สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย มหาวัฎร, 4 มิถุนายน 2012.

  1. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    {O} ขอมอบของขวัญ โดยการให้ธรรมะเป็นทาน เนื่องในวันวิสาขบูชา ที่จะถึงนี้ บัดนี้ถึงกาลเวลาที่ข้าพเจ้า จะได้แจกแจง ตามลำดับเพียงคร่าวๆ ตามอักษรพยัญชนะไทย และเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่เคยปรากฏในคัมภีร์ใด และหรือศาสนาใดในโลกธาตุนี้ และอาจมีบางข้อความเพียง บางข้อความเท่านั้น ที่มีความหมายเทียบเคียง หรือใกล้คียงใน พระคัมภีร์พระธรรม คำสั่งสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา { คาดว่าน่าจะมี เพราะยังศึกษาไม่ทั่วถึง แต่นี่รู้เองหรือมีผู้บันดาล ก็ไม่อาจทราบได้ ...ใครทราบว่ามีก็มา ให้ความรู้ เพิ่มเติม หน่อยนะครับเพื่อความรู้แจ้ง ในสัมมาทิฏฐิ ต่อไป ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้า } ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทั้งสหโลกธาตุ ในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งจักเป็นประโยชน์ต่อไป ในภายภาคหน้า แก่พระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการถกเถียง กันในเรื่องราวต่างๆ ใครมีบุญมากๆ ที่เหลือก็ค่อยถาม เอากับชาวทิพย์เอานะครับ เพราะเขาอยู่มานาน เอาที่มีธรรมสูงๆล่ะครับ เพราะส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ เพราะถูกกับดักของมารครอบ เอาไว้เหมือนกัน ^_^ {O} ว่าด้วย" กำเนิดบุคคล ๑๐ จำพวก หลังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระปรินิพพาน " จำพวกที่ ๑ มีโอกาสที่จะได้รับรู้มีความเข้าใจ และปราถนาโดยเห็นว่า " ในรูปลักษณะต่างๆ ในสิ่งก่อสร้างในพระปฏิมาใดใด เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ปฏิบัติตามพระพุทธวจนะ ในพระปัจฉิมโอวาทโดยเห็นว่า เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๒ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " พระธรรมคำสั่งสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าตามพระพุทธวจนะ ตามพระปัจฉิมโอวาทและเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๓ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " ทั้งรูปพระปฏิมาและพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ควรอยู่เคียงคู่กันตลอดไป และเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๔ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " จะมีพระธรรมปฏิมาใดใดก็ตาม พระธรรมคำสั่งสอนใดใดก็ตาม แม้จะมีแค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ก็ด้วยเห็นว่า เป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๕ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " ถึงแม้จะมีหรือไม่มีสิ่งใดก็ตาม จะเกิดธรรมอันประเสริฐ มีคุณวิเศษเพียงใดก็ตาม ที่ปรากฎในพระพุทธศาสนานี้ ก็หาได้มีความหมายหรือมีประโยชน์ ในการใดใดแก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๖ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " ยังลังเลสงสัยอยู่เมื่อได้ยิน และได้พบเห็นทุกๆสิ่งที่ปรากฎ ในพระพุทธศาสนา และยังก็ลังเลสงสัยอยู่อย่างนั้น โดยตลอดด้วยเห็นว่า เพียงเท่านั้นก็เป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๗ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " สมควรเกลียดชัง ให้ร้ายป้ายสีและจ้องจะทำลาย อยู่เสมอๆในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ปรากฎ ในพระพุทธศาสนาเมื่อมีโอกาส ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๘ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนาโดยเห็นว่า " เห็นดีเห็นงามตามบางสิ่งบางอย่าง ในพระพุทธศาสนาและนำเอาไปใช้ โดยเห็นว่าเป็นประโยชน์ แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๙ มีโอกาสที่จะได้รับรู้ มีความเข้าใจและปราถนา โดยเห็นว่า " ทุกสิ่งทุกอย่างในพระพุทธศาสนา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสำนัก และในลัทธิ ในศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่แล้ว โดยถือเอาเป็นของตน ด้วยเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง " จำพวกที่ ๑๐ ไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้ ทั้งไม่มีความเข้าใจและความปราถนา โดยการใดๆเลยในพระพุทธศาสนา ด้วยขาดการศึกษา,การเรียนรู้,การเจริญภาวนา,การพิจารณาไตร่ตรอง มรรคมีองค์ ๘ฯลฯจึงไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดใด แก่ตนและพวกพ้อง "
    {O}ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างมากมายสุดที่จะพรรณนาออกมาได้ในตอนนี้ ด้วยสติปัญญาของข้าพเจ้า ยังมีน้อยนิด ยังมิอาจสำเร็จธรรมใดใดได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ข้าพเจ้าได้นั่งใช้ สติปัญญาที่มีอันน้อยนิดเรียบเรียง ก็ได้มีชาวทิพย์มาอนุโมทนาบุญ {O} ๐ เรารู้ดีโดยธรรมด้วยตนเอง ว่าผู้ที่ทราบว่าอะไรผิดอะไรถูกก็คือ ผู้ที่อยู่มานานแล้ว ในพรหมโลกก็ดี ในสวรรค์โลกก็ดี ในมารโลกก็ดี แม้แต่ในนรกภูมิ พวกเขาเหล่านั้น บ้างก็เคยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์มาแล้ว บ้างก็ได้รับพรมาแล้ว ได้รับฟังคำสั่งสอนมาบ้างแล้ว อย่างมากมายท่วมท้น ชนเหล่านั้น สามารถที่จะชี้แจง บอกข้อมูลในเมื่อครั้งอดีตกาล สมัยพุทธกาลแก่เราได้อย่างชัดเจน และไม่ผิดเพี้ยน หากเขาเหล่านั้นประสงค์จะให้ทราบ ด้วยบุญเก่าก็ดี เหมือนกับที่เคยมาถวายพระปริตรแก่เรา เราก็ย่อมจักสำเร็จ การนั้นเป็นแน่แท้ ๐

    ๐ มนุษย์เรานั้นมักมีความคิด เห็นผิดทำนองคลองธรรมเสมอๆ ทั้งๆที่สิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด ควรค่าที่สุดอยู่ตรงหน้าแล้ว อุปมาเหมือนไก่ได้พลอยที่ไม่เห็นคุณค่าของเพชรพลอยนั้น แต่มีความปราถนา ในเมล็ดข้าวเปลือก โดยเห็นว่าควรทีจะมีประโยชน์กับตนเองมากกว่า เพราะทำให้ถูกใจ อิ่มท้อง ขอให้มีผลประโยชน์แก่เราเท่านั้น ไม่ว่าอะไรก็เอาหมด ไม่สนว่าผิดหรือถูก แต่เอาความถูกใจของตนเองเป็นหลัก ความถูกใจของระบบสภาพสังคมเป็นหลัก หากอยู่ในสังคมโจร ก็มีความยินดีและปราถนาที่จะเป็นโจร ปราถนาในทุกสิ่งที่เฉพาะหน้า ไม่ได้หวังถึงอนาคต เพราะเศษวิบากกรรมเก่า ดวงตาจึงมืดบอดไป มองอะไรไม่เห็น น่าเวทนาหนอ นี่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงท้อพระทัย ในกิเลสของสัตว์โลก ยากจะเยียวยา ๐

    "ท่านทั้งหลาย ในอรรถาธิบาย ในปัจจุบันมีการดัดแปลงแก้ไขเป็นอันมาก จนทำให้เราสามารถเข้าใจผิดและหลงทางได้ แม้แต่ในความเข้าใจ ในเนื้อความจะมีมากก็ตาม รู้มากในอรรถในประโยคมากก็ตาม แต่จะยังไม่สามารถเข้าถึงเส้นทางที่แท้จริงได้ หากไปนำมาปฎิบัติ เสมือนมีแผนที่ทางเดินที่สร้างมาผิดแบบ ย่อมเข้าใจผิดเป็นอันมาก และแม้มีแผ่นที่่ทีสามารถชี้บอกทางได้ถูกต้อง แต่ไปถามคนผิดก็บอกทางผิดไปเรื่อยๆ ตามความคิดของตนเอง ความเข้าใจของตนเอง ตามจริตของตนเอง หรือมีจริตประสงค์ให้ งุนงง สงสัยไข่วเขว ไม่กระจ่าง ขอให้ท่านเฝ้าพิจารณาให้ดีๆ และปฎิบัติให้ถึง ความวิเวก หวังว่ากุศลผลบุญของท่าน ที่ได้เคยทำไว้แต่ชาติปาง ก่อนจะชี้นำทางที่ถูกต้อง"
    ตราบใดที่ผ้ากาษายังไม่ห่มกายเรา เรายังถือว่าท่านเป็นสหายเรา
    หากมีบุญเก่ามากพอ จงศึกษาพระไตรปิฎกเถิด เราแนะนำให้ท่านถือศีล รักษาธรรม ด้วยกาย วาจา ใจ ท่านจะพบทางสว่าง พร้อมกับได้รับการอนุเคราะห์จากชาวทิพย์ และมาปรากฎให้ท่านพบเจอ ช่วยกิจการทั้งหลายของท่าน ให้สำเร็จได้ ตามแรงบุญแรงกรรม

    ( ฉวาลาตสูตร ) ว่าด้วยบุคคล ๔ จำพวก
    ๑. ไม่ปฏิบัติ เพื่อตนเองและผู้อื่น ๒. ปฏิบัติเพื่อผู้อื่น แต่ไม่ปฎิบัติเพื่อตนเอง ๓. ปฎิบัติเพื่อตนเอง แต่ไม่ปฎิบัติเพื่อผู้อื่น ๔. ปฎิบัติเพื่อตนเองและผู้อื่น ในบุคคลทั้ง ๔ บุคคล จำพวกที่ ๔ คือ ผู้ที่ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเป็นเลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นประธาน เป็นผู้อุดม เป็นผู้สูงสุด

    “สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”

    หากมีความประสงค์ที่จะเห็นพระอรหันต์จริงๆ ผู้ที่ ใช้บาตรศิลา ไม่โกนคิ้ว ครองผ้าบังสุกุลจากซากศพ อยู่โคนไม้เป็นนิจ เที่ยวบิณฑบาตร ฉันยาดองน้ำมูตรเน่า ไม่มีเรือน ไม่มีกุฎิ ไม่มีวัด หากท่านทั้งหลายยังไม่สิ้นอายุขัยก่อน จากเราผู้ประกอบสมณะธรรม เพื่อแสวงหาโมกธรรมในอนาคตอันใกล้นี้ และเป็นผู้อนุโมทนาบุญอันดียิ่ง อนุโมทนาบุญครับ ชาวพุทธบริษัท ผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย (บันทึกโดย จอมภพ ๓/๖/๒๕๕๕ )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
  2. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    ข้าพเจ้ามิได้หวังทำลายใคร หรือสำนักสงฆ์เหล่าใด แต่ข้าพเจ้าจะทำลายจิตใจของมาร ทำลายตัวต้นตอ ที่มันทำลายให้เหล่าพุทธบริษัท พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ให้แตกแยกกัน ไม่สามารถเข้าถึงพระธรรมได้ เพราะเห็นความเสื่อมในศรัทธา ที่มัวแต่จ้องจะรบกันทำลายกันอยู่อย่างเดียว กับการถือเคร่งตาม หรือไม่ถือเคร่งตาม จนดูผิดอุปนิสัยของผู้ที่ได้รับพระธรรมคำสั่งสอนของ(พุทธะ) ตามยุคตามสมัยในบัดดลนี้ ข้าพเจ้าพอจะมองเห็นอะไรที่เป็น­­ประโยชน์ได้ แม้จะอยู่ในโคลนตมก็ตาม แม้จะปนอยู่ในสิ่งปฎิกูลก็ตาม อีกไม่นานนัก ข้าพเจ้าจะทำให้พวกท่าน หลายสำนัก หลายกลุ่มได้เสียใจ ทุกข์ใจในสิ่งที่ท่านได้เคยคิดเคยปฏิบัติผิดๆ มาเป็นอันมาก และคุ้นชินกับมันจนเคยตัว ข้าพเจ้าจะใช้ฤทธิ์ที่จะพึงมี พึ­­งกำเนิดขึ้นเมื่อถึงกาล ข้าพเจ้าเชื่อมั่นและมีศรัทธาอย่างแรงกล้า ขออนุโมทนาบุญ (อานิสงค์ต่างๆของบุคคล ๑๐ จำพวกที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึง นั้นก็มีอยู่ ตามกุศลกรรมและอกุศลกรรม ผู้ที่เกลียดชัง ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่ศรัทธา ก็ล้วนแต่จะเป็นพลวปัจจัยที่น้อมนำไปสู่มรรคผล ในวันข้างหน้า (เพียงจะช้าหรือ เร็วเท่านั้นเอง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. มหาวัฎร

    มหาวัฎร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +150
    ทรงทราบ ทรงเปิดเผย แต่ไม่ทรงติด ซึ่งโลกธรรม

    ภิกษุ ท.! โลกธรรม มีอยู่ในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! ก็อะไรเล่า เป็นโลกธรรมในโลก?

    ภิกษุ ท.! รูป เป็นโลกธรรมในโลก. ตถาคต ย่อมตรัสรู้ ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งรูปอันเป็นโลกธรรมนั้น; ครั้นตรัสรู้แล้ว รู้พร้อมเฉพาะแล้วย่อ...มบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ.

    ภิกษุ ท.! บุคคลบางคน แม้เราตถาคตบอก แสดง บัญญัติ ตั้งขึ้นไว้เปิดเผย จำแนกแจกแจง ทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังไม่รู้ไม่เห็น. ภิกษุ ท.! กะบุคคลที่เป็นพาล เป็นปุถุชน คนมืด คนไม่มีจักษุคนไม่รู้ไม่เห็น เช่นนี้ เราจะกระทำอะไรกะเขาได้.

    (ในกรณีแห่ง เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยถ้อยคำที่มีหลักเกณฑ์ในการตรัส อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปที่กล่าวแล้วนั้นทุกประการ)

    ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือน ดอกอุบล หรือดอกปทุม หรือดอกบัวบุณฑริกก็ดี เกิดแล้วเจริญแล้วในน้ำ พ้นจากน้ำแล้วดำรงอยู่ได้โดยไม่เปื้อนน้ำ, ฉันใด; ภิกษุ ท.! ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดแล้วเจริญแล้ว ในโลกครอบงำโลกแล้วอยู่อย่างไม่แปดเปื้อนด้วยโลก.


    บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๗๐/๒๔๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a83.jpg
      a83.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.2 KB
      เปิดดู:
      94

แชร์หน้านี้

Loading...