ความลึกลับของสติปัญญา!!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ลุงมหา๑, 4 สิงหาคม 2015.

  1. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ระดับขั้นของกำลังสติ ของกำลังสมาธิ

    ขออนุญาตครับ

    องค์หลวงปู่มั่น ก็ดี องค์หลวงปู่เสาร์ ก็ดี เวลาสั่งสอน อบรมลูกศิษย์
    องค์ท่านจะให้ภาวนา พุทธ-โธ เพื่อสะสมกำลังสติ เพื่อสะสมกำลังสมาธิ

    เมื่อกำลังสติ เมื่อกำลังสมาธิ ของเราเต็ม ก็คือ เราจะมีความ

    "รู้ตัว อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังไม่นอนหลับ''

    เวลาเราปฏิบัติสมาธิภาวนาไป ให้เราพิจารนาว่า

    ''ขณะภาวนาอยู่นั้น จิตเราหลับ หรือ จิตเราตื่น''

    ผู้ภาวนาใหม่ๆ ยังกำลังอ่อนอยู่ ''จิตจะหลับ'' มากกว่า ''จิตตื่น''

    เมื่อมีกำลังสติ เมื่อมีกำลังสมาธิ มากขึ้นๆ ''จิตจะตื่น'' มากกว่า ''จิตหลับ''

    เมื่อมีกำลังเต็มที่ "จิตจะตื่น" อยู่ตลอดเวลาของการภาวนา

    เมื่อมีกำลังเต็มเปี่ยมสูงสุด "จิตจะตื่นอยู่ตลอดวัน ตลอดคืน'' ยกเว้นเวลานอนหลับ

    ให้ผู้ปฏิบัติสังเกตุว่า ที่ตนปฏิบัติอยู่นั้น หลังการปฏิบัติในแต่ละวัน "จิตตื่นไปได้กี่ชั่วโมง" ในแต่ละวัน

    ต้องเร่งความเพียรโดยการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้มากขึ้นๆ เท่าที่จะมีเวลาว่างทำได้ในแต่ละวัน

    ให้สังเกตุดูว่าปฏิบัติวันละเท่านี้ชั่วโมง "จิตตื่นอยู่ได้กี่ชั่วโมง"

    จิตที่ตื่นได้ตลอดเวลาที่ยังไม่ใช่เวลานอนหลับ ก็คือ "จิตที่รู้ตัวทุกอิริยาบถ"

    การสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ ตั้งแต่เริ่มต้น จนไปถึง "จิตที่รู้ตัวทุกอิริยาบถ"

    จะเร็ว จะช้า ขึ้นอยู่กับ

    1.บุญ วาสนา บารมี ที่ได้สะสมมาแต่ชาติปางก่อน
    2.เวลามากน้อย ที่ได้ปฏิบัติ สมาธิภาวนา สะสม กำลังสติ กำลังสมาธิ ไปในแต่ละ วัน เดือน ปี
    3.ระยะเวลาของการปฏิบัติ ที่ได้สะสมไปๆ วัน เดือน ปี
    4.การรักษาจิตโดยไม่ปล่อยให้ "อาการใจลอย" เกิดขึ้นบ่อยเกินไป
    5.การระวังรักษาจิตไม่ปล่อยให้"ใจลอยฟุ้งซ่านขณะปฏิบัติสมาธิภาวนา"
    6.การระวังรักษาจิตไม่ให้ไปคิด ไม่ให้ไปทำ ในเรื่องเหลวใหลไร้สาระต่างๆ

    คำแนะนำสั่งสอนที่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆสอนคือ

    ''ต้องมุ่งไปที่ การสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิให้เต็มเปี่ยม จนถึงการรู้ตัวทุกอิริยาบถตลอดเวลาเท่านั้น"
    "จึงจะไปใส่ใจพิจารนาธรรมขั้นต่อไป"

    เหมือนศิษย์วัดเส้าหลิน ที่หาบน้ำขึ้นเขา

    เที่ยวแล้วเที่ยวเล่า
    วันแล้ววันเล่า
    เดือนแล้วเดือนเล่า
    ปีแล้วปีเล่า
    จนกว่าร่างกายแข็งแกร่งพอจะฝึกขั้นต่อไปได้

    เพราะในหมู่มนุษย์จำนวนมากมายมหาศาลนั้น
    จำนวนผู้ที่ฝึกจนถึงขั้นการรู้ตัวทุกอิริยาบถนั้นมีน้อยนัก

    แค่นี้ยังไม่ได้ แค่นี้ยังไปไม่ถึง แล้วจะยังมามัวเสียเวลา พูดถึง ธรรม อื่นๆไปใย

    หรือเกิดมาชาตินี้ จะเอาแค่ที่เป็นอยู่แค่นี่หรือ?

    แค่การหายใจเข้า ภาวนาว่า"พุทธ" แล้วหายใจออก ภาวนาว่า"โธ"
    เพื่อสะสมกำลังสติ เพื่อสะสมกำลังสมาธิของใจ

    แค่การหาบน้ำขึ้นเขาเพื่อสะสมกำลังแรงกายเพื่อจะได้ฝึกขั้นต่อไปได้

    ง่ายๆแค่นี้ ทำได้บ้างใหม หรือ จะพร่ำบ่นในธรรมที่แม้แต่ตนก็ไม่เข้าใจไปกันอยู่ทำใม!!!

    กำลังสติ กำลังสมาธิ กำลังใจ ที่มีน้อยอยู่แล้ว ยังจะพากันปล่อยที่มีอยู่แล้วทิ้งไปทำใม!!!

    ฟุตบอลหญิงโลกจบไปแล้ว เห็นหรือยังว่า

    กำลังยังไม่พอ ความเร็วยังไม่พอ แล้วยังไปจะพัฒนากันที่ส่วนใหนได้อีก!!!

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ปัญญา กับ ปัญญาญาณ!!!!!

    ขออนุญาตครับ

    ตัวอย่างของปัญญา พูดให้เข้าใจง่ายๆสำหรับคนทั่วไปก็คือ

    เมื่อมีคำถามเกิดขึ้น ผู้มีปัญญาจะทำการคิดเพื่อหาคำตอบ!
    ตัวอย่างของการคิดเพื่อหาคำตอบเช่นเมื่อมีโจทน์ทางคนิตศาตร์เกิดขึ้น
    ผู้มีปัญญาจะรู้จะเข้าใจวิธีคิด จะรู้วิธีทำเพื่อหาคำตอบนั้น

    แต่ผู้มีปัญญาญาณ จะข้ามผ่านวิธีคิด จะข้ามผ่านวิธีทำ เพื่อหาคำตอบนั้น
    แต่คำตอบนั้นจะผุดขึ้นมา จะรู้ขึ้นมาในจิตได้เลย

    เหมือนที่พระพุทธองค์ เมื่อมีคนถามปัญหาใดๆ
    เนื่องจากพระองค์มีพระปัญญาญาณอันแจ่มชัด กว้างขวางในทุกๆด้าน
    ทำให้พระองค์มองเห็น สาเหตุ ขั้นตอนของกรรม อันนำไปสู่ผล อย่างละเอียดและชัดเจน

    ในผู้คนทั่วๆไปนั้นจะสามารถมีปัญญาได้ในแค่ระดับ ปัญญาของสัญญาความจำ
    แล้วขยายเพิ่มเติมไปได้เพียงเล็กน้อย
    ทำให้แค่สามารถ คิดหากระบวนการ ขั้นตอน วิธีคิด เพื่อหาคำตอบออกมาเท่านั้น
    ซึ่งก็คือ ขบวนการ การเรียนรู้ การฝึกฝนทางโลก เหมือนที่เราเห็นทั่วๆไปรอบๆตัวเรานี้

    แต่ปัญญาญาณนั้น จะรู้ได้ จะมีได้ ต้องฝึกฝนอบรมจิตของตนตามขบวนการ

    การสะสมกำลังสติ+การสะสมกำลังสมาธิ
    การรู้ตัวทุกอิริยาบท ตราบใดที่ยังไม่นอนหลับ
    การฝึกฝนด้านปัญญา จากปัญหาง่ายๆ จนถึงปัญหายากๆ สะสมไปจนคลอบคลุมทั่วถึง
    สะสมไปจนสามารถ เมื่อมีคำถามเกิดขึ้น ก็มีคำตอบผุดขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาในจิต
    คำถามแล้วคำถามเล่า คำตอบแล้วคำตอบเล่า จนกว่าจะหยุดพิจารณา จนกว่าจะคลอบคลุมทั้งหมด ที่ทำให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

    ในหมู่พระอริยสงฆ์ ท่านจะพิจารณาธรรมอย่างหนักหน่วงในช่วงชั้นของพระอนาคามี

    ในหมู่มนุษย์นั้น ผู้สามารถสร้างสติปัญญาจนเกิดปัญญาญาณได้ ที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือ

    พวกนักวิทยาศาตร์ไทย ทั้งที่เคยทำ และที่กำลังทำงานอยู่ ในองค์กรที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการสูงที่สุดในโลก

    ที่เราพากันรับรู้อย่างกว้างขวางในชื่อ องค์กร NASA นั่นล่ะครับ

    และในหมู่คนทั่วไป จะสร้างปัญญาญาณขึ้นมาได้ ต้องฝึกการคิด การพิจารณา อยู่ตลอดเวลา ติดต่อกันเป็นเวลา หลายสิบปี

    ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนเอาไว้ว่า

    ปฏิบัติง่าย ได้ผลเร็ว
    ปฏิบัติง่าย ได้ผลช้า
    ปฏิบัติยาก ได้ผลเร็ว
    ปฏิบัติยาก ได้ผลช้า

    เป็นไปตามเหตุ เป็นไปตามปัจจัย เป็นไปตาม บุญ วาสนา บารมี ที่ได้สะสมเอาใว้ ทั้งในอดีต และในปัจจุบัน

    ท่านที่ยังใช้เวลาในเว็บนี้กันมากเกินไป
    เที่ยวไปอ่านโน่น เที่ยวไปอ่านนี่
    เที่ยวไปตั้งกระทู้โน้น เที่ยวไปตั้งกระทู้นี้
    เที่ยวไปตอบกระทู้โน้น เที่ยวไปตอบกระทู้นี้

    เสียเวลาในการปฏิบัติเพื่อการ สะสมกำลังสติ
    เสียเวลาในการปฏิบัติเพื่อการ สะสมกำลังสมาธิ

    ก็พากันคิดกันเอาเองว่า ชาตินี้ทั้งชาติ จะไปถึงขั้น "การรู้ตัวทุกอิริยาบท" ได้หรือไม่?

    เพราะถ้าไปไม่ถึง ปัญญาญาณ ก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้

    ขอโมทนาบุญๆๆ

    ลุงมหา
     
  3. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ปัญญาทางโลก มีจุดมุ่งหมายเพื่อ สนองตัณหาของตน
    ส่วน ปัญญาทางธรรม มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ชนะตัณหาของตน
    ผู้ที่ต้องการเอาชนะตัณหา จำเป็นต้องมีสติ รู้ตัวตลอดเวลา
    จะได้ไม่เผลอปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสตัณหาแห่งตน
    ตัณหานั้นเปรียบเหมือนยาเสพย์ติด ความสุขจากการเสพ
    ไม่นานก็จางไป ต้องเสพใหม่ต่อไปเรื่อยๆ ผู้มีปัญญาจะทราบ
    ถึงภัยของยาเสพย์ติด และพยายามเลิก ซึ่งในระยะแรกอาจ
    มีอาการลงแดง จำเป็นต้องใช้กำลังใจอย่างมากในการเลิก
    เพราะเสพย์ติดตัณหามานานหลายชาติแล้ว
     
  4. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขออนุญาติครับ
    ปัญญาอยู่ที่ไหน ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญหาอยู่ที่ไหน ปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร
    พระองค์ท่านก็ตรัสไว้แล้ว ทุกข์เกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
    เมื่อใจไม่ทุกข์แล้ว ก็ใช้ปัญญาที่มีปัญญาที่เรียนรู้มาทำหน้าที่แตกต่างกันไปในธรรมชาตินี่
     
  5. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    เส้นทางการสะสม บุญ บารมี อันยาวไกลไปสู่ปลายทาง

    ขออนุญาตครับ

    เส้นทางของการเวียนว่ายตายเกิด
    เส้นทางของการสะสม บุญ บารมี อันยาวไกล
    ตั้งแต่การเริ่มต้นทอดยาวไปสู่ปลายทางของจุดสิ้นสุด คือ พระนิพพาน คือ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า

    เส้นทางเหล่านี้ ดวงจิตของแต่ละดวงจะเป็นผู้เลือกเอง
    แต่ก่อนจะเข้าใจ แต่ก่อนจะเลือก ต้องมีบุญ บารมี ที่ได้สะสมมาพอสมควร จึงจะเข้าใจ จึงจะเลือกเป้าหมายปลายทางของตนได้

    บุญ บารมี ที่ว่า เมื่อรวมกันแล้ว เราก็เรียกกันว่า "สัมมาทิฐิ"
    เพราะถ้าบุญ บารมี ไม่ถึง "สัมมาทิฐิ" ก็ไม่อาจจะเริ่มต้นเส้นทางใดๆได้ ได้แต่สะเปะสะปะ ไปเท่านั้น

    คนทั่วไปมักเข้าใจในระบบการศึกษาทางโลกได้ดี เช่น

    อนุบาล
    ประถม1
    ประถม2
    ประถม3
    ประถม4
    ประถม5
    ประถม6
    มัธยม1
    มัธยม2
    มัธยม3
    มัธยม4
    มัธยม5
    มัธยม6
    มหาวิทยาลัย1
    มหาวิทยาลัย2
    มหาวิทยาลัย3
    มหาวิทยาลัย4
    ปริญญาโท1
    ปริญญาโท2
    ปริญญาเอก1
    ปริญญาเอก2
    ปริญญาเอกวิทยานิพนธ์ เป็นต้น เรื่องอย่างนี้คนทั่วๆไปต่างก็พากันเข้าใจได้เป็นอย่างดี

    แต่พอถามว่า การสะสมบุญ บารมี ตั้งแต่เริ่มต้น ไปจนถึง พระนิพพาน
    ท่านเข้าใจว่า ตนเองสะสบุญ บารมี มาได้เท่าไรแล้ว?
    ท่านเข้าใจว่า ตลอดชาตินี้ ท่านตั้งเป้าเอาไว้ ถึงจุดใหน?

    บุญ
    วาสนา
    บารมี
    สติ
    ปัญญา
    วิมุติ
    หลุดพ้น

    หรือ บุญ
    วาสนา
    บารมี
    สติ
    ปัญญา
    ปัญญาญาน

    ทั้งสองเส้นทางนี้

    พวกเราพากันสะสมมันไดัมากน้อยขนาดใหน?

    พวกเราพากัน ผ่านจุดใหนกันแล้วบ้าง

    ที่กำลังสะสม
    ที่เคยได้ผ่านจุดนั้นๆ

    ได้ทำกันมาอย่างไร?
    ได้ผ่านกันมาอย่างไร?

    พอจะถาม!
    พอจะบอก!
    พอจะเล่า!

    เพื่อจะให้เกิดประโยชน์ ต่อผู้อื่นบ้างได้ใหม?

    หรือจะเป็นได้แค่ที่องค์หลวงตามหาบัว ท่านเรียกว่า

    "พระไตรปิฎก"
    "สัญญา ความจำ"

    หรือแค่อยากจะอ่าน อยากจะเขียน อยากจะพูด กันแต่

    ธรรมกระดาษ
    ธรรมสัญญาความจำ
    ธรรมที่แม้แต่ตนก็ไม่เข้าใจ

    แล้วจะพากันได้ประโยชน์อันใด?

    ใกล้กันบ้างใหม
    ใกล้พอที่จะมี กำลังสติ กำลังสมาธิ เต็มเปี่ยมกันหรือยัง?

    หรือว่ายังไม่ได้เริ่มต้น หรือว่าเริ่มไปแล้วและปล่อยทิ้งกันเกือบจะหมดแล้ว
    และ หรือ กำลังจะเริ่มใหม่

    หรือยังไม่เข้าใจว่า ตอนละจากโลกนี้ไป ยังพอมี ยังพอได้ บุญ บารมี ไปด้วยเท่าไร?

    ทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ตัวใครตัวมันกันอยู่แล้ว

    อยู่ก็เที่ยวไปโต้ไปเถียงเขาแหยงๆ พอตายไปถึงได้รู้ว่า เขากับเรามันได้ มันต่างกันอย่างไร?

    อย่าได้รู้ตัวก็เมื่อสายนะท่านนะ

    บุญ วาสนา บารมี สติ ปัญญา ปัญญาญาน ใครมีอยู่เท่าไร?

    ทัศนคติ จริต นิสสัย สันดาน ที่ได้ถูกขัดเกลา ที่ได้ถูกปรับเปลี่ยน ไปให้ดีขึ้นๆ มันจะบอกออกมาเอง

    สัมมาทิฐิในจิตในใจ มันจะบอกออกมาเอง

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  6. PooPowerZ

    PooPowerZ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +18
    ลุงมหา๑..จร๊า..ทดลองเรื่องปัญญา..ง่ายนิดเดียว..ทดลองตด..แล้วดม...ยังเหม็นเหมือนคนทั่งไป..ใช่ไม่...อย่าอวด..
     
  7. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +1,844
    1.ปัญญาทางโลกก็คือสัญญาขันธ์ เป็นขันธ์๕
    2.โลตรปัญญาคือปัญญาณานหยั่งรู้ ปัญญานี้มีได้แต่อริยบุคคลเท่านั้น
    ***อย่าไปคิดว่าปัญญาทางโลกจะกลายเป็นโลตรปัญญาได้ เป็นคนละส่วนกันโลตรปัญญาเกิดขึ้นในขณะที่จิตดับเท่านั้น***
     
  8. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ญานหยั่งรู้

    ขออนุญาตครับ

    อย่าไปเชื่อพระ เชื่อตำรา มากนะครับ

    ญานหยั่งรู้นั้น เกิดก่อนการเป็นอริยะนะครับ
    พวกฆราวาสนักปฏิบัตินั้น เมื่อปฏิบัติถึง เมื่อปฏิบัติได้ ก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง
    ไม่ต้องไปพึ่งใคร ไม่ต้องไปเชื่อตำราที่ใหน

    ไม่ว่าท่านสะสมบุญบารมีมามากขนาดใหน เมื่อมาเกิดใหม่ก็ต้องมาเริ่มใหม่
    เหมือนพระพุทธองค์นั่นล่ะครับ

    ขนาดมีคนมาบอกผมว่า ด้วยบุญบารมีของท่าน อยากสำเร็จชาตินี้ก็สามารถทำได้

    "ทำใมถึงหยุดปฏิบัติ?"

    ก็เพราะผมเป็นผมยังไงล่ะครับ
    อยากทำอะไรก็ทำๆไป
    เพราะชีวิตเป็นของเราๆเลือกเส้นทางเดินเองได้

    ผมก็เลยเลือกเดินเส้นทางที่ไม่มีใครเดิน
    ผมก็เลยเลือกเดินเส้นทางที่คนอื่นไม่กล้าเดิน

    ผมก็บอกเอาไว้แล้วไง เส้นทางเดินมีแค่

    พุทธภูมิเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
    ปัญเจกะ
    สาวกะอรหันต์

    ชาตินี้ไม่รู้ ชาติต่อๆไปก็จะรู้
    ชาตินี้ไม่ได้ ชาติต่อๆไปก็จะได้

    บอกให้ก็ได้ ฆราวาสนักปฏิบัตินั้น บางท่านญานหยั่งรู้ระดับพระอริยะเจ้าชั้นสูง
    รู้เหมือนกัน เห็นเหมือนกัน แต่ศีลต่างกัน แต่ความละเอียดต่างกัน เท่านั้นล่ะครับ

    เพราะ ภูมิรู้ และ ภูมิธรรม นั้นมันไม่เหมือนกันถึงได้แยกออกเป็นสองคำ

    ท่านที่มีภูมิรู้มาก แต่ภูมิธรรมน้อย ใช่ว่าจะไม่มี
    ท่านที่มีภูมิธรรมมาก แต่ภูมิรู้น้อย ใช่ว่าจะไม่มี

    ท่านที่เป็นฆราวาส แต่พระก็ไม่กล้าสอนท่าน ก็ใช่ว่าจะไม่มี

    หรือแม้แต่พระบางท่านไปใหนๆ ก็ไม่มีใครกล้าสอน บวชจนแก่จนเฒ่า จึงหาครูบาอาจารย์เจอก็มี

    หรือพระบางองค์บวชจนได้เป็นเจ้าอาวาส พอมาพบ พอมาเจอ องค์หลวงปู่ใหญ่ จึงได้ทราบว่า "ธรรมคืออะไร?" ก็ยังมี

    เรื่องธรรมนั้นแม้ผมจะรู้ว่า บอกไป เล่าไป ก็หาคนเข้าใจยาก

    เพราะหา คนผ่าน กำลังสติ กำลังสมาธิ เต็มเปี่ยม ยาก
    เพราะหา คนผ่าน การรู้ตัวทุกอิริยาบถ ยาก
    เพราะหา คนมีญานหยั่งรู้ ยาก

    แต่ผมก็หวังว่า ในหลายๆท่านที่เข้ามาอ่าน จะมีดวงตา เห็นธรรม เห็นทางว่า

    ลดกิจกรรมอื่นๆในชีวิตลงให้มากที่สุด เหลือแต่การสะสม กำลังสติ กำลังสมาธิ ให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

    แล้วค่อยก้าวไป ขั้น การรู้ตัวทุกอิริยาบถ
    แล้วค่อยก้าวไปหา ญานหยั่งรู้ แม้แค่

    รู้ถูก รู้ผิด
    รู้ดี รู้ชั่ว
    รู้บาป รู้บุญ
    รู้คุณ รู้โทษ

    รู้ได้แค่นี้ก็ดีเหลือหลายแล้ว

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  9. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    สอนธรรมกันแบบใหน? ฟังธรรมกันแบบใหน?

    ขออนุญาตครับ

    ผมเป็นคนตื่นแต่เช้า ตีสี่ ตีห้า เกือบตลอดชีวิต
    มีโอกาสดู เขาสอนธรรม ดูเขาฟังธรรม ในทีวีดาวเทียม

    ผู้สอนก็สอนไป ผู้ฟังก็ฟังกันไป บางครั้งมีการถาม-ตอบกันอีกต่างหาก

    ที่แปลกประหลาดก็คือว่า

    ผู้สอนผู้แสดงธรรม ก็สอนไปพูดไป ตาก็มองคนโน้น มองคนนี้
    ผู้ฟังธรรม ก็ฟังกันไปด้วยความศรัทธา ลึมตาแป๋ว มองคนสอน มองคนแสดงธรรม

    ช่างต่างกันไกลลิบ จากการสอนของฝ่ายธรรมยุติ
    ช่างต่างกันไกลลิบ จากการสอนของสายองค์หลวงปู่ใหญ่

    เพราะฝ่ายธรรมยุตินั้น ท่านจะสอนให้สะสมกำลังสติ ท่านจะสอนให้สะสมกำลังสมาธิ
    แล้วสอนให้ สำรวมระวัง ฝึกการรู้ตัวทุกอิริยาบถ และห้ามถามธรรมใดๆ ที่ตนยังไปไม่ถึง หรือยังไม่ได้เข้าใกล้ในระดับนั้นๆ

    ต่างจากการสอนธรรมที่เห็นกันทั่วๆไป ที่ไม่รู้ว่าใครปฏิบัติกันถึงใหน
    แต่คนสอนก็สอนได้ไปเรื่อยๆ คนฟังก็ฟังกันไปได้เรื่อยๆ

    แถมการถาม แถมการตอบ กลับถามกันไปไกล ตอบกันไปไกลลิบลับ จากภูมิรู้ จากภูมิธรรมของตน

    ผู้ปฏิบัติแบบเอาจริงแบบเอาจังนั้น เมื่อสะสมกำลังสติไป เมื่อสะสมกำลังสมาธิไป
    จิตจะเกิดความอดทนมากขึ้นๆ
    จิตจะเกิดความสงบมากขึ้นๆ
    จิตจะมีสติมากขึ้นๆ
    จิตจะลด จิตจะละ จิตจะเลิก ทั้งทางกาย
    จิตจะลด จิตจะละ จิตจะเลิก ทั้งทางวาจา
    จิตจะลด จิตจะละ จิตจะเลิก ทั้งทางใจ

    จิตจะขัด จิตจะเกลา เพื่อ

    เพิ่มบุญ
    เพิ่มวาสนา
    เพิ่มบารมี
    ปรับเปลี่ยน ทัศนคติ
    ปรับเปลี่ยน นิสสัย
    ค่อยๆแก้สันดาน ไปทีละเล็ก ไปทีละน้อย

    จนสามารถนำจิตของตนไปพิจารนา
    จนสามารถนำจิตของตนไปเปรียนเทียบกับ มงคล ๓๘ ประการ

    ว่าตนทำได้มากน้อยอย่างไร?

    แล้วปรับไปเรื่อย แล้วปรุงไปเรื่อย ดีขึ้นๆ ก้าวหน้าขึ้นๆ

    อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม

    ไปวัดก็แล้ว
    ไปทำบุญก็แล้ว
    ไปฟังธรรมก็แล้ว

    กำลังสติไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือ เพิ่มเพียงเล็กน้อย
    กำลังสมาธิไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือ เพิ่มเพียงเล็กน้อย

    บุญ วาสนา บารมี ไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือ เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
    ทัศนคติ จริต นิสสัย สันดาน ไม่ได้ปรับให้ดีขึ้น หรือ ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย

    ผมก็บอก ผมก็เตือนแล้วว่า
    การรู้ธรรมก็ดี
    การเห็นธรรมก็ดี
    การเกิดปัญญาก็ดี

    ถ้ากำลังสติไม่เต็มเปี่ยม
    ถ้ากำลังสมาธิไม่เต็มเปี่ยม
    ถ้าการสะสมการรู้ตัวทุกอิริยาบถไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

    ก็ไม่มีวันรู้ธรรม
    ก็ไม่มีวันเห็นธรรม
    ก็ไม่มีวันเกิดปัญญา

    เหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า

    "จิตเห็นจิต เป็นมรรค"

    เมื่อกำลังสติไม่พอ
    เมื่อกำลังสมาธิไม่พอ
    เมื่อการรู้ตัวทุกอิริยาบถไม่พอ

    แล้วจะเห็นจิต ได้อย่างไร?
    แล้วจะเป็นมรรค ได้อย่างไร?
    เพราะเมื่อจิตยังไม่เห็นจิต ก็ไม่เป็นมรรค
    เมื่อไม่เป็นมรรค ก็ไม่เห็นธรรม
    เมื่อไม่เป็นมรรค ก็ไม่รู้ธรรม

    เพราะเมื่อจิตเห็นจิต จึงจะเป็นมรรค
    เมื่อเป็นมรรค ก็จะเห็นธรรม
    เมื่อเป็นมรรค ก็จะรู้ธรรม
    เมื่อจิตเห็นจิต ก็จะเป็นมรรค ก็จะรู้ธรรม ก็จะเห็นธรรม

    ก็จะรู้ว่า

    รู้บาป รู้บุญ
    รู้คุณ รู้โทษ
    รู้ดี รู้ชั่ว
    รู้ถูก รู้ผิด
    รู้เหตุ รู้ผล
    รู้ผล รู้เหตุ

    นี่ไงที่เรียกว่า รู้ธรรม นี่ยังไงที่เรียกว่า เห็นธรรม
    นี่ยังไงที่เรียกว่า เกิดปัญญา

    เมื่อรู้ธรรม เมื่อเห็นธรรม เมื่อเกิดปัญญาแล้ว
    ก็ไม่ต้องไปถามใคร
    ก็ไม่ต้องไปฟังธรรมที่ใหนอีก
    ก็ไม่ต้องไปตามหาที่ใหนอีก

    เพราะทุกอย่างมีอยู่ในจิตของตนแล้ว

    ส่วนท่านที่จิตยังไม่เห็นจิต
    ส่วนท่านที่ยังไม่เป็นมรรค
    ทำใมไม่พากันเร่งปฏิบัติ

    หรือว่าจะไปปฏิบัติเอาในชาติหน้า หรือ ในชาติต่อๆไป

    ชาตินี้เขามาเตร็ดแตร่เล่นๆในเว็บพลังจิตไปก่อนก็แล้วกัน!!!???

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2015
  10. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ไม่เริ่มวันนี้ จะเริ่มวันใหน? ไม่เริ่มวิธีนี้ จะเริ่มวิธีใหน?

    ขออนุญาตครับ

    จะปฏิบัติธรรมก็ดี จะสร้างปัญญาก็ดี ก็ต้องเริ่มด้วยการสะสมกำลังสติ+การสะสมกำลังสมาธิทั้งสิ้น

    ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า "สมาธิ เป็นกำลังของทุกสิ่ง"

    หลายๆท่าน หลายๆกลุ่ม หลายๆพวก พากันศรัทธาในแนวทางต่างๆนาๆ

    ผมก็จะมีคำถามให้พิจารณาว่า

    1.ท่านที่เลื่อมใสในแนวทางสายจานบิน คลองสอง
    ผู้นำผิด ใยไม่ใช่ผู้ตามล้วนตามผิดทั้งหมด?

    2.ท่านที่เลื่อมใสในสาย มโนมยิทธิ
    อาจารย์ใหญ่ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านพาสอนอย่างนี้?
    เมื่อองค์หลวงปู่ปานองค์ท่านเป็นพระโพธิ์สัตว์ องค์หลวงปู่ใหญ่จึงไม่ได้รับท่านเป็นศิษย์ แต่ท่านเป็นศิษย์ของลูกศิษย์หลวงปู่ใหญ่อีกที?
    ฝึกมโนมยิทธิ เป็นการสะสมกำลังสติ+สะสมกำลังสมาธิ หรือ เป็นการใช้กำลังสติ+การใช้กำลังสมาธิ?
    ถ้าเป็นการใช้กำลังสติ+การใช้กำลังสมาธิ ออกไป แล้วการสะสมกำลังสติ+ การสะสมกำลังสมาธิ ใยไม่ใช่ เสียเวลามากกว่าเดิม ใยมิใช่ยากลำบากกว่าเดิม?

    3.ท่านที่เลื่อมใสในสาย จับภาพพระ+เอาจิตไปไว้ในพระนิพพาน

    ใยมิใช่การส่งจิตออกนอก สวนทางกับการสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่า

    "จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุหทัย?"

    4.ท่านที่เลื่อมใสในสาย สายมหาวิทยาลัยดังที่สอนปริญญาทางพระ

    องค์หลวงตามหาบัว ท่านเรียกว่า "มหาวิทยาลัยกิเลส"
    เมื่อเรียนไปแล้ว ยศฐาบันดาศักดิ์เพิ่มขึ้น
    เมื่อเรียนไปแล้ว กิเลสเพิ่มขึ้น
    ใยมิใช่ ทำให้ การลด การละ การเลิก กิเลส ยากยิ่งขึ้น ลำบากยิ่งขึ้น มากกว่าเดิม?

    5.แนวทางการปฏิบัตินั้น พระพุทธองค์ ได้ทรงสอน ได้ทรงนำพาปฏิบัติเอาไว้แล้วอย่างชัดเจนมิใช่หรือ?

    ขอให้คิด ขอให้พิจารณา ด้วยกำลังสติ ด้วยกำลังสมาธิ เท่าที่ท่านมี

    ท่านคิดได้เท่าไร? ท่านพิจารณาได้เท่าไร? ท่านจะเดินเส้นทางใหน?

    มันขึ้นอยู่กับ บุญ วาสนา บารมี สติ ปัญญา ทัศนคติ จริต นิสสัย สันดาน
    มันขึ้นอยู่กับ การลด การละ การเลิก ซึ่ง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ของแต่ละท่านเอง

    เส้นทางอันยาวไกล ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพระนิพพาน ใครสะสมมาได้เท่าไร?

    ทัศนคติ จริต นิสสัย สันดาน จะเป็นตัวบอกออกมาเอง?

    เส้นทางอันยาวไกล ตั้งแต่เริ่นต้นจนถึงพระนิพพาน ใครสะสมมาได้เท่าไร?

    เส้นทางที่ท่านเลือกเดิน จะเป็นตัวบอกออกมาเอง?

    ไม่ว่าท่านจะมี ทัศนคติ จริต นิสสัย สันดาน อย่างไร?
    ไม่ว่าท่านจะเลือก เดินเส้นทางใหน?

    ไม่ต้องไปโทษผู้อื่น
    เพราะมันเป็นเรื่องของแต่ละท่านเอง

    เพียงแต่ว่า ท่านมีความ กล้าหาญชาญชัย ที่จะเปลี่ยนแปลงมันหรือไม่?
    เพียงแต่ว่า ท่านมีความ กล้าหาญชาญชัย ที่จะเลือก เส้นทางที่ดีที่สุดถูกหรือไม่?

    เพราะไม่ว่าอย่างไร ก็เป็นเส้นทางที่ท่านเลือกเอง มิใช่หรือ?

    ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพระนิพพาน จะช้า จะเร็ว จะมาก จะน้อย

    บุญ วาสนา บารมี สติ ปัญญา ที่ได้สะสมมาแล้ว

    บวกกับความ กล้า กล้า กล้า กล้า กล้า

    ทั้งกล้าคิด ทั้งกล้าพิจารณา ทั้งกล้าเลือกเส้นทางเดิน ที่ดีที่สุด

    เมื่อไม่กล้าคิด เมื่อไม่กล้าพิจารณา เมื่อไม่กล้าเลือกเส้นทางใหม่ๆ

    ก็อย่าได้ไปโทษใคร เพราะเป็นบุพกรรมของแต่ละท่านเอง เพราะตัวท่านเองๆๆ

    ขอโมทนาบุญร่วมกับนักสู้ผู้กล้าทุกๆท่าน

    ขอโมทนาๆๆ

    ลุงมหา
     
  11. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    แนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง

    ขออนุญาตครับ

    แม้ว่าครูบาอาจารย์องค์ท่านได้ไปจนจบกิจแล้ว และ ยังมีอภิญญาณอีกมากหลาย
    องค์ท่านยังได้สรุปแนวทางเอาไว้สั้นๆ
    ให้พิจารนาว่า

    "การเพ่งจิตกับที่สงบ เป็นมรรค"
    "การเพ่งจิตเห็นกริยาของจิต เป็นความเพียร"
    "ผลเกิดจากความเพียรเพ่งดูจิต เป็น นิโรธ"
    "สติระลึกไปที่จิต จะรู้หมดทุกอย่างที่เกิดขึ้น"
    "สิ่งสำคัญที่สุดคือสติ ทันจิตหรือไม่"
    "สติทันจิตทุกขณะจิต เหตุเกิดของอวิชชาดับไป ในที่นี้เอง"

    ท่านที่ปฏิบัติได้ถูกทาง ย่อมสามารถพิจารนา ได้ตาม บุญ วาสนา บารมี ของท่าน

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2016
  12. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ขยายความต่อ

    ขออนุญาตอธิบายขยายความต่อครับ

    ''การเพ่งจิตกับที่สงบเป็นมรรค''

    นั่นแสดงว่า ท่านนักปฏิบัติสมาธิภาวนาที่เกิด

    ''ลมหายใจ''
    ''ความคิด''
    ''ความว่าง''

    เมื่อสติอยู่ที่ลมหายใจ ก็เป็นการสะสมกำลังสติ+เป็นการสะสมกำลังสมาธิ
    เมื่อสะสมกำลังสติ+กำลังสมาธิได้มากพอ จิตก็จะผ่านภวังค์ เข้าสู่สมาธิ
    เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิแล้ว ก็ให้สติอยู่ที่ลมหายใจต่อ เพื่อ สะสม กำลังสติ+กำลังสมาธิ ต่อไป

    อันนี้ล่ะที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า ''การเพ่งจิตกับที่สงบเป็นมรรค''

    เพราะ ''ความสงบ'' ที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า ก็คือ การที่จิตเป็น ก็คือ การที่จิตได้ผ่านภวังค์ แล้ว เข้าสู่ สมาธิ แล้วนั่นเอง

    เพราะ ความสงบ ก็คือ สมาธิ นั่นเอง

    ''การเพ่งจิตเห็นกริยาของจิตเป็นความเพียร''

    ก็คือเมื่อมีการสะสมกำลังสติ+สะสมกำลังสมาธิ จนเต็มเปี่ยมแล้ว จึงจะสามารถมีสติรู้เท่าทัน จนมองเห็น(รับรู้)การเกิดขึ้นของความคิด(กริยาของจิต)

    ขอเรียกด้วยภาษาธรรมทั่วๆไปว่า ''จิตเห็นจิต'' นี่ครูบาอาจารย์ท่านจึงจะเรียกว่า ''ความเพียร''

    ส่วนท่านที่ถามว่าตนนั่งปฏิบัติสมาธิภาวนาข้ามวันข้ามคืนนั้นเป็นความเพียรหรือไม่?

    ก็ต้องถามท่านกลับว่า ท่านเห็นจิตหรือไม่? ท่านเห็นกริยาของจิตหรือไม่?

    ถ้าท่านยังไม่เห็นจิต ถ้าท่านยังไม่เห็นกริยาของจิต ครูบาอาจารย์ท่านยังไม่เรียกว่าความเพียร

    เพราะมันเป็นแค่การสะสมกำลังสติ+การสะสมกำลังสมาธิเท่านั้น

    บางท่านบอกว่า ได้ฌานแล้ว แต่กลับ วิปัสสนา ไม่ได้
    นั่นแปลว่าท่านได้ฌานในรูปแบบของท่านเท่านั้น

    เพราะถ้าท่านได้ฌานแบบ เต็มกำลังสติ+ เต็มกำลังสมาธิแล้ว
    ท่านย่อมสามารถ มองเห็นจิต รับรู้การเกิดกริยาของจิต ได้เอง

    เพราะวิปัสสนาก็ดี เพราะการเกิดปัญญาก็ดี ล้วนเริ่มต้นด้วย การตามดู ตามรู้ ตามเห็น กริยาของจิตทั้งสิ้น

    เพราะเมื่อชำนาญมากๆ ก็จะสามารถ เห็นคำถาม แล้วจะเห็นคำตอบ ใหลตามมา ผุดขึ้นตามมาได้เอง

    นี่ใง วิปัสสนา นี่ใง ปัญญา

    ส่วนท่านที่ยังทำไม่ได้ ก็เพราะ กำลังสติ+กำลังสมาธิ ที่เรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า บุญ-บารมี ยังไม่พอ ก็ข้ามขั้นมาทำไม่ได้

    ก็ไม่ต้องไปตามหาครูบาอาจารย์ที่ใหนมาสอนวิปัสสนาให้
    เพราะเมื่อกำลังไม่พอ ก็ยกของหนักเกินกำลังของตนไม่ได้

    ยิ่งท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิด้วยแล้ว ยังเหลือหนทางอีกแสนยาวอีกแสนไกล จะเอาวิปัสสนาชาตินี้ไปทำอะไร?

    หรือจะเอาไปลาพุทธภูมิ???

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2016
  13. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ภิกษุหนุ่ม ผู้มีญานหยั่งรู้แบบสูงสุด

    ขออนุญาตครับ
    ผมได้รับการบอกเล่าจากหลวงตาที่บวชมานานบอกว่าท่านได้พบเจอครูบาอาจารย์แล้ว

    ท่านเป็นภิกษุหนุ่มอายุแค่สามสิบเศษๆ ใครติดต่อท่านได้ทางจิตท่านก็จะเมตตามาสอนธรรมให้
    ธรรมที่ท่านสอน แต่ละคนท่านจะสอนไม่เหมือนกัน สอนตามจริตของแต่ละคนกันเลย
    และมีคุณแม่ชี ที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆบ้านเกิดผม ได้รับเมตตาอบรมสั่งสอนมาแล้ว
    หลังจากรับการอบรมสั่งสอนจากท่านแล้ว จะก้าวหน้ารวดเร็วมาก

    ท่านยังบอกอีกว่าโยมว่างเมื่อไรมานะ

    ครูบาอาจารย์ท่านนี้มีนิสัยประหลาด ท่านจะไม่พูดคุยกับใครโดยไม่จำเป็น
    ท่านจะพูดคุยกับเฉพาะผู้ที่ท่านเห็นในญานของท่านเท่านั้น

    ในที่สุด ครูบาอาจารย์ผู้เก่งกาจสูงส่งระดับ สอนตามจริตสอนตามนิสัย ได้ปรากฏออกมาแล้ว

    สถานที่ๆท่านอยู่ก็ไม่ใช่ที่ใหน ภูลังกา ใกล้ๆแม่น้ำโขงนี่เอง

    ขอโมทนาบุญๆๆ

    ลุงมหา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2016
  14. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ปัญญา ปัญญา ปัญญา

    ขออนุญาตครับ
    ปัญญานั้นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ
    มีกำลังสติ+มีกำลังสมาธิ ครบถ้วนสมบูรณ์
    มีการรู้ตัวทุกอิริยาบถ ครบถ้วนสมบูรณ์
    มีการพิจารณา เห็นเหตุ รู้ผล เห็นผล รู้เหตุ อย่างเอกอุ

    อย่างเอกอุคืออะไรหรือ? คนที่ไม่เคยได้ปัญญาคงคาดคิดคำนวณไม่ได้
    แต่จากที่ฟังธรรมขององค์หลวงตามหาบัว องค์ท่านบอกเล่าว่า
    หลวงปู่มั่นเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ฉุดท่านออกมาจากสมาธิเพื่อจะได้เดินปัญญาซะที ด้วยการสอนสั่งว่า

    ''สมาธิเหมือนเนื้อติดฟัน การพิจารณด้านปัญญาต่างหากคือธรรมของจริง''

    องค์หลวงตาท่านจึงเริ่มเดินด้านปัญญา อย่างเอาเป็นเอาตาย ที่องค์ท่านเองบอกเล่าว่า

    ''เพลิดเพลินในปัญญา พิจารณาติดต่อกันหลายวัน ลืมแม้กระทั่งการขบการฉันท์''
    ''พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ฉันท์หลายวันแล้ว แถมยังต้องเดินข้ามเขาไปหลายลูกจึงจะมีชาวบ้านใส่บาตร''
    ''เดินไปพักไปจนหูอื้อตาลายด้วยความหิว''
    ''พอบิณฑบาตรมาได้ เดินพ้นบ้านคนมา ก็หลบฉันท์อยู่ตรงนั้นเอง ด้วยความหิว''

    จะเห็นว่าเมื่อเริ่มเดินปัญญา องค์หลวงตาท่านใช้เวลาไม่กี่ปีก็สำเร็จ
    เพราะเมื่อติดขัดอะไร องค์ท่านก็กลับไปถามหลวงปู่มั่น เพื่อแนะเพื่อแก้ให้

    การฝึกด้านปัญญาของฆราวาสนั้น แตกต่างจากของพระสงฆ์ เพราะฆราวาสนั้น
    เมื่อรักษาศีลขั้นละเอียด เมื่อฝึกจนได้ปัญญาจนชำนาญแล้ว
    ก็มักมีเหตุให้ลดระดับการถือศีลลง การปฏิบัติก็ย่อหย่นลงไป
    แต่ว่าปัญญาที่ฝึกฝนมาอย่างเอกอุติดต่อกันเกือบๆยี่สิบปี
    ก็ยังคงอยู่ไม่หนีหายไปใหน ที่ลดระดับอ่อนลงไปก็คือ อภิญญาญานเท่านั้น

    พวกฆราวาสก็มักจะเป็นอย่างนี้ เมื่อลดระดับลง เมื่อปฏิบัติย่อหย่นลง

    นี่กระมังที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า

    ''วิภวตัณหา'' ได้แล้วก็ปล่อยทิ้งไป ไม่สงวน ไม่รักษาเอาไว้
    ''วิภวตัณหา'' ไม่อยากได้ในสิ่งที่ตนได้แล้ว มีแล้ว

    และที่แตกต่างอย่างมากคือ ฆราวาสจะข้ามไปพิจารณาด้านปัญญา เรื่องเหตุ เรื่องผลกันเลย โดยไม่พิจารณา ''อศุภะ'' ก่อน

    นี่ไงมูลเหตุของผู้ปฏิบัติธรรม โดยไม่ละกิเลส
    เพราะพิจารณาเหตุและผล เพราะพิจารณาผลและเหตุ
    เห็นการเกิดดับเหมือนกัน เกิดปัญญาเหมือนกัน กิเลสเบาลง บางลงเหมือนกัน
    แต่กามกิเลสก็พร้อมจะกลับมาได้ทุกเมื่อ เพราะความไม่ชำนาญใน ''อศุภะกรรมฐาน''

    ก็นี่ละมูลเหตุที่ทำให้พระกลับมาเสพกามอีกทำให้เกิดปราชิกขึ้น

    เพื่อให้เข้าใจเรื่องปัญญา จึงขอนำคำสอนขององค์หลวงปู่มั่น มาบอกมาเล่าอีกที เผื่อจะมีคนเข้าใจ

    ''อ่านธรรม ศึกษาธรรม เหมือนน้ำในตุ่มในให''
    ''พิจารณาด้านปัญญาเหมือนน้ำในมหาสมุทร''

    น้ำในตุ่ม กับ น้ำในมหาสมุทร ใหนเลยจะนำมาเปรียบเทียบกันได้

    ขอโมทนาบุญๆๆ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2016
  15. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    คำสอนแรกครูบาอาจารย์

    ขออนุญาตครับ
    คำสอนแรกๆของครูบาอาจารย์ท่านนี้คือ
    'อย่าได้เที่ยวไปถกเถียงกับผู้ใดในเรื่องธรรม'
    'เพราะธรรมที่พวกคุณรู้มานั้นมันผิดทั้งหมด'
    'พระพุทธองค์นั้น พระองค์ทรงสอนธรรมที่เรียบๆง่ายๆ ใครฟังก็เข้าใจ เพียงแต่ต้องปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจังเท่านั้น'
    'พระธรรมที่เห็นอย่างมากมายนั้น พากันมาเขียนเอาทีหลังเมื่อไม่นานมานี้เอง'

    ครูบาอาจารย์ที่ท่านรับฟังมานั้น เพื่อนร่วมรุ่นท่านที่รับราชการปลดเกษียณกันจนหมดแล้ว
    และท่านก็เป็นพระธรรมยุติด้วยนะครับ

    ท่านยังเมตตาถามผมว่า 'ที่ไปตอบ ที่ไปพูดเรื่องธรรม ในเว็บไซด์นั้น
    มีการถกเถียงกัน ให้เป็นบาป ให้เป็นกรรม บ้างหรือเปล่า!'

    ผมก็เรียนท่านว่า 'ผมขอขมากรรมเอาไว้แล้วครับ'

    ลุงมหาขอขมากรรมเอาใว้อย่างไร ก็ให้ดูเป็นตัวอย่างได้ตามเว็บลิ้งค์ข้างล่าง

    http://palungjit.org/threads/สติดีดออกจากสมาธิ.253359/page-2#post3693147

    ส่วนท่านสมาชิกในเว็บนี้ไปสร้างเวร ไปสร้างกรรม อะไรใว้
    ก็ขอให้พิจารณากันเอาเอง ตัวใครตัวมันกันล่ะคราวนี้

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2016
  16. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ศีล สมาธิ ปัญญา & พราห์ม พิธีกรรม องค์เทพ

    ขออนุญาตครับ
    ถ้าเราปฏิบัติธรรมไปตามแนว ศีล สมาธิ ปัญญา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วก็ตาม
    แต่ในความเป็นจริงของโลกปัจจุบัน ก็ยังหาคนที่ได้อภิญญาญานในระดับที่สามารถช่วยตนเองและผู้อื่นได้ยากแสนยาก

    ดังนั้นจึงเป็นช่องว่างเปิดให้มีเรื่องพิธีกรรมและองค์เทพเข้ามาเกี่ยวข้อง
    บางท่านถึงกับโดดเข้าไปเรียนรู้ไสย์เวทย์เอง
    บางท่านถึงกับเข้าไปเป็นร่างทรงเอง

    ปัญหาก็คือว่า เราๆท่านๆต่างก็ไม่รู้ว่า ที่สุด ของ ที่สุดคืออะไร?

    ไปเรียนไสย์เวทย์ ก็ไม่รู้ว่าที่ตนได้มาคืออะไร? ตนอยู่ระดับใหน?
    ผลสุดท้ายก็ได้แค่ที่ครูบาอาจารย์กำหนดให้?

    ไปตำหนักทรง อยากได้อะไรก็ไปถาม? ติดขัดอะไรก็ไปขอ?
    โดยไม่รู้ว่า เจ้าเขารู้อยู่เป็นอย่างดี
    อยากได้อะไร เจ้าจะช่วย? อยากรู้อะไร เจ้าจะบอก?

    แต่ที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าคือ
    ข้อห้ามที่เจ้ากำหนดให้ทำนั้น แทบจะไม่มีใครทำได้?
    ข้อห้ามที่เจ้าห้ามทำนั้น ไม่รู้จะไปห้ามทำใม?

    และที่สำคัญที่ต้องระวังอย่างที่สุดก็คือ

    ''ถ้าหมดตัวเมื่อไร เจ้าจะช่วยให้กลับมารวยมากกว่าเดิม''

    อ้าวแล้วทำใมต้องรอให้จนก่อนถึงจะช่วย?

    ช่วยให้รวยยิ่งขึ้นๆไปเลยไม่ได้หรือ?

    แล้วถ้าเกิดจนแล้วจนเลยจะทำอย่างไร?

    ขอนำคำบอกเล่าของชาวพุทธในประเทศอินเดียมาบอกมาเล่ามาเตือนสติกันอีกที

    ''เมื่อก่อนนับถือศาสนาฮินดู ต้องเจอกับเรื่อง ''วรรณะ'' เรื่อง ''เทพ'' เรื่อง ''การบูชาเทพ''''
    ''จะไปใหน จะทำอะไรก็แสนจะลำบาก''
    ''พอมานับถือศาสนา''พุทธ'' เทพก็ไม่มี มีแต่พระพุทธเจ้า กับ พระสงฆ์''
    จะทำอะไรก็สะดวกขึ้นสบายขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่อง เทพ เรื่อง บูชาเทพ อีกต่อไป''

    ท่านที่ไปยุ่งเรื่องไสย์เวทย์ ท่านที่ไปยุ่งเรื่ององค์เทพ
    ก็ใช้สติปัญญาพิจารณาเอากันนะครับ

    ความพอดีอยู่ตรงใหน? ความสบายใจอยู่ตรงใหน?

    ชีวิตมนุษย์ที่ต่างก็เวียนว่ายตายเกิด ภพแล้วภพเล่า ชาติแล้วชาติเล่า
    จนไม่รู้ว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการสิ้นสุดแห่งทุกข์อันแสนยาวไกลนั้น

    ตอนนี้เราอยูตรงใหน?
    ก็พากันดูเอากันนะครับว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เราได้มาแล้วเท่าไร?
    ก็จะรู้ว่าเราอยู่ตรงใหน?

    อยากจะให้ชาวพุทธ ลด ละ เลิก ซึ่งการแต่งตัว ที่เกินความจำเป็น
    อยากจะให้ชาวพุทธ ลด ละ เลิก การดื่ม การทาน อาหารที่เอร็ด อร่อย ทานเท่าที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิต

    เคยคิดเคยฝันแค่ว่า ''ผู้หญิงเลิกใช้เครื่องสำอางค์''
    เคยคิดเคยฝันแค่ว่า ''ผู้ชายเลิกดื่มเหล้า เลิกดื่มเบียร์'' ประเทศชาติก็ดีเหลือหลายแล้ว

    แต่กลับต้องมาเจอคนไทยยุคใหม่ ที่คิดกันแต่จะหาเงินไปผ่าตัด ''เสริมสวย เสริมหล่อ'' คิดได้แค่นี้!!!

    ขอให้ข้อคิดแค่ว่า ใครไปแต่งงานกับสาวสวยหุ่นดี แต่งไปไม่ทันไร เจ้าหล่อนกลับมาอ้วนเป็นตุ่มอืก

    หรือใครไปแต่งงานกับสาวสวย หนุ่มหล่อ กลับต้องมา รักษาอาการแทรกซ้อน จากแผลที่ได้ไปผ่าตัดเอาไว้

    จะทำอย่างไรกันล่ะทีนี้!

    คนจะสร้างชาติ คนจะพัฒนาชาติ พากันทำงานแทบเป็นแทบตาย
    คนอยากให้ไปเป็นเหมือนเก่า คนอยากให้ไปเลวร้ายกว่าเก่า กลับนั่งรอจังหวะสบายๆ

    ประเทศไทยหนอ ทำอย่างไรจะดีกว่าเก่าได้

    ขอโมทนาบุญ ร่วมกับผู้คิดจะพัฒนาตน ร่วมกับผู้คิดจะพัฒนาชาติทุกๆท่าน

    ลุงมหา
     
  17. twojit

    twojit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2010
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +239
    ผู้รู้เยอะแยะจริง ๆ ควรจะอ้างอิง จากผู้รู้ หรือ กฏธรรมชาติ สัจธรรมสูงสุด ตามกระบวนคิดเพื่อหาคำตอบ มันจะได้ดูน่าอ่านน่าเชื่อ อยากเห็นกระทู้เช่นนั้น ครับ
     
  18. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ข้อเขียนของผมสมบูรณ์ในตัวมันเองอยู่แล้ว

    ขออนุญาตครับ

    ข้อเขียนของผมสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
    ไม่ต้องไปอ้างอิงที่ใหนอีก

    เพราะ''ธรรม'' นั้น ''รู้ได้ เห็นได้ เข้าใจได้'' ต้องมี ''ปัญญา'' มารองรับ

    แค่อ่านหนังสือออก ''จะรู้ จะเห็น จะเข้าใจ'' ได้อย่างไร?
    แล้วจะอ้าง แล้วจะอิง กับ อะไร?
    แล้วจะอ้าง แล้วจะอิง ไป ทำไม!

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  19. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    สติ-ปัญญา ธรรม กิเลส

    ขออนุญาตครับ

    มนุษย์ในโลกปัจจุบันถือได้ว่าเป็นยุคที่เหมาะสมที่สุดแล้ว สำหรับการสร้างบุญ-บารมี
    เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

    เพียงแต่ว่าต้องมีสติปัญญาพิจารนาว่า อะไรจะเก็บเอาไว้ อะไรจะตัดออก
    สำหรับท่านที่เคยไปปฏิบัติรักษาศีลเจริญสมาธิภาวนาบ่อยๆ ก็จะรู้ ก็จะเห็น ก็จะเข้าใจได้มากขึ้นๆ

    ว่าตัวเราจะรักษาอะไรเอาไว้ ว่าตัวเราจะตัดอะไรออก

    เมื่อรักษาศีลไป เจริญภาวนาไป ก็จะสะสมกำลังสติ ก็จะสะสมกำลังสมาธิไป
    จิตที่ละเอียดขึ้นๆ ก็จะสามารถมองเห็นศีล ได้ละเอียดขึ้นๆ
    จิตที่ละเอียดขึ้นๆ ก็จะสามารถมองเห็นธรรม ได้ละเอียดขึ้นๆ
    จิตที่ละเอียดขึ้นๆ ก็จะสามารถมองเห็นกิเลส ได้ละเอียดขึ้นๆ

    ศีล ธรรม กิเลส จะมองเห็นอย่างไร?
    ศีล ธรรม กิเลส จะพิจารนาได้อย่างไร?

    ศีล ก็เริ่มที่ ศีล ๕ พัฒนามาเป็น ศีล ๘ ขยายไปสู่ กุศลกรรมบท ๑๐ (กาย ๓ วจี ๔ มโน ๓)

    ธรรม สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็คือ การ ระลึกรู้ซึ่ง ลมหายใจ เข้า ออก

    กิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็คือ ความฟุ้งซ่านของความคิด

    เพราะผู้ปฏิบัติใหม่ๆที่กำลังสติ กำลังสมาธิยังอ่อนอยู่ ก็จะเกิดกิเลสเข้ามาแทรกได้ง่าย
    ซึ่งกิเลสที่เข้ามาแทรกนี้ ก็คือ ความคิดฟุ้งซ่าน นั่นเอง

    เมื่อปฏิบัติไปสะสมกำลังสติไป สะสมกำลังสมาธิไป เมื่อสติกล้าแข็งขึ้น เมื่อสมาธิกล้าแข็งขึ้น
    กิเลส ซึ่งก็คือ ความคิดฟุ้งซ่าน ก็จะลดลงไป เพราะถูกแทนที่ด้วยธรรม ซึ่งก็คือ การระลึกรู้ถึงลมหายใจ เข้า ออก

    การระลึกถึงด้านปัญญาเบื้องต้น ก็คือ การตามดู การตามรู้ การตามเห็น ความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปว่า
    ความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปนั้น อันใหนถูก อันใหนผิด โดยการนำมาเปรียบเทียบกับ

    ศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบท ๑๐

    ความคิดที่ฟุ้งออกไป แล้ว ตามดู ตามรู้ ตามเห็น อันใหนถูกต้องตาม ศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบท ๑๐ เราก็เรียกว่า สิ่งนั้นๆ เป็น ''กุศล'' ซึ่งก็คือ ''ความดี'' นั่นเอง

    ความคิดที่ฟุ้งออกไป แล้ว ตามดู ตามรู้ ตามเห็น อันใหนผิดจาก ศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบท ๑๐ อันนั้นเรียกว่า ''อกุศล'' ซึ่งก็คือ ''ความชั่ว''

    ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติจนชำนาญ ก็จะสามารถพิจารนาสิ่งที่เกิดรอบๆตัวเราได้ว่า

    สิ่งใหนเป็น ''ความดี'' หรือ ''กุศล''
    สิ่งใหนเป็น ''ความเลว'' หรือ ''อกุศล''

    เมื่อปฏิบัติได้ชำนาญมากขึ้นๆ การสะสมกำลังสติ การสะสมกำลังสมาธิ ก็จะมากขึ้นๆ

    จนนำไปสู่การมีกำลังสติ การมีกำลังสมาธิ เต็มเปี่ยม
    จนนำไปสู่ ''การรู้ตัวทุกอิริยาบท''

    เมื่อได้พิจารนา สิ่งใหนดี สิ่งใหนเลว มากขึ้นๆ ก็จะนำไปสู่การ รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด

    เมื่อชำนาญมากๆก็สามารถ พิจารนาได้ว่า ที่พากันเขียนข้อความเรื่องราวต่างๆในเว็บนี้นั้น

    อะไรถูก อะไรผิด ที่ถูกมีมากน้อยเท่าไร? ที่ผิดมีมากน้อยเท่าไร?
    ก็จะพิจารนาได้ว่า ผู้เขียนข้อความเรื่องราวต่างๆนั้น ท่านมีภูมิรู้อยู่เท่าไร? ท่านมีภูมิธรรมอยู่เท่าไร?

    ท่านสมควรจะสร้างกุศลผลบุญ ด้วยการ แนะนำช่วยเหลือผู้อื่น
    หรือท่านต้องไปฝึกฝนอบรมตนเองก่อน

    เห็นหรือยังครับว่า ความคิดที่ฟุ้งออกไปนั้น ถ้า ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ก็เป็น ธรรม เป็น กุศล
    เห็นหรือยังครับว่า ความคิดที่ฟุ้งออกไปนั้น ถ้าปล่อยให้มันเลื่อนลอยออกไปๆ ก็เป็น กิเลส เป็นอกุศล

    มันอยู่ที่ว่า ท่านมีกำลังสติ ท่านมีกำลังสมาธิ เพียงพอ ที่จะตามดู ตามรู้ ตามเห็น หรือไม่?

    พิจารนาดูกันนะครับว่า ข้อความที่ท่านเขียน เรื่องราวที่ท่านเขียน มันถูก ศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบท ๑๐ หรือ ไม่

    แล้วท่านก็จะรู้ว่า ตัวท่านเอง มีกุศลจิต หรือมีอกุศลจิต มากน้อยอย่างไร?

    ชีวิตคนเรานี้มันสั้นยิ่งนัก อันใหนสมควรคิด อันใหนสมควรทำ อันใหนไม่สมควรคิด อันใหนไม่สมควรทำ

    อันใหนสมควรอ่าน อันใหนไม่สมควรอ่าน อันใหนสมควรเขียน อันใหนไม่สมควรเขียน

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  20. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    แล้วผมก็เข้าใจ!!!!!

    ขออนุญาตครับ
    ผมตื่นตอนตี๕ จึงเปิดสถานนีวิทยุรัฐสภา ฟังรายการธรรม ของมูลนิธิหนึ่ง
    พอฟังมาถึง ผู้แสดงธรรมบอกเล่าว่า

    ''ก่อนการปฏิบัติ ต้องเรียนรู้ธรรมให้เข้าใจก่อน''

    ผมถึงแจ้งกระจ่างว่า ท่านผู้นี้ที่แสดงธรรมออกมามากมายนั้น ที่แท้เป็น ''ธรรมแบบสัญญาความจำ''จริงๆ

    ท่านผู้ใดจะเลื่อมใสติดตามต่อก็ตามใจ แต่ผมจะเตือนสติว่า

    1.การเรียนรู้พระธรรมและจดจำรายละเอียดมากมายนั้น ถูกต้องแน่หรือ ทำใมมันตรงข้ามกับการสอนของครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติ
    ที่แม้แต่องค์หลวงตามหาบัว ท่านก็เรียก มหาวิทยาลัยพระว่าเป็น ''มหาวิทยาลัยกิเลส''
    2.จะแสดงธรรมทั้งที ทำใมถึงยังใส่ชุดดำ
    3.เป็นสตรี ทำใมกล้าหาญ สอนธรรมพระสงฆ์ได้
    4.ต่อพระสงฆ์ทำใมเรียกตัวเองว่า ''อาจารย์'' ในเมื่อพระธรรมวินัยระบุอย่างชัดเจนว่า

    ''ภิกษุณี ต่อให้บวช ๑๐๐ ปี ก็ไม่อาจสอนพระภิกษุบวชใหม่แค่วันเดียวได้''

    ท่านผู้ใดจะเดินตามเส้นทางสายนี้ก็ขอให้พิจารนาให้ดี ว่ามันคุ้มใหม

    เกิดเป็นชาวพุทธทั้งที แค่จะเอาธรรมสัญญาความจำมาสะสมใว้ในจิต มาสะสมใว้ในใจ
    เกิดเป็นชาวพุทธทั้งที แค่จะเอาธรรมสัญญาความจำใว้โอ้ใว้อวดเขาเท่านั้นหรือ

    ขอสกิดเตือนใจอีกข้อ ครูบาอาจารย์ท่านบอกท่านสอนว่า ''รู้มากไป ปฏิบัติไม่ได้''
    แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีพระใบลานเปล่า จนต้อง ให้สามเณรอรหันต์มาสอนมาแก้จริตให้

    ใครมีบุญ วาสนา บารมีบ้าง คงรู้คงเข้าใจ
    ส่วนใครมีบุญ วานา บารมีน้อยเกินไป ก็คงเดินตามทางเดิมต่อไปๆๆ

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

    พระธรรมก็ดี ผู้ปฏิบัติธรรมก็ดี มีความสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเอง จนไม่อาจโต้แย้งใดๆได้!!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...