แก้บทลงโทษคดีฆ่าข่มขืนเด็กและสตรีให้หนักถึงขั้นประหารชีวิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 3 สิงหาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ร่วมป้องกัน ข่มขู่ข่มขืนทำลายจิตใจที่มีแต่ราคะตัณหา ให้รู้สึกระลึกถึงความเกรงกลัวในบาปกรรมที่จะสร้าง ก่อนที่สักวันที่อาจเป็นคุณและคนที่คุณรัก

    พวกมารแทรกชิงมาเกิดระดับต่ำๆทั้งนั้นล่ะ ที่มันต้องข่มขืนผู้อื่นเขา เพื่อความรู้สึกแบบนั้น
    มีบางตรรกะ ที่เอาคนไปเปรียบกับสัตว์เดรัจฉาน ที่ทำตามสัญชาตญาน โดยลืมไปว่า บางครั้งบางทีหลายครั้งหลายที มันก็มีแบบสุนัขไม่ขอรับประทาน แมวเลือกกิน แสดงว่าเกิดมาไม่เคยได้พบ วิญญูชน สัตบุรุษ ผู้ชายหรือผู้หญิงประเภทไม่รัก ไม่ชอบ ไม่ถูกต้อง หรือถูกกาละเทศะ อย่าหวังจะได้แตะเนื้อต้องตัว จนถึงระดับ เนกขัมบารมีมาก แม้รู้ว่าสตรีหรือบุรุษเป็นที่สุดแห่งความปรารถนาของบุรุษและสตรีเพศ ยังเบือนหน้าหนี เพราะเห็นโทษในกาม ถึงกับปฎิเสธกามเพราะรังเกียจไปเลย
    http://pantip.com/topic/33730672
    "แมวนั้นมันชอบกินปลาย่าง ก็เอาไปล่อ เอาไปอ่อยพอแมวมันกระโดดงับปลาย่าง ก็โวยวาย จะฆ่าจะตีแมวให้ตาย ความผิดทุกอย่างนั้นอยู่ที่แมว คนที่เอาปลาย่างไปล่อแมวนั้นไม่มีความผิดเลยหรือ? "


    อย่าเอาโทษและการละเว้นโทษทางโลก ไปรวบรวมเปรียบเทียบเข้ากับโทษและการละเว้นโทษทางธรรมเพราะมันคนละชั้นคนละขั้วกัน เทียบกันไม่ได้เลย
    และที่มีความเห็นว่า คนบ้าเสียสติเพี้ยนมีปัญหาทางครอบครัวฯลฯ สมควรพิจารณาให้อภัยโทษ คนที่เขามีปัญหาอย่างนั้น บ้าอย่างนั้น เพี้ยนอย่างนั้น ไม่ไปทำความชั่วเกะกะระรานผู้อื่น เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมตั้งเยอะแยะมากมาย เปรียบเทียบกันแบบนี้ ไอ้ที่เป็นอย่างนั้นแล้ว ยั่งชั่วได้อีกน่ะมันสมควรตาย ไม่สมควรเกิดมา เปลี่ยนได้แล้วกฎหมาย ที่จำกัดเกณฑ์อายุอะไรนั่น เยาวชนบ้าบออะไร? โทษก็คือโทษ เพราะการที่ไม่ติดตามเอาใจใส่สั่งสอน และสันดานบาปมันติดตัวตั้งแต่ชาติปางก่อนมาน่ะ ผิดก็ส่วนผิด และไม่ต้องยอมความ ยินดีชดใช้ค่าเสียหายอะไร?ก็ไม่ต้องไปเอา เรื่องการช่วยเหลือนี้ก็หวังว่าจะเป็นความอนุเคราะห์กรุณาของสังคม ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ตามจังหวัดอำเภอนั้นๆ มูลนิธิ ช่วยดูแล มันคงไม่บ่อยหรอก ถ้ากฎหมายมันOK ความชั่วคนทำความชั่วนี่มันมีการจำกัดอายุด้วยรึ! เด็กที่อายุน้อยๆหรือเด็กวัยรุ่น แต่ไม่สร้างบาปสร้างกรรมเป็นตัวอย่างที่ดีๆ ทำไมไม่ให้เชิดชูเกียรติเขาไปเสียล่ะ!

    โดยเฉพาะคดี ฆ่าด้วยข่มขืนด้วย จะบอกว่าเมามาย เกิดอารมณ์ บ้าบอ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ช่องว่างในการพิจารณาคดี พอซะเถอะ! เราว่าเราโง่เราไม่ดีเราบ้าที่สุดแล้ว ยังไม่ไปทำอะไรอย่างนั้นเลย!



    มีน้ำใจช่วยกันสักนิด มันเป็นคุณธรรมที่เราควรมีน้ำใจ ส่วนเรื่องผลจะได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการจัดการทั้งนั้นแล้ว ไม่ได้ส่งเสริมการฆ่า ผู้ฉลาดในธรรม มีมรรคผลเป็นที่ตั้งแล้ว ย่อมรู้ดีว่า การฆ่าในอริยะวินัยน่ะหนักกว่านี้เยอะ!
    แชร์แคมเปญรณรงค์นี้
    https://www.change.org/p/ข่มขืนฆ่าต้องประหารชีวิตสถานเดียว?




    ดาบสี่แฉกห้าคมอะไรนั่นใช่ปัญหา ปัญหาคือ มีคนถูกทำร้ายและต้องเสียสุขภาพจิต เสียอนาคต จนถึงเสียชีวิต เจ็บปวดรวดร้าวในใจ กันทั้งครอบครัววงศาคณาญาติไปจนวันตาย เพราะคนที่มันชั่วตามสันดานและชั่วตามผลกรรม คนที่ซวยตามผลกรรมก็ควรถูกคุ้มครอง มันก็เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจ มีความรู้ มีคุณธรรม มีปัญญา เป็นนักปกครองที่เป็นคนเถรตรง ที่จะช่วยกันรณรงค์ให้คนที่มันจะชั่วตามผลกรรมอย่างนั้น รู้จักละอายเกรงกลัวต่อผลบาปกรรม เรื่องอายุก็เหมือนกัน มันไม่เกี่ยวหรอก ความรู้เดียงสาไม่เดียงสาน่ะ เด็กอ่อนๆในวัยเดียวกันเขารู้จักบาปบุญคุณโทษก็มี เอาคนดีเป็นเกณฑ์เป็นตัวอย่างเป็นแบบ ไม่ใช่เอาคนที่นิสัยเสียเป็นบ้าเสียสติเป็นแบบ

    กษัตริย์อย่าเห็นว่ายังเยาว์ ไฟอย่าเห็นว่าน้อย ภาษิตนี้คงไม่มีแล้ว


    ถ้าคนใจบาปมันเลวขนาดนั้น ก็ชีวิตแลกชีวิตให้ตกตายตามกันไป แต่ไม่ว่าจะตายสักหมื่นพันแสนครั้งก็ไม่พอ ไม่สาสมกับความผิดบาปได้เลย จบที่อโหสิกรรม ไม่พยาบาทเบียดเบียนในชาติภพต่อไปก็แล้วกัน

    ถ้าไม่มีใครกล้าประหาร คนชั่วๆประเภทฆ่าข่มขืนเด็กและสตรี ขอทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตเอง ไม่เรื่องมาก ไม่สงสารเห็นใจใดๆ ไม่เคารพ ให้เกียรติผู้ตายด้วย ญาติเญิดไม่เกี่ยว อยากมีเอี่ยวตายด้วยก็ทำด้วยกันไปจบ

    โดยเฉพาะไอ้พวกมีญาติ ระหว่างญาติพี่น้องคนเสียชีวิตเพราะถูกกระทำ กับญาติของคนที่มันกระทำความชั่ว ไอ้ฝั่งไหนมันน่าละอายใจ และฝั่งไหนที่น่าเสียใจ แค้นใจมากกว่ากัน



    สงสัยจะเกิดผิดยุคอีกแล้วสิเรา! ความผิดที่มันน่าตัดหัวเสียบประจาน ไอ้พวกทำอนันตริยกรรม ๕ และไอ้พวกฆ่าข่มขืนเด็กและสตรีเนี่ย!

    กรรมไม่ดำไม่ขาวมีอยู่เบื้องหน้าจะกลัวอะไร? เหมือนท่านองคุลีมาล



    จากภาค "ยักษ์"

    แม้นเราหากชาติชั่วถึงเพียงนั้น กระทำเสียชั่วนี้เสียเอง ก็ไม่คิดละเว้น ยินดีจะตายอย่างสร้างอุทธาหรณ์สอนใจเป็นตัวอย่างเลยทีเดียว ว่าสมควรตาย

    ใครไม่แน่ใจในตนเองว่า ชาตินี้ตนไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำหรือไม่ทำ อย่าหวังความเจริญในพระสัทธรรมเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2015
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    สาธุ พระเตมีย์

    หึหึ! ถ้าไทยมีแบบนี้ ขอสมัครคนแรกเลยในไทย ผูกขาดชั่วชีวิต ออลาบวชตอนเกษียนดีกว่า

    วันนี้ (19พ.ค.) ‘เดอะ การ์เดียน’ รายงานข่าวอ้างอิงสำนักข่าวจากทางการ ซาอุดิอาระเบีย ที่ออกมาประกาศรับสมัครผู้มาทำงานเป็นเพชฌฆาต เพิ่มอีก 8 อัตรา เนื่องจากวิธีการประหารนักโทษในซาอุดิอาระเบีย ใช้วิธีการเฉือนคอ ส่งผลให้เพชรฆาตต้องรับภาระหนักในการปฏิบัติหน้าที่

    พร้อมกันนี้ทางการซาอุดีอาระเบียไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติพิเศษที่จำเป็นสำหรับผู้มาสมัครงานในตำแหน่งเพชฌฆาตแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ แต่อัตราค่าจ้าง จะน้อยกว่าข้าราชกาลพลเรือนในทุกตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ประเทศซาอุดีอาระเบียถือเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศของโลกนี้ที่มีการตัดสินประหารชีวิตนักโทษมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

    อย่างไรก็ตามซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นประเทศที่มีการลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง และเข้มงวด ซึ่งผู้ที่ต้องโทษในคดียาเสพติด การลักลอบขนอาวุธ และก่ออาชญากรรม จะต้องถูกประหารชีวิต หรือแม้กระทั่งการกระทำแบบ ลหุโทษ เช่น การลักขโมย ก็จะต้องถูกลงโทษด้วยวิธีที่รุนแรงคือการตัดมือ

    นับตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียตัดสินประหารชีวิตนักโทษไปแล้ว 85 คน ส่วนนักโทษที่โดนประหารไปแล้วในปีนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย ที่เหลือ มีทั้งชาวปากีสถาน เยเมน ซีเรีย จอร์แดน อินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมา ชาด เอริเทรีย ฟิลิปปินส์ และซูดาน ซึ่งในปี 2556 ซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นประเทศที่มีการประหารนักโทษมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจาก จีน และอิหร่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1000.jpg
      1000.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.2 KB
      เปิดดู:
      146
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2015
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ขนาดคนดีๆยังฆ่าเขาทำร้ายเขาได้ ตายเป็นตัวอย่างสักคนสองคนจะเป็นไร?ไป คนเลวๆ

    ใครไม่กล้าประหารผมขอเอง จะตัดหัวเสียบประจาน ควักหัวใจออกมากระทืบให้ดู ได้แต่เพ้อ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2015
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คิดจะมี"สิทธิในการมีชีวิต" แต่ไม่เคยเห็นคุณค่า "สิทธิ์ในการมีชีวิต"ของคนอื่น
     
  5. suparush

    suparush Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +61
    พระโพธิสัตว์ฝ่ายปราบมีไหม
     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    มีแต่แบบนี้ ในชีวิตผมศัตรู มักตายและฉิบหายทั้งชีวิตครอบครัว ไปหลายคนจนมาขอโทษ กราบเท้าขมาหลายคนละครับ วันนี้พึ่งรู้ข่าวไปอีกหนึ่ง ระดับนายทหาร ตายกระทันหัน
    http://palungjit.org/threads/ธาตุทัณฑ์.550081/
    โย ทณฺเฑร อทณฺเฑสุ
    อปฺปทุฎฺเฐสุ ทุสฺสติ
    ทสนฺนมญฺญตรํ ฐานํ
    ขิปฺปเมว นิคจฺฉติ ฯ

    ผู้ทำร้ายลงทัณฑ์แก่บุคคล
    ผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายใคร
    ย่อมได้รับผลสนองกลับอย่าง
    อย่างใดอย่างหนึ่งทันตาเห็น


    {O}ธาตุทัณฑ์{O} <การลงทัณฑ์ ของ พระพุทธศาสนา>

    {O}ธาตุทัณฑ์{O} <การลงทัณฑ์ ของ พระพุทธศาสนา> - Pantip
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2015
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    คำสอนของมังกร มีไว้สอนมังกร ผู้ที่จักบรรลุธรรมจักเข้าใจในข้อนี้ทันที
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    " ดอกบัว กอบัว เกิดขึ้นในสระ บานแล้วถูกหมู่แมลงภู่เคล้าคลึง ก็เข้าถึงความร่วงโรย บุคคลรู้แจ้งข้อนี้แล้ว พึงเป็นผู้เที่ยวไปเหมือนนอแรด "

    ]o[พระปัจเจกพุทธเจ้า]o[
    ปัจเจกพุทธาปทานที่ ๒
    ว่าด้วยการให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    ลำดับนี้ ขอฟังปัจเจกพุทธาปทาน พระอานนท์เวเทหมุนี ผู้มีอินทรีย์อัน
    สำรวมแล้ว ได้ทูลถามพระตถาคต ผู้ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันว่า
    ทราบด้วยเกล้าฯ ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ามีจริงหรือ เพราะเหตุไรท่าน
    เหล่านั้นจึงได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นนักปราชญ์? ในกาลครั้งนั้น
    พระผู้มีพระภาคสัพพัญญูผู้ประเสริฐ แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสตอบท่าน
    พระอานนท์ผู้เจริญ ด้วยพระสุรเสียงไพเราะว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า
    สร้างบุญในพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังไม่ได้โมกขธรรมในศาสนาของพระชิน
    เจ้า ด้วยมุข คือ ความสังเวชนั้นแล ท่านเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์
    มีปัญญาแก่กล้า ถึงจะเว้นพระพุทธเจ้าก็ย่อมบรรลุปัจเจกโพธิญาณได้
    แม้ด้วยอารมณ์นิดหน่อย ในโลกทั้งปวง เว้นเราแล้ว ไม่มีใครเสมอ
    พระปัจเจกพุทธเจ้าเลย


    เราจักบอกคุณเพียงสังเขปนี้ ของท่านเหล่านั้น
    ท่านทั้งหลาย จงฟังคุณของพระมหามุนีให้ดี ท่านทั้งปวงปรารถนานิพพาน
    อันเป็นโอสถวิเศษ จงมีจิตผ่องใส ฟังถ้อยคำดี อันอ่อนหวานไพเราะ
    ของพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ ตรัสรู้เอง คำพยากรณ์โดยสืบๆ
    กันมาเหล่าใด ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มาประชุมกัน โทษ เหตุ
    ปราศจากราคะ และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย บรรลุโพธิญาณด้วย
    ประการใด


    พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีสัญญาในวัตถุอันมีราคะว่า
    ปราศจากราคะ มีจิตปราศจากกำหนัดในโลกอันกำหนัด ละธรรมเครื่อง
    เนิ่นช้า การแพ้และความดิ้นรน แล้ว จึงบรรลุปัจเจกโพธิญาณ ณ สถานที่
    เกิดนั้นเอง ท่านวางอาญาในสรรพสัตว์ ไม่เบียดเบียนแม้ผู้หนึ่งในสัตว์
    เหล่านั้น มีจิตประกอบด้วยเมตตา หวังประโยชน์เกื้อกูล เที่ยวไปผู้เดียว
    เปรียบเหมือนนอแรด ฉะนั้น ท่านวางอาญาในปวงสัตว์ ไม่เบียดเบียน
    แม้ผู้หนึ่งในสัตว์เหล่านั้น ไม่ปรารถนาบุตร ที่ไหนจะปรารถนาสหาย
    เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น



    ความเสน่หาย่อมมีแก่บุคคล
    ผู้เกิดความเกี่ยวข้อง ทุกข์ที่อาศัยความเสน่หานี้มีมากมาย ท่านเล็งเห็น
    โทษอันเกิดแต่ความเสน่หา จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น
    ผู้มีจิตพัวพัน ช่วยอนุเคราะห์มิตรสหาย ย่อมทำตนให้เสื่อมประโยชน์
    ท่านมองเห็นภัยนี้ ในความสนิทสนม จึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เช่นกับนอแรด
    ฉะนั้น
    ความเสน่หาในบุตรและภรรยา เปรียบเหมือนไม้ไผ่กอใหญ่เกี่ยว
    กันอยู่ ท่านไม่ข้องในบุตรและภริยา ดังหน่อไม้ไผ่ เที่ยวไปผู้เดียว
    เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านเป็นวิญญูชนหวังความเสรี จึงเที่ยวไป
    ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น เหมือนเนื้อที่ไม่ถูกผูกมัด เที่ยวหาเหยื่อ
    ในป่าตามความปรารถนา ฉะนั้น


    ต้องมีการปรึกษากันในท่ามกลางสหาย
    ทั้งในที่อยู่ ที่บำรุง ที่ไป ที่เที่ยว ท่านเล็งเห็นความไม่โลภ ความเสรี
    จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น การเล่น (เป็น) ความยินดี
    มีอยู่ในท่ามกลางสหาย ส่วนความรักในบุตรเป็นกิเลสใหญ่ ท่านเกลียด
    ความวิปโยคเพราะของที่รัก จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น
    ท่านเป็นผู้แผ่เมตตาไปในสี่ทิศ และไม่โกรธเคือง ยินดีด้วยปัจจัยตามมี
    ตามได้ เป็นผู้อดทนต่อมวลอันตรายได้ ไม่หวาดเสียว เที่ยวไปผู้เดียว
    เช่นกับนอแรด ฉะนั้น แม้บรรพชิตบางพวก และพวกคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
    สงเคราะห์ได้ยาก ท่านเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยในบุตรคนอื่น จึงเที่ยว
    ไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น



    ท่านปลงเครื่องปรากฏ (ละเพศ)
    คฤหัสถ์ กล้าหาญ ตัดกามอันเป็นเครื่องผูกของคฤหัสถ์ เปรียบเหมือน
    ไม้ทองหลางมีใบขาดหมด เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ถ้า
    จะพึงได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน อยู่ด้วยกรรมดี
    เป็นนักปราชญ์ พึงครอบงำอันตรายทั้งสิ้นเสียแล้ว พึงดีใจ มีสติเที่ยว
    ไปกับสหายนั้น ถ้าจะไม่ได้สหายผู้มีปัญญารักษาตน ประพฤติเช่นเดียวกัน
    อยู่ด้วยกรรมดี เป็นนักปราชญ์ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนพระราชาทรง
    ละแว่นแคว้นที่ทรงชนะแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว ดังช้างมาตังคะ ละโขลง
    อยู่ในป่า



    ความจริง เราย่อมสรรเสริญสหายสมบัติ พึงส้องเสพสหายที่
    ประเสริฐกว่า หรือที่เสมอกัน (เท่านั้น) เมื่อไม่ได้สหายเหล่านี้ ก็พึง
    คบหากับกรรมอันไม่มีโทษ เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่าน
    เห็นกำไลมือทองคำอันผุดผ่องที่นายช่างทองทำสำเร็จสวยงาม กระทบกัน
    อยู่ที่แขนทั้งสอง จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น การเปล่ง
    วาจา หรือวาจาเครื่องข้องของเรานั้น พึงมีกับเพื่อนอย่างนี้ ท่านเล็งเห็น
    ภัยนี้ต่อไป จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น
    ก็กามทั้งหลายอัน
    วิจิตร หวาน อร่อย เป็นที่รื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิตด้วยสภาพต่างๆ



    ท่านเห็นโทษในกามคุณทั้งหลาย จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น
    ความจัญไร หัวฝี อุบาทว์ โรค กิเลสดุจลูกศร และภัยนี้ ท่านเห็น
    ภัยนี้ในกามคุณทั้งหลาย จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่าน
    ครอบงำอันตรายแม้ทั้งหมดนี้ คือ หนาว ร้อน ความหิว ความกระหาย
    ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน แล้วเที่ยวไปผู้เดียว เช่น
    กับนอแรด ฉะนั้น ท่านเที่ยวไปผู้เดียว เช่นนอแรด เปรียบเหมือน
    ช้างละโขลงไว้แล้ว มีขันธ์เกิดพร้อมแล้ว มีสีกายดังดอกปทุมใหญ่โต
    อยู่ในป่านานเท่าที่ต้องการ ฉะนั้น ท่านใคร่ครวญถ้อยคำของพระพุทธเจ้า
    ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ว่า บุคคลพึงถูกต้องวิมุติอันเกิดเองนี้ มิใช่
    ฐานะของผู้ทำความคลุกคลีด้วยหมู่ จึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
    ฉะนั้น



    ท่านเป็นไปล่วงทิฏฐิอันเป็นข้าศึก ถึงความแน่นอน มีมรรคอัน
    ได้แล้ว เป็นผู้มีญาณเกิดขึ้นแล้ว อันบุคคลอื่นไม่ต้องแนะนำ เที่ยวไป
    ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านไม่มีความโลภ ไม่โกง ไม่กระหาย
    ไม่ลบหลู่คุณท่าน มีโมโหดุจน้ำฝาดอันกำกัดแล้ว เป็นผู้ไม่มีตัณหาในโลก
    ทั้งปวง เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น กุลบุตรพึงเว้นสหาย
    ผู้ลามก ผู้มักชี้อนัตถะ ตั้งมั่นอยู่ในฐานะผิดธรรมดา ไม่พึงเสพสหาย
    ผู้ขวนขวาย ผู้ประมาทด้วยตน พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น



    กุลบุตรพึงคบมิตรผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีคุณยิ่ง มีปฏิภาณ ท่านรู้
    ประโยชน์ทั้งหลาย บรรเทาความสงสัยแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับ
    นอแรด ฉะนั้น
    ท่านไม่พอใจในการเล่น ความยินดี และกามสุขในโลก
    ไม่เพ็งเล็งอยู่ คลายยินดีจากฐานะที่ตกแต่ง มีปกติกล่าวคำสัตย์ เที่ยวไป
    ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ท่านละบุตร ภริยา บิดา มารดา ทรัพย์
    ข้าวเปลือก เผ่าพันธ์ และกามทั้งหลายตามที่ตั้งลง เที่ยวไปผู้เดียว เช่น
    กับนอแรด ฉะนั้น ในความเกี่ยวข้องนี้มีความสุขนิดหน่อย มีความ
    พอใจน้อย มีทุกข์มากยิ่ง บุรุษผู้มีความรู้ทราบว่า ความเกี่ยวข้องนี้ ดุจลูก
    ธนู พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น




    กุลบุตรพึงทำลายสังโยชน์
    ทั้งหลาย เปรียบเหมือนปลาทำลายข่าย แล้วไม่กลับมา ดังไฟไหม้เชื้อ
    ลามไปแล้วไม่กลับมา พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึง
    ทอดจักษุลง ไม่คะนองเท้า มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว รักษามนัส อัน
    ราคะไม่ชุ่มแล้ว อันไฟกิเลสไม่เผาลน พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด
    ฉะนั้น พึงละเครื่องเพศคฤหัสถ์แล้ว ถึงความตัดถอน เหมือนไม้ทอง
    กวาวที่มีใบขาดแล้ว นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว
    เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ไม่พึงทำความกำหนัดในรส ไม่โลเล ไม่ต้อง
    เลี้ยงผู้อื่น เที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก มีจิตไม่ข้องเกี่ยวในสกุล
    เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงละนิวรณ์เครื่องกั้นจิต ๕
    ประการ พึงบรรเทาอุปกิเลสเสียทั้งสิ้น ไม่อาศัยตัณหาและทิฏฐิ ตัดโทษ
    อันเกิดแต่สิเนหาแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงทำสุข
    ทุกข์ โทมนัสและโสมนัสก่อนๆ ไว้เบื้องหลัง ได้อุเบกขา สมถะ
    ความหมดจดแล้ว เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น




    พึงปรารภ
    ความเพียรเพื่อบรรลุนิพพาน มีจิตไม่หดหู่ ไม่ประพฤติเกียจคร้าน มี
    ความเพียรมั่น (ก้าวออก) เข้าถึงด้วยกำลัง เรี่ยวแรง เที่ยวไปผู้เดียว
    เช่นกับนอแรด ฉะนั้น ไม่พึงละการหลีกเร้นและฌาน มีปกติประพฤติ
    ธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นนิตย์ พิจารณาเห็นโทษในภพทั้งหลาย เที่ยว
    ไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงปรารถนาความสิ้นตัณหา ไม่
    ประมาท เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีการสดับ มีสติ มีธรรมอันพิจารณา
    แล้ว เป็นผู้เที่ยง มีความเพียร เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น




    ไม่พึงสะดุ้งในเพราะเสียง ดังสีหะ ไม่ขัดข้อง อยู่ในตัณหาและทิฏฐิ
    เหมือนลมไม่ติดตาข่าย ไม่ติดอยู่ในโลก ดุจดอกปทุม ไม่ติดน้ำ พึง
    เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงเสพเสนาสนะอันสงัด
    เหมือนราชสีห์มีเขี้ยวเป็นกำลัง เป็นราชาของเนื้อ มีปกติประพฤติข่มขี่
    ครอบงำ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงเจริญเมตตา
    วิมุติ กรุณาวิมุติ มุทิตาวิมุติ และอุเบกขาวิมุติทุกเวลา ไม่พิโรธด้วย
    สัตว์โลกทั้งปวง เที่ยวไปผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงละราคะ
    โทสะและโมหะ พึงทำลายสังโยชน์ทั้งหลายเสีย ไม่สะดุ้งในเวลาสิ้น
    ชีวิต พึงเที่ยวไปแต่ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น



    ชนทั้งหลายมีเหตุ
    เป็นประโยชน์ จึงคบหาสมาคมกัน มิตรทั้งหลายไม่มีเหตุ หาได้ยากใน
    วันนี้ มนุษย์ทั้งหลายมีปัญญามองประโยชน์ตน ไม่สะอาด พึงเที่ยวไป
    ผู้เดียว เช่นกับนอแรด ฉะนั้น พึงมีศีลบริสุทธิ์ มีปัญญาหมดจดดี
    มีจิตตั้งมั่น ประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนา มีปกติเห็นธรรม
    วิเศษ พึงรู้แจ้งธรรมอันสัมปยุตด้วยองค์มรรคและโพชฌงค์ (พึงรู้แจ้ง
    องค์มรรคและโพชฌงค์) นักปราชญ์เหล่าใดเจริญสุญญตวิโมกข์ อนิมิตต-
    วิโมกข์ และอัปปณิหิตวิโมกข์ ไม่บรรลุความเป็นพระสาวกในศาสนา
    พระชินเจ้า นักปราชญ์เหล่านั้นย่อมเป็นพระสยัมภูปัจเจกพุทธเจ้า มีธรรม
    ใหญ่ มีธรรมกายมาก มีจิตเป็นอิสระ ข้ามห้วงทุกข์ ทั้งมวลได้ มีจิต
    โสมนัส มีปกติเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง เปรียบดังราชสีห์ เช่นกับนอแรด
    พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ มีอินทรีย์ระงับ มีใจสงบ มีจิตมั่นคง มีปกติ
    ประพฤติด้วยความกรุณาในสัตว์เหล่าอื่น เกื้อกูลแก่สัตว์ รุ่งเรืองในโลกนี้
    และโลกหน้า เช่นกับประทีป ปฏิบัติเป็นประโยชน์แก่สัตว์



    พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านี้ ละกิเลสเครื่องกั้นทั้งปวงหมดแล้ว เป็นจอมแห่งชน
    เป็นประทีปส่องโลกให้สว่าง เช่นกับรัศมีแห่งทองชมพูนุท เป็นทักขิไณย-
    บุคคลชั้นดีของโลก โดยไม่ต้องสงสัย บริบูรณ์อยู่เนืองนิตย์ คำสุภาษิต
    ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นไปในโลกทั้งเทวโลก ชน
    เหล่าใดผู้เป็นพาลได้ฟังแล้ว ไม่ทำเหมือนดังนั้น ชนเหล่านั้นต้องเที่ยว
    ไปในสังขารทุกข์บ่อยๆ คำสุภาษิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็น
    คำไพเราะ ดังน้ำผึ้งรวงอันหลั่งออกอยู่ ชนเหล่าใดได้ฟังแล้ว ประกอบ
    การปฏิบัติตามนั้น ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มีปัญญา เห็นสัจจะ คาถาอัน
    โอฬารอันพระปัจเจกพุทธชินเจ้าออกบวชกล่าวแล้ว คาถาเหล่านั้น
    พระตถาคตผู้สีหวงศ์ศากยราชผู้สูงสุดกว่านรชน ทรงประกาศแล้ว เพื่อให้
    รู้แจ้งธรรม คาถาเหล่านี้ พระปัจเจกเจ้าเหล่านั้นรจนาไว้อย่างวิเศษ เพื่อ
    ความอนุเคราะห์โลก อันพระสยัมภูผู้สีหะทรงประกาศแล้ว เพื่อยังความ
    สังเวช การไม่คลุกคลีและปัญญาให้เจริญ ฉะนี้แล.

    จบ ปัจเจกพุทธาปทาน
    จบ อปาทานที่ ๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2015
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก
    เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่งลง สู่ความตรึก ละเอียด
    เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
    ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
    เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้ แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
    เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
    หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้ นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้
    ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
    ข้อนั้นจะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา
    จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”



    พระธรรมคำสั่งสอน ไม่ใช่ของอวด ของแข่งดีแข่งเด่น กับศาสนาอื่น ต่างชาติบ้านเมือง แต่เป็นไปเพื่อความสุขของเหล่าเวไนยสัตว์ที่มีความรักและศรัทธา ในพระรัตนตรัยอันเป็น แก้วสามประการ ของ พระพุทธศาสนา

    โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
    ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
    นิทฺธนฺตมโล อนงฺคโณ
    ทิพฺพํ อริยภูมิเมหิสิ ฯ


    เธอจงสร้างที่พึ่งแก่ตนเอง
    รีบพยายามขวนขวายหาปัญญาใส่ตัว
    เมื่อเธอหมดมลทิน หมดกิเลสแล้ว
    เธอก็จักเข้าถึงทิพยภูมิของพระอริยะ


    " ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ".
    " เป็นสิ่งที่พึงรู้ได้เฉพาะตน ".


    ตามความหมายแล้ว หมายถึง การทำได้และเข้าถึงของคนคนเดียวเท่านั้น ให้ใครบรรลุธรรมแทนเราก็ไม่ได้ เป็นมรดกตกทอดก็ไม่ได้
    ใครทำใครได้ นอกเหนือจากผู้ที่บรรลุธรรมในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าแล้ว...ผู้ที่ได้บรรลุธรรมคนนั้นนั่นแหละ เป็นผู้ที่รู้และเข้าใจสภาวะธรรมที่ตนทำได้และเข้าถึงได้ดีกว่าใครอื่นที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมทั้งหมด เมื่อบรรลุธรรมแล้ว เข้าใจแล้วก็สามารถนำความรู้ความเข้าใจนั้นมาอบรมสั่งสอนคนอื่นให้เข้าใจตามได้ ทุกแง่ทุกมุม ทั้งขั้นตอน วิธีการ เรียงลำดับก่อนหลัง มีที่มาที่ไปอย่างไร ผลที่ได้เป็นอย่างไร ก็สามารถนำมาบอกกล่าวกันได้

    สองจิตสองใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2015
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงให้
    กุลบุตรอุปสมบทได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์อันเป็น
    ของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยปัญญาขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วย
    วิมุติขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์อันเป็นของ
    พระอเสขะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล พึง
    ให้กุลบุตรอุปสมบทได้ ฯ
    [๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึง
    ให้นิสัยได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วย
    ศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ฯลฯ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์อันเป็นของ
    พระอเสขะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล พึงให้
    นิสัยได้ ฯ
    [๒๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึง
    ให้สามเณรอุปัฏฐากได้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของพระอเสขะ ฯลฯ ประกอบด้วยวิมุติญาณทัศนขันธ์
    อันเป็นของพระอเสขะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
    นี้แล พึงให้สามเณรอุปัฏฐากได้ ฯ
    [๒๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตระหนี่ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็น
    ไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล (อุปัฏฐาก) ๑ ความตระหนี่
    ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความ
    ตระหนี่ ๕ ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาความตระหนี่ ๕ ประการนี้
    ความตระหนี่ที่น่าเกลียดยิ่ง คือ ความตระหนี่ธรรม ฯ

    [๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ เพื่อ
    ตัดขาดความตระหนี่ ๕ ประการ ความตระหนี่ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุอยู่
    ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ที่อยู่ ๑ เพื่อละ เพื่อตัดขาด
    ความตระหนี่สกุล ๑ เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ลาภ ๑ เพื่อละ เพื่อ
    ตัดขาดความตระหนี่วรรณะ ๑ เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ธรรม
    ๑ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละ เพื่อตัดขาดความตระหนี่ ๕
    ประการนี้แล ฯ
    [๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อ
    บรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความ
    ตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรบรรลุปฐมฌาน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕
    ประการเป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่
    ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
    ละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรบรรลุปฐมฌาน ฯ
    [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อ
    บรรลุทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดา
    ปัตติผล ... สกทาคามิผล ... อนาคามิผล ... อรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็น
    ไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑
    ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละ
    ธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ธรรม ๕ ประการ
    เป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ฯลฯ ความตระหนี่ธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ฯ[/SIZE][/B][/COLOR]
    [๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อ
    บรรลุปฐมฌาน ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความ
    ตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความเป็นคน
    อกตัญญูกตเวที ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควร
    เพื่อบรรลุปฐมฌาน ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน
    ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล ๑ ความ
    ตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความเป็นคนอกตัญญูกตเวที ๑ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเพื่อบรรลุปฐมฌาน ฯ
    [๒๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละธรรม ๕ ประการ ไม่ควรเพื่อ
    บรรลุทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติ-
    *ผล ... สกทาคามิผล ... อนาคามิผล ... อรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
    คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความ
    ตระหนี่วรรณะ ๑ ความเป็นคนอกตัญญูกตเวที ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ละ
    ธรรม ๕ ประการนี้แล ไม่ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุละธรรม ๕ ประการ ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ธรรม ๕ ประการเป็น
    ไฉน คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ฯลฯ ความเป็นคนอกตัญญูกตเวที ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุละธรรม ๕ ประการนี้แล ควรเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล ฯ
    [๒๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์
    ไม่พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ลำเอียงเพราะรัก ๑
    ลำเอียงเพราะชัง ๑ ลำเอียงเพราะหลง ๑ ลำเอียงเพราะกลัว ๑ ย่อมไม่รู้ภัตที่
    ได้นิมนต์แล้ว และยังไม่ได้นิมนต์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม
    ๕ ประการนี้แล สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติ
    ให้เป็นภัตตุเทสก์ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก ๑ ไม่
    ลำเอียงเพราะชัง ๑ ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๑ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๑ ย่อมรู้ภัต
    ที่ได้นิมนต์แล้วและยังไม่ได้นิมนต์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม
    ๕ ประการนี้แล สงฆ์พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ ฯ
    [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์
    ไม่พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ แม้สมมติแล้วก็ไม่พึงใช้ให้ทำการ ฯลฯ ภิกษุผู้
    ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นภัตตุเทสก์ สมมติแล้วก็พึง
    ใช้ให้ทำการ ฯลฯ ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงทราบว่า
    เป็นพาล ฯลฯ ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงทราบว่าเป็น
    บัณฑิต ฯลฯ ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมบริหารตนให้
    ถูกขจัด ถูกทำลาย ฯลฯ ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อม
    บริหารตนไม่ให้ถูกขจัด ไม่ให้ถูกทำลาย ฯลฯ ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบด้วยธรรม
    ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรก เหมือนนำมาโยนลง ฯลฯ ภิกษุภัตตุเทสก์ประกอบ
    ด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๕
    ประการเป็นไฉน คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก ๑ ไม่ลำเอียงเพราะชัง ๑ ไม่ลำเอียง
    เพราะหลง ๑ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๑ ย่อมรู้ภัตที่ได้นิมนต์แล้วและยังไม่ได้
    นิมนต์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุภัตตุเทสก์ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล
    ย่อมเกิดในสวรรค์ เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ
    [๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์
    ไม่พึงสมมติให้เป็นเสนาสนปัญญาปกะ ผู้ปูลาดเสนาสนะ ... ไม่รู้เสนาสนะที่ได้
    ปูลาดแล้วและยังไม่ได้ปูลาด ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕
    ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นเสนาสนะปัญญาปกะ ... ย่อมรู้เสนาสนะที่ได้ปูลาด
    แล้วและยังไม่ได้ปูลาด ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นเสนาสนคาหาปกะ ผู้ให้ภิกษุถือเสนาสนะ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
    ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นเสนาสนคาหาปกะ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นภัณฑาคาริก ผู้รักษาเรือนคลัง ... ย่อมไม่รู้ภัณฑะที่เก็บแล้วและยังไม่ได้
    เก็บ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้
    เป็นภัณฑาคาริก ... ย่อมรู้ภัณฑะที่ได้เก็บแล้วและยังไม่ได้เก็บ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นจีวรปฏิคคาหกะ ผู้รับจีวร ... ย่อมไม่รู้จีวรที่รับแล้วและยังไม่ได้รับ ...
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นจีวร
    ปฏิคคาหกะ ... ย่อมรู้จีวรที่รับแล้วและยังไม่ได้รับ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นจีวรภาชกะ ผู้แจกจีวร ... ไม่รู้จีวรที่ได้แจกแล้วและยังไม่ได้แจก ... ดูกร-
    *ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นจีวร
    ภาชกะ ... ย่อมรู้จีวรที่แจกแล้วและยังไม่ได้แจก ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นยาคุภาชกะ ผู้แจกข้าวยาคู ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วย
    ธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นยาคุภาชกะ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึง
    สมมติให้เป็นผลภาชกะ ผู้แจกผลไม้ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วย
    ธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นผลภาชกะ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นขัชชกภาชกะ ผู้แจกของขบเคี้ยว ... ย่อมไม่รู้ของขบเคี้ยวที่แจกแล้วและ
    ยังไม่ได้แจก ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึง
    สมมติให้เป็นขัชชกภาชกะ ... ย่อมรู้ของขบเคี้ยวที่แจกแล้วและยังไม่ได้แจก ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึง
    สมมติให้เป็นอัปปมัตตกวิสัชชกะ ผู้จ่ายของเล็กน้อย ... ย่อมไม่รู้ของเล็กน้อยที่
    ได้จ่ายแล้วและยังไม่ได้จ่าย ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕
    ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็นอัปปมัตตกวิสัชชกะ ... รู้ของเล็กน้อยที่ได้จ่ายแล้ว
    และยังไม่ได้จ่าย ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึง
    สมมติให้เป็นสาฏิยคาหาปกะ ผู้แจกผ้าสาฎก ... ย่อมไม่รู้ผ้าสาฎกที่ได้รับแล้ว
    และยังไม่ได้รับ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์
    พึงสมมติให้เป็นสาฏิยคาหาปกะ ... ย่อมรู้ผ้าสาฎกที่ได้รับแล้วและยังไม่ได้รับ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึง
    สมมติให้เป็นปัตตคาหาปกะ ผู้แจกบาตร ... ย่อมไม่รู้บาตรที่รับแล้วและไม่ได้รับ ...
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้เป็น
    ปัตตคาหาปกะ ... ย่อมไม่รู้บาตรที่รับแล้วและยังไม่ได้รับ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึง
    สมมติให้เป็นอารามิกเปสกะ ผู้ใช้คนวัด ... ย่อมไม่รู้คนที่ได้ใช้แล้วและยังไม่ได้
    ใช้ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์พึงสมมติให้
    เป็นอารามิกเปสกะ ... ย่อมรู้คนที่ได้ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ ... ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติ
    ให้เป็นสามเณรเปสกะ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
    สงฆ์พึงสมมติให้เป็นสามเณรเปสกะ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วย
    ธรรม ๕ ประการ สงฆ์ไม่พึงสมมติให้เป็นสามเณรเปสกะ แม้สมมติแล้ว ก็ไม่
    พึงใช้ให้ทำการ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ สงฆ์
    พึงสมมติให้เป็นสามเณรเปสกะ สงฆ์สมมติแล้ว พึงใช้ให้ทำการ ... ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ พึงทราบว่าเป็น
    พาล ... พึงทราบว่าเป็นบัณฑิต ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะ
    ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมบริหารตนให้ถูกขจัด ถูกทำลาย ... ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมบริหารตนไม่ให้
    ถูกขจัด ไม่ให้ถูกทำลาย ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบ
    ด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ภิกษุสามเณรเปสกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือน
    เชิญมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ไม่ลำเอียงเพราะรัก ๑
    ไม่ลำเอียงเพราะชัง ๑ ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๑ ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ๑ ย่อมรู้
    สามเณรที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสามเณรเปสกะ
    ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษ-
    *ฐานไว้ ฯ
    [๒๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อม
    เกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้
    ฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดพรหมจรรย์ ๑ กล่าวเท็จ ๑ ดื่มน้ำเมาคือ
    สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบ
    ด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดใน
    สวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้งดเว้น
    จากการฆ่าสัตว์ ๑ งดเว้นจากการลักทรัพย์ ๑ งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหม-
    *จรรย์ ๑ งดเว้นจากการพูดเท็จ ๑ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน
    เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๕
    ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ
    [๒๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณี ... สิกขมานา ... สามเณร ...
    สามเณรี ... อุบาสก ... อุบาสิกา ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดใน
    นรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
    ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน
    เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาประกอบด้วยธรรม ๕
    ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดใน
    สวรรค์เหมือนถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้
    งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๑ งดเว้นจากการลักทรัพย์ ๑ งดเว้นจากการประพฤติผิด
    ในกาม ๑ งดเว้นจากการพูดเท็จ ๑ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน
    เป็นฐานะแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาประกอบด้วยธรรม ๕
    ประการนี้แล ย่อมเกิดในสวรรค์เหมือนเชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ
    [๒๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาชีวกประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อม
    เกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
    ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็น
    ที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาชีวกประกอบด้วยธรรม ๕
    ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
    [๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิครนถ์ ... สาวกนิครนถ์ ... ชฎิล ...
    ปริพาชก ... เดียรถีย์พวกมาคัณฑิกะ ... พวกเตทัณฑิกะ ... พวกอารุทธกะ ... พวก
    โคตมกะ ... พวกเทวธัมมิกะ ... ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเกิดในนรก
    เหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑
    ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑ ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอัน
    เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดียรถีย์พวกเทวธัมมิกะ
    ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ฯ
    [๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ ๕
    ประการเป็นไฉน คือ อสุภสัญญา ๑ มรณสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ อาหาเร-
    *ปฏิกูลสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕
    ประการนี้แล ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ ฯ
    [๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
    ๕ ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนิจเจทุกขสัญญา ๑ ทุกเขอนัตต-
    *สัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการ
    นี้ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ ฯ
    [๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
    ๕ ประการเป็นไฉน คือ สัทธินทรีย์ ๑ วิริยินทรีย์ ๑ สตินทรีย์ ๑ สมาธินทรีย์ ๑
    ปัญญินทรีย์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่ง ราคะ ฯ
    [๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ
    ๕ ประการเป็นไฉน คือ กำลังคือสัทธา ๑ กำลังคือวิริยะ ๑ กำลังคือสติ ๑
    กำลังคือสมาธิ ๑ กำลังคือปัญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล
    ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ ฯ
    [๒๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ ควรเจริญเพื่อกำหนดรู้
    ราคะ ฯลฯ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อสิ้นไป เพื่อเสื่อมไป เพื่อคลาย
    เพื่อดับ เพื่อสละ เพื่อปล่อยวางราคะ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ
    ควรเจริญเพื่อรู้ยิ่ง ฯลฯ เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อสิ้นไป
    เพื่อเสื่อมไป เพื่อคลาย เพื่อดับ เพื่อสละ เพื่อปล่อยวางโทสะ โมหะ โกธะ
    อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ
    มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ ฯ
    จบปัญจกนิบาต ฯ

    ไฟต์บังคับ คำว่าอวดอุตริมนุษยธรรม จะหายไปด้วยจริตธรรม เจตนาธรรมนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2015
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ผลดีและผลเสียย่อมตามมาเมื่อคิดจะสอน ตามกรรม บุญบารมีที่สั่งสมมาเพียงน้อยนิด จะเพียงพอที่จะไปสอนใครๆหลายคนให้ได้มรรคผล ตามกันเล่า ถ้าไม่สอน ผู้ที่จะกลายเป็นมังกรด้วยกันเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2015
  12. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ในสงคราม กรณี พวกข่มขืน ทารุณ กลายเป็นเรื่องพบได้บ่อย

    ก็เมื่อ สันดานหยาย ดังเดิมของมนุษย์ อันขาดหิริโอปตัปปะ มีความฮึกเหิมในทางที่ผิด

    ก็ย่อมเกิดความหลงผิด กลายเป็น กงล้อเเห่งกรรม เเต่ถ้าเป็นคนที่มีเทพเทวดาคุ้มครอง

    มีน้อยที่จะถูกข่มขืน ส่วนเรื่องการประหารชีวิตนั้น ถึงทำไปก็หยุดสันดาน หยาบของ

    มนุษย์ไม่ได้หรอก มันมีทุกยุคทุกสมัย ทั้งที่เรารู้เเละ ไม่รู้ เเต่ทำอะไรไว้กรรมนั้นก็ส่ง

    ผลเเก่เขา
     
  13. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมขอเสนอให้จำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิลดหย่อนโทษ หรือตัดเครื่องเพศ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204

    ตัดไอ้ตัวเล็กด้วย ชนิดประชิดตอ แล้วขังรวมok เปลืองข้าวสาร นะแต่ว่า สรรหาบุคคลที่มีวิสัยในการสำเร็จธรรม คล้ายองคุลีมาลมาเป็น เพชฌฆาต ก็คงจะดี

    ต้องหาแบบนายนิรบาลดีสุด ประเภท อยากเป็นคนพิเศษในนรก

    มาสร้างนรกบนดินกัน หึหึ!


    อีกอย่างน่ะนะ ก็หมายความว่า " ผู้ชายและผู้หญิงในประเทศไทยมีศักดิ์ศรี ขึ้นชื่ออันดับหนึ่งของโลก เป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่มีการข่มขืน ไม่มีการล่วงละเมิด มีแต่สตรีรักภักดียินดีมอบกายและใจพลีให้ " อวดได้เลย



    ฝันไปก่อน

    สะเปะสะปะ ลุ่มๆดอนๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2015
  15. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    สวัสดีค่ะ

    เนื้อหาของมล ไม่เหมาะกับผู้ที่วิ่งเล่นในทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์นะเจ้าคะ !!!!

    ขอพูดในฐานะเป็นผู้หญิงหน่อยนะและกลัวการปาณาที่สุด
    แต่เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้นแน่นอนค่ะ !!!

    ไม่ต้องพูดถึงเทพเทวารักษา การเป็นสตรีย่อมมีวิบากกรรมเป็นสัญญา
    ต่อให้ปิดยันคอ ถ้าให้รู้ว่า เป็นสตรีย่อมเสียเปรียบวันยังค่ำ
    พวกผู้ ที่เป็นเปรตและสัตว์นรกแฝงมามากมายในยุคนี้
    มันช่างน่าอดสูมากที่ ทำไม กฎหมายบ้านเมือง ทำอะไรพวกนี้ไม่ได้เลย...ไม่เข็ดเลยนะ
    น่าจับตอนสดเป็นขันทีชะมัดยาด

    เล่าให้ฟัง..
    การเป็นคนกระโดกกระเดก เพราะการเอาตัวรอดในสังคมที่ผู้ชนะคือผู้เอาเปรียบ
    การเกือบโดนเพื่อนลูกพี่ลูกน้องจะข่มขืน ดีที่เตะผ่าหมากรอดมา
    การโดนแฟนอาผู้หญิงแอบดูตอนอาบน้ำ โดนอาผู้หญิงตบหน้า หาว่าเราอ่อยแฟนเขา
    เลยหนีออกจากบ้านตอน 14 ไปอยู่บ้านป้า
    การต้องเดินกลับบ้านยามวิกาล เพราะต้องทำงานพิเศษขายป้อปคอรนที่ห้าง
    ห้างปิดสี่ทุ่ม ประหยัดค่าวิน เดินเข้าซอยคนเดียว
    ห้ามสามีเพื่อนไม่ให้ซ้อมร่างกายเพื่อนมันจะเอาอีโต้มาฟัน เลยยิงปืนขึ้นฟ้า อาการหมาตัวผู้กัดคนเลยกลายเป็นกราบร้องขอชีวิต ...เสียชาติเกิดเป้นผู้ชายชะมัดยาด

    จนมาอเมริกา จนใช้ชีวิตคนเดียว พบประสบเจอชายในร่างเปรต ที่พร้อมจะทำร้ายร่างกาย
    ไม่จำกัดว่ามันไทย มันลาว มันฝรั่ง ไอ้มืด... ถึงเราไม่กวน แต่ถ้าเปรตจะขอส่วนบุญ มันหลีกไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ คือป้องกันตัว...คุยด้วย พูดด้วย ไม่ใช้จะนอนด้วยนะ เอดส์ระบาด แถมปีนต้นงิ้ว
    อีกไม่เอาด้วยหรอก เสปรย์พริกไทยขนาดแรงสุด ที่ช้อตไฟฟ้า มีดสปาต้า มีดพับลับจนคมก็พกไว้ เพราะว่า ถ้าเผื่อสู้มันไม่ได้ ยอมตายดีกว่า ตายทั้งเป็น ....

    และไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นล่ะ ... บางจำพวกยิ่งไม่ได้เข้ามาแบบอันธพาล แต่เจือกมาแบบป้ายน้ำมันพราย ไอ้พวกนี้ก็น่าจะให้ปอปสิงเสียให้เข็ดนะ

    มันเป็นยุคสมัยที่ คนในครอบครัวปกป้องลูกหลานผู้หญิงจากมนุษย์ใจสัตว์ไม่ได้
    กฏหมายช่วยไม่ได้... รู้
    กฏศีลธรรม มีจริงแน่นอน !!!!

    ยังมีพวกอัปปรีย์เพศสตรีเหมือนกัน บอกว่า พวกที่โดนข่มขืน คงสนุก...สนุกพ่อง
    ไม่เคยโดนหรอก แต่เกือบโดน จากกลัวเลยโหดแบบว่าจะตัดสินพวกมันซะเองแบบนั้น
    ที่รู้เพราะเห็นศพสาวโรงงานโดนรุมข่มขืนกับตามาแล้ว...

    นี้ละครเรื่อง ล่า มาเวอร์ชั่นใหม่ ... ดูหนังเอาแค่อารมณ์ เราช่วยอะไรกันได้บ้าง
    ลูกหลานผู้หญิงเดินกลับบ้านดึกๆ เป็นห่วงกันบ้างไหม

    คดีที่ดังในอเมริกา มันจับเด็กสาวอายุ 14-15 ปี จำนวนสามคน ไปกักขังเป็นทาสเซ็กซ์ในบ้านในห้องใต้ดิน จนเด็กสาวเหล่านั้น อายุ 33 ปี มีลูกคลอดในบ้าน อยู่แบบไม่ใส่เสื้อผ้ากัน โซ่ล่าม โดนข่มขืนแบบวิปริตวิตถาร อีกสองคนโดนทำร่างร้ายกายจนแท้งลูก...
    คิดเอาว่า เด็กสาวสามคนนี้ ถึงรอดมาได้ จะมีสุขภาพจิตยังไงกัน คิดเอง...

    บางราย โดนข่มขืนไม่พอ โดนถ่ายคลิปแบล้คเมลล์
    บางราย กลายเป้นฮิสทีเรีย สำส่อนไปเลย
    บางราย เป็นจิตเภท เป็นเลสเบี้ยนไปเลย
    บางราย ถึงคิดได้กลับติดท้อง มีลูก อนาคตสะดุด ก็มีมาก

    พูดแบบไหนไอ้พวกนี้ก็ไม่สมควรมีพื้นที่ให้มันเลยนะ


    ข่มขืน = ประหาร ทันทีไม่มีรอลงอาญา.. จะได้ไหมนะ
    จากกระทู้นี้ สามสามปีผ่านไป...คดีแม่มพิศดารขึ้นทุกวัน เหยื่อยิ่งเด็กลงๆๆเหลือ ห้าเดือน..

    .
    https://en.wikipedia.org/wiki/Waris_Dirie

    วาริส เดรี่ ไม่รู้ว่ามีแปลไทยมั้ย แต่คือเรื่องราวจริงของเด็กสาวแอฟริกา ถูกขลิบอวัยเพศหญิงตั้งแต่ห้าขวบ อายุ 12 โดนบังคับให้แต่งงานกับชายแก่อายุคราวปู่เพื่อแลกกับแพะไม่กี่ตัว เธอหนีจากบ้านข้ามทะเลทรายด้วยเท้าเปล่าเพื่อไปตายเอาดาบหน้า ..ระหว่างทาง นั้น กว่าจะเป็นนางแบบระดับโลก แล้วเปิดเผยเรื่องราวแบบนี้ให้โลกรับรู้ความหยาบช้าของมนุษย์นี้ ต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว...

    แผ่เมตตาให้ เธอ ทุกคนที่โดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจค่ะไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม
    กฎแห่งกรรมย่อมยุติธรรมเสมอ !!!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ข่มขืน เด็กนักเรียนรังแกกันในโรงเรียน ความรุนแรงในครอบครัว
    เป็นเรื่องที่ควรแก้อัยดับต้น ๆ

    ปัญหาก็คือ
    ควรจะปรับทัษนคติของไอ้พวกคนที่ชอบใช้ความรุนแรงพวกนั้นยังไง หรือจะจัดการกะมันยังไง
     
  17. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    แต่ พูดกพูกนะ ผมว่า ยังไงเราก็หยุดปัญหาพวกนี้ไม่ได้หรอก เพราะปัญหาพวกนี้มันเหมือนสิ่งที่ฝังรากลึกมาบนโลกมาช้านานแล้วน่ะ
    คนยุคก่อนหน้าก็ทำมาแบบนี้
    คนยุคหลัง ๆ มาก็ยิ่งทำหนักขึ้น ๆ เพราะมันมีความชั่วให้เห็นเป็นเยี่ยง

    คนไม่เห็นประโยชน์ของการทำความดี เพราะ เขาคิดว่าทำความดีไม่เห็นได้อะไรดี ๆ ตอบแทนเลยก็มี มีแต่คนร้าย ๆ กะเราทั้งนั้น จะทำดีไปทำไม อย่างโน้นอย่างนี้ บางคนที่ก่อเหตุทำร้ายคนอื่นก็โดนคนอื่นทำร้ายมาก่อนหน้าก็มี

    จะทำให้เทา ๆ คนหนึ่งกลายมาเป็นคนที่คิดดีทำดีในสมัยนี้มันยากละ
    จะทำให้คนดำ ๆ คนหนึ่ง กลายมาเป็นคนดียากยิ่งกว่า
    แล้วสมัยนี้คนมันมีประเภทสีดำเยอะซะด้วยครับ

    จะว่าไปแล้ว การพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ อาจจะเป็นการ ถือเทียนเดินเข้าไปในความมืดน่ะครับ แสงสว่างจากใครคนหนึ่ง อาจะทำให้ใครหลาย ๆ คน เปลี่ยนจากดาวที่ไร้แสง มาเป็นดาวที่สะท้อนแสงได้ก็จริง แต่เมื่อดาวดวงที่ส่องสวางนั้นดับไป ดาวที่าส่างเพราะแสงสะท้อนก็กลับไปมืดอีกครั้ง มันยากนะที่จะส่องแสงสว่างไปยังใคร แล้วทำให้เขามีแสงสว่างของตัวเองขึ้นมาได้

    แต่ การที่จะมีใครพบแสงสว่างบ้างก็ยังดีกว่าไม่มีใครได้รับแสงสว่างขึ้นมาเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2018
  18. neomagic

    neomagic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +217
    ถ้าข่มขืน เฉยๆ ก็ไม่ต้องประหาร อย่าใช้อารมณ์นำเหตุผล ครับ เพราะถ้าเขาเลว แล้วคุณเลวกว่าเขา ก็ไม่ต่างอะไรกัน แต่แย่ลงกว่าเดิม
     
  19. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    เกิดกับลูกสาวตนเอง

    และตนเอง คงพูดไม่ได้แบบนี้เนาะ

    การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ถึงเด็กไม่ตาย

    แต่พอโตขึ้นไป สร้างปัญหาสังคม ครอบครัว

    เพราะปัญหาสุขภาพทางจิต บางคน เป็นพวกฟรีเซกซ์

    ซาดิสซ์ เป็นสภาวะบกพร่องทางเพศ

    ทางครองเรือนไปเลย อย่าตัดสินแค่

    เอาอวัยวะเพศไปแหย่ ไม่เห็นจะผิด เออ คิดได้ไงวะ

    จะว่า โหดร้ายเลวกว่า หรือ พิจารณาสิ มีปัญญาเปล่า

    ผิดข้อไหนว่าตามกัน ข่มขืนนี้ เหมือนฆ่ากันทั้งเป็น

    ก็ไปซื้อผู้หญิงขายบริการสิ จะมาทำกรรมกับผู้หญิง

    และเด็ก ทำไม อย่างนี้เขาเรียก หิริโอปตัปปะไม่มี

    อ้างเวรกรรม นั้นจริง แต่ ในภพภูมิมนุษย์

    สมควรมี กฏระเบียบเข้มงวด

    ให้คนดีปกครองคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจกระทำการอันชั่วช้า รุกรานคนดี

    นี้คือพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ค่ะ
     
  20. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    ถ้สผู้ชายมันมีศีลธรรม

    มันไม่ “ข่มขืน” หรอกค่ะ

    มันไม่มีต่างหาก มันถึงทำ

    ผู้หญิงเช่นกัน ถ้าไม่หน้าด้าน ก็คงไม่แย่งของรัก

    หรือผิดศีลข้อสาม ไปแย่งผัวชาวบ้านหรอก กระมังคะ

    สติค่ะสติ ข่มขืนเป็นคดีอาชญากรรม ไม่ใช่

    แค่โขมยลูกอม ใน 7-11 !!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...