การแยกปรมาณูละเอียดออกจากจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เกวะละ, 24 กรกฎาคม 2016.

  1. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนนั้นผมกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.ปลาย
    ก็กำลังมีความสนใจธรรมะอยู่เต็มที่เหมือนกัน...อยากรู้ อยากเห็น
    อยากศึกษา...ครุ่นคิดอยู่หลายวัน ว่าเราเรียนในทางโลกนี่เรารู้ไม่จริง
    ยังสงสัยในหลายเรื่อง แต่ก็หาคำตอบไม่ได้...ยิ่งได้อ่านหนังสือธรรมะ
    การปฏิบัติของครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นแล้วทำให้เกิดศรัทธามาก

    อยู่มาวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการหลวงพ่อกิม ทีปธัมโม ที่วัดป่า
    ดงคู หลวงพ่อกิม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติสายหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สาม

    หลังจากกราบนมัสการท่านแล้ว สนทนากับท่าน ท่านถามว่า
    "โยมเรียนด้านไหน สายอะไร"
    ผมก็ตอบท่านไปว่าผมเรียนสายวิทยาศาสย์ครับหลวงพ่อ
    "แยกปรมาณูได้หรือยังหล่ะโยม" หลวงพ่อถามมาอีก
    ผมก็ตอบท่านไปว่า ยังเลยครับหลวงพ่อ ผมยังแยกไม่ได้ครับ

    แล้วท่านก็พูดถึงไอสไตย์ ที่คิดค้น ศึกษาจนสามารถแยกพันธะปรมาณูได้
    และทำระเบิดปรมาณูสำเร็จ...แต่ไอสไตย์ก็ยังไม่ตรัสรู้น๊ะโยม

    แต่ถ้าโยมมาศึกษาสมาธิภาวนา ฝึกจิตใจ ก็จะสามารถแยกพันธะปรมาณู
    ละเอียดออกจากจิตได้ ก็จะเข้าใจ และบรรลุธรรม...
     
  2. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    ผมก็มาคิดๆดูในวันหลัง เพราะว่าเคยอ่านหนังสือเจอว่าเวลาพระ
    อริยะเจ้าท่านบรรลุธรรม จะมีแสงออกจากจิตสว่างเจิดจ้ามาก...
    เสียงสั่นสะเทือนดังไปทั้งสามภพ...
    เทพเทวดาจะรับรู้และสัมผัสได้...และร่วมอนุโมทนาสาธุ...
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ต้องยึดหลักกาลามสูตร
     
  4. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    พันธะปรมาณูละเอียดที่ละเอียดในจิตนั่นหมายถึงอะไร
    ครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    มันมีหลายกิริยาทางจิตนะครับ
    ลองฟังที่ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังก่อนนะครับ...

    ส่วนตัวเข้าใจว่าที่เจ้าของกระทู้พูด
    มันคือกิริยาที่จิตเข้าไปเห็นในจิตตัวเอง มันถึง
    ได้รู้ว่าในจิตระดับอนุภาคนั้นมันแยกมากกว่าครับ..

    ถ้าเข้าไปเห็นได้ เราถึงจะรู้ว่าตัวจิตจริงๆ
    มันมีสภาพที่ไม่เที่ยงครับ..

    และกิริยาต่างๆทางจิตที่จะเกิดได้ที่ควรจะต้องระวังก็คือ
    ๑.เรื่องการระเบิดเสียงดังป่านฟ้าผ่าเนี่ย
    มันเกิดได้ระหว่างทางอยู่แล้วครับ
    แต่ไม่ได้เป็นการบอกว่าเราบรรลุคุณธรรมอะไรนะครับ
    แค่บอกได้ว่า นิสัยบางอย่างเราดีขึ้นหรือผ่านเกณฑ์เท่านั้น
    ตรงนี้ต้องระวังกิริยาพวกนีให้ดีๆครับ ไม่งั้นอาจจะหลงตัวเองได้ครับ


    และ ๒.ก็คือแสงสว่างจร้ามากๆๆสีขาวแต่ไม่เย็นชนิดที่นั่งที่มืดๆบริเวณที่เรานั่งนั้น
    สว่างไปหมดมองเห็นได้แม้กระทั่งลืมตามอง..
    พวกนี้มีให้เห็นได้และเกิดขึ้นได้ปกติ
    ในกำลังสมาธิระดับปฐมฌานครับ
    กิริยาตรงนี้ก็ต้องระวังด้วยครับ
    เพราะจะหลงตัวเองว่าเป็นระดับ
    โน้นนี่นั้นได้ ยิ่งไปยึดแล้วไปพยายามสื่อสาร
    อนาตคเพี้ยนแน่นอน เพราะจะไม่เข้าใจ
    ทางด้านนามธรรมครับ

    และ ๓. คือส่วนของแสงสว่างจร้ามากๆพร้อมกับเสียงระเบิดเสียงดังมากๆๆๆๆๆ
    เราก็ต้องดูด้วยว่า ตอนเราอยู่ในสภาวะที่สามารถตาม
    ตัวจิตเราโดยมีกำลังสติทางธรรมเราตามได้หรือยัง
    คือจิตเล็กมากเราเห็นเพราะกำลังสติทางธรรม..
    ตัวจิตสภาวะนี้จะสามารถวิ่งในเส้นเลือดหรือร่างกายได้สบาย
    และสภาวะนี้เราจะไปบังคับมันก็ไม่ได้ด้วยครับ
    มันจะเป็นไปของมันเอง
    จนกระทั่งตัวจิตมันไปหยุดอยู่ ณ จุดๆหนึ่ง
    มันถึงระเบิดดังมากๆๆๆๆๆๆๆพร้อมกับสว่างมากๆเกิดขึ้นพร้อมกัน
    อย่างนี้ก็ไม่ได้บอกว่าเราบรรลุคุณธรรมพิเศษอะไรนะครับ
    เป็นเพียงแค่บอกว่า ตอนนั้นตัวจิตสามารถตัดกิเลสเรื่อง
    การยึดติดร่างกายได้ในระดับละเอียดเฉยๆ ยังไงๆก็ต้อง
    มาเดินปัญญาต่อครับ...

    และ ๔.ถ้าเห็นตัวจิตแล้วและจิตก็ซ้อนเข้าไปในจิตอีกซ้อน
    เข้าไปเรื่อยๆ ระเบิดพร้อมสว่างมากๆ ระเบิดพร้อมสว่างมากๆ
    ตรงนี้ก็ไม่ได้บอกว่าเราจะบรรลุคุณธรรมอะไรอีกนะครับ
    มันเป็นเพียงการที่ตัวจิตมันไปค้นหาความสามารถพิเศษ
    เดิมที่มันเคยอยู่ในจิตและจะสามารถใช้งานได้เป็นปกติ
    แม้ในเวลาลืมตาปกติในครับ

    และ ๕ คือส่วนของการแยกในระดับอณูนั้นในโหมดวิชาเดินธาตุในระดับที่ต่ำว่า
    ระดับกว่าจิตธาตุเค้าก็สามารถทำกันได้ปกติอยู่แล้วซึ่งมันไม่ได้
    เป็นตัวบอกอีกเช่นกันครับว่าบรรลุคุณธรรมอะไรครับ...

    ที่ผู้เขียนจะสื่อก็คือ แม้ว่าคุณจะแยกพันธะปรมาณูได้
    มันไม่ได้หมายความว่า คุณจะบรรลุคุณธรรมอะไรนะครับ
    เพียงแต่อาจบอกได้ว่าคุณอาจจะมีเครื่องรู้มากกว่า
    ตัวจิตสามารถทำอะไรได้มากกว่าปกติเฉยๆครับ...

    ถ้าจะบรรลุคุณธรรมอะไรนั้น ในสภาวะที่หยาบๆนะครับ
    หมายถึงว่าตัวจิตมันจะต้องแผ่ขยาย
    ออกไปกว้างๆๆๆๆๆๆ มากๆๆจากตัวจิต สามารถไปเข้าถึงยังแหล่ง
    ความรู้ องค์ความรู้ต่างๆอะไรได้ เป็นปกติในเวลาที่ต้องการจะดำริ
    ใช้งานเรื่องนั้นๆครับส่วนจะละเอียดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
    เนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆและบารมีที่ดวงจิตดวงนั้นๆเคยสร้าง
    สมมาร่วมกับตัวจิตที่รู้และเข้าใจ ว่าการเกิดนี้มันเป็นทุกข์ครับ
    และตัวจิตมันไม่อยากเกิดได้ของมันเองร่วมด้วยครับ..
    คล้ายๆสายพระป่าที่คุณเคารพท่านมีนั้นหละครับ..
    นั้นคือบารมีเดิมท่านเยอะด้วยครับถึงเป็นอย่างนั้นได้

    ปล.ที่ผู้เขียนๆนี่คือสภาวะแบบหยาบๆนะครับ..



     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    หลวงตามหาบัวท่านสอนว่า 
    - ปัญญาอบรมสมาธิ พวกนี้จะไม่ค่อยเห็นนิมิต ไม่ปรากฎนิมิตมีแต่สมาธิอยู่อย่างนั้น
    - สมาธิอบรมปัญญา พวกนี้จะมีนิมิต เห็นแสงสว่าง
    แบบที่สองนี้ส่วนมากจะเป็นกัน
    ฉะนั้นผู้ที่นั่งสมาธิแล้วไม่เห็นแสง ไม่เห็นนิมิต ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าไม่ถึงสมาธิ
    และปรมาณูละเอียดที่ว่าเกี่ยวข้องกับแสงจ้าอย่างไร
    หรือเป็นสิ่งเดียวกัน
     
  7. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    ครับ ตอนนั้นผมก็เคยครุ่นคิดอยู่เหมือนกันครับว่า สภาพจิตของปุถุชน
    ที่มีอวิชชาปกคลุมอยู่ นี่ปรมาณูละเอียดมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า...
     
  8. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    สัตวชาติแรกมีแตสรางกรรมชั่ว สัตวกินสัตวและ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุปจจัย ภายนอกภายในที่
    มากระทบ กรรมที่สัตวแสดง มีตา หูจมูก ลิ้น กาย ๕ อยาง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕
    อยาง แลวมาประทับ บรรจุบันทึกถายภาพ ติดอยูกับ รูปปรมาณูซึ่งเปน สุขุมรูป แฝงอยูในความวาง เรา
    ไมสามารถมองเห็นดวยตาไดที่แฝงอยูในความวางระวางคั่น ตา หูจมูก ลิ้น กาย นั้นไวไดหมดสิ้น
    เมื่อสัตวชาติแรกเกิดนี้ไดตายลงมีกรรมชั่ว อยางเดียว เปนเหตุใหสัตวตองเกิดอีก เพื่อใหสัตวตอง ใช
    หนี้กรรมชั่วที่ไดทําไวแตสัตวเกิดขึ้นมาแลวหายอม ใชหนี้เกิด กันไม มันกลับ เพิ่มหนี้ใหเปน เหตุเกิด
    ทวีคูณ ดวยเพศผูเพศเมียเกิดเปน สุขุมรูป ติดอยูใน ๕ กองนี้เปนทวีคูณจนปจจุบันชาต

    http://www.fungdham.com/download/book/article/dul/001.pdf

    จิตคือพุทธะ
    หลวงปู่ดูลย์
     
  9. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    ดังนั้น ดวยอํานาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเขาเปน รูปปรมาณูกลม คงรูปอยูได
    ดวยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เปนคูหาใหจิตใจไดอาศัยอยูขางใน เรียกวา รูปวิญญาณ หรือจะ
    เรียกวา รูปถอด ก็ไดเพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หูจมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเปนสุขุมรูปแฝงอยู
    ในความวาง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยูคงทนอยู ยืนนานกวา รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาใหหมุนคงรูป
    อยู ไมมีเทพเจาองคใดฆาใหตายไดนอกจาก นิพพาน เทานั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย
    สวนการแสดงกรรมของสัตวที่ประทับอยูในสุขุมรูป มีรูป ตา หูจมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเขาเรียกวา
    จิต จึงมีสํานักงานจิต ติดอยูในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเปนที่ทํางานของ จิตกลาง แลวไปติดตอกับ ตา
    หูจมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเปนสื่อติดตอของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไมเหมือนกัน จิตเปนผูรูสึก
    นึกคิด สวนวิญญาณเปนคูหาใหจิตไดอาศัยอยู และเปนยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ
    ก็ไดเปนผูรักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผูเพศเมีย รูป ตา หูจมูก ลิ้น กาย อยู
    ในวิญญาณไวไดเปนเหตุเกิดสืบภพตอชาติ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ขอบคุณที่ได้เล่าเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลยได้ทราบว่ายังมี "หลวงพ่อกิม ทีปธัมโม ที่วัดป่าดงคู" อีกท่านหนึ่ง ที่ผ่านตรงนี้มาแล้ว ให้ช่วยบอก อำเภอ ตำบล จังหวัด ไว้ด้วย เผื่อผู้แสวงหาในโอกาสหน้าจะได้เยื่อมแวะ ไปถามการปฏิบัติกับท่านได้ ปัจจุบันผู้ที่ผ่านในบริเวณ อณู-อนุภาค เหลือน้อยและหายากมากขึ้นทุกวันแล้ว

    +++ คำพูดของท่านที่กล่าวว่า "แยกปรมาณู" นั้น อาการจริง ๆ คือ "เห็นอณู" หรือยังนั่นเอง

    +++ การที่จะ "เห็นอณู" ได้นั้น ต้องแก้ปริศนา ตรงที่ นิโรธสมาบัติ นั้น "จิตมันถอนออกมาสู่ปกติ ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ รูป+นาม ไม่มี" ตรงนี้นั่นแหละ

    +++ สัญญา + เวทนา + นิโรธ (ดับ) นั่นคือสภาวะที่ "ไร้รูปนาม ไร้ธาตุ" ดังนั้น "จิตจะถอนตัวออกสู่ปกติ ไม่ได้" ถ้าไม่มีเหตุ ให้ออกมาจากที่ตรงนั้น (นิโรธสมาบัติ)

    +++ อะไรคือ "เหตุ" ทำอย่างไรจึงเห็น "เหตุ" อันทำให้สามารถ "ถอนจิต จาก นิโรธสมาบัติ ตัวจริงได้" (ที่โฆษณากันโครม ๆ ว่าเข้านิโรธ 7 วัน 10 วันบ้างนั้น มีใคร "ตอบโจทย๋" ตรงนี้ได้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้เรื่อง ก็ให้ "ระวัง" การทำบุญกับผู้ที่ "หากินกับนิโรธ" ไว้บ้างนะ นรกลูกเดียว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน)

    +++ หากผู้ใดสามารถเห็น "เหตุ" ตรงนี้ได้ ก็จะทราบได้เองว่ามันคือ "อณู หรือ อนุภาคอิสระ" ที่เคลื่อนที่อยู่ "ในความว่าง ที่ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม ไม่ใช่ธาตุ ไม่มีอัตตา ไม่มีตน" ตรงนั้นแหละ

    ===========================================
    +++ วิธีทำเบื้องต้น คือ

    1. ต้อง "ดับตน" คือ อัตตาจิต สำหรับผมเรียกมันว่า "ตัวดู" ให้ได้ก่อน ตรงนี้ "เป็นเจตนา"
    2. เมื่อดับแล้ว "อาการคลาย" ของอัตตา ตน ตัวดู จะตามมาเอง ตรงนี้ "ไม่มีเจตนา" เจตนาเกิดไม่ได้
    3. เมื่อคลายตัวจนถึงที่สุด มันจะกลายเป็น "ปล่อยไว้อย่างนั้น" ตรงนี้ก็เช่นกัน "ไร้เจตนา" เจตนาเกิดไม่ได้

    +++ ตรงนี้เรียกสั้น ๆ ได้คือ "ดับ คลาย ปล่อย" ใน 1 เจตนา มี 3 อาการ
    +++ ดังนั้น "เจตนาในการ ถอนจิต จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย" แม้กระทั่ง "กิริยาจิต" ก็ไม่สามารถปรากฏได้ ณ ที่ตรงนี้
    ===========================================

    +++ วิธีทำในขั้นกลาง คือ

    1. ปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้น แล้วจะ "รู้" ได้เองว่า ในเนื้อแห่ง "นิโรธ" นั้น ยังมีสิ่งที่ "ไม่ใช่ รูป นาม ธาตุ อัตตาตัวตน" วิ่งไปมาอยู่ใน "เนื้อแห่งนิโรธ" นั้น
    2. สิ่ง ๆ นั้น "ไม่มี เกิด-ดับ" สิ่ง ๆ นั้นไม่มีองค์ประกอบของ "ความปรุงแต่ง" ในตัวมันเอง และแม้กระทั่ง เราในสภาวะนั้น ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เหลือแต่ "สภาวะรู้" อย่างเดียว เท่านั้น
    3. อยู่ในสภาวะนี้ ไปเรื่อย ๆ ก็จะ "รู้" ได้เองว่า สิ่งที่ "วิ่งไปมาในเนื้อแห่ง นิโรธ นั้นเป็นลักษณะของ อณู หรือ อนุภาคเคลื่อนที่อิสระ" ไม่เกิดจากที่ได ไม่ดับลงในที่ใด สภาวะธรรมชาติเป็นเช่นนั้น
    4. รู้อย่างเดียว ไปเรื่อย ๆ ก็จะ "รู้" ได้เองว่า "อนุภาค" ที่เคลื่อนที่นั้น ทิ้งร่องรอยการเคลื่อนที่ ประดุจ "รอยเกวียน" ประดุจ "ร่องคลื่นน้ำ จากการเคลื่อนที่ของเรือ"
    5. ในยามที่ "ร่องคลื่น" นั้น เข้ามา "ตกกระทบ" การถอนจิต "ออกจากนิโรธ" เข้าสู่ปกติ จึงเกิดขึ้น ในวิปตาเดียว

    +++ ตรงนี้ คือ "เหตุใด การถอนจิตจาก นิโรธสมาบัติ จึงเกิดขึ้นได้"
    ===========================================

    +++ วิธีทำในขั้นปลาย คือ

    1. จากข้อ 5 ในขั้นกลาง ในยามที่ "ร่องคลื่น" นั้น ผ่านเข้ามา ก็ ปล่อยให้มันผ่านเลยไป "การถอนจิต ก็ จะไม่เกิดขึ้น" จากนั้น
    2. เมื่อรู้แล้ว ก็เอาใหม่ เพื่อ "รู้" กระบวนการ ถอนจิต ตรงนี้
    3. เมื่อ "ร่องคลื่น" ผ่านเข้ามา ในกระบวนการ "ถอน" นั้น ตัวร่องคลื่น จะ "ก่อกวน เนื้อแห่ง นิโรธ" ให้เกิดเป็น "การตึงตัว" ชนิดหนึ่ง ตรงนี้เป็น สภาพเริ่มต้น
    4. การตึงตัว เริ่มเป็น "สภาพแอ่ง แบบเล็นซ์นูน" แล้ว กระแสแรงดึงดูด ก็จะเริ่มดึง "อนุภาคเคลื่อนที่" เหล่านั้นเข้ามา รวมตัวกัน
    5. เมื่ออนุภาค เข้ามารวมตัวกัน หนาแน่นมากขึ้น สภาวะนี้ จะเริ่มคล้ายกับ "สภาพเมฆหมอก ที่หมุนวน มาตามแรงดึงดูด และ ลักษณะของ เล็นซ์นูน"

    +++ หลวงปู่มั่น เรียก "อนุภาค" นี้ว่า "ฐิติภูติ" จึงเกิดบทออกมาว่า "ฐิติภูตัง อวิชชาปัจจยาสังขารา" คือ อาการนี้
    +++ บทสวดศพ "มหาปัฏฐานสูตร" เริ่มที่ "อนุภาค" นี้ว่า "เหตุปัจจัยโย" ต่อด้วย "อารัมมะณะปัจจัยโย" คืออาการนี้

    6. อนุภาคที่เป็นตัวต้นเหตุ วิ่งผ่านไปใน "เนื้ออวกาศ (ว่าง) แห่งนิโรธ" ก่อให้เกิด "คลื่นอวกาศ (คลื่นความถี่)" จนก่อกวนให้เกิด "รอยพับย่น" (แอ่ง-เลนซ์) ในเนื่ออวกาศแห่งนิโรธ

    *** ในบางโพสท์ ที่ผม "เน้นตรงอาการ รู้ ของเนื้อนี้" ผมใช้คำศัพท์ว่า "วิญญาณัญจายตนะ ของ อรูปสมาบัติ" มาประกอบเพื่อพอที่จะ ทำความเข้าใจได้
    *** ในโพสท์นี้ "ในความว่าง ที่เกิดจากการ ดับอัตตา" ผมใช้คำศัพท์ว่า "เนื้อแห่งนิโรธ และ ว่างแบบอวกาศ (ไร้ขอบเขต ไม่มีประมาณ มีสารแขวนลอย)"

    7. รอยพับย่นเล็นซ์นูน ดึงดูด อนุภาคเข้ามารวมตัวกัน ก่อเกิดเป็น "สภาพคล้ายเมฆหมอก" ตรงนี้เป็น "สภาวะธาตุเริ่มต้น (ต้นธาตุ)" อวิชชา นับที่นี่
    8. สภาพธาตุเริ่มรวมตัว หมุนวนดึงดูดหนาแน่น แล้วเกิดเป็น "กรวย" (สังขารธาตุ) ลงไปแตะ touch down กับตัว อนุภาคต้นเหตุนั้น วิญญาณัง นับที่นี่
    9. วิญญาณัง ในปฏิจจสมุปบาท และ หมวดขันธ์ 5 นับตรงจุด touch down แต่ใน "มหาปัฏฐานสูตร" ตรงนี้เป็นอาการของ "อธิปปัติปัจจัยโย"

    +++ ณ จุดที่เป็น วิญญาณัง ตรงนี้แหละ "จุดถอนจิต" อยู่ในขั้นตอนนี้
    ===========================================

    +++ วิธีทำในขั้นพิเศษ คือ

    1. ในข้อ 8 ของขั้นปลาย นั้น ให้ "ปล่อย" ให้สภาวะธรรมต่าง ๆ มันปริวัติกลายตัวของมันไปเอง "โดยไม่ต้อง ลงไป เป็นตน กับมัน" ตรงนี้ "ยากนะ" แต่หลายคนก็ยังพอทำได้
    2. ให้ยืนยัน "ปล่อยให้ สภาวะที่สังขาร วิวัฒนาการ หลุดออกจาก นิโรธ ดำเนินไป" โดนที่ "เรา ยังเป็น รู้" อยู่ตลอดเวลา
    3. ปรากฏการณ์ที่ "กระบวนการวิวัฒน์" ดำเนินไป แต่เรายังเป็น "รู้" และไม่โดนอิทธิพลของ "กระแสวิวัฒน์" ดึงดูดเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
    4. ตรงนี้จะเกิดการ "แยกออก" ที่เรียกว่า "วิมุติ" ออกจาก กระแสวิวัฒน์ (ปฏิจจสมุปบาท) นั้น โดย "กระบวนการวิวัฒน์" ทั้งหมด "ถูกรู้" แล้วแยกตัวออกไป
    5. "ปล่อย" ให้การแยกตัว "ออก และ หลุด" ออกไปโดยสิ้นเชิง แล้วมันจะ "แยกห่างออกไปเรื่อย ๆ" จนสุดสิ้น "เนื้อธาตุแห่งการวิวัฒน์นั้น"
    6. แล้วจะ "รู้จนกลายเป็นเห็น (ญาณทัศนะ)" ได้เองว่า ธาตุทั้งหมดทั้งยวง ของการวิวัฒน์นั้น คือ อาการที่เรียกว่า "วัฏฏะของสสาร" นั่นเอง
    7. และลักษณะของ "วัฏฏะสสาร" นี้มีลักษณะเช่นเดียวกันกับสิ่งที่เรียกว่า Galaxy นั่นเอง ตรงนี้คือการ "หลุดออกจาก วังวนของวัฏฏะ" สู่ อวกาศ อันแทัจริง

    *** แต่ก่อนผมใช้คำศัพท์กระบวนการ "การแยกออกจากอัตตา เข้าสู่ จักรวาล" นี้ว่า จิตจักรวาล แต่คำศัพท์นี้ ก่อให้เกิดความสับสนกับ คนในเวปพลังจิตนี้ จนกลายเป็น "ปรามาส" มั่วไปหมด
    *** ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนคำศัพท์ใหม่ว่า "อัตตะจักรวาล" เพราะเกิดจากการ "วิมุติแยกอัตตาจิต แห่งความเป็นตน" ออกไปจนพ้นกระแสของ "วัฏฏะ" แล้วเข้าสู่ "เนื้อความว่างแห่งอวกาศ" นอกวัฏฏะ
    ===========================================

    +++ ต้องระบุไว้ก่อนว่า "เนื้อแห่งนิโรธ" นี้ยังไม่ใช่ "เนื้อแห่งนิพพาน" หากใครต้องการทราบ "เนื้อแห่งนิพพาน" ก็มีกล่าวไว้แล้ว
    +++ ในกระทู้ "ไกวัลยธรรม" ที่คุณ เกวะละ โพสท์ไว้ก่อนหน้าแล้ว นั่นเอง

    +++ กระทู้นี้มีหัวข้อแค่ "การแยกปรมาณูละเอียดออกจากจิต" เท่านั้น ผมจึง โพสท์ให้ "วิธีการทำ" เข้ากันได้กับหัวข้อ เท่านั้น นะครับ

    +++ คำพูดของ หลวงพ่อกิม ทีปธัมโม ที่วัดป่าดงคู "ถ้าโยมมาศึกษาสมาธิภาวนา ฝึกจิตใจ ก็จะสามารถแยกพันธะปรมาณู ละเอียดออกจากจิตได้ ก็จะเข้าใจ และบรรลุธรรม..." นั้น ก็จะเป็นอาการคล้าย ๆ กับที่ผม "แจงมานี้" (ไม่รวมในขั้นพิเศษ)

    +++ ถ้าเป็นไปได้ คุณ เกวะละ ก็ลองหาโอกาส ไปคุยกับท่านดูอีกครั้ง ก็น่าจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น นะครับ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หากมี "เสียงสั่นสะเทือนดังไปทั้งสามภพ" เป็นองค์ประกอบ นั่นคือการเข้าสู่ "ไกวัลยธรรม" จาก กามาวจรภูมิ ภพมนุษย์
    +++ ส่วนการเข้าสู่ "ไกวัลยธรรม" จากเนื้ออวกาศ จะไม่มีเสียงและสามภพเป็นองค์ประกอบ จะมีแต่ "ความจ้ามาก" เท่านั้น
    +++ ความ "เจิดจ้า" ตรงนี้ "ไม่ใช่แสง" แต่เป็น "ประกายของ พรรณรังสี" ที่เปล่งออกมาจากเนื้อของ "ไกวัลยธรรม" นั้นนั่นเอง นะครับ
     
  12. มินเนี่ยม

    มินเนี่ยม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +19
    อือหือ เรื่องปรมณูลึกซึ้งมากๆเลยครับ ขอถามแบบโง่ๆหน่อยนะครับ การที่เสพสุขอารมณ์นิพพาน ลอยไปลอยมาในอวกาศ มันไม่รู้สึกเคว้ง อยากรู้ อยากไปเยี่ยมภพภูมิต่างๆบ้างหรือครับ ไม่ใช่ว่าอยากนี่คือกิเลสนะครับ จะขอใช้คำเปรียบเปรยว่า พระอรหันต์ท่านก็ยังเดินไปนู่นมานนี่นะครับ
    หรือถ้าเคยตอบไว้แล้วก็ขอลิงค์ชี้เป้าไปก็ได้ครับ
    ขอบคุณครับ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "นิพพาน ไม่ใช่อารมณ์" คำว่า เสพสุขในอารมณ์นิพพาน นั้น เป็นภาษาสมมติเฉย ๆ ไม่มีสภาวะที่เรียกว่า "อารมณ์" ตั้งอยู่ได้ในนิพพาน

    +++ "เนื้ออวกาศ" ยังมีอาการ "เคว้งคว้าง" อยู่ด้วย และอาการนี้เองที่เป็นเครื่องฟ้องได้อย่างชัดเจนว่า "ยังไม่ใช่ที่สุด ยังไม่พ้นจากทุกข์"

    +++ เรื่อง ภพภูมิ เป็นเรื่องที่ "อยู่ข้างใน วัฏฏะ" ยังเป็นสภาวะเนื้อธาตุที่ หนาทึบ กว่าเนื้ออวกาศ และ "ทุกข์" มีสภาพ หนาแน่นกว่ากันมาก

    +++ ใครที่ ออกสู่เนื้ออวกาศได้แล้ว ย่อมไม่ปรารถนา วนเวียนเข้าสู่ ภพภูมิ อีกมันอึดอัดกว่ามาก (วันใดฝึกถึงแล้ว จะเข้าใจตรงนี้ได้เอง)

    +++ เนื้อ อวกาศ ยังไม่พ้นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย รวมทั้ง ทุกข์ แต่สภาวะของมัน "เบาบางกว่า รวมทั้ง ยาวนานกว่าในภพภูมิมาก"

    +++ การศึกษา "ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ" ในอวกาศ ได้ประโยชน์มากกว่าความวุ่นวายใน "ภพภูมิ" แม้ว่าจะสบายกว่า ภพมนุษย์ อยู่บ้างก็ตาม

    +++ กลุ่มที่ศึกษากับผม ล้วนแล้วแต่ "เลิกสนในในภพภูมิ" เมื่อออกสู่ตรงนี้กันแล้ว ทุกคนชัดเจน

    +++ การออกสู่ตรงนี้ ไม่สามารถตั้งมโนเอาเองได้ ดังนั้น "ความปรุงแต่งไม่มี" ทุกอย่างเป็นยังไงก็เป็นยังงั้น เป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีลักษณะแบบทางโลก

    +++ ทั้งหมดเริ่มต้นที่ "ดับจิตตน" ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงเรียนรู้ในทางนี้ได้ "ความเป็นตน หรือ มีตน" ไม่สามารถจะเรียนรู้อะไรทางด้านนี้ได้เลย

    +++ "พระอรหันต์ท่านก็ยังเดินไปนู่นมานนี่" นั้น "ถูกต้อง" ไม่ได้จบแล้ว "เป็นหัวตอ หรือ หุ่นยนต์" อะไรเลย เป็นคนธรรมดานั่นแหละ

    +++ เมื่อถึงเวลาที่จะลาจาก "เศษกรรมธาตุขันธ์" พวกเราก็จะใช้การ "ทำลายอัตตาจิต" ซึ่ง ณ ขณะที่ "อัตตา" โดนทำลายนั้น สภาวะแห่งการ "เจิดจ้า" จะปรากฏมาเองเป็นผลลัพธ์

    +++ พวกเราสามารถทำตรงนี้ "ได้ทุกคน" เพราะผมให้ฝึกการทำลาย "อัตตา" ตรงนี้จนชำนาญกันหมดแล้ว และอาการ "เจิดจ้า" นั้นจะเป็นอาการที่ "ตรงกันกับ ไกวัลยธรรม" ที่คุณ เกวะละ เอามาจากหลวงพ่อ พุทธทาส ทุกประการ

    +++ สภาวะเดียวที่พวกเรา "ไม่ประมาท" คือ การเข้าสู่ "เนื้อสภาวะ" ที่ไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ ทุกข์ ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ส่วนเวลาที่เหลือ พวกเราก็แค่ออก "ทัศนะศึกษา" ไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง นะครับ
     
  14. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านครับ

    คุณธรรมชาติ สอนได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ

    เพื่อนพระของข้าพเจ้าเอง ท่านก็น่าจะเห็นในสิ่งนี้เหมือนกัน แต่ท่านบอกว่า ท่านบอกไม่ได้ ไม่รู้จะพูดอย่างไร ท่านบอกวาสนาท่านมีน้อย ท่านจึงสอนใครไม่ได้ ท่านบอกแต่ว่า มันจะเห็นละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ถึงคำว่าไม่ใช่ตัวตนเราเขาทั้งข้างนอกข้างใน และบอกจุดวางจิตให้ข้าพเจ้า และการปฏิบัติบางอย่างเพื่อให้ข้าพเจ้าได้รู้ด้วยตนเอง และข้าพเจ้าคงตามให้ไม่ได้ เพราะท่านธุดงค์ไปเรื่อยๆ ไม่ประจำที่ไหน แต่ท่านชอบอยู่ตามป่าเขา หรือในถ้ำครับ

    ขออนุโมทนาครับ
     
  15. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52
    หลวงพ่อกิม ทีปธัมโม อยู่วัดป่าดงคู ต.โชคเหนือ อ.ลำดวน จ.สุรินทร์
    ท่านมรณะภาพไปหลายปีแล้วครับ

    ขอบคุณ คุณธรรม-ชาติ ที่ร่วมแสดงข้อคิดเห็น และอธิบายรายละเอียด
    ในเชิงลึก ในการปฏิบัติด้วยครับ...
     
  16. เกวะละ

    เกวะละ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +52

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    สอบถามนะครับ คุณธรรมชาติ

    บนห้วงของอวกาศที่เต็มไปด้วยสภาวะของความมืดมิดและมีดวงดาวน้อยใหญ่ราประดับมากมายแต่ จะมีปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งนั่นคือ

    สีขาววิ่งเข้าหาสีดำ ซึ่งสีดำนี้มีขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถคาด คะเนได้ และสีขาวก็วิ่งออกมาจากสีดำอีกทีหนึ่ง สิ่งนี้คือสภาวะของอะไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กรกฎาคม 2016
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ขอบคุณที่ได้ช่วยส่งลิ้งค์มา ว่าง ๆ ผมจะเข้าไปฟัง นะครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ รายละเอียด "ไม่ชัดเจน" หากใช้คำว่า "สี" อย่างเดียว คงไม่อาจระบุชี้อาการอะไรได้ เพราะจริง ๆ มันไม่ใช่ "สี" ในอวกาศ

    +++ ในกรณีที่คุณถามมานี้ ปรากฏการณ์ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของ "รังสี" มากกว่าที่จะเป็น วัตถุทางเทคโนโลยี่ รวมทั้ง สารแขวนลอยตามธรรมชาติ

    +++ ช่วยจำกัดขอบเขตของคำถาม ให้รัดกุมกว่านี้ คำตอบก็จะได้ชัดเจนมากขึ้นตามไปด้วย

    +++ หากจะตอบคำถามแบบ "คร่าว ๆ" ของคุณ คำตอบแบบ "คร่าว ๆ" ของผมก็จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า GRB Gamma Ray Burst ที่ "ยิงรังสี" ออกมาจากทั้ง "หลุมดำ และ หลุมขาว" ออกสู่เนื้ออวกาศ อันว่างเปล่า นะครับ

    +++ แต่ถ้าตรงนี้ "ไม่ใช่เจตนารมณ์ของคำถาม" ก็ช่วยจำแนกคำถามให้รัดกุมกว่านี้ นะครับ
     
  20. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ถ้างั้นเปลี่ยนจากสีขาว เป็นแสงสีขาวก็ได้ครับ ส่วนที่บอกว่าสีดำขนาดใหญ่ ลักษณะของมันคืออยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...