ความเชื่อหลังความตาย !

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ยายทองประสา, 29 กุมภาพันธ์ 2008.

?
  1. เชื่อว่าตายแล้วสูญ (คนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ (ยังมีภพชาติหน้ารออยู่ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส)

    0 vote(s)
    0.0%
  3. ยังไม่ปักใจเชื่อ, ไม่แน่ใจ, ไม่รู้สิ, ไม่ทราบเหมือนกัน และอื่นๆ

    0 vote(s)
    0.0%
  1. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,604
    2. เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ (ยังมีภพชาติหน้ารออยู่ สำหรับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ)

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    กระผมอุตส่าห์เดินอย่างระมัดระวังด้วยความไม่ประมาทอยู่ตรงกลางแล้ว
    ท่านมหาอย่าลากกระผมเข้าไปมุมใดมุมหนึ่งกับเขาด้วยเลยครับ ;)
     
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ..................................................................................

    อันนี้ ไม่ได้เจตนา "ลาก" ใคร ๆ

    เพราะว่า หาก "น้ำสบู่" ยังมี ยังอยู่ ก็เป็นเชื้อให้เกิดฟองได้อีก..
    ก็ต้องเกิดอีก....

    หมด "น้ำสบู่" ก็ไม่สามารถเกิดฟอง.. ก็ไม่ต้องเกิดอีก

    อันนี้ เป็นเหตุ.. ปัจจัย.. ธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจได้ง่าย ๆ

    ...................................................................................
     
  4. อีโต้

    อีโต้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +256
    ตายแล้ว

    ร่างกายสูญ

    แต่จิตไม่สูญ
     
  5. Solotel

    Solotel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +38
    2. เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ (ยังมีภพชาติหน้ารออยู่ สำหรับผู้ที่...)
     
  6. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    เรียนถามท่านมหา

    หากน้ำสบู่ยังมีอยู่ ย่อมเป็นเชื้อให้เกิดฟอง
    หากน้ำสบู่ไม่มีเสียแล้ว ย่อมไม่มีเชื้อให้เกิดฟอง

    อันนี้เป็นเหตุ-ปัจจัยธรรมดาที่ใครๆ ก็ย่อมเข้าใจได้แน่นอนครับ

    แล้วหากน้ำสบู่มัน "ไม่เคยมีมาก่อน" หล่ะครับท่าน

    ตัวน้ำสบู่มันเป็นเพียง รูป
    ชื่อน้ำสบู่มันเป็นเพียง นาม

    น้ำสบู่เป็นเพียงแต่รูปอันปราศจากความจริง <-- ข้อความนี้จริงหรือเท็จ?
    เมื่อรูปไม่มีความจริง นามของรูปนั้นพลอยเป็นสิ่งที่ไม่จริงไปด้วย

    และเนื่องจากน้ำสบู่ ซึ่งเป็นเหตุ กลายเป็นสิ่งที่ไม่จริง (ไม่ใช่ไม่มี เพราะจริงๆ แล้วมันไม่เคยมี)

    ฟองสบู่ ซึ่งเป็นผล (ไม่ว่าจะเป็นฟองปัจจุบัน หรือฟองในอนาคต) จะเป็นสิ่งที่จริงได้อย่างไรครับ

    ในเมื่อฟองสบู่เป็นสิ่งไม่จริง ฟองสบู่จะ "มี" หรือ "ไม่มี" ได้หรือครับท่านมหา

    รบกวนช่วยแก้ตรรกะในใจกระผมให้ด้วยครับ

    ขอขอบพระคุณท่านมหาล่วงหน้า

    *********
    อาจจะฟังผมแล้วงง ยกตัวอย่างเพิ่มเติม อีกเรื่องนะครับท่านมหา


    พะยับแดดเห็นเป็นน้ำ แต่ความจริงไม่ใช่น้ำ ทั้งไม่ใช่ตัวพะยับฉันใด ฯ
    ขันธ์ ก็ดูเหมือนอัตตา แต่ความจริงไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อัตตาเลย ฉันนั้น ฯ

    บุคคล (ที่เห็นแต่ไกลซึ่งพะยับแดด) สำคัญพะยับแดดว่านั้นคือน้ำ แล้วเข้ามาใกล้ ในที่นั่น
    หากยังพึงยึดถือว่าน้ำนั้นไม่มีอยู่ไซร้ เขาก็โง่หนักลง ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 มีนาคม 2008
  7. หนูแว่น

    หนูแว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    1,189
    ค่าพลัง:
    +3,207
    ตายแล้วไม่สูญค่ะ
     
  8. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    คนเราหากยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดตลอดแหละครับ จนกว่าจะถึงฝั่งแห่งธรรม
     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เมื่อสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งนี้ย่อมมี.
    เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี.

    ตายแล้วไม่สูญ เพราะมี อวิชา กิเลส ตัณหา เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้ต้อง เวียน ว่าย

    ตายแล้วสูญ เพราะ ไม่มีอวิชา กิเลส ตัณหา เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เมื่อดับสนิท นิพพานจึงแจ้ง

    พระอริยะ หรือ ผู้ปฏิบัติ หวังนิพพานเป็นที่สุด ท่านว่าอย่างนั้น นั่น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  10. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,019
    ค่าพลัง:
    +8,001
    โหวตให้ข้อ 2 ครับ ถ้าเชื่อตายแล้วสูญก็ไม่มีกฎแห่งกรรมสิครับ
     
  11. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    แล้วพระอาจารย์มั่นสอนอะไรให้กับหลวงปู่บ้างครับ?
    ก็สอนหลายอย่างเกี่ยวกับการทำวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งท่านก็สอนและเน้นย้ำนอกจากให้ตัวเราพิจารณาร่างกายให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็ให้วกเข้ามาสู่จิต จิตเป็นผู้รับรู้ โดยจิตนั่นแหละเป็นผู้เพ่งร่างกาย เมื่อเพ่งร่างกายเสร็จแล้วก็ให้ย้อนเข้ามาหาจิต ตั้งใจถามตอบตัวเองแบบนี้ว่า ร่างกายเป็นของเราหรือไม่ เมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เป็นของเกิดของตายของดับ เป็นของไม่แน่นอน และจิตนั่นแหละก็จึงเป็นแก่นของชีวิต
    [​IMG] จิตเป็นแก่นของชีวิตคืออะไรครับ?
    อ้าว!...ก็จิตมันไม่ตาย มันตายแต่ร่างกาย การเวียนว่ายตายเกิดก็มาจากจิตดวงเดียวนี้นั่นแหละ จะว่าไม่เป็นแก่นอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะเป็นภพหน้าชาติหน้า จิตดวงนี้แหละก็ต้องตามพวกเราทั้งหมด ร่างกายจะไปได้ที่ไหนล่ะ เมื่อร่างกายถูกไฟเผาร่างกายก็เหลือแต่กระดูกเป็นเถ้าถ่านไปหมด ดังนั้น จิตดวงเดียวถ้าผู้นั้นยังไม่สิ้นกิเลส มันก็มีบาปมีบุญติดตามไป และบาปบุญนั่นแหละที่จะนำดวงจิตไป และถ้าทุกคนสิ้นหรือหมดจากกิเลสแล้วก็จะไม่มีอะไรนำก็จะเป็นการนิพพานนั่นเอง
    แสดงว่าหลวงปู่เชื่อชาติหน้ามีจริงซิครับ?
    ก็มีจริงซิ (หัวเราะ) ถ้าไม่มีจิตเรานั้นจะไปได้อย่างไรกัน แต่ที่คนเรายังไม่ค่อยเชื่อเรื่องชาติหน้าชาตินี้หรืออย่างเรื่องนรกสวรรค์ อาตมาก็อยากให้เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสรู้นั่นแหละ หากถามอาตมาว่าคนทั่วไปทำไมเชื่อก็เป็นเรื่องของคนที่ยังมองไม่เห็น มองแล้วยังไม่รู้เพราะยัง


    สอบถามเส้นทางได้ที่ วัดอรัญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย โทรศัพท์ ๐-๔๒๔๒-๐๒๙๙,๐-๑๙๑๔-๕๒๘๓,๐-๑๓๗๗-๒๘๕๙
    เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง
    ภาพ ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์

    ที่มา - คม ชัด ลึก
    <!-- / message -->
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ...................................................................................

    แล้วหากน้ำสบู่มัน "ไม่เคยมีมาก่อน" หล่ะครับท่าน

    ตัวน้ำสบู่มันเป็นเพียง รูป
    ชื่อน้ำสบู่มันเป็นเพียง นาม

    น้ำสบู่เป็นเพียงแต่รูป อันปราศจากความจริง <-- ข้อความนี้ จริงหรือเท็จ?
    เมื่อรูปไม่มีความจริง นามของรูปนั้น พลอยเป็นสิ่งที่ไม่จริงไปด้วย

    และเนื่องจากน้ำสบู่ ซึ่งเป็นเหตุ กลายเป็นสิ่งที่ไม่จริง
    (ไม่ใช่ไม่มี เพราะจริงๆ แล้วมันไม่เคยมี)

    ฟองสบู่ ซึ่งเป็นผล (ไม่ว่าจะเป็นฟองปัจจุบัน หรือฟองในอนาคต) จะเป็นสิ่งที่จริงได้อย่างไรครับ

    ในเมื่อฟองสบู่เป็นสิ่งไม่จริง ฟองสบู่จะ "มี" หรือ "ไม่มี" ได้หรือครับท่านมหา

    รบกวนช่วยแก้ตรรกะในใจกระผมให้ด้วยครับ

    ขอขอบพระคุณท่านมหาล่วงหน้า

    *********
    อาจจะฟังผมแล้วงง ยกตัวอย่างเพิ่มเติม อีกเรื่องนะครับท่านมหา

    พะยับแดดเห็นเป็นน้ำ แต่ความจริงไม่ใช่น้ำ ทั้งไม่ใช่ตัวพะยับฉันใด ฯ
    ขันธ์ ก็ดูเหมือนอัตตา แต่ความจริงไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่อัตตาเลย ฉันนั้น ฯ

    บุคคล (ที่เห็นแต่ไกลซึ่งพะยับแดด)
    สำคัญพะยับแดดว่านั้นคือน้ำ แล้วเข้ามาใกล้ ในที่นั่น

    หากยังพึงยึดถือว่าน้ำนั้นไม่มีอยู่ไซร้ เขาก็โง่หนักลง ฯ<!-- / message --><!-- edit note -->

    ...................................................................................

    ข้อนี้.. ผมก็ยังโง่.. อยู่ครับ

    เพราะว่า ผมก็เห็นว่า....

    "น้ำ" เป็น "น้ำ"
    "น้ำสบู่" ก็เห็นเป็น "น้ำสบู่"
    "พะยับแดด" ก็เห็นว่า เป็น "พะยับแดด"

    ก็ไม่เห็นว่า จะต้องไปค้นหา ว่า....
    น้ำ.. น้ำสบู่.. พะยับแดด.. มันมาจากไหน....

    สสาร อันเป็นวัตถุ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ในโลกนี้ ที่เป็นรูปจับได้ ก็ดี....
    สสาร ที่จับไม่ได้ก็ดี พะยับแดด อากาศ ลม

    โลก.. นี้ มันมาตั้งแต่ไหนกัน
    โลก.. เป็นอัตตา มีสภาพ จับต้องได้
    โลก.. เป็นอนัตตา ตามกฏไตรลักษณ์ มีอันต้องเสื่อมสลายไป
    (แต่ทว่า.. อีกกี่สิบ กี่หมื่น กี่แสนล้าน อสงไขยกัป กันละนี่..)

    มันเป็น 1 ใน 4 ของ อจินไตย
    ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสแสดงไว้....

    อจินไตย

    อจินติตสูตร

    เล่มที่ ๒๑
    [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน

    อจินไตย ๔ ประการ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

    พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
    ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
    วิบากแห่งกรรม ๑
    ความคิดเรื่องโลก ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อนฯ

    จบสูตรที่ ๗

    ...................................................................................

    ข้อความ ใน พระไตรปิฎก นี้ บางที เขาก็ไม่เชื่อกัน
    จะไม่อ้าง ก็ไม่ได้ เพราะว่ามีความเชื่อ เคารพ และศรัทธาในพระรัตนตรัย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ...................................................................................

    นี่.. ผมมัน โง่.. ตรงนี้ นี่เอง

    ที่.. ไม่พยายามไปหาที่มาของ น้ำ.. น้ำสบู่.. พะยับแดด.. อากาศ..
    ลม.. และโลก....

    หากผมฉลาด ๆ พยายามหาที่มา.. เอ.. มันเกิดมาจากไหนกันหนอ....
    ตาย.. เกิด.. อีกแสนล้านกัป อสงไขยกัป ก็จะหาพบ หรือเปล่าก็ไม่รู้

    ดังนั้น.. ผมจึงไม่ได้ "ติด"ในสิ่งที่ สมเด็จพระประทีปแก้ว ตรัสว่า ไม่ต้องคิด

    เพียงแต่.. ปฏิบัติ ตามแนวทางที่ทรงตรัสสอน 84,000 พระธรรมขันธ์
    ลด เป็นมรรค มีองค์ 8
    ลด เป็น องค์ 3 คือ....
    1. เว้นทำชั่ว.. ด้วยการปฏิบัติ ใน "ทาน"
    2. ทำความดี.. ด้วยการปฏิบัติ ใน "ศีล"
    3. ทำใจให้บริสุทธิ์.. ด้วยการปฏิบัติ ใน "ภาวนา" ให้เกิดเป็น "ปัญญา"

    เมื่อ "ปัญญา"เกิด ก็จะ ลดเหลือเพียง 1 คือ.. "ยอมรับกฏแห่งกรรม"
    ความเป็นธรรมดา ช่างมัน อุเบกขา เห็นทุกข์ เห็นภัยในกองสังขาร เห็นโทษของการมีขันธ์ 5 เห็นทุกข์เห็นโทษในการเกิด เมื่อเกิดอีก ก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย ไม่สิ้นสุด....

    ในส่วนนี้ คือ "วิปัสสนาญาณ" สามารถ ตัดกิเลส โลภ โกรธ และ หลง ได้จริง
    เป็นสมุจเฉทปหาน

    เมื่อผ่านตรงนี้ได้แล้ว ก็จะเข้าสู่ ความเป็น อริยะ ตามแต่ความละเอียด ละเมียดของจิต ในระดับ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

    การจะเข้าถึง "พระนิพพาน"ได้ ถึงตรงนี้ แล้วค่อยมาคุยกัน ครับ

    (อันนี้ ผมเข้าใจเอง ไม่ได้บอกว่า จะต้องเชื่อ)
    หากว่า จะสามารถเข้านิพพาน กันวันละ เป็นหมื่น ๆ ครั้ง
    ตามความดับ ของลมหายใจ เข้าออก

    หากเป็นอย่างนั้น ได้จริง ๆ
    แล้ว ทุก ๆ ห้วงเวลาที่หายใจเข้า ออก นั้น
    คนเรา ที่เป็นปุถุชน นี่.. จะไม่เกิดกิเลส ชั่ว บ้างเลยหรือ

    และ ถ้าหากห้วงหายใจนั้น คิดอกุศลกรรม แล้วบังเอิญตายพอดี
    แล้ว จิตที่กำลังครองอารมณ์ความชั่ว อยู่นั้น....
    จะทำอย่างไรกันละนี่.. กรรม จริง ๆ

    ...................................................................................

    พระนิพพาน ไม่ใช่ อัตตา
    พระนิพพาน ไม่ใช่ อนัตตา

    แท้จริง.. พระนิพพาน คือ ภาษาการปฏิบัติ
    เพื่อให้เข้าถึง "อริยะ" กันเสียก่อน

    พระอริยะ พื้นฐาน คือ "พระโสดาบัน" นี่....
    พวกเราก็ต้องพึงทำความเข้าใจกันเสียก่อน....

    หากเพียง "พระโสดาบัน" ยังไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง
    จะไปรู้เรื่อง "พระอรหันต์" หรือ "พระนิพพาน"

    ก็เปรียบได้ว่า.. กำลังเรียน ป.3 ป.4
    จะไปรู้เรื่อง เนื้อหา หรือ จะสอบผ่านระดับ ปริญญาโท ปริญญาเอก ได้อย่างไร

    ..................................................................................

    จากคำถามของท่าน....

    ผมยอมรับว่า ผมยังโง่.. อยู่จริง ๆ ด้วย ครับ..

    ที่ไม่รู้ว่า น้ำ.. น้ำสบู่.. พะยับแดด.. ลม.. โลก..
    มันมาจากไหน มีมาก่อน หรือไม่มีมาก่อน
    เป็นรูป.. เป็นนาม..
    โอโฮ.. อันนี้. ผมก็ โง่ จริง ๆ ที่ไม่สามารถ "ตอบ" ให้ทราบได้
    (ข้อนี้.. คนที่ฉลาด ๆ เขาก็คงจะรู้กันแล้ว)

    ผมเพียงแต่ "หาทางทิ้ง" น้ำสบู่.. ออกไปให้ได้.. ก็พอแล้ว ครับ..
    ผมก็พึงใจ แล้วครับ

    ...................................................................................

    และ.. เอ.. กระทู้นี้ เข้าเข้ามาเพื่อโหวตกัน....
    ตามความต้องการของเจ้าของกระทู้....

    คือ ขอให้โหวตเพียง ข้อ. 1 หรือ ข้อ.2 หรือ ข้อ. 3 เท่านั้นเอง

    ท่านเจ้าของก็คงไม่ได้อยากรู้ ไปนอกเหนือ จากที่ต้องการจะถาม
    (ซึ่งในโพสที่ 3 ผมก็แสดงความเห็นไว้ชัดเจนแล้ว)

    หาก สิ่งกล่าวเกิน มานี้ เป็นการ รบกวนการโหวต (ไม่ตรงจุดประสงค์)
    ก็ต้องขอ ขมา ขออภัย มา ณ ที่นี้

    ด้วยไม่ได้มีเจตนา จริง ๆ ครับ
    ขอได้โปรด ให้อภัย ด้วยนะครับ

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  13. chuang205

    chuang205 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +708
    ข้อสองอยู่แล้ว
     
  14. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ผม ว่าผมทะลุกลางปล้องแล้วนะ

    กระทู้นี้ชี้ให้โหวด ผมก็โหวด และก็เดาได้ว่าผลเป็นอย่างไร...

    กับการที่ไม่เห็นด้วยกับคำตอบผม
    ก็ชี้ให้เห็นว่า ท่านเชื่อตามๆมา หรือ เชื่อเพราะพิจารณาแล้ว

    คุณเชื่อกฏแห่งกรรมนั้น ถูกแล้ว จะได้ไม่ประมาท ครับ.
    การตายแล้วสูญ มันก็เป็นกฎแห่งกรรม คือ เราสร้างเหตุให้ดับ ให้แจ้งนิพพาน. มันผิดตรงไหน

    ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ใกลตัว เหตุมันเกิดที่ใจก็ให้ดับที่ใจ

    จึงได้ชื่อว่าเข้าใจ อริยสัจ 4
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  15. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,793
    ก็เกิดก็มี ดับก็มี ไม่เกิดไม่ดับก็มี ไม่ใช่หรือ

    ไฟมีเพราะมีเหตุมีปัจจัยให้เกิด ดับก็เพราะมีเหตุปัจจัยให้ดับ

    แต่ไฟก็ยังมี หลังจากดับแล้ว ถ้ายังมีเหตุปัจจัยให้ไฟเกิด จะงงไหมเนี่ย
     
  16. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ให้มันเจอของจริงก่อน แล้วมันจะเชื่อกันจริงๆ แล้วจะไม่กลัวตาย
     
  17. TSAR

    TSAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +472
    ทีแรกผมก็ตกใจครับจากกระทู้เริ่มต้น
    "ในครั้งหนึ่งมีโพลต์ เรื่องความเชื่อหลังความตาย ลงในหนังสือพิมพ์ ผมจำได้ว่าเขาได้สำรวจความเห็นของพระในเขตภาคเหนือ เชื่อหรือไม่ว่ามากกว่าครึ่งเชื่อว่าตายแล้วสูญ เป็นโพลต์ที่น่าตกใจ หรือไม่น่าตกใจดี ... ?!"​

    เมื่อพิจารณาจากปัญญาอันน้อยนิดของผมพอจะสรุปได้ว่า
    คำถามข้อแรก อาจจะตีความหมายกันคนละแบบครับ
    คือ กลุ่มที่คิดว่าเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวจริงๆ
    กลับอีกกลุ่มที่คิดว่า การที่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก คือไปพระนิพพาน
    ซึ่งนักบวช ได้หวังสิ่งนี้อย่างที่สุด หรือแม้แต่ฆราวาส เอง​

    ส่วนข้อ สอง คือตายแล้วไม่สูญ
    ความจริง
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ครับ คุณtsar

    เป็นเช่นนั้นจริง ชาวพุทธไม่มีใครเชื่อว่า เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว แน่นอน
     
  19. a5g1

    a5g1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +384
    เชื่อว่าพลังงานไม่ดับสูญ จิตเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง การตายเป็นการเปลี่ยนแปลงของจิต จิตที่ตั้งมั่นดีแล้วย่อมไปสู่สุคติ ตายแล้วย่อมไม่สูญแน่นอน สาธุๆๆ
     
  20. manny_tong

    manny_tong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    514
    ค่าพลัง:
    +543
    ตอบข้อ 2
    เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ (ยังมีภพชาติหน้ารออยู่ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส)

    แน่นอนอยู่แล้วอ่ะชิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...