มีคนเคยถามมาว่า "ผู้มีดวงตาเห็นธรรม" หมายความว่าอย่างไร คนนั้นจะเป็นอย่างไรและแตกต่างจากปุถุชนอย่างไร?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 7 เมษายน 2016.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    คือเรื่องวิบากกรรม มันก็ต้องมีไปตามเหตุตามปัจจัยน่ะครับ แต่การยอมรับความจริงมันมีอยู่ รู้กรรม กรรมดีกรรมชั่วอันตัวทำ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น และเลิกหว่านมั่วๆ หว่านไปทั่วขาดสติ มีสติรู้ทุกข์ตามความเป็นจริง ยอมรับทุกการกระทำของตน ทุกอย่างให้เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นั่นแหละทาง นั่นแหละวิหารธรรมครับ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    (ต่อ) 2 คหบดี อริยสาวกในกรณ๊นี้เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นใหวในพระธรรม ว่า พระธรรม เป็นสิ่งที่ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้สึกษาและปฏิบัติเห็นด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฎิบัติแล้วเห็นผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้รู้ได้เฉพาะตนดังนี้ 3 คหบดี อริยสาวกในกรณีนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อมปล้ว ด้วยความเลื่อมใส อันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นใหวในพระสงฆ์ ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฎิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฎิบัติตรงแล้ว เป็นผู้ปฎิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้ปฎิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษสี่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั้นแหละ คือ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่การสักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี เป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญใดยิ่งกว่า ดังนี่ 4 คหบดี อริยสาวกในกรณีนี้ เป้นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยสิลทั้งหลาย ในลักษณะเป็นที่พอใจของพระอริยเจ้า เป็นศิลที่ไม่ขาดไม่ทะลุ ไม่ด่างไม่พร้อย เป้นศิลที่เป็นไทจากตัณหา วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฐฐิลูบคลำ เป็นศิลที่เป็นไปพร้อมเพื่อ สมาธิดังนี้.................คหบดี อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยองค์แห่งการบรรลุ ซึ่งโสดา 4องค์เหล่านี้แล.......................คหบดี อริยญาธรรม เป็นธรรมที่ อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา นั้นเป็นอย่างไรเล่า คหบดี อริยสาวกในกรณีนี้ ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า ด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาน( จนกระทั่งถึง) เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามณะโสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัสอุปายาส ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกขทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะความจางคลายดับไปของอวิชชานั้นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาน----(จนกระทั้งถึง เพราะมีความดับแห่ง ชาติ นั้นแล ชรามรระ โสกะปริเทวะทุกขโทนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลง แห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้....คหบดี อริยญายธรรมนี้แล เป็นธรรมที่อริยสาวกนั้นเห็นแล้ว ด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา...............คหบดี ในกาลใด ภัยเวรห้าประการ เหล่านี้ เป้นสิ่งที่อริยสาวกทำให้ สงบรำงับได้แล้ว ด้วย อริยสาวก เป้นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วย โสดาปัตติยังคสี่เหล่านี้ด้วย อริยญายธรรมนี้ เป็นธรรมอันอริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญาด้วย ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นปรารถนาอยู่ ก็ พยากรณ์ด้วยตนนั้นแหละว่า เราเป็นผู้ มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว มี อบายทุควินิบาตนรกสิ้นแล้ว เราเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส(นิพพาน) มีความไม่ตกตำ่เป็นธรรมดา เป้นผู้เที่ยงแท้ ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า ดังนี้---ทสก.อํ.24/195/92:cool:
     
  3. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,075
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ก็ผู้เห็นอริยสัจไงครับ
     
  4. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ความหมายของ "ดวงตาเห็นธรรม" นั้น
    ที่เราเข้าใจกันก็คือ การบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้านั่นเอง
    ซึ่งตรงนี้ กติกาท่านบอกไว้ว่า
    ถ้าใครเห็นธรรมที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ตามนี้ก็จะเป็นพระอริยะเจ้าได้
    สังโยชน์มี 10 ข้อ

    ละข้อ 1 2 3 ได้ ก็จะเป็นบุคคลที่เราเรียกกันว่า พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี
    ละข้อ 1 2 3 4 5 ได้ก็จะเป็นพระอนาคามี
    ละได้ทั้ง 10 ข้อ ก็คือพระอรหันต์

    ทีนี้ลักษณะของ "ดวงตาเห็นธรรม" ที่ว่านั้น หรือจะเรียกว่า "การตื่นรู้" ก็ได้
    จะเป็นสภาวะที่เราเข้าใจในสิ่งนั้น ๆ ได้ตามความเป็นจริงขึ้นมาทันที
    หรือจะเรียกว่าเห็นด้วย "ปัญญา" ก็ได้

    ตัวอย่างเช่น

    "การตื่นรู้" ในการพบคำตอบในเรื่องของ คณิตศาสตร์
    เช่น เมื่อก่อน ตอนที่เรายังไม่เข้าใจความเป็นจริงของคณิตศาสตร์
    ตอนนั้นไม่ว่าเราจะพยายามแก้โจทน์ยังไง เราก็ไม่สามารถแก้โจทน์ได้สักที
    ต่อเมื่อเราฝึกทำไปเรื่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ฝึกไม่หยุด ครุ่นคิดไม่หยุด
    จนวันหนึ่งเราก็สามารถที่จะแก้โจทน์คณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด
    เพราะเราเข้าใจถึงโครงสร้างของคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมดตามความเป็นจริงแล้ว
    ทีนี้ไม่ว่าจะเจอโจทน์คนิตฯมากน้อยแค่ไหน ยากแค่ไหน เราก็สามารถแก้โจทน์ได้
    นี้ก็เป็นอีกหนึ่งลักษณะของ "การตื่นรู้" นั่นเอง

    หรือ ถ้าเป็นเรื่องของการทำงาน ทำอาชีพ
    ซึ่งแต่ก่อนเรายังไม่ประสบผลสำเร็จ ทำยังไงเราก็ยังไม่รวยสักที
    นั้นก็เพราะเรายังไม่เข้าใจถึงโครงสร้างของสายอาชีพที่เราทำ
    เรายังไม่รู้ถึงโครงสร้างความเป็นจริงของอาชีพที่เราทำได้ดีพอ
    ต่อเมื่อเราเข้าใจถึงโครงสร้างดีแล้ว เราก็จะพบกับเส้นทางไปสู่ความสำเร็จได้
    การค้นพบเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จนั้นแหละ คือ "การตื่นรู้"


    ลักษณะของการตื่นรู้ในเรื่องของธรรมะ หรือ ธรรมชาติ
    ที่จะนำเราไปสู่ความพ้นจากทุกข์ หรือ พ้นจากสิ่งสมมุติทั้งปวงนั้น
    ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้ยินกันคุ้นหูว่า "การบรรลุธรรม" นั่นเอง
    เป็นลักษณะของการรู้ขึ้นมาโดยฉับพลันทันที
    เป็นแบบเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน

    ส่วนที่ว่า ผู้ที่บรรลุธรรม กับ คนที่ยังไม่บรรลุธรรม นั่นแตกต่างกันอย่างไร
    ตรงนี้ถ้าดูจากภายนอกก็คือ ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าแล้ว
    ท่านจะไม่ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด ชนิดยอมตายดีกว่าศีลขาด
    ส่วนคนปุถุชน จะอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะศีลขาด ดีกว่าตัวตาย

    อีกข้อก็คือ ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เมตตาของท่านจะมีมาก
    ต่อให้ท่านดุเก่งยังไง แต่ความเมตตาของท่านก็จะแผ่ออกมาให้ผู้คนได้รับรู้สัมผัสได้
    คือ ใครก็ตามที่ได้อยู่ใกล้ท่านเหล่านี้ ก็จะผลอยมีความสงบของจิตใจเกิดขึ้น
    อยู่ใกล้ท่านแล้วจิตสงบมากขึ้น จิตเป็นกุศลได้ง่าย สบาย

    ต่างจากคนธรรมดา ที่ส่วนใหญ่เมตตาแทบจะเป็นศูนย์
    ส่วนใหญ่มักจะมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาซะมากกว่า
    คนที่อยู่ใกล้ ๆ ก็มักจะมีความรู้สึกรังเกียจอยู่ภายใน จิตใจสับสนวุ่นวาย
    แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่ามันอยู่นิ่ง ๆ ไม่ค่อยเป็น อึดอัดอยู่ภายใน
    ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยพากันไปหาอะไรทำ บ้างก็ไปร้องรำทำเพลง
    หรือ บ้างก็ไปหาสิ่งเพลิดเพลินทำกัน ทำอะไรก็ได้ให้มันสนุกเข้าว่า
    เพื่อให้จิตมันมีความสงบขึ้นมาบ้าง
    แต่สุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดีว่าที่จิตไม่สงบนั้นมาจากไหน
     
  5. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    เห็นทุกข์อริยสัจ4 ในเบื้องต้น ปกติคนเราจะโกรธก่อนเป็นทุกข์


    แต่ทุกข์อริยสัจ ก่อนจะมีความโกรธเกิดขึ้น หรือ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นความทุกข์จึงปรากฏ

    ปกติแล้วเราอาศัย กุศลกรรมเป็นปัจจัย ทำให้เป็นสุข

    แต่ถ้าปัญญา สติ ก็คือ สภาวะรู้
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
     

แชร์หน้านี้

Loading...