สงสารคนอื่นๆที่ลำบาก@ดีไหม? ..ในยุคปัจจุบันนี้

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย ubon2555, 22 มีนาคม 2014.

  1. ubon2555

    ubon2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,583
    ค่าพลัง:
    +3,519
    เคยส่งเงินให้คนในเวบพลังจิตท่านหนึ่งจำนวน 5000 บาทบอกว่าป่วยอยู่กับลูกสาวเล็กๆแต่ภายหลังมีเพื่อนสมาชิคท่านหนึ่งพีเอ็มบอกว่าเพื่อนสมาชิคท่านนั้นไม่ได้ลำบากอะไรแล้วก็เป็นมิจฉาชีพ เพราะเขาก็เคยให้เหมือนกันค่ะ…
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2014
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,940
    อนุโมทนาจิตกรุณาของท่านจขกทครับ ทีนี้ต้องระวังว่าในเว็บสาธารณะนั้น เราไม่ทราบว่าใครบ้างทุกข์จริงหรือเป็นมิจฉาชน..

    แต่เอาละ...เมื่อช่วยเขาแล้ว ท่านจขกท พึงรักษาเจตนาแรกของตนให้ดี หากแม้เขาเป็นมิจฉาชน บุญของท่านจขกท ก็ไม่สูญหายไปเลย ท่านพึงปลื้มใจในการสละเงินที่ตนหวงแหนได้ด้วยเจตนาเอื้อเฟื้อคนทุกข์..เขาก็คงทุกข์จริงจึงมาขอเงินใครๆเช่นนั้น..

    พึงดีใจที่ตนได้ทำบุญแล้ว ไม่อาลัยเสียดายอีก เพราะทรัพย์นี้ บัดนี้แปรเป็นอริยทรัพย์ที่จะตามไปรักษาอุปการะตนในภพต่อๆไปอีกมากภพนะครับ
     
  3. ubon2555

    ubon2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,583
    ค่าพลัง:
    +3,519
    คิดแบบนี้ก็สบายใจดีเหมือนกันนะค่ะ…
     
  4. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    ถ้าไม่เดินมรรคะ ก็จะสงสัย
    ดูเหมือนว่าสงสัยหนะดี สงสัยก็ถาม ทางอยู่ที่ปาก
    แต่ในแนวทางอริยะสัจจะ ทางไม่ได้อยู่ที่ปาก

    ทางอยู่ที่ นิโรโธ เดินไปถามไปไม่ได้

    ถ้ามาแบบจะเดิน มรรคะ นิโรโธ
    ต้องกำหนดรู้ทุกข์ให้จับใจก่อน แล้วก็มาดูตัญหาในอวิชชา
    ก็เดินไปถามไปนิ อวิชชา เราเดิน เราถามเพราะอวิชชา กำหนดรู้ทุกข์
    ก็เดินไปถามไปกำหนดรู้ทุกข์ไป

    ปรกติคนเรายางหัวไม่ออกไม่จำหรอก
    ยิ่งถามยิ่งไม่รู้ เพราะศรัทธาในอวิชชา
    อย่าเพิ่งตกใจ ใครๆก็เชื่อว่าทางอยู่ที่ปาก

    น้อยคนที่เชื่อว่าทางอยู่ที่ อริยะสัจจะ
     
  5. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    ทุกข์เกิดจากอาหารของมัน คือผัสสะ
    สุขด้วย ไม่สุขไม่ทุกข์ ด้วย
    ถ้าตัดกินในที กินนอกที มันจะอวิชชา
    ยิ่งถามยิ่งกินยิ่งสงสัย ยิ่งฟุ้ง ยิ่งอวิชชา เป็นอาหารดี
    แต่กิน ให้ กินเฉพาะในไป เสมอ
    หรือถ้าเก่งจัดจะกินข้างนอกไปเสมอ

    กินอย่างนี้อยู่เสมอ
    เรามีปรกติกินอย่างนี้ คือ กินเฉพาะข้างในเสมอ

    นี่แหละ เสมอด้วยทิฏฐิ
    เสมอด้วยวาจา เสมอด้วยอาชีโว เสมอด้วยสมาธิ
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    สาริกาป้อนเหยื่อ
    กินเฉพาะฝั่งจะ มรรคะ
     
  7. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    ถามว่า การให้ทานแก่คนอนาถา
    หรือทำอาการเหมือนอนาถา จะดีหรือไม่

    ก็มีอานิสง ให้รวยไปทุกชาติภพ เห็นอภิมหาเศรษฐี ไปจนนิพพาน
    ก็เสมอด้วยทิฏฐิ นี่ ก็มีอาการรวยอย่างนี้เสมอ
     
  8. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    ให้เป็นเครื่องปรุงจิต
    เป็นอธิจิตตะสิขขา

    ให้เพื่อตัดใจจากสมบัติ
     
  9. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,729
    ค่าพลัง:
    +3,243
    ตัดใจจากสมาบัติ นั้นแหละ
    ดูราคะ ดูฉันทะ
    ให้เพื่อเป็นเครื่องปรุงจิต
    จิตตะสังขาร
     
  10. comfx22

    comfx22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +234
    บุญอยู่ที่ใจ บาปอยู่ที่ใจ เราช่วยเขาเราได้บุญ เขาหลอกเราก็สงสารเขาที่เขาพลาดทำบาปไป คิดว่าถ้าเราให้อภัยไปอีกก็คงได้บุญอีกหลายต่อ
     
  11. ubon2555

    ubon2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,583
    ค่าพลัง:
    +3,519
    ให้อภัยใจเป็นสุข
     
  12. นาย เอ

    นาย เอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +535
    เพิ่มความเข้าใจได้อีกส่วนหนึ่งครับ

    ทำบุญกับพระปลอมได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์กลับตกนรก
    เป็นเรื่องจริงอิงตามหลักพุทธ
    อ่านให้เข้าใจเวลาทำบุญจะได้ไม่เคลือบแคลง
    ปรับเจตนาให้เป็น บุญย่อมสำเร็จตามประสงค์

    สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นคนยากจนมาก
    หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เดินทางมาอาศัย
    อยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง
    ในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้อง
    อยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้
    บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้
    ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว
    และเกรงว่านางจักตาย จึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุ
    และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆ จึงระมัดระวังตัวมาก
    ดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปใน
    พระราชวัง เพื่อรับบิณฑบาต

    ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดี
    เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยาอาการสำรวมมากเช่นนั้น
    ทรงจินตนาการว่า
    ” ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนา คงเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น “
    จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวย
    ใส่ลงในบาตรจนหมด ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง

    เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไป
    ด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชา
    จึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิทให้รีบสะกดรอยตามไป
    เพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหน
    เพื่อว่าวันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก

    ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้น เมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้ว
    ก็ดีใจ รีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวัง
    เมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิม
    แล้วนำเอาพระกระยาหารนั้น ไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์
    อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอด
    ก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่ามาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้ว
    จึงเข้าไปหวังจะจับไปรับโทษ แต่ด้วยความสงสาร
    จึงทำได้เพียงขับไล่สามีภรรยานั้นไป และห้ามกลับมาที่เมืองนี้อีกเป็นเด็ดขาด

    หลังจากนั้นก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา
    พระราชาจึงตรัสถามว่า ” ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ? ”

    อำมาตย์จึงใช้กุศโลบายเพื่อ รักษาศรัทธาของพระราชาไว้
    กราบทูลว่า ” ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
    ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอย ตามพระรูปนั้นไป
    จนออกนอกกำแพงพระราชวัง
    พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที ”
    ( ในที่นี้ หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป )
    พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก
    มิได้ซักความเพิ่มเติมอีก ทรงคิดเอาเองว่า
    ” บุญของเราแท้ๆ ที่ได้ ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษ
    ท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฎิหาริย์หายตัวได้
    ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มาก
    เป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ “

    พระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก

    ไม่นานหลังจากนั้นพระราชาก็เสด็จสวรรคต
    ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    และก่อนที่จะสวรรคต พระองค์ได้ทรงกำชับเหล่าอำมาตย์ไว้ว่า
    เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ให้ทำบุญอุทิศกุศลเพื่อเจาะจงพระองค์ด้วย



    ในคราวนั้นได้มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งเพิ่งออกจากญาณสมาบัติ
    ได้เที่ยวจาริกไปในพระนครเพื่อบิณฑบาต
    อำมาตย์คนเดิมได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น
    ก็ได้นิมนต์ท่านเข้าไปรับภัตตาหารในพระราชวัง
    แต่ในใจก็รู้สึกคลางแคลงสงสัยในพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้นตลอดเวลา
    เนื่องจากครั้งก่อนเจอพระปลอมบวชเข้า
    จึงเกรงว่าในครั้งนี้ก็จะเป็นพระปลอมบวชเช่นกัน
    โดยหารู้ไม่ว่า ภิกษุที่ตนได้ถวายภัตตาหารอยู่นั้นคือ
    พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้สิ้นกิเลสอาสวะแล้วสิ้นเชิง

    เหล่ามหาอำมาตย์นั้น ได้ประมาทแล้วในพระอริยบุคคลโดยไม่รู้ตัว
    เพราะบุคคลไม่อาจทราบได้ว่า
    ภิกษุรูปใดเป็นอริยะบุคคลหรือไม่เป็นอริยะบุคคลหรือเป็นผู้ทุศีล
    (เหตุเพราะว่าพระอริยะบุคคลใดก็ตาม
    ท่านจะไม่สามารถประกาศได้ว่าตนนั้นเป็นอริยะบุคคลแล้ว)

    ฉะนั้นการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนี้นอกจากจะไม่เกิดกุศลแล้ว
    ยังทำให้อำมาตย์นั้นได้หนทางไปสู่อบายในโลกหน้าโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ฉฬังคทานสูตร จตุตถวรรคแห่งปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย ว่า

    ” ภิกษุทั้งหลาย ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ คือ
    องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง
    องค์ของผู้รับ ๓ อย่าง

    องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ
    ๑. ก่อนให้ก็ดีใจ
    ๒. กำลังให้ก็มีใจผ่องใส
    ๓. ครั้งให้เสร็จแล้วมีความเบิกบานใจ

    องค์ของผู้รับ(ปฎิคาหก) ๓ อย่าง คือ
    ๑. เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีราคะ
    ๒. เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโทสะ
    ๓. เป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโมหะ
    ทานที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๖ ประการนี้
    เป็นบุญใหญ่ นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ยิ่งใหญ่นัก
    เหมือนน้ำในมหาสมุทร นับหรือคำนวณไม่ได้ว่ามีขนาดเท่าใด
    ทานที่พรั่งพร้อมด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ ย่อมเป็นที่หลั่งไหลแห่งบุญ
    หลั่งไหลแห่งกุศล นำความสุขมาให้ให้อารมณ์เลิศด้วยดี
    มีวิบากเป็นสุข เป็นไปพร้อมเพื่อการเกิดขึ้นในสวรรค์
    ( มีบุญที่สะสมไว้ดีแล้ว มากพอที่จะเกิดในสวรรค์ )
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ”
    …………………………………………………………

    พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาทั้ง ๓ ระยะครบบริบูรณ์
    และมีความเข้าใจว่าปฎิคาหก(ผู้รับ)สมบูรณ์ด้วยองค์ประกอบ ๓
    ผลบุญที่ได้จึงมากมาย ส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราวสวรรคตแล้ว
    ได้ไปบังเกิดในสุคติ โลกสวรรค์
    ยิ่งถ้าหากพระรูปนั้นเป็นพระจริง และปฎิบัติตามองค์ของผู้รับ ๓ ได้อย่างสมบูรณ์
    ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น
    เพราะทำทานครบองค์ ๖ ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้

    อนุโมทนากับ ผู้สอน ผู้เรียบเรียง ผู้ส่งต่อ บทความดีๆด้วยครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...