อุปาทานขันธ์ทั้งหลายมันทำงานของมันเป็นปรกติดี จิตเราต่างหากไปคล้อยตามมัน ความวิเศษทัั้งหลายมันเป็นเรื่องปรกติของคน...
ทิษฐิในใจเราเองสร้างตัวตนของเรา ทุกๆเหตุการณ์ของความทุกข์เราสร้างขึ้นมาเอง มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกนี้ คิดดีแล้วทำดีเริ่มที่เจตนาที่ดี...
บ้านในทางโลกของเรานี่แหละที่ยึดเราไว้...เราแค่สมมติไปตามโลกเอง แต่บ้านจริงๆ ทีแอบซ่อนอยู่ในใจของเราเอง ทำไมเราหากันไม่เจอสักที...
ในโลกนี้...ใครบ้างไม่เคยเสียใจ ...ใครบ้างไม่เคยท้อ...ใครบ้างไม่เคยทุกข์... ...ใครบ้างไม่เคยผิดหวัง..........................
อนาคตยังมาไม่ถึง คุณเณรจะเครียดไปทำไม หรือว่ากลัวตาย... ปัจจุบันคุณเณรเป็นลูกพระตถาคต ปฎิบัติให้รู้จริง รู้แจ้งในธรรม ที่ควรปฎิบัติในปัจจุบัน...
ขอบคุณมากครับ ท่านยังคงเป็นกัลยาณมิตรที่ดีเสมอ และขอให้ พรของท่านกลับคืนสู่ท่านเช่นเดียวกัน สาธุครับ
ปัจจัตตัง ธรรมของพระศาสดา คือรู้ได้เฉพาะตน รู้ให้ถึงที่สุดของกาย-ใจ ของเรานี้ก็เพียงพอแล้ว นั่นคือหน้าที่ ที่เราควรทำ และเมื่อถึงที่สุดแล้ว...
ขอโทษครับไปอยู่ป่ามา 20กว่าวันพึ่งออกมาวันแรกเลยตอบช้าไปหน่อย การปฏิบัติของ ผมเป็นสายวัดป่าครับ ฝึกดูกาย ดูเวทนาอยู่ครับ
มารทั้งหลายตัวเราเองเอามันเข้ามา หลายๆทาง มันมีอยู่จริงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ใช่ของจริงเพราะเกิดจากความปรุงแต่งในใจเราทั้งสิ้น...
จขกท มีหิริโอตัปปะอยู่ในใจแล้ว เรียกว่ามีศีลมีธรรมดีแล้ว ถามว่าผิดศีลข้อ 3 หรือไม่ ก็ต้องดูว่าประพฤติถูกทำนองคลองธรรม ถูกศีลถูกธรรมหรือเปล่า...
อ่านมาเยอะ แต่อันนี้ถูกใจมาก บทความดี เปรียบเทียบได้ดี นับถือๆ
หลักของการปฎิบัติสมาธิ ไม่ใช่เพื่อรักษาอาการป่วยทางกายโดยตรง แต่ให้เห็นความจริงของการเสื่อมไปของกายอย่างมีสติ โรคของกาย เกิดขึ้น...
สวัสดีครับ ยินดีที่ได้เป็นกัลยาณมิตรครับ
ขอบคุณมากครับ ขอบคุณคุณ ongsathit1 ด้วยครับ คือผมพอจะเข้าใจสภาวะนั้นๆอยู่บ้าง แต่ไม่ทราบบัญญัติที่ใช้ เรียกสภาวะนั้น...
ขอถามรายละเอียดสักนิดครับว่า ในสภาวะที่จิตรับรู้แล้ว ว่านี่กาย นี่จิต แต่เรายังสังเกตุได้ถึง อารมณ์ขององค์สมาธิที่กำลังดำเนินอยู่ แยกส่วนออกไป...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา