกไม่นานนักหรอกจักต้องแพ้ตนเอง
    การปฎิบัติเพื่อหลุดพ้น เพื่อชนะใจตนเอง ก็หมายความว่า เจริญสติจนเกิดปัญญา
    แล้วในที่สุดเราก็ต้องออกมาจากกายหยาบก่อน แล้วจึงค่อยออกมาจากจิตปัญญา
    หรือจิตผู้รู้ในภายหลัง รูปหรือกายหยาบพวกเรายังพากันออกยาก ยังยึดติดกันอยู่
    นับประสาอะไรกับนาม โดยเฉพาะนามละเอียด ต้องใช้ปัญญาขนาดไหน
    ปัญญาทีู่้ผู้ปฎิบัติกันอยู่ในเวลานี้ มันไม่เพียงพอ ก็เพราะว่า ขาดความเพียร
    หรือทำความเพียรไม่ต่อเนื่อง นั่นเอง นี่คือ จุดอ่อนนักภาวนาทั่วๆไป
    ว่าทำไม ตนเองถึงไม่ค่อยเจริญในธรรม ทั้งที่เราก็รักษาศีลหยาบอย่างดีแล้ว
    อย่าลืม จิตที่เดินมรรคอยู่นั้น จักต้องทำศีลหรือสติ สมาธิ ปัญญา ต้องทำให้สมดุลย์กัน
    เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว จะเกิดอาการติดๆดับๆ หรือเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
    ย่อมไม่ดีแน่ ผู้ปฎิบัติจักต้องคอยหมั่นทบทวนการปฎิบัติของตนเอง
    โดยเฉพาะสติ อย่าให้เคลื่อน อย่าเผลอสติบ่อย พยายามเปลี่ยนจากเผลอให้มีสติเกิดขึ้นบ่อยๆ
    เพราะถ้าสติของเราแน่นแล้ว ผลโดยตรงก็คือ สมาธิเราจะแน่นตามไปด้วย
    เมื่อทั้งสติแน่นทำให้สมาธิแน่น อันเป็นผลทำให้เกิดปัญญาตามมาทันที
    ปัญญาของเราจะแน่นหรือไม่ก็อยู่ที่สติเป็นบาทฐานของสมาธิ
    ส่วนสมาธิเป็นบาทฐานของปัญญา
    ตรงนี้ผู้ปฎิบัติจักต้องจดจำเป็นอย่างดี การปฎิบัติจะก้าวหน้าหรือไม่ อย่าไปรอบุญเก่า
    วาสนาเก่า
    (จะมีคนถามอีกไหมว่า บุญเก่า สาวนาเก่านั้นมันหมายถึงอะไร)
    สำหรับผู้ที่ใช้นามแฝงว่าผู้มา ผมอยากจะแนะนำว่าเปลี่ยนเป็นผู้รู้จะได้ไหม จะไม่ต้องไปถามใคร
    ผมก็ป่าวกวนนะ แต่ปรารถนาดี เพราะเป้นคนถามจนเคยชินนั่นเอง
    แต่ถ้าจะมาทำจิตเกาะพระนี่นะ ผมจะแนะนำทุกคนเลยว่า ให้วางตัวรู้ โดยเฉพาะ อีลูกช่างถามเนี๊ย
    ต้องวางก่อนเลย เพราะว่าเวลาปฎิบัติธรรม หรือนำจิตเดินมรรคนี่ ถ้าเราเอาแต่ถามๆๆๆ ไม่ยอมลงมือปฎิบัติสักทีนึง
    จะบอกให้นะ ไม่ได้ว่า ไม่ได้ตำหนิ บอกแล้ว แต่หวังดี เพราะอะไร ก็เพราะว่า เวลาปฎิบัติจริงๆ
    เราต้องเอาปฎิบัตินำหน้าความลังเลหรือสงสัย ถามได้ สงสัยได้ แต่ต้องเป้นหลังจากที่เราปฎิบัติไปแล้ว
    เรียกง่ายๆว่า ให้ถามเแพาะเรื่องการปฎิบัติะรรม ในทุกขณะจิตติดปัญหานั้นๆ
    ครูหรือผู้สอนก็จะช่วยแก้ไข แก้ปมตรงนั้นให้ไปทีละจุดๆไป เป็นต้น
    แต่ถ้าไม่วาง หรือไม่ปฎิบัติตามที่เราแนะนำมาก็เป็นอันว่า เราไม่สอน แต่จะสอนเฉพาะจิตพร้อม
    และไม่ไปตามหาใครต้องมาปฎิบัติด้วย เพราะที่นี่เรามีแต่ความปรารถนาดีต่อกัน ตามนั้น
    เมื่อเราเป็นผู้ให้ แต่ไม่มีผู้รับก็ช่วยไม่ได้ ถ้าผู้ปฎิบัติท่านใดที่ยังไม่มีกำลังมากพอ ก้จะยอมแพ้ตนเองไป
    นี่แหล่ะถึงเข้าใจเลยว่า ทำไม คนส่วนใหญ่ที่อยากได้บุญกันมาก แต่เข้าได้แค่ชั้นทาน หรืออามิสบูชา
    มิใช่ว่าใครจะมาปฎิบัติธรรมก็ได้นะ ปฎิบัติให้ตายก้ไม่ไปถึงไหนหรอก ไม่ได้ว่านะ พูดเรื่องจริง
    ก่อนปฎิบัติน่ะ ต่างคนก็มีอัตตามานะกันทุกคนแหล่ะ แต่ใครจะวางก่อนชั่วคราวก่อน เท่านั้นเอง
    ไม่มีใครจะไปบอกให้ใครวางอัตามานะกันได้หรอก เพราะอัตตามานะของตนก็ยังวางยากเลย ใช่ไหม
    เพราะฉะนั้น ถึงได้แนะไปไงว่า ให้ปฎิบัติไปเรื่อยๆ จนเข้าถึงกระแสจิตก่อนค่อยเข้ากระแสธรรมไปเอง
    เหมือนคนที่จะเป็นพระโสดาบัน จิตผู้นั้นจักต้องเหยียบเรือสองแคมก่อน
    นั่นหมายถึง โคตรภูญาณ คือใจนึงไปทางโลก แต่อีกใจนึงไปทางธรรม คือเริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมแล้ว
    ยิ่งพูดธรรมก็ยิ่งมัน พอดีกว่า เดี๋ยวยาว เพราะเดี๋ยวจะมีหลวงพ่อมาเทศน์ต่อ นั่นก็คือหลวงพ่อชา
    อ่านให้ดีๆนะ เวลาอ่านธรรมะต้องจิตสมาธินิดนึง ไม่งั้นไม่ได้บุญ เพราะจิตเราไม่เปิด จิตเราไม่นิ่งพอ
    สังเกตดูนะ ถ้าใครอ่านจนจบได้นี่เป็นบุญเลย แสดงว่ามีกำลังใจมากพอ และพร้อมหรืออยากปฎิบัติธรรมด้วย
    ถ้าผุ้ใดมีกำลังใจมากแล้ว โปรดแสดงตนเรามาปฎิบัติธรรมไวๆ อย่าช้านะ เรารู้วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย
    เพราะฉะนั้นรบๆสะสมบุญ รีบๆสร้างบุญกุศลของตนเอง
    อย่าไปเสียเลยกับสิ่งภายนอกจิต อย่าไปมัวไปถกเถียงกันอยู่เลย เพราะนั่นเป็นแดนอบายภูมิ
    พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ให้ผู้ปฎิบัติควรละบาป ทำดีและทำจิตผ่องใสอยู่เสมอ มิใช่ ทำแค่ครั้งคราว
    โมทนาสาธุ



    ปล.ผู้ที่พอปฎิบัติได้บ้างแล้ว เวลาที่มีความทุกข์ ย่อมไม่เอาธรรมเข้าข่มจิต
    ถ้าผู้ใดทำแบบนั้น แสดงว่า ยังไม่เข้าใจธรรม
    แต่ถ้าเข้าใจหรือเข้าถึงธรรมจริง จิตจึงจะยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้(((ตลอดเวลา)))
    แต่ถ้าจิตเรายังไม่ยอมรับตลอดเวลานั่นก้แสดงว่า จิตเรายังปล่อยวางไม่จริง หรือไม่ได้หมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤศจิกายน 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    อย่าเพิ่งเชื่อ..ตัวกู

    (ผู้เขียน ขออนุญาตพูดคำๆนี้)
    โดยเฉพาะเหตุผลทางโลกด้วยแล้ว เพราะเหตุผลคนทางโลกนั้น ไม่มีคำว่า สิ้นสุด
    แล้วเราจะตามกันไหม ดูพระอรหันต์ ถ้าท่านออกมาพูด คนๆนั้น ขอบอกว่า ซวย
    ไม่ใช่ ซวยทั้งปีนะ แต่จะซวยทั้งชาติ​
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เคล็ดการปฏิบัติของ หลวงพ่อชา ​


    การศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้น เราศึกษาไปเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพื่อความสงบสุขเป็นจุดสำคัญ จะศึกษาเรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องจิต เรื่องเจตสิกก็ตาม ก็เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้น จึงจะถูกทาง มิใช่อย่างอื่น สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจเสียว่า มันจะเป็นจิตก็ช่างมันเถอะ เมื่อมันนิ่งอยู่อย่างนี้ก็คือเป็นปกติของมัน ถ้าว่ามันเคลื่อนปุ๊บก็เป็นสังขารแล้ว มันจะเกิดยินดีก็เป็นสังขาร มันจะเกิดยินร้ายก็เป็นสังขาร มันอยากจะไปโน่นไปนี่ก็เป็นสังขาร ถ้าเราไม่รู้เท่าสังขาร ก็วิ่งตามมันไป เป็นไปตามมัน เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด ก็เป็นสมมติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อผู้รู้ รู้ตามความเป็นจริงของจิต หรือเจตสิกเหล่านี้ จิตก็ไม่ใช่เรา สิ่งเหล่านี้มีแต่ของทิ้งทั้งหมด ไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น เหมือนกับตะเกียงเป็นตัวผู้รู้ แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน มันเกิดจากผู้รู้อันนี้ ถ้าจิตนี้ไม่มี ผู้รู้ก็ไม่มีเช่นกัน มันคืออาการของพวกนี้ ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด ท่านว่าจิตนี้ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตนเราเขา ไม่เป็นอะไร ท่านให้เอาที่ไหน เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ ให้รู้สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า จิตนี้ไม่มีอะไร ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ ไม่มีเรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่ในที่นั้น ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง หลงอัตตานี่เอง พระศาสนดาจึงให้มองดูจิตของเรา เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย ถูกอารมณ์ดีมากระทบก็มิได้ดีด้วย ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบก็มิได้ร้ายไปด้วย เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจน รู้ว่าสภาวะเหล่านั้นไม่เป็นแก่นสาร ท่านเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง ผู้รู้มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย อาการที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิด อาการที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย ถ้ามันตายก็เกิด ถ้ามันเกิดก็ตาย ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ เป็นวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่หยุด เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย ภพมีไหน ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร พิจารณาอาการสังขารเหล่านี้แล้วจึงได้ปล่อยวางสังขาร วางขันธ์เหล่านี้ เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่เฉยๆ ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มี เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจมากระทบ มันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา เราติดมันไหม เราวางมันได้ไหม อาการที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมา เรารู้แล้ว ผู้รู้เอาความไม่ชอบไว้ในใจหรือเปล่า หรือว่าเห็นแล้ววาง ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้วยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่ เพราะยังผิดอยู่ ยังไม่ยิ่ง ถ้ามันยิ่งแล้วมันวาง ให้ดูอย่างนี้ เรื่องการปฏิบัติน้จึงสำคัญมาก ดูผู้รู้นี่แหละ ถ้ามันคิดชัง ทำไมถึงชัง ถ้ามันรัก ทำไมถึงรัก จะเป็นจิตหรือเจตสิกก็ไม่รู้ จึ้เข้าตรงนี้ จึงแก้เรื่องที่มันรักหรือชังนั่น ให้หายออกจากใจได้ จะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าทำจิตให้หยุดรักหรือหยุดชังได้ จิตก็พ้นจากทุกข์แล้ว จะเป็นอะไรก็ช่าง มันสบายแล้ว ไม่มีอะไร มันก็หยุด เมื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นมาบ่อยๆ ได้พิจารณาบ่อยๆ ด้วยอาการที่เราตั้งใจมิได้เผลอ จึงรู้อาการของสิ่งเหล่านี้ว่า มันเกิดตามความเป็นจริงของมัน เมื่อรู้เรื่อยๆ ไป ก็เกิดปัญญา เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ตามสภาวะของมัน สัญญาจะหลุด เลยกลายเป็นตัวปัญญา จึงเป็นศีล สมาธิ ปัญญา รวมเป็นอันเดียวกัน ถ้าปัญญากล้าขึ้น ก็อบรมสมาธิให้มั่นขึ้นไป เมื่อสมาธิมั่นขึ้นไป ศีลก็มั่นก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เมื่อศีลสมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็กล้าขึ้นอีก เมื่อสมาธิกล้าขึ้น ปัญญาก็กล้ายิ่งขึ้น สามอย่างนี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน ต้นกะบกต้นนี้ใบเป็นอย่างไร หยิบมาดูใบเดียวเท่านั้นก็เข้าใจได้แล้ว มันมีสักหมื่นใบก็ช่างมัน ใบกะบกเป็นอย่างนี้ ดูใบเดียวเท่านี้ ใบอื่นก็เหมือนกันหมด ถ้าจะดูลำต้นกะบกต้นอื่น ดูต้นเดียวก็จะรู้ได้หมด ดูต้นเดียวเท่านั้น ต้นอื่นก็เหมือนกัน ถึงมันจะมีแสนต้นก็ตาม เข้าใจต้นเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี สิ่งทั้งสามประการนี้ท่านเรียกว่ามรรค อันมรรคนี้ยังมิใช่ศาสนา อีกซ้ำยังไม่ใช่สิ่งที่พระศาสดาต้องการอย่างแท้จริง แต่เป็นหนทางที่จะดำเนินเข้าไป เหมือนที่ท่านมาจากกรุงเทพฯ จะมาวัดหนองป่าพง ท่านคงไม่ต้องการหนทาง ท่านต้องการถึงวัดต่างหาก แต่หนทางเป็นสิ่งจำเป็นแก่ท่านที่จะต้องมา ฉะนั้น ถนนที่ท่านมานั้น มันไม่ใช่วัด มันเป็นเพียงถนนมาวัดเท่านั้น แต่ก็จำเป็นต้องมาตามถนน จึงจะมาถึงวัดได้ ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี ถ้าจะพูดว่านอกศาสนา แต่ก็เป็นถนนเข้าไปถึงศาสนา เมื่อคราวปฏิบัตินั้น มีความสงสัยอยู่ว่า สมาธิเป็นอย่างไรหนอ คิดหาไป นั่งสมาธิไป จิตยิ่งฟุ้ง ยิ่งคิดมาก เวลาไม่นั่งค่อยยังชั่ว แหม มันยากจริงๆ ถึงยากก็ทำไม่หยุด ทำอยู่อย่างนั้น ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วสบาย เมื่อตั้งใจว่าจะทำให้จิตเป็นหนึ่งยิ่งเอาใหญ่ มันยังไงกัน ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ต่อมาจึงคิดได้ว่า มันคงเหมือนลมหายใจเรานี้กระมัง ถ้าว่าจะตั้งให้หายใจน้อย หายใจใหญ่ หรือให้มันพอดี ดูมันยากมาก แต่เวลาเดินอยู่ ไม่รู้ว่าหายใจเข้าออกตอนไหน ในเวลานั้นดูมันสบายแท้ จึงรู้เรื่องว่า อ้อ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เวลาเราเดินไปตามปกติมิได้กำหนดลมหายใจ มีใครเคยเป็นทุกข์ ถึงลมหายใจไหม? ไม่เคย มันสบายจริงๆ ถ้าจะไปนั่งตั้งใจเอาให้มันสงบ มันก็เลยเป็นอุปทานยึดใส่ ตั้งใส่ หายใจสั้นๆ ยาวๆ เลยไม่เป็นอันกำหนด จิตเกิดมีทุกข์ยิ่งกว่าเก่า เพราะอะไร? เพราะความตั้งใจของเรากลายเป็นอุปทานเข้าไปยึด เลยไม่รู้เรื่อง มันลำบาก เพราะว่าเราเอาความอยากเข้าไปด้วย สมาธิไม่ต้องเท่าไหร่ ดูอาการภายนอกเลย ดูเหตุผล พิจารณาเรื่อยไป เราเอาความสงบนี้มาพิจารณา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบ แม้จะดี จะชั่ว สุข ทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวง เหมือนกับคนขึ้นต้นมะม่วงแล้วเขย่าลูกหล่นลงมา เราอยู่ใต้ต้นมะม่วงคอยเก็บเอา ลูกไหนเน่าเราไม่เอา เอาแต่ลูกที่ดีๆ ไม่เปลืองแรง เพราะว่าไม่ได้ขึ้นต้นมะม่วง คอยเก็บอยู่ข้างล่างเท่านั้น ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดมา เอาความรู้มาให้เราหมด มิได้ไปปรุงแต่งมัน ลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ มันมาเอง เรามีความสงบ มีปัญญา สนุกเฟ้น สนุกเลือกเอา ใครจะว่าดี ว่าชั่ว ว่าร้าย ว่าโน่นว่านี่ ต่างๆ นานา ล้วนแล้วแต่เป็นกำไรของเราหมด เพราะมีคนเขย่าให้มะม่วงหล่นลงมา เราก็สนุกเก็บเอา ไม่กลัว จะกลัวทำไม มีคนขึ้นเขย่าลงมาให้เรา ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวง เหล่านี้เปรียบเหมือนมะม่วงหล่นลงมาหาเรา เราเอาความสงบมาพิจารณาเก็บเอา เรารู้จักแล้ว ลูกไหนดี ลูกไหนเน่า เมื่อเริ่มพิจารณาสิ่งเหล่านี้ อาการที่พิจารณาออกจากความสงบเหล่านี้ เรียกว่าปัญญา เป็นวิปัสสนา ไม่ได้แต่งมัน ถ้ามีปัญญา มันเป็นของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งชื่อมัน ถ้ามันรู้แจ้งน้อย ก็เรียกว่า วิปัสสนาน้อย ถ้ามันรู้อีกขนาดหนึ่ง ก็เรียกว่า วิปัสสนากลาง ถ้ามันรู้ตามความเป็นจริง ก็เรียกว่า วิปัสสนาถึงที่สุด เมื่อเราทำไปถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ปล่อยตามบุญวาสนาบารมีของเรา แต่เราไม่หยุดทำความเพียร จะช้าหรือเร็ว เราบังคับไม่ได้ เหมือนปลูกต้นไม้ มันจะรู้จักของมัน มันอยากเร็วก็รู้ว่ามันหลง มันอยากช้าก็รู้ว่ามันหลง เมื่อทำแล้วมันจึงเกิดผลขึ้นมา เหมือนเราปลูกต้นไม้ เช่น ปลูกพริกต้นนี้ หน้าที่ของเราคือขุดหลุมปลูก ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ป้องกันแมลงให้มันเท่านั้น นี่เรื่องของเรา นี่เรื่องศัทธาของเรา ส่วนต้นพริกจะโตก็เป็นเรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา จะไปดึงให้มันยืดขึ้นมาก็ไม่ได้ ผิดเรื่อง เราต้องให้น้ำ เอาปุ๋ยใส่ให้ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ก็จะสบาย จะถึงชาตินี้ก็ช่าง ถึงชาติหน้าก็ตาม เรามีศรัทธาอย่างนี้แล้ว มีความรู้สึกแน่นอนแล้วอย่างนี้ จะเร็วหรือช้านั้น เป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีของเรา ทีนี้ก็รู้สึกสบาย เหมือนขับรถม้า ก็มิได้เอารถไปก่อนม้า แต่ก่อนมันเอารถไปก่อนม้า ถ้าไถนาก็เดินก่อนควาย หมายความว่าใจมันเร็วมาก ร้อนมาก ทีนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เดินก่อน ต้องเดินตามหลังควาย ถ้าเอาน้ำให้กิน เอาปุ๋ยให้กิน กินไปเถอะ มดปลวกมาข้าจะไล่ให้เจ้า เท่านั้แหละต้นพริกต้นนี้มันก็จะงามขึ้นเอง เมื่อมันงามแล้วเราจะบังคับว่า แกต้องเป็นดอกเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าทำ เราจะเป็นทุกข์เปล่าๆ มันจะเป็นของมันเอง เมื่อมันเป็นดอกแล้ว เราจะให้เป็นเม็ดเดี๋ยวนี้ อย่าไปบังคับมัน ทุกข์จริงๆ นา ทุกข์จริงๆ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เรารู้จักหน้าที่ของเรา ของเขา หน้าที่ของใครของมัน จิตก็จะรู้หน้าที่การงาน ถ้าจินไม่รู้หน้าที่การงาน ก็จะไปบังคับต้นพริกให้มีผลในวันนั้นเอง ให้มันโตเป็นดอกเป็นผลขึ้นในวันนั้น นั่นล้วนแต่เป็นตัวสมุทัย เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมาทั้งนั้น ถ้ารู้อย่างนี้ คิดอย่างนี้ รู้ว่ามันหลง มันผิด รู้อย่างนี้แล้วก็ปล่อย ให้เป็นเรื่องบุญวาสนาบารมีต่อไป เราทำของเราไป ไม่ต้องกลัวว่าจะนาน ร้อยชาติ พันชาติก็ช่างมัน จะชาติไหนก็ตาม ปฏิบัติสบายๆ นี่แหละ พวกญาติโยมถึงปฏิบัติอยู่บ้าน ก็พยายามให้มีศีล 5 กาย วาจา ของเราพยามให้เรียบร้อย พยายามดีๆ เถอะ ค่อยทำค่อยไป การทำสมถะนี่ อย่านึกว่าไปทำครั้งหนึ่งสองครั้งแล้ว มันไม่สงบก็เลยหยุด ยังไม่ถูก ต้องทำนานอยู่นะ ทำไมถึงนาน คิดดูสิเราปล่อยมากี่ปี เราไม่ได้ทำ มันว่าไปทางโน้นก็วิ่งตามมัน มันว่าไปทางนี้ก็วิ่งตามมัน ทีนี้จะหยุดให้มันอยู่เท่านี้ เดือนสองเดือนจะให้มันนิ่ง มันก็ยังไม่พอ คิดดูเถิด การปฏิบัตินั้นให้พยายามทำ มันจะสงบหรือไม่สงบก็ช่าง ปล่อยไว้ก่อน เราเรื่องเราปฏิบัติเป็นเรื่องแรก เอาเรื่องเราได้สร้างเหตุนี้แหละ ถ้าทำแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรก็ได้ เราได้ทำแล้ว อย่ากลัวว่าจะไม่ได้ผล มันไม่สงบ เราได้ทำแล้ว ถ้าจะนั่งสมาธิ อย่าคิดมาก ถ้าอยากให้มันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ หยุดดีกว่า เวลานั่งสมาธิเราตั้งใจว่า "เอาละ จะเอาให้มันแน่ๆ ดูที" เปล่า! วันนั้นไม่ได้เรื่องเลย แต่คนเราชอบทำอย่างนั้น บางคืนพอเริ่มนั่งก็นึกว่า เอาละวันนี้อย่างน้อยตีหนึ่งจึงจะลุก คิดอย่างนี้ไม่นานหรอก เวทนามันรุมเอาเกือบตาย มันจะดีเวลานั่งโดยไม่ต้องกะต้องเกณฑ์ ไม่มีที่จุดที่หมาย ทุ่มหนึ่ง สองทุ่ม สามทุ่ม ก็ช่างมัน นั่งไปเรื่อยๆ วางเฉยไว้ อย่าบังคับมัน อย่าไปหมายมั่น อย่าไปบังคับหัวใจว่า จะเอาให้มันแน่ๆ มันก็ยิ่งไม่แน่ ให้เราวางใจสบายๆ หายใจก็ให้พอดี อย่าเอาสั้น เอายาว อย่าไปแต่งมัน กายก็ให้สบาย ทำเรื่อยไป มันจะถามเราว่า จะเอากี่ทุ่ม จะเอานานเท่าไหร่ มันมาถามเรื่อย เราต้องตวาดมัน "เฮ้ย อย่ามายุ่ง" ต้องปราบมันไว้เสมอ เพราะพวกนี้มีแต่กิเลส มากวนทั้งนั้น อย่าเอาใจใส่มัน ต้องตัดมันไว้อย่างนี้ แล้วเราก็นั่งเรื่อยไป ตามเรื่องของเรา วางใจสบาย ก็เลยสงบ ถ้าเราทำภาวนา อย่าให้กิเลตัณหามันรู้เงื่อนรู้ปลายได้ จิตของเราก็เหมือนควาย อารมณ์คือต้นข้าว ผู้รู้ก็เหมือนเจ้าของ ควายจะต้องกินต้นข้าว ต้นข้าวเป็นของที่ควายจะกิน เวลาเราไปเลี้ยงควาย ทำอย่างไร ปล่อยมันไป แต่เราพยายามดูมันอยู่ ถ้ามันเดินไปใกล้ต้นข้าว เราก็ตวาดมัน ควายได้ยินก็จะถอยออก แต่เราอย่าเผลอนะ ถ้ามันดื้อไม่ฟังเสียง ก็เอาไม้ค้อนฟาดมัน มันจะได้กินต้นข้าวหรือ แต่เราอย่าไปนอนหลับกลางวันก็แล้วกัน ถ้าขืนนอนหลับ ต้นข้าวหมดแน่ๆ เราการปฏิบัติก็เช่นกัน เมื่อเราดูจิตของเราอยู่ ผู้รู้ดูจิตเจ้าของ ผู้ใดที่ตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงมาร จิตอันหนึ่ง ผู้รู้อันหนึ่ง รู้ออกมาจากจิตนั่นแหละ ผู้รู้จะตามดูจิต ผู้รู้นี้จะเกิดปัญญา จิตนั้นคือความนึกคิด ถ้าพบอารมณ์นั้นก็แวะไป ถ้าพบอารมณ์อีกมันก็แวะไปอีก มันเข้าจับทันที เหมือนกับควายนั่นแหละ เมื่อมันเข้าจับ ผู้รู้ต้องสอนต้องพิจารณา จนมันทิ้ง อย่างนี้จึงสงบได้ จับอะไรมาก็มีแต่ของไม่น่าเอา มันก็หยุดเท่านั้น มันก็ขี้เกียจเหมือนกัน เพราะมีแต่ถูกด่าถูกว่าเสมอ ทรมานมันเข้า ทรมานเข้าไปถึงจิต หัดมันอยู่อย่างนี้แหละ เขาว่าเราทำผิด แต่เราไม่ผิดดังเขาว่า เขาพูดไม่ถูก ก็ไม่รู้จะไปโกรธเขาทำไม เพราะเขาพูดไม่ถูกตามความจริง ถ้าเราผิดดังเขาว่า ก็ถูกดังเขาว่าแล้ว ไม่รู้จะไปโกรธเขาทำไมอีก ถ้าคิดได้ดังนี้ รู้สึกว่าสบายจริงๆ มันเลยไม่มีอะไรผิด ล้วนแต่เป็นธรรมทั้งหมด อาตมาปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้มันลัดตรงจริงๆ เราจะไม่เอาใจใส่ทั้งความสุข และความทุกข์ จะวางมัน สัมมาปฏิปทา ต้องเดินสายกลาง สงบจากความสุข ความทุกข์ ความดีใจ เสียใจ นี้คือลักษณะปฏิบัติ ถ้าใจเราเป็นอย่างนี้แล้ว หยุดได้ หยุดถามได้ ไม่ต้องไปถามใคร ต้องเป็นผู้ละ พูดจาน้อย มักน้อย เป็นคนละทิฏฐิมานะทั้งหลายทั้งปวง คนพูดผิดก็ฟังได้ คนพูดถูกก็ฟังได้หมด ดูจิตดูใจเรา คล้ายๆ กับว่า จิตมันวางเป็นปกติ ถ้ามันเคลื่อนออกจากปกติ เช่น มันคิดมันนึกต่างๆ นั่นเป็นสังขาร สังขารนี้มันจะปรุงเราต่อไป ระวังให้ดี ให้มันรู้ไว้ ถ้ามันเคลื่อนออกจากปกติแล้ว ไม่เป็นสัมมาปฏิปทาหรอก อาตมาเห็นว่าจิตนี้เหมือนกับจุดๆ เดียวเท่านั้น อันที่เรียกว่าเจตสิกนั่นเป็นแขก แขกมาพักอยู่ตรงนี้ คนนั้นมาเยี่ยมเราบ้าง คนโน้นมาเยี่ยมเราบ้าง มาพักอยู่ตรงนี้ เราจึงเรียกพวกนั้น ที่ออกจากจิตของเรามา เป็นเจตสิกหมด ทีนี้เรามาทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ ตื่นอยู่ คอยรักษาจิตของเราอยู่ ถ้าแขกมาเมื่อไหร่ โบกมือห้าม มันจะมานั่งที่ไหน มีที่นั่งที่เดียวเท่านั้น เราก็พยายามรับแขกอยู่ตรงนี้ตลอดวัน พูดถึงอาคันตุกะ แขกที่จรมาปรุงมาแต่งต่างๆ นานา ให้เราเป็นไปตามเรื่องของมัน อาการของจิตที่เป็นไปตามเรื่องของมัน นี่แหละเรียกว่า เจตสิก มันจะเป็นอะไร จะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้จักอาคันตุกะที่มาพัก ที่รักแขกมีเก้าอี้ตัวเดียวเท่านั้นเอง เราเอาผู้หนึ่งไปนั่งไว้แล้ว มันก็ไม่มีที่นั่ง มันมาที่นี่ มันก็จะมาพูดกับเรา ครั้งนี้ไม่ได้นั่ง ครั้งต่อไปก็จะมาอีก มาเมื่อไหร่ก็พบแต่ผู้นี้นั่งอยู่ ไม่หนีสักที มันจะทนมากี่ครั้ง ไฟอยู่บ้านเขา ไปจับมันก็ร้อน ไฟอยู่บ้านเรา ไปจับมันก็ร้อนเหมือนกัน ถาม ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย ตอบ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ ความอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้ จะเร่งความเพียรทั่งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง


    ตาลายกันไหม ฝึกสมาธิ ฝึกความเพียร เพราะเราปล่อยกาย ปล่อยจิตกันมายาวนานมาก
    ที่อ่านไม่ได้ แสดงว่า จิตยังไม่เป็นสมาธิ เพราะจิตเคยวิ่งตามแต่สิ่งที่ชอบใจ จนเคยชิน
    นี่อย่างไงเล่า ถึงว่า ทุกคนย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม คำๆนี้จึงถูกต้องที่สุด
    แต่หารู้ไม่ กรรมในปัจจุบันนี้ เราเท่านั้นเป็นคนเปลี่ยนได้
    แต่กรรมในอดีต ไม่มีผู้ใดจะไปเปลี่ยนแปลงได้ กรรมอนาคตจะดีหรือไม่ ก็อยู่ที่เราเอง
    ตายไปสุคติหรือทุคติ ก็อยู่ที่เหตุในปัจจุบันของเรานี้ เท่านั้นเอง เป็นผู้เลือกเอง
    แล้วเราจะไปคอยโทษใครอยู่เล่า อย่าไปรู้แต่ผู้อื่น สิ่งอื่น
    แต่สิ่งที่เราจะต้องรู้ดีที่สุดนั่นก็คือ กายใจของเราเอง
    มิใช่ ไปรู้ดีทุกสิ่ง รู้ดีกว่าคนอื่น รู้คนอื่นดี รู้หมดแร๊ะ
    แต่ที่ไม่รู้มีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ ตัวกูเอง
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะ ขออนุโมทนาในธรรมะที่ท่านได้นํามาลงเพื่อเป็นธรรมทานค่ะ ใช่เลยค่ะ การถกเถียงกัน โดยต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล ด้วยกันเช่นนั้น จะไม่มีที่สิ้นสุดเพราะต่างคนก็มีเหตุผลของตนเองอยู่แล้ว อย่างคนที่ทําผิด หรือทะเลาะกันโดยหาเหตุผลที่ลงตัวไม่ได้ ก็เลยต้องไปขึ้นศาล เพื่อขอให้ผู้อื่นตัดสินให้ นั้นก็คือ ไม่ลงกันง่ายๆ

    เพราะเป็นเหตุผลทางโลก คนจึงต้องมานั่งเถียงกัน และต้องไปให้ศาลตัดสินคดีความให้ แต่เหตุผลทางธรรมนั้นจะไม่มีการเถียงกัน เพราะต่างคนต่างปฏิบัติ และต่างคนต่างให้อภัยซึ้งกัน และกัน เพราะการปฏิบัติธรรมก็เพื่อความหลุดพ้น ถ้ายังมาเถียงกันอยู่ก็ยังไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพราะผู้ปฏิบัติจะเข้าใจ ในความไม่เข้าใจของผู้อื่น และจะให้อภัยกันได้เสมอ

    เพราะการให้อภัยทาน เป็นทานอันสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ ตรัสไว้...และความถูกต้องที่อยู่เหนือ เหตุผลที่ดีที่สุด คือความนิ่งเฉย...เพราะผู้รู้จะนิ่งเฉยได้ แต่ผู้ไม่รู้นี่ชิจะต้องทําให้รู้ จึงต้องมีการซักถาม หรือ สงสัย ยกตัวอย่างมีเด็กสองคน เถียงกันอยู่ หน้าดําหน้าแดง

    เพราะต่างคนก็คิดว่าตัวเองถูก แต่ผู้ใหญ่นั่งอยู่ด้วยก็รู้ว่าใครถูก หรือใครผิดแต่ก็นิ่งเสียได้... เพราะถ้าพูดไปเด็กที่เถียงกันอยู่ผู้ที่ชนะก็จะดีใจหรือได้ใจไป แต่ผู้ที่แพ้ ก็จะเสียใจผู้ใหญ่ที่ฉลาดจึงนิ่งเสีย ความนิ่งเสียก็คือความถูกต้องนั้นเอง...และพระอรหันต์ท่านจึงไม่วันที่มาเถียงกันหรือทะเลาะกันนั้นเอง...ขอกล่าวตามความเข้าใจนะค่ะ สาธุค่ะ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    แม้นกระทั่ง พระก็ยังไม่สำรวม นับประสาอะไรกับผู้ปฎิบัติ
    ยิ่งคนที่ไม่ได้ปฎิบัติก้ไม่ต้องพูดถึง
    มิใช่เรื่องง่ายนัก การสำรวมจิตนี่ก็จะหมายถึง จิตของผู้ปฎิบัติท่านนั้น
    นำภาพมาประกอบให้ดูกันเฉยๆนะ อย่าไปคิดมาก
    เพราะมิได้เจตนาเพื่อปรามาสพระสงฆ์แต่อย่างใด
    แต่เจะเพื่อธรรมทานเท่านั้น ขอให้ดูที่เจตนาผู้นำเสนอด้วย
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังมีความสงสัยอยู่มาก ชอบถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง
    พยายามถามที่เรื่องที่เป็นไปได้จริง เรื่องไกลตัวมากๆก้อย่าไปถามมันเหมือนเด็กๆ
    พยายามถามในแต่เฉพาะเรื่องใกล้ๆตัว เช่น

    ถ้ากูตายตอนนี้ จิตหรือวิญญาณกูจะไปไหน

    (ขออนุญาตใช้คำๆนี้ ภาษาสมมุตินี้ มันถึงใจดี)

    เราเท่านั้นจักต้องไปตาหาตัวรู้ของตนให้ได้
    นั่นก็คือ ปัญญาทางธรรม มิใช่ปัญญาแต่ทางโลก

    มิฉะนั้น คนที่จบด๊อก มีอาชีพเป็นหมอ ยังต้องมาปฎิบัติธรรมเลย
    ปฎิบัติทำไม ทำไมไม่ตรัสรู้เอง ใช่ไหม
    นั่นก็แสดงว่า ปัญญาทางโลกนี่ ไม่ได้ช่วยให้หายจากทุกข์ได้เลย
    ขนาดรู้ชื่อ รู้การทำงานของอวัยวะทุกอย่างหมดเลย สำหรับคนที่เป็นหมอ
    แต่ทำไม แต่ทำไม ไม่เหมือนการพิจารณาอสุภะ การปล่อยวางในรูปของตนได้
    จริงไหม๊ ทำไมหมอบางท่านยังไปหลงยึดการ ยึดสังขารคือคิดปรุงแต่งจิตตนเอง
    ส่วนคนที่มองเห็นพระภิกษุไม่สำรวม ก็อย่านำจิตไปส่าย อย่าหลงไปตำหนิท่านนะ
    เดี๋ยวจะกลายเป็นปรามาสพระโดยมิได้ตั้งใจ ถึงวันนี้ท่านเป็นสมมุติสงฆ์ก็ตาม
    แต่ยังมีโอกาสเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ในอนาคตกาล ก็เป็นได้
    อย่าประมาท แต่ขอให้เรากราบไหว้พระ ถึงไม่ใช่พระจริงๆตามที่ใจเรานึกคิด
    ขอให้เรากำหนดนึกภายในใจดังนี้ว่า ที่เรากำลังกราบไหว้พระองค์นี้ อยู่นี้ ในขณะนี้
    ในใจเรานึกไปกราบไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์แทนก็แล้วกันนะครับ
    เพราะพระสงฆ์สาวกนั้น ต่างก็เป็นหนึ่งในแก้วสามประการนั้น
    ผมหมายถึง พระรัตนตรัยนั่นเอง
    คราวนี้ พวกเราจะได้วางกำลังใจถูกต้องกันแล้วนะครับ
    อย่าให้จิตที่เรากำลังดีๆอยู่นี้ เป็นบุญกุศลอยู่นี้ อย่าได้กลายเป็นอื่นไปกว่านี้เลย
    โมทนาสาธุ

    ตาลายกันไหม ฝึกสมาธิ ฝึกความเพียร เพราะเราปล่อยกาย ปล่อยจิตกันมายาวนานมาก
    ที่อ่านไม่ได้ แสดงว่า จิตยังไม่เป็นสมาธิ เพราะจิตเคยวิ่งตามแต่สิ่งที่ชอบใจ จนเคยชิน
    นี่อย่างไงเล่า ถึงว่า ทุกคนย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม คำๆนี้จึงถูกต้องที่สุด
    แต่หารู้ไม่ กรรมในปัจจุบันนี้ เราเท่านั้นเป็นคนเปลี่ยนได้ แต่กรรมในอดีต ไม่มีผู้ใดจะไปเปลี่ยนแปลงได้
    กรรมอนาคตจะดีหรือไม่ ก็อยู่ที่เราทำเองนี่แหล่ะ
    ตายไปสุคติหรือทุคติ ก็อยู่ที่เหตุในปัจจุบันของเรานี้ เท่านั้นเอง เป็นผู้เลือกเอง
    แล้วเราจะไปคอยโทษใครอยู่เล่า อย่าไปรู้แต่ผู้อื่น สิ่งอื่น
    แต่สิ่งที่เราจะต้องรู้ดีที่สุดนั่นก็คือ กายใจของเราเอง
    มิใช่ ไปรู้ดีทุกสิ่ง รู้ดีกว่าคนอื่น รู้คนอื่นดี รู้หมดแร๊ะ
    แต่ที่ไม่รู้มีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือ ตัวกูเอง

    เพราะฉะนั้น จงอย่าไปสนใจในจริยาผู้อื่น
    ใครเขาจะดีหรือเลวก็ไม่เกี่ยวกับตนเอง
    แต่ถ้าจะพูดกับผู้ปฎิบัติ ก็คือ มันไม่เกี่ยวกับมรรคผลตนเอง
    สรุปแล้ว ใครจะดีเลวก็เรื่องของเขา เอาจิตเราให้รอดก่อนจะดีไหม๊


    โดยเฉพาะ คำว่า อย่าสนใจจริยาผู้อื่น เขาเนี๊ย
    ผมนำมาเป็นธรรมาทานอยู่บ่อย ย้ำเตือน โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติ
    มิใช่ผมเอานำเสนอแค่ธรรมาทานเท่านั้น แต่ผมยังจดจำไปสอนตนเองให้มาก
    เพราะตราบใด ที่เรายังมีขันธ์ถือว่า ตนเองยังเลวอยู่
    นี่แหล่ะ สิ่งที่จะบอกให้กันรับรู้ไว้ว่า นี่คือ คำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯของพวกเรา
    ที่พวกเรารักเคารพเทอดทูนบูชากันตลอดเวลา อย่านึกแต่ชื่อท่าน หรือรูปท่านเท่านั้น
    สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านี้ก็คือ คำสอนท่านพ่อ(สมเด็จองค์ปฐม) หรือหลวงพ่อฤาษีฯ
    ให้ปฎิบัติตามให้จงได้ และตรงนี้นี่แหล่ะ ที่ท่านทั้งสองปรารถนา​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤศจิกายน 2013
  9. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]


    ~ให้ทำใจให้สบาย จึงจักมีปัญญาพิจารณาธรรมะต่างๆ ได้ดี รวมทั้งมีปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาได้
    ถ้าหากใจร้อน กิเลสนำหน้าจักบดบังปัญญาให้มืดมิด พิจารณาธรรมต่างๆ ก็ไม่ทะลุปรุโปร่ง
    มีปัญหาขึ้นมาก็กลัดกลุ้มแก้ไขไม่ได้ ให้รักษาอารมณ์ใจเอาไว้ให้ดีด้วย
    การเตรียมใจให้ยอมรับปัญหา อย่าให้ความวิตกกังวลนำหน้า ให้พิจารณากฎของธรรมดา
    แล้วยอมรับนับถือกฎของธรรมดานั้น และจงรักษาอารมณ์ใจให้อยู่กับปัจจุบันธรรมให้มากที่สุด
    จิตจักมีสติ-สัมปชัญญะอยู่เสมอ ไม่ฟุ้งซ่านไปกับอดีตที่ผ่านมา กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
    วางใจให้สงบ ไม่ว่ามีกรณีใดๆ เกิดขึ้นให้สงบอกสงบใจเอาไว้ก่อน
    ค่อยๆ ดู ค่อยๆ คิด พิจารณาแล้วจักมีหนทางแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เอง
    ~

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๒ หน้า ๔๕
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    *****************************************​

    ลูกขอน้อมนำคำสอน ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระราชพรหมยานมหาเถระ
    มาแสดงเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรม
    ต่อกัลยาณมิตรทั้งหลาย ที่สนใจที่จะก้าวไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น
    จากวัฏฏะสงสารนี้ในที่สุด ขอหลวงพ่อโปรดเมตตา ลูกๆทั้งหลายด้วยเถิด สาธุ

    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จิตบุญ14
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  10. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]




    ~ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ใช่ได้กันง่ายหรอก แต่ก็จงอย่าคิดว่าทำไม่ได้
    รักษากำลังใจให้ดี อย่าทำกำลังใจให้เสีย ประคองเข้าไว้ด้วยปัญญา
    ฝึกฝนจิตให้มีความผ่องใสอยู่เป็นนิจ เป็นการฝึกจิตให้ปล่อยวางกับสิ่งสมมุติรอบด้าน
    ยึดสิ่งใดในโลก ย่อมทุกข์เพราะสิ่งนั้น พึงหมั่นฝึกจิตให้ปล่อยวางเข้าไว้ให้จิตชิน
    เมื่อวันจริงมาถึง คือความตาย ทุกคนก็ไม่สามารถเอาสมบัติของโลกไปได้
    สมบัติของโลกที่เรารักที่สุดก็คือ ร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ เราก็เอาไปไม่ได้
    หากวางร่างกายหรือขันธ์ ๕ ได้จุดเดียว ก็วางทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ไม่ยาก~





    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑๗ หน้า ๕๑
    รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    พระราชพรหมยานมหาเถระ
    หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    **************************************************************​



    ลูกขอน้อมนำคำสอน ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระราชพรหมยานมหาเถระ
    มาแสดงเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรม
    ต่อกัลยาณมิตรทั้งหลาย ที่สนใจที่จะก้าวไปสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น
    จากวัฏฏะสงสารนี้ในที่สุด ขอหลวงพ่อโปรดเมตตา ลูกๆทั้งหลายด้วยเถิด สาธุ



    ด้วยจิตคารวะ

    newwave1959

    ปาราเมศ จิตบุญ14
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  11. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายลองคิดตรองดู

    ขออนุญาตครับ

    ขอนำข้อเขียนของผมมาให้ท่านผู้มีปัญญา ท่านผู้หลงใหลในธรรมเพื่อความหลุดพ้นทั้งหลายลองตรองดู

    ถ้าท่านมีปัญญา มีความกล้าอย่างพอเพียง


    สิ่งที่พวกท่านทำกันอยู่ เทียบกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่เพียงคนเดียว พอจะเปรียบเทียบกันได้ไหม?

    ๑. ผมเป็นกำลังสำคัญ ในการร่วมสร้าง ในการสนับสนุนการสร้าง พระพุทธอลังการ(พระใหญ่ชัยภูมิ)

    ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมาหล่อด้วยทองเหลือง หน้าตัก กว้าง ๙๙ เมตร ความสูง ๑๙๙ เมตร

    ๒.ผมเป็นกำลังสำคัญ ในการร่วม หาเงินเพื่อสร้าง "พระมหาเจดีย์ พระเกศแก้วจุฬามณี"

    สร้างด้วยแก้ว สูง ๑๐๘ เมตร

    ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมเป็นผู้พิจารณาหาวิธี จะหาเงินมาได้ง่้ายๆได้อย่างไร

    ๑,๐๐๐ ล้านแรก หรือ ๑๐,๐๐๐ ล้านเรก

    วิธีการ ขั้นตอน บุคคลที่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างล้วนลงตัวหมดแล้ว

    รอแต่เวลาที่ผมว่าง และ การทำความเข้าใจให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

    ๓.ผมได้เคย กล่อม องค์กรระหว่างประเทศ ที่จะนำเม็ดเงิน หลายแสนล้าน
    เข้ามาช่วยพัฒนาประเทศไทย

    หลังจากนั้นไม่นาน ผมกลับมีส่วนสำคัญ ในการเริ่มโครงการฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อเร่งให้มีการเริ่มงานให้ทัน
    วันที่มีความสำคัญมากที่สุดในประเทศไทยปัจจุบัน คือ วันที่ ๕ ธันวา่คม ๒๕๕๖ นี้

    โดยทุกๆท่านที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่า ผมเป็นใคร? ผมมาจากไหน? ผมหน้าตาเป็นอย่างไร?

    สิ่งที่พวกท่านรู้ก็แค่ว่า ถ้าไม่มีผมคนนี้ งานเดินหน้าไม่ได้

    เพราะที่ต่างมุ่งตามหาผู้มาร่วมงานนั้น เพื่อเร่งงานให้ทันนั้น แค่เป็นการพูดคุย ทางโทรศัพท์เท่านั้นเอง

    ผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้น ต่างก็ไม่เคยพบปะพูดคุย เจอหน้า เจอตาผมเลย

    ผมก็อยากจะถามพวกท่านว่า

    พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?
    สิ่งที่พวกท่านกำลังพากันทำอยู่นี้ ท่านว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหนกันหรือ?

    ขอเมตตาตอบให้ผมเข้าใจหน่อย

    เพราะที่ผมรู้ เพราะที่ผมเห็น เพราะที่ผมเข้าใจนั้น

    บอกออกไป มันเกินกว่าที่ทุกๆท่านจะเข้าใจได้

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  12. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนาในคุณงามความดีของลุงมหาด้วยน่ะครับ

    ภายในองค์กรหนึ่ง มักจะประกอบไปด้วยหลายๆฝ่ายด้วยกัน เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาด ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายผลิต ฝ่ายซ่อมบำรุง และอื่นๆอีก แต่ละฝ่ายนั้นก็ทำหน้าที่ของแต่ละท่าน ขอให้แต่ละฝ่ายนั้นทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันถึงจะไปได้รอดทั้งองค์กร

    ทุกๆอย่างมันมีเหตุปัจจัยด้วยกันทั้งนั้น

    อย่าได้ใช้ธรรมใดๆ มาขัดแย้งกันเลย ทุกๆอย่างนั้นมันมีดีด้วยกันทั้งนั้น ขอให้วางทิฐิมานะลงบางเถอะ เพราะมันก็ไม่จีรังยังยืน มันสามารถเสื่อมลงได้ตลอดเวลา

    ขอให้วางกำลังใจในการทำงานใหม่ โดยการทำความดีโดยไม่คาดหวังผล ไม่คาดหวังการสรรเสริญใดๆ เป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระให้เป็น เมื่อเรานั้นทำไปเรื่อยๆ มันก็ออกมามากของมันเอง

    ปล.การที่จะตัดสินสิ่งใดเราต้องเข้าไปดู ไปรู้ ให้ข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเสียก่อน อย่าได้มองจากภายนอกเพียงอย่างเดียว อย่าได้ตัดสินตามการที่ได้ยินได้ฟังมา มันจะทำให้ผิดพลาดได้ง่าย
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,905
    ค่าพลัง:
    +16,487
    วันนี้ แวะมาเยี่ยมบ้านเก่าอันแสนอบอุ่น และมีเมตตา ..
    สวัสดีคุณครูทุก ๆ ท่าน อ.ภู(อ่านธรรมะท่านแล้ว ตาไม่ล้ายยย 5555 เพราะกลัวท่านว่า..ท่านเขียนจากจิต เลยไม่เว้นวรรค เว้นเคาะเลย ตัวก็เล็ก..อ่านแล้วสนุก ๆ ๆ เพลิดเพลิน..เจริญจิตจ้า ๆ )


    [​IMG]
     
  14. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    โมทนาในทุกกุศลที่ลุงมหาได้ทำนะคะ อะไรที่เป็นสิ่งดีงามก็ทำต่อไปค่ะ เราลูกหลานพระพุทธเจ้าเหมือนกันคงไม่มีใครมาเทียบความยิ่งใหญ่กันหรอกนะคะ ขออย่าไปเทียบว่าใครเหนือกว่าใคร ทำอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่ากันเลย เพราะแม้จะทำอะไรก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธเจ้าได้

    และตราบใดที่เราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา มีสองมือ สองเท้า กินข้าว ขับถ่ายเหมือนกัน มีความทุกข์ไม่ต่างกันยังไงก็คือคนธรรมดาคนนึงเท่านั้น แต่จิตสิที่วัดกันไม่ได้ ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา (ส่วนบารมีก็อีกเรื่อง) ไม่มีใครรู้ดีเท่าพระพุทธเจ้าและตัวเราเองค่ะ



    ขอลุงมหาได้พบแต่ความสุข ร่มเย็นในกุศลที่ท่านได้ทำ และมีจิตใจเมตตาต่อพี่น้องร่วมศาสนาด้วยกัน...ขอให้มากด้วยสติ ปัญญา และบารมีนะคะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  15. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    ก่อนอื่นก็ต้องขอกราบอภิมหาอนุโมนาบุญด้วยทุกประการกับคุณลุงมหาค่ะ คำว่า "บุญ" ก็คือ ความสุขใจ ไม่ว่าจะบุญเล็ก หรือ บุญใหญ่ จริงๆ แล้วไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินดอก แต่มันอาจจะวัดได้ที่หน้าใหญ่ หน้าเล็ก ไปตามโลกธรรมแปดที่ถูกสมมุติขึ้น แต่มันวัดกันได้ที่กำลังใจค่ะ เช่น เศรษฐีแสนล้าน ทำบุญหมื่นล้าน กำลังใจยังสู้ไม่ได้กับขอทานที่ทำบุญทั้งหมดที่มีอยู่ในกะลาเพียงแค่ร้อยบาทเลยค่ะ...

    พระพุทธเจ้าบอกว่า การทำดี อย่าหลงดี การทำบุญ ก็อย่าได้ "หลง" บุญ เด็ดขาด การทำบุญ ให้ทำเพื่อปล่อย ไม่ใช่ทำบุญแล้วยิ่งไปเกาะบุญ คือ ทำบุญก็เพื่อให้ปล่อยความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนี่ยวออกไปจากจิตตน ไม่ใช่ทำบุญใหญ่แล้วยิ่งไปเกาะ ยิ่งไปยึดมั่นถือมั่นว่า "กูโคตรดี โคตรเก่ง" เสียเต็มประดา หารู้ไม่นั้นมัน โดนกิเลสหลอกเข้าเต็มๆ หัวแล้วยังไม่รู้ตัวอีก...

    การทำความดี (ถ้าดีจริงๆ) ก็อย่านำมาเปรียบเทียบกันเลย...เพราะแต่ละคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันไป...ในประเทศหนึ่งๆ จะพัฒนาขับเคลี่อนไปได้ ก็ต้องใช้คนดี คนเก่งในหลายๆ ด้าน ฉันใดก็ฉันนั้นค่ะ พระพุทธศาสนาจะอยู่ครบถึงห้าพันปีหรือไม่ ก็ต้องทำให้ถึงพร้อมด้วย...

    ทาน ศีล และภาวนา

    คุณลุงมหากำลังทำหน้าที่อยู่ในส่วนของ "ทาน" ส่วนเรื่องของ "ศีล ภาวนา" ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นเค้าไป...

    แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คุณลุงมหาก็ต้องเตรียมจิตของตัวเองให้ถึงพร้อมไปด้วยทั้ง "ทาน ศีล และภาวนา" น่ะค่ะ

    ขอให้คุณลุงมหาเดินตามพระพุทธเจ้าน่ะ อย่่าได้เดินตามใครเลย เดินตามรอยเท้าพระพุทธเจ้าไม่มีหลง แต่ถ้าเดินตามคนอื่นอาจหลงได้ เพราะตราบใดที่ผู้นั้นยังละ ยังออกจากขันธ์ห้าของตนเองยังไม่ได้ อุปทานขันธ์ก็ยังมีอยู่... สิ่งก่อสร้างทุกอย่างไม่ว่าจะใหญ่โต มีราคาแพงแค่ไหน ก็มีการเสื่อมได้หมด ไม่มีการทรงตัวอยู่ได้นานดอก มีแต่จิตดวงเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยตาย นอกจากทำให้มันดับ ดับไปจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มันจะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกไม่ว่าจะในภพภูมิไหน...

    สุดท้าย ขอให้คุณลุงมหาวางกำลังใจในการทำบุญใหญ่นี้ให้ถูกน่ะ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะพลาดโอกาสทอง เดี๋ยวจะสู้ผลบุญของขอทานที่ทำไปแค่ร้อยบาทไม่ได้น่ะ...

    ปล. ต้องกราบขอขมาล่วงหน้า หากคำตอบอาจไม่เป็นที่ถูกใจท่านค่ะ
     
  16. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    หมูขอเสิร์ฟน้ำมะพร้าวเย็นๆ ให้ลุงมหาได้ดื่ม ชื่นกาย ชื่นจิตนะคะ
    ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมจ้า


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  17. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีค่ะ คุณพี่พอใจที่คิดถุง..^^ ไม่เจอะกันนาน คิดถึงจังงงงเลยยยย...อิๆๆ ไม่ได้ยินเสียงหวานๆ นานแล้วน่ะ..สบายดีน่ะค่ะ...:z14
     
  18. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    มาเด้อจ้า...
    มื้อนี้แม่ของหมูเฮ็ดขนมจีนน้ำยาปลา (ค่อ) ป่า
    ขอเสิร์ฟให้อ้ายเอื้อยเบิดกระทู้เลย... แซบหลาย
    มากินนำกันเด้อ


    sub thai :
    ขอเชิญมาทาน...
    วันนี้แม่ของหมูทำขนมจีนน้ำยาปลา (ช่อน) ป่า
    ขอเสิร์ฟให้พี่ชาย พี่สาวทั้งกระทู้เลยนะคะ อร่อยมาก
    มาทานด้วยกันนะคะ



    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมนาบุญกับท่านลุงมหา๑ ด้วยครับ
    ผมอ่านหมดแล้ว ผมไม่สงสัยเลยสักนิดเดียว
    ผมเข้าใจเจตนาดีกับทุกๆคนด้วย
    จะพูดยังไงดี เพราะผมรู้ตัวว่า ผมไม่ใช่พระ แต่ใจผมเป็นพระ
    และผมคิดว่าตนเองไม่ได้ดีไปกว่าผู้ใดๆเลย
    แถมเตือนตนเสมอว่า ถ้าเราดีกว่าคนอื่น เมื่อไหร่ เราก็เลว เมื่อนั้น
    ผมจำได้หมด มิได้นำเพื่อธรรมาทานเพียงอย่างเดียว แต่นำไปปฎิบัติด้วย

    จะกล่าวหาว่าท่านลุงมหา๑ มิได้รู้เรื่องทานเลย แต่ก็ไม่อยากจะคิด
    พระอรหันต์ท่านกล่าวว่า ท่านทำบุญกุศลแต่ถ่ายเดียว แต่ไม่ได้ไปยึดในบุญแล้ว
    ถ้าจะทำก็จะทำไปตามกำลังใจแห่งตน แต่ก็กำลังทรัพย์ด้วย
    นี่ขนาดพระอรหันต์ท่านทำบุญ คือบุญภายใน คือกรรมฐาน คือธรรมปฎิบัติ
    มิใช่ ท่านลุงมหา๑ ที่กำลังทำแค่บุญภายนอก

    รู้กันบ้างไหมว่า พระตถาคตเจ้า ปรารถนาสิ่งใด กับชาวพุทธทั้งหลาย
    พระพุทธองค์ ทรงปรารถนาให้พวกเราเข้าถึง ธรรมปฎิบัติ
    หรือสร้างพระภายในจิต แต่พระพุทธองค์ มิได้ตรัสห้ามสร้างพระพุทธรูป
    แต่ก็เข้าใจจิตที่ยังหยาบอยู่ คือจะต้องอาศัยสิ่งสมมุติ คือสร้างพระขึ้นมา
    แต่ถ้าผู้ปฎิบัติเข้าถึงพระธรรม หรือพระตถาคตแล้ว ไม่ต้อง เพราะกำลังใจถึง
    ผู้เข้าถึงย่อมสร้างแต่พระภายใน ไม่ต้องแบกพระตามไปที่ไหนๆด้วย
    เราแค่นึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า ได้ทุกเวลา สะดวกกว่าร้านสะดวกซื้อซะอีก
    ที่พวกท่านกระทำกันอยู่นั้น ผมทราบมานานแล้ว ท่านไม่มาบอกกล่าวก็ู้รู้แล้ว
    ถ้าท่านลุงมหา๑ คิดเองหรือเข้าใจเองว่า ใครเป็นพระโพธิสัตว์หรือ
    แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์จริง เขาจะไม่ประกาศที่สาธารณะกันหรอก
    ไม่จำเป็น แต่จะรู้ได้จากการกระทำ เท่านั้น
    ในหลวงของปวงชนชาวไทย นี่ไง๊ คือพระโพธิสัตว์ คนเขารู้ทั่วประเทศ
    ขอให้ดูตัวอย่างของในหลวง ว่าท่านทำคุณงามความดีให้กับปวงชนคนไทยอย่างไรบ้าง
    นี่ก็คือ ตัวอย่างพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง จะไปแข่งกันสร้างพระที่ใหญ่ที่สุดทำไม
    ผมเข้าใจ และไม่ปฎิเสธด้วย เพราะพระ(ในใจ) ตรัสสอนว่า

    ....เธอจงเข้าใจ บนความไม่เข้าใจของผู้อื่นเถิด....

    ท่านลุงมหา๑ ที่ท่านหรือพวกท่านกำลังทำกันอยู่นั้น
    เป็นบุญแค่ภายนอก หรืออามิสบูชาเท่านั้น
    แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ดี ดี เพราะบุญที่กำลังทำอยู่นั้น จะช่วยหนุนนำจิตผู้นั้น
    เข้าถึงธรรมปฎิบัติ ในอนาคตกาล ในภายภาคหน้า หรือในชาติต่อๆไป
    แต่ท่านลุงมหา๑ ท่านรู้หรือไม่ว่า มีบางคน มีบางท่าน มีกำลังใจ มีบุญบารมี
    เลยชั้นทานไปแล้ว บางคน บางท่านในกระทู้นี้ บ้าบุญมาก่อนแล้ว ท่านไม่รู้หรอก

    ส่วนตัวผมเอง ไม่เกี่ยวกับใคร ผมรับนโยบายสร้างพระภายในจิต
    ไม่ต้องมาถามผมว่า รับนโยบายมาจากไหน จากใคร
    และผมก็ไม่อยากทราบด้วยว่า ผมเป็นใคร เมื่อครั้งในอดีต
    แต่สนใจในปัจจุบันนี้ ที่มีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ รู้นะว่า ไม่ใช่เพื่อตนเอง
    พูดไปก็จะชมตนเองอีก มันไม่ดี เพราะเราจะดีหรือไม่ดี ต้องไปฟังคนอื่นเขาพูด

    ผมว่าจะๆไม่พูดแล้วนะ ผมเห็นท่านถามมาตั้งแต่แรกแล้ว
    แต่ไม่ได้ถามผมโดยตรง ก็เลยผ่านไป เพราะกระทู้นี้ ผมมิใช่เป็นเจ้าของจริงๆ
    ผมเป็นเพียงผู้อาศัยเจ้าของเวปฯเฉยๆ และผมก็ไม่เคยคิดเลยว่า...
    จะมีอะไรบ้างในโลกนี้เป็นของตน แม้นกระทั่ง ขันธ์๕ หรือร่างกายนี้ฯ
    ทุกวันนี้ จิตผมเปลี่ยนไปมาก เมื่อเทียบเมื่อก่อน เพราะธรรมปฎิบัติบูชา
    ถ้าผมมีเงินเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน ป่านนี้ ก็ไม่มีดวงตาเห็นธรรมเป็นแน่
    ผมอยากจะบอกกับทุกคนว่า ผมโชคดีที่สุดเลยที่ไม่ได้รวย หรืออยู่บนกองเงินกองทอง
    ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีวันนี้แน่นอน หรือในจิตในใจผมก็ไม่มีพระ..พระตถาคตเจ้าแน่
    คงมีแต่เงินทอง หรือสิ่งสมมุติ เต็มหัวจิต หัวใจเป็นแน่แท้ โชคดีหลายๆ
    สร้างพระในจิตตนนี่แหล่ะ ไม่ต้องใช้เงินสักบาทเดียว ไม่ต้องไปเบียดบังผู้อื่นด้วย
    ไม่ต้องไปลำบากลำบนทำบุญขนาดนั้นด้วย การทำบุญ อานิสงส์มันอยู่ที่ตัวเจตนา
    มิใช่อยู่ที่เงินมาก คนหมู่มาก หรือไปสร้างอะไรให้มันใหญ่โตมโหฬารขนาดนั้น
    ถ้าเป็นลูกพระตถาคตจริง ไม่ขัดแย้งกัน ไม่ทะเลาะกัน ไม่เปรียบเทียบกัน
    ไม่กล่าวหากัน ไม่ตำหนิกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีพวกใครพวกมัน มีแต่พี่น้อง
    ต่างคนต่างทำหน้าที่ก็ว่ากันไป อันนี้ไม่ได้บ่น เล่าให้ฟังเฉยๆ

    แต่ถ้าเป็นลูกพระตถาคตจริง ก็ทำเพื่อพระตถาคตจริงๆ มิใช่เพื่อตนเองหรือพวกพ้อง
    ท่านลุงมหา๑ ท่านไม่ต้องเกรงใจ เข้ามาสนทนาธรรม เข้ามาพูดคุยฉันพี่น้องได้ทุกเมื่อ

    ท่านลุงมหา๑ ท่านคงไม่รู้กระมัง ถ้าผมมีโอกาสทำงานถวายพระตถาคตเจ้า
    ผมจะพาผู้คนสร้างพระภายใน มากกว่าพระภายนอกจิต
    เพราะผมรู้ว่า กำลังใจหรือบุญบารมี ที่จะเข้าถึงธรรมปฎิบัตินั้น มาจากไหน
    ที่ผมมักเรียกว่า บันไดบุญ คนจิตหยาบคือผู้จิตไม่นิ่ง โดยเฉพาะไปทางโลกมาก
    นี่คือคนกลุ่มใหญ่ หรือคนส่วนใหญ่ ไม่สงสัยเลยว่า ทำไมพากันทำบุญแค่ ภายนอก
    เพราะกำลังใจเขามีเท่านั้น ก็เข้าใจอยู่ เพราะเมื่อก่อนนั้น ผมจะบอกให้นะว่า
    กำลังใจผมต่ำกว่าชั้นทานอีก นานๆจะทำทานสักที มีคนชวนโน้นแหล่ะ ถึงจะทำสักทีนึง
    สวดมนต์ไหว้พระก็นานๆสักทีนึง ส่วนมากไม่สวด เรียกว่าเป็นคนไกลวัด
    ศีลก็ไม่รักษา ขาดหมด ทะลุหมด ยิ่งกว่าศีลพร่อง ศีลด่าง ศีลพร้อย
    แต่ทำไม มาถึงวันนี้ได้ก้ไม่รู้ จากคนที่เดินทางโลกสุดๆ
    แต่วันนี้ ทางโลก ไม่อยากอยู่เลย ถ้ามันตายวันนี้ เดี๋ยวนี้ได้นะ ก็จะดีมาก
    ผมไม่เป็นห่วงอะไรแล้วในโลกนี้ ยอมรับกับกฎแห่งกรรมหมด
    ท่านลุงมหา๑ ท่านก็ทำดีมากแล้ว ท่านก็ทำบุญมากแล้ว ก็อย่าไปยึดในบุญเลย
    อย่าไปทำอะไรที่มันเกินตัวนักเลย นี่ถ้าไม่รักกันจะไม่เตือนเลย เอาเวลาไปนอนดีกว่า

    ว่าแล้ว ขอเลขบัญชีหน่อย ผมเห็นความตั้งใจจริงของท่าน
    เห็นความจริงใจที่จะสร้างพระพุทธรูป ผมถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
    ผมจะทำเพื่อพระพุทธเจ้าทุกประการ และถือเอาเจตนาที่ดีเป็นหลัก
    จะไม่ทำบุญตามกระแสอย่างแน่นอน แต่จะทำตามกำลังใจหรือสติปัญญาตน
    ถ้าคำกล่าววันนี้ เป็นการล่วงเกินจิตของท่านลุงมหา๑
    ได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่กันด้วยครับ...สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 พฤศจิกายน 2013
  20. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    โมทนากับคุณภู อ่านซะตาลาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...