พระตั๊กม้อ ท่านนั่งสมาธิอะไรถึง 9 ปี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wuttichai0329, 26 มิถุนายน 2016.

  1. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ท่านนั่งสมาธิอะไรถึง 9 ปี ครับท่าน
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    นั่งจนดับไร้ซึ่งมิติและเวลาครับ
    บริเวณที่ท่านนั่ง บริเวณนั้นก็จะดับไร้ซึ่งมิติและเวลาเช่นกัน
    พูดง่ายๆก็คือถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นจะไม่สามารถใช้
    งานทางจิตอะไรได้เลย ณ บริเวณนั้นครับ
    ไม่แน่ใจว่าทางสมมุติเรียกว่า
    นิโรธสมาบัติหรือเปล่านะครับ
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ถ้าเป็นแบบนี้ใครที่อาศัยอยู่ภายในอาณาบริเวณนั้น คงจะปลอดภัย จากการโดนทำร้ายด้วยพลังจิต 100%
     
  4. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ลงมาฝึกตันเถียนล่างที่ท้องน้อย
     
  5. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    พลังจิตท่าน คงสุดยอด มากๆ ตั้ง 9 ปี
     
  6. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผมมีความเชื่อว่าน่าจะเป็นข้อแรก

    ในเมืองไทยก็อย่างเช่น ตุ๊เจ้าเสือดาว ที่อยู่ในถ้ำและไม่ปลงผมถึง ๗ ปี
     
  7. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อย่างในหนังกำลังภายใน จะเห็นว่ามีพูดถึงการเก็บตัวฝึกวิชา สามเดือน
    ระหว่างฝึกอาจจะไม่ออกไปไหน แต่คงไม่ใช่นั่งฝึกทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาติดต่อกกันสามเดือน
    มันควรต้องมีช่วงจังหวะเว้นระยะบ้างเช่น กันกินอาหาร การขับถ่ายหนักเบาตามเวลา
    และอาหารที่กิน ก็คงเป็นอาหารพิเศษ ในปริมาณพิเศษ ที่ทำให้อยู่ได้นาน โดยไม่ต้องขับถ่ายบ่อยๆเหมือนอาหารตามปกติ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ใช่ครับ..ขนาดมีท่านผู้มากบารมีระดับผู้โปรดไปอยู่ตรงนั้นยังทำอะไรไม่ได้เลยครับ.เพราะสภาวะมันดับหมดครับ...
    สภาวะเหมือนภายในกุฏิหลวงปู่สายบารมี ชื่อย่อ ด บ้านเรา
    นั่นหละครับ..แต่ท่านฝึกอะไรอย่างไรในเรื่องวิธีการส่วนตัวไม่ทราบจริงๆครับ..เหนือวิสัยที่จะทราบได้ครับ..

     
  9. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    ถ้าจำไม่ผิด นิโรธสมาบัติไม่เกินครั้งละ 7 วันครับ
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    ท่านเพ่งกำแพงหรือผนังน้ำหรือเปล่าเคยอ่านเจอ
     
  11. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ๗-๔๕ วันครับ
     
  12. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ปัญหามันอยู่ที่ว่า อันไหนคือข้อเท็จจริง พระท่านใช่วิธีอะไร

    -นิโรธสมาบัติ ก็ต้องคลายจิตมากินน้ำอยู่นะ
    -ถ้านั่งทีเดียวจบผมว่ายังไงร่างกายก็ทนไม่ไหว
    -ถ้าจิตดับทุกสิ่งแล้ววาปมา9ปีเลยมันก็คงแปลกๆอยู่มั้ง
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ความเห็นส่วนตัวนะครับ..
    ท่านใช้วิธีอะไรไม่ทราบครับ..
    ส่วนสภาวะจิตท่านเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นก็ไม่ทราบอีกครับ..
    พอทราบแต่ว่า สภาวะอากาศ
    บริเวณนั้นมันดับ ดับในที่นี้ไม่ใช่เรื่องจิตท่าน
    นะครับเพราะไม่ทราบ แต่ว่ามันเกิดสภาวะ
    ที่มันไม่ขึ้นกับมิติและเวลา
    ในลักษณะที่ไม่มีอะไรๆ​
    ซึ่งส่งผลให้ตัวจิตที่มีความสามารถ
    ไม่สามารถทำอะไรได้เลยครับ
    คล้ายๆสภาวะไร้น้ำหนักของร่างกายตอนที่นักบิน
    อวกาศอยู่ในยานแต่ว่าจิตนักบินอวกาศยังปกติ
    แต่ว่าบริเวณที่ท่านเคยนั่ง
    มันเป็นสภาวะคล้ายๆกันนี้
    แต่เกิดขึ้นกับตัวจิตที่ไม่สามารถทำอะไรได้
    ในขณะที่ร่างกายก็ยัง
    คงทำงานได้เป็นปกติครับ
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231

    มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าครับที่สถานที่ๆท่านตั๊กม้อใช้นั่งสมาธิกับบริเวณกุฏิหลวงปู่ ด นี้จะมีอะไรที่เหมือนๆกัน หรืออาจจะมีวัตถุพิเศษบางอย่างอาทิเช่น"เหล็กไหล"อยู่ในบริเวณนั้น
    ทำให้วิทยาคมหรืออำนาจจิตพิเศษบางอย่างใช้ไม่ได้ผล
     
  15. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    น่าสนใจดีนะครับ คงคล้ายๆกับการนั่งในพีระมิด หมุนวนบริเวณนั้น

    ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เรื่องการวาปช่วงเวลาอาจเป็นไปได้


    (พวกเหล็กไหลอะไรพวกนี้ผมมองว่าไม่น่าจะเกี่ยวนะ)
     
  16. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ให้ดูข้อความจากพุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน
    ตอนนั้น พระองค์เข้าสมาธิบัติ ๘ แล้วหยุดประทับในนิโรธสมาบัติ
    พระสงฆ์ทั้งหลายมีความสงสัยกันว่า พระพุทธองค์นิพพานแล้วหรืออย่างไร
    จึงถามท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระอนุรุทธะใช้ทิพจักษุตามดูสภาวะจิตของพระพุทธองค์ตลอดเวลา
    จึงทราบว่า ทรงประทับในนิโรธสมาบัติ
    เรื่องนี้ พลังจากนิโรธสมาบัติในขณะนั้นไม่ได้ปิดกั้นอำนาจทิพจักษุของท่านพระอนุรุทธะ

    ถ้าเรื่องราวจากพุทธประวัติตอนนี้เป็นความจริง บางที อาการที่ปิดกั้นการใช้พลังจิตและอำนาจพิเศษทุกอย่าง
    ไม่น่าจะมาจากนิโรธสมาบัติโดยตรง แต่อาจมาจากสาเหตุอื่นๆร่วมด้วย เช่นการอธิษฐานปิดกั้นอาณาเขต
    เพื่อป้องกันการรบกวน แล้วหลังจากที่ออกจากสมาบัติแล้วก็ไม่ได้ยกเลิกอาณาเขตนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2016
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ในความเห็นส่วนตัวมองว่า ถ้าเป็นเพราะมีวัตถุพิเศษ
    หรือพวกทรัพยากรพิเศษบริเวณนั้นก็ไม่น่าเป็นไปได้ครับ...
    เพราะว่ากระแสพลังงานบริเวณนั้นเป็นคนละคลื่นความถี่
    ซึ่งเทียบกันไม่ได้เลยครับ..เหล็กไหลยังมีกระแสผูก
    เรื่องการป้องกันเกี่ยวกับภูมิไม่ดีและโยงกับสัมผัสพิเศษอยู่ครับ.
    แม้ว่ากระแสทั่วๆไปจะถือว่าดี
    แต่ก็เป็นกระแสที่ยังต้องวนเวียนอยู่ในไตรภพอยู่ครับ


    แต่กระแสบริเวณนั้นเกิดจากกำลังจิตของตัวท่านๆนั้นๆล้วนๆครับ
    มันเป็นเอกลักษณ์ของกระแสท่านที่เชื่อว่าอยู่เหนือโลกครับ
    เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของท่านที่เป็นเลิศ
    ทางด้านพลังงานท่านจะมีกันเป็นปกติครับ
    อีกที่หนึ่งก็บริเวณที่ ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพท่านนั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง
    นั่นหละครับที่คนพอไปได้และมาทางด้านปัญญาชอบไปนั่งกัน


    ข้อดีคือ จิตเราจะคลายตัวได้เองโดยธรรมชาติ ซึ่งสภาวะนี้
    ปกติเราต้องมาเดินปัญญาลด ละกิเลส เอาเองถึงจะมีโอกาสเกิดได้..


    ส่วนปิรามิด สภาวะคนละแบบครับ..ปิรามิดเป็นบริเวณที่ดึงรวม
    และดึงพลังงานต่างๆ ตามแต่ที่จิตนั้นๆจะทำได้ แล้วให้มารวมกัน
    เพื่อเพิ่มความหนาแน่นให้กับลักษณะพลังงานนั้นๆครับ...


    ส่วนการว๊าป ทางด้านกิริยา คือ การเปิดประตูมิติหรือประตูพลังงานที่ต้นทางก่อน
    ตามด้วยการเปิดที่ปลายทางจากนั้นก็เชื่อมประตูพลังงานทั้ง ๒
    เข้าด้วยกัน ซึ่งปกติมีคนพอทำได้ แต่ว่าไม่สามารถยกไปได้ทั้งตัว..
    แม้ว่าจะสามารถยื่นอวัยวะบางส่วนเข้าไปได้ แต่ก็ยกกายไปไม่ได้ครับ
    ที่บอกๆว่าตนทำได้ ร้อยละร้อยจะไม่ใช่เรื่องจริงครับ(หมายถึงไปทั้งกายเนื้อนะครับ)
    ส่วนจิตจะข้ามไปได้และกลับได้เป็นปกติ เพราะว่ามีสายใยเชื่อมต้นแหล่งต้นทาง
    ที่มันยังผูกกับร่างกายนั่นๆอยู่
    เพียงแค่นึกขึ้นได้ หรือตกใจได้ คิดอะไรได้หน่อย
    ก็จะสามารถกลับมาได้ภายในเวลาเสี้ยววินาทีครับ


    ส่วนบุคคลที่จะผ่านไปได้ ต้องสำเร็จระดับจิตธาตุเป็นอย่างน้อยครับ
    เรื่องกสิณ ๑๐ หรืออรูปขั้นสุดท้ายก็ต้องผ่านแล้วแบบสบายๆ
    ถ้าอรูปขั้นสุดท้ายหมายถึงผ่านได้โดยการวางนะครับ ไม่ใช่
    ฝึกให้ผ่านเพราะเป็นไปไม่ได้ครับในทางปฏิบัติ
    สมัยก่อนมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้เป็นเลิศด้านอภิญญาที่ท่านหลงมิติ
    เพราะว่าท่านไปทั้งกายเนื้อนั่นหละครับ...
    ส่วนบ้านเราหลวงปู่ ด เมื่อก่อนท่านก็เคยทำก็ทำอย่างนี้ครับโดยเฉพาะ
    ช่วงพิธีพุทธาภิเภษยังไงครับ..ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิท่านก็ใช้
    วิธีนี้นั่นหละครับ เวลาไปสอนไปหาลูกศิษย์ที่บุญสัมพันธ์กับท่าน
    และท่านที่เก่งๆ ณ ปัจจุบัน ก็ใช้วิธีเดียวกันนี้..ที่มันสามารถข้าม
    ไปข้ามมาระหว่างช่วงเวลาได้ เพราะว่า สภาวะนั้นมันไม่ขึ้น
    อยู่กับมิติและเวลาครับ ที่เราเห็นท่านโน้นท่านนี้โผล่ที่โน้นนี่นั้น
    เพราะว่าท่านชำนาญแล้ว มันเลยดูเหมือนเร็วมากจนเราสังเกตุ
    หลักการไปโผล่สถานที่ต่างๆท่านไม่ทันนั่นเองครับ..


    สมมุตินะ ถ้าเราสังเกตุทัน คุณจะเห็นประตูมันเปิดเป็นคล้ายๆ
    วงกลมแล้วมีคนโผล่ออกมาแบบเห็นๆเหมือนในหนังเลยครับ..
    ในหนังประตูจะเปิดตรงๆระดับเดียวกับพื้น..
    ..แต่เวลาที่ครูบาร์อาจารย์มาประตู
    ประตูจะเปิดลอยอยู่เหนือพื้นดินและไม่ได้อยู่ในแนวตรงมากครับ
    ปล.ประมานนี้ครับ..ฟังหูไว้หูแล้วกันครับ
    เอาไว้ถ้าได้มีโอกาสพบเจอ
    ประสบการณ์ด้วยตนเองจะเข้าใจ
    ที่เล่าให้ฟังทั้งหมดนี้เองครับ
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกและวิเศษอะไรครับ
    มันมีมานานแสนนานมากแล้วครับ
    เพียงแต่ว่าแม้รู้หลักการแต่เราไม่มี
    ความสามารถทำได้เฉยๆครับ. ๕๕๕๕

     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    เป็นการสงสัยที่มีประโยชน์มากครับ ส่วนตัวก็พึงมองเห็นมุมนี้
    . ส่วนสภาวะอะไรจริงๆคงต้องอ้างตำราครับ
    และไม่ใช่การใช้งานทางจิตครับ. มันเหนือสภาวะใช้งานไปแล้ว
    เด่วเล่าให้ฟังอย่างนี้นะครับ
    ท่านที่เรารู้ว่าเหมือนท่านไล่ดูการไต่ระดับต่างๆและสภาวะจิตต่างๆของผู้เป็นเลิศ
    ทั้งสามภพได้ ท่านเป็นเลิศทางด้านทิพย์จักขุ
    อยู่แล้วเป็นทุนตรงเราส่วนใหญ่เราจะทราบกันดีครับ
    แต่คำว่าเป็นเลิศหมายถึงว่าเป็นไปอัตโนมัติ
    และเป็นโดยธรรมชาติตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตนั้นๆครับ..
    คือไม่มีตัวเราไปกระทำ ไม่มีตัวรู้ที่ออกจากจิตเดิมมากระทำ
    ให้เป็นไปตามสภาวะเพื่อรู้ เพื่อแก้ในสภาวะต่อหน้านั้นๆ
    ในทางด้านการใช้งานพิเศษแบบที่เรยกว่าเป็นเลิศนั้น
    ยิ่งกว่าตัวเรายิ่งกว่าตัวจิตและอยู่เหนือกว่าตัวจิตแล้วครับ..
    สภาวะเป็นประมาณนี้ครับ พูดเปรียบให้ฟังนะครับ..
    อย่างเราๆ เอาแค่สร้างให้จิตพอมีความสามารถเพื่อที่จะบังคับ
    ให้จิตทำอะไรให้เกิดผลยังนับคนได้..
    และเอาแค่สร้างให้มีและใช้งานจนชำนาญไประยะหนึ่ง
    จนกระทั้งไม่มีตัวเราเป็นผู้กระทำ
    และอยู่เหนือจิตและปล่อยให้จิตทำงาน
    ไปเองยิ่งนับคนได้น้อยลงไปอีกส่วนมากจะเป็นพระสงฆ์ด้วยซ้ำไป




    ส่วนท่านที่เป็นเลิศคือ เป็นโดยเนื้อหาเดิมแท้ ของจิตจริงๆ
    ที่ได้มีการสร้างการสะสมบารมีเฉพาะทางด้านนี้มา
    ซึ่งเหนือเรื่องการที่เราจะเรียกว่า การใช้งาน
    ทางจิตไปแล้วครับ. เป็นอีกระดับขั้นที่สุดแล้วครับ
    ถามว่าตรงนั้นมีท่านที่มีความสามารถเก่งๆเยอะแยะ
    แต่ทำไมถึงมีท่านนี้รู้แค่ท่านเดียวลองคิดดูดีๆ. คนเหาะได้เพียลัดนิ้วมือ
    หายตัวได้. ย้อนอดีตได้เป็นแสนชาติ. แยกกายเนื้อได้. ๕๐. กาย
    บุคคลเหล่านี้ล้วนมีความสามารถด้านทิพย์จักขุเป็นเบสิคมากๆ
    แต่ว่าทำไมถึงไม่ทราบสภาวะผู้เป็นเลิศ. ณ. เวลานั้นได้
    ก็อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านั่นหละครับถ้าอ่านเข้าใจนะครับ


    ..และด้วยที่เป็นท่านเดียวที่สามารถรู้สภาวะต่างๆของผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพได้
    ถ้าไม่มีท่านนี้ไล่สภาวะตอนนั้น..
    ..บนโลกนี้เราจะไม่รู้จักคำว่า ญาน ๑ ๒ ๓ ๔ อะไรแน่นอนครับ...


    ปล..ประมาณนี้ครับ
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ผมว่า ประวัติท่านสะท้อนความเชื่อตามยุคสมัยจีน สมัยนั้น ประวัติบอกว่า ท่านเพ่งผนังถ้ำ ๙ ปี

    ตอนนั้น ที่ท่านเข้าไปเผยแพร่พระธรรมในจีน แม้จะมีประวัติว่ามีพุทธศาสนาเข้าไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่แพร่หลาย ความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติของพระสงฆ์ในพุทธศาสนาน่าจะยังไม่มีมาก คนจีนยุคนั้น แม้ลูกศิษย์ที่เคารพของท่านเองก็น่าจะยังไม่เข้าใจ เห็นท่านนั่งสมาธิในถ้ำก็สงสัยว่า นั่งอะไร ก็เลยว่า นั่งเพ่งผนังถ้ำ

    ตามพระไตรปิฎก พระที่จะทำความเพียรเพื่อบรรลุ ท่านจะเร่งความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ตั้งปณิธานไม่บรรลุ ไม่เลิก กันทั้งนั้น ท่านเองมีประวัติเข้าฌาณสมาบัติขั้นสูงตั้งแต่อยู่ที่อินเดีย ท่านเข้าฌาณสมาบัติถวายกุศลบิดาท่านที่ตายลงเป็นเวลา ๗ วัน แต่นั้น น่าจะแค่ขั้นฌาณโลกิยะอยู่ เพราะเมื่อมาอยู่ที่จีน ผมเดาว่า ท่านคงคิดว่า ความรู้ที่ผ่านมา แม้อาจสอนหรือเผยแพร่พระธรรมได้ แต่ถ้าตนเองไม่บรรลุธรรม การจะให้คนอื่นมาปฏิบัติตามคงจะลำบาก ท่านคงทำความเพียรที่เน้นเข้าฌาณ ใช้กำลังของฌาณเป็นหลัก จึงปรากฏว่านั่งนานมาก คือถ้านั่งสมาธิติดต่อกันเฉลี่ยรอบละ ๖ ชั่วโมง คนทั่วไป ที่มาเห็น ก็คิดว่าท่านนั่งตลอดเวลา

    ตามตำนานกำลังภายใน ยังบอกว่า ท่านเห็นลูกศิษย์วัดนั่งภาวนาไม่ขึ้น เพราะอากาศมันเย็น ท่านก็เลยสอนเดินกำลังภายใน ความจริงผมว่า ตอนที่ท่านมาใหม่ๆ ร่างกายท่านเองน่าจะไม่คุ้นกับสภาพอากาศ อาหาร ตัวท่านเองก็ต้องปรับ ในช่วงที่ท่านบำเพ็ญเพียร ท่านอาจจะตัดสินใจประยุกต์เรื่องโยคะ ซึ่งเป็นความรู้สากลดั้งเดิมของอินเดีย มาช่วยกรรมฐานด้วย มาประยุกต์กันเพราะทางอินเดีย ฤาษีนักบวชที่บวชใกล้เทือกเขาหิมาลัย อากาศก็หนาวเย็นมาก ท่านเองก้เป็นชนชั้นราชา ย่อมมีความรู้ทุกศาสตร์เป็นธรรมดา

    แต่ประวัติเรื่องเล่าตรงนี้ ผมมองว่า การบรรลุธรรมท่านเน้นตามหลักที่พระพุทธองค์สอนเป็นหลักโดยแท้ แต่เมื่อเห็นว่า มีการติดขัดสภาพปัญหาสภาพอากาศ ท่านจึงคิดนำหลักการคล้ายหลักโยคะมาใช้ ซึ่งหลักการเข้าเฝ้าพระศิวะ ก็มีลักษณะคล้ายทางเต๋า ท่านก็มาประยุกต์แบบพุทธ คือ เอามาช่วยขจัดอุปสรรคทางสภาพภูมิอากาศ

    เท่าที่ทราบ ตั๊กม้อแปดท่า ซึ่งในหนังกำลังภายในจีน ว่าเป็นวิชายุทธสุดยอดของเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ความจริงเป็นท่านิ่ง ๘ แปดท่า ซึ่งมีการประยุกต์สติปัฏฐาน ๔ เข้าไปด้วยแล้ว

    แต่เมืองร้อนอย่างไทย แค่นั่ง ยืน นอน เดิน ธรรมดา ก้ทำสติปัฏฐาน ๔ ได้แล้ว

    ปล. ผมจึงเคยย้ำว่า การเดินกำลังภายใน มีไว้เพื่อฝึกกรรมฐาน ก็เพราะคนจีนเค้าถือว่า ท่านตั๊กม้อสอนกำลังภายใน (สายวัดพุทธ ไม่ใช่สายเต๋า) แต่ว่า จากประวัติท่านในส่วนการเดินกำลังภายใน ก็บอกเองว่า ท่านสอนภายหลัง สอนเป็นพื้นฐานเตรียมกายใจ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะสอนเป็นหลัก ซึ่งคือ พระธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งวัดเส้าหลินก็สอนกันในระดับสูง
     
  20. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    จริงๆแล้วเซนไม่ใช่พุทธ แต่เป็นอาจารย์มากกว่า โดยที่เราเรียกรวมๆกันบัญญัติขึ้นมาเอง นิกายนู้นนี้นั้น
    หลักการแตกต่างกันมากเหมือนกันพระเจ้าองค์ก่อนกับปัจจุบัน เช่น ไม่กินเนื้อ สัมผัสผู้หญิงไม่ได้ ผู้หญิงบวชไม่ได้(แต่ศึกษาได้) ฯลฯ
    การนั่งสมาธิก็แตกต่างกัน จะเน้นฌาณ ไปในทางฤาษีมากกว่า

    -------
    คุยกับท่านนพต่อดีกว่า
    พีระมิดเพิ่มพลังงานอะถูกแล้ว แต่ถ้าทำให้มันหมุนวนละ ปกติที่ดูข่าวพวกลึกลับอ้างว่าวาปมาจากอดีตส่วนใหญ่บริเวณนั้นจะมีพลังหนาแน่นหมุนวนอยู่เกิดจากการสะท้อนด้วย เช่น พวกถ้ำ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเกิดจากการสะท้อนของภูเขา เป็นต้น

    แล้วเรื่องไปทั้งกายเนื้อผมมองว่าถ้ากสิณลมยังทำให้เดินก้าวกระโดดไปได้ การวาปก็น่าจะพากายเนื้อไปได้เช่นกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...