พบพระพุทธองค์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Dragon new, 18 สิงหาคม 2016.

  1. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ผมอยากสอบถามว่าผู้ที่ได้พบหรือได้คุยกับพระพุทธองค์ทางจิตนั้น
    ผู้นั้นได้พบและคุยกับพระพุทธองค์จริงๆหรือจิตของผู้นั้นมโนขึ้นมาเองครับ

    ผมขอทราบความเห็นแต่ละท่านด้วยครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  2. hydraxis

    hydraxis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +529
    ปัจจัตตัง แต่ของจริงพระพุทธองค์ก็ช่วยทุกคนถ้าเข้าถึงหรือมีวาสนาต่อพระพุทธองค์
     
  3. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    ..ผมศรัทธา ในคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า ธรรมะทำไม อัศจรรย์ หาอะไรในโลกมาเปรียบไม่ได้เลย เป็นสจัจะ ที่ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

    ..ส่วนตัวผมก็ชอบทำสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน มีความสนใจ

    แต่เกิดมาแล้วบนโลก ผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ มีการใช้ชีวิตแบบผิดพลาด บ่อยครั้ง

    จนรู้สึกว่า ตัวเรา คงไม่มีวสานา จะได้ไปในนิพาาน ในชาตินี้ หรือไม่ก็อาจจะลงอเวจี

    มหานรกๆไป

    แต่ก็ฝืนทำไปเรื่อยๆ ฝืนต่อความรู้สึกใฝ่ต่ำ แต่ก็ทำมาตลจุดมุ่งหมายของการ"ทำสมาาธิของข้าพเจ้าคือ จิตสงบ และเกิดปัญญารอบรู้" ใจจริงคิดว่า ไม่อยากเกิด อยากไปนิพพาน คงจะมีความสุข หมดทุกข์สิ้นทุกข์

    ..มีวันหนึ่ง ทำสมาธิ ชำระจิตใจได้สะอาด สมาธิดีมีความสงบระงับ

    อยู่ๆ ก็นิมิต เห็นพระพุทธเจ้า พอเห็นท่าน ท่านก็ ตรัส สั้นๆ กับผมว่า

    "ไปได้ ไห้หมั่น ฝึกฝน"

    คำแบบนี้ ไม่เคยอยู่ในหัว ในมโน มาก่อน!
     
  4. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,111
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ธรรมเห็นแจ้งสูงสุด เห็นชีวิตทุกสิ่งในจักรยาน
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    จิตมันมโน มันมโนได้สารพัดเรื่อง รวบรวมตัวอย่างไว้ สารพัดจริงๆ

    อารมณ์ซึ่งเกิดจากภาคปฏิบัติ - กรรมฐาน - Wunjun Group
     
  6. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    คุณมาจากดินครับ
    ผมขอรบกวนถามอีกหน่อยว่า แล้วคนที่จิตสัมผัสหรือได้ไปพบเจอพูดคุยกับพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วนี่ ทางจิตสัมผัส หรือในฝันก็ตาม เขาพบเจอจริงหรือล้วนเกิดจากการมโนของเขาทั้งหมดครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ต่อจะให้เห็น ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพไม่ว่าองค์ไหนก็ตาม
    ด้วยตาเปล่าๆ เหมือนเรามองเห็นคนปกติทั่วไป
    ก็ไปยึดถืออะไรไม่ได้ครับ..
    จะรับรู้ได้ หรือ ไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญครับ
    ให้เฉยๆ ไม่ต้องไปอะไรกับอะไร กับสิ่งที่เห็น
    มากกว่าสิ่งที่เห็นนั้นบอกวัตถุประสงค์อะไร
    เราถึงเห็นได้ครับ
    หรือไม่เห็นได้..มันบอกวัตถุประสงค์อะไร..
    ปล.นี่พูดแบบเห็นแบบลืมตาปกตินะครับ..
    แบบหลับตาเห็นก็สุดแล้วแต่จะพิจารณาครับ..
    พอคุ้นๆไหมครับ ที่ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพองค์ปัจจุบัน
    ท่านกล่าวกับพระสงฆ์ใกล้ชิดท่านว่า หากว่า
    เราปรินิพพานไปแล้ว ในระหว่างทางนี้
    แม้ว่าเธอจักเห็น บุคคลเหมือนเราในระหว่างทาง
    เธอก็ไม่ควรยึด.ท่านกล่าวช่วงประมาณ
    ก่อนที่ท่านจะเสด็จปรินิพพาน.ประมาณนี้ครับ
     
  8. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    จิตที่เป็นฝ่ายมิจฉา และฝ่ายสัมมา จะมองคนละด้านกันครับ
     
  9. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    หากผมพบพระพุทธองค์ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ผมกราบท่านก่อนล่ะ จะถูกหลอกย่อมไม่ใช่ประเด็น

    ประเด็นมันอยุ่ตรงที่ว่า เราเลื่อมใสท่าน เราเคารพท่าน แค่ได้เห็น ก็ชื่นใจแล้วครับ ไม่ต้องไปคิดอะไรมากมาย
     
  10. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    จิตที่เป็นฝ่ายมิจฉา และฝ่ายสัมมา จะมองคนละด้านกันครับ
    หมายความว่าอย่างไงหรอครับ อธิบายหน่อยสิ
     
  11. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    เป็นจิตที่ขาดความเคารพในคุณพระศรีรัตนตรัย
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    มีโอกาสว่างๆไปฟัง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ค้นใน Google ได้ครับ
    ตอนที่ชื่อว่า ผีหลอกในสมาธิครับ...
    พวกนี้สำคัญมากนะครับ
    เพราะมันขึ้นอยู่กับกำลังสติทางธรรม
    ที่เราสร้างจากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ของเราด้วยครับ ที่จะเป็นตัวบอกว่า
    สิ่งที่เราเห็น แม้ว่าเราเห็นได้จริง
    แต่สิ่งที่เราเห็นใช่ว่าจะจริงนะครับ
    (ส่วนตัวถึงได้ย้ำว่า
    แม้คุณจะมองเห็นด้วยตาเปล่าๆคุณ
    ก็ไม่สามารถที่จะไปยึดได้ครับ..
    เพราะจริงๆแล้วการที่เราจะเห็นได้นะครับเกิดจากองค์ประกอบ
    คือ ๑.ตัวจิตเราส่งตัววิญญานการรับรู้เราออกไป
    และสร้างร่วมกับสัญญาความจำได้ในจิตเราจึงเรียก
    ถูกว่าอะไร ซึ่งอาจจะ
    เป็นสัญญาในชาตินี้ หรือในอดีตชาติ หรือเป็นสัญญา
    การปรุงแต่งจากกิเลสในใจเรา ที่ตัวจิตเค้ายกขึ้นมาเอง
    เพื่อให้เป็นไปตามกิเลสที่เราปรุงโดยไม่รู้ตัวได้ครับ
    หรือ ๒.เกิดจากภายนอกส่งเข้ามาแล้วเราดึงเข้ามาร่วม
    และ ๓.เกิดจากทั้งภายในและภายนอกร่วมกันครับ)

    พวกนี้ ดวงจิตภายนอกก็สามารถมองเห็นกิเลสตัวนี้
    ของเราได้เช่น กันจึงแสดงเป็นอะไรที่ เราเคารพ เราชอบ
    เนื่องจากเค้าก็ดูจิตเราออก...

    ทีนี้ เมื่อเราเผลอไปยึดนะครับ
    ไม่ว่า จะเป็นสิ่งที่เราชอบ
    หรือไม่ชอบ หรือเป็นสิ่งที่เราเคารพ
    หรือเป็นสิ่งที่เราไม่เคารพ
    เมื่อเรายึดเข้ามา มันก็จะกลายมาเป็น
    ตัวขวางการพัฒนาระดับสมาธิ
    และกำลังสติทางธรรมของเรา
    ที่จะทำให้เราเข้าใจในเรื่องนามธรรมต่างๆ
    อย่าลืมว่า นามธรรม รวมทั้งกิเลส โทสะ โมหะ
    โลภะ ในจิตเราที่มันไปยึด เอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว
    ภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    เข้ามาจนกลายเป็นตัวเองด้วยนะครับ
    กำลังสติทางธรรมสำคัญมากนะครับ
    ที่จะทำให้เรารู้เท่าทันตรงนี้ครับ..
    ยึดไปยึดมากลายเป็นสะกดจิตตัวเอง
    กลายเป็นร่างทรง เป็นท่านโน้นนี่นั้น
    ไปเรื่อยเปื่อยนั่นหละครับ

    และถ้าเรามีกำลังสติทางธรรมที่มากพอนะครับ
    และเรารักษาระยะเวลาในการเห็นได้ไปอีกซัก
    ระยะหนึ่งก่อนครับ เราจะเข้าใจได้เองครับ
    สำคัญว่า บางคนเห็นแค่ไม่กี่วินาที เห็นแค่แว๊บๆ
    เห็นในนิมิต เห็นตอนหลับตา เห็นตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น
    ยังยึดเป็นจริงๆเป็นจัง ขนาดเห็นด้วยตาเปล่าๆ
    ให้เห็น ๕ นาที ๑๐ นาทียังยึดไม่ได้
    เพราะสิ่งที่เห็นไม่สามารถจะคงอยู่ได้ตลอดเข้าใจนะครับ
    และอย่าพึ่งไปด่วนตัดสินใจว่า
    เชื่อหรือไม่เชื่อ หรือไปยึดเลยว่าใช่ หรือยึดว่า
    ไม่ใช่ มันไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนานะครับ
    เพราะไม่งั้นเราจะกลายเป็นพวกที่ชอบเอาพุทธศาสนา
    มาอ้างไว้ยกตนเอง ไว้ข่มคนอื่น เป็นเหลือบของพุทธศานา
    โดยที่เราไม่รู้ตัวครับ
    ศาสนาพุทธ เป็นไปเพื่อการ ละ การคลาย
    การไม่ยึด ไม่ติด.อย่าลืมประเด็นสำคัญ.นะครับ
    ถ้าหากว่าแม้แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม
    ที่ไม่ร่างกายแล้ว ไม่มีธาตุขันธ์ดำรงอยู่แล้ว
    เรายังยึดติด
    เป็นจริงเป็นจัง
    แล้วที่รูปธรรมปัจจุบันที่เรามองกันเห็นๆ
    เช่นร่างกายนี้.ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้
    เมื่อไรเราจะ ละ จะคลายได้ซักทีหละครับ
    เข้าใจประเด็นนี้นะครับ


    พยายามอย่ากระทำตัวเป็นบุคคลที่
    ชอบอ้างว่าตนเองเป็นพุทธศาสนา พูดแต่เรื่องปัญญาระดับสูงๆ
    อ้างตนว่าเป็นพวกเคารพพระรัตนตรัยอย่างลึกซึ่ง
    แต่เที่ยวไปกล่าวหาคนอื่นๆ
    ที่คิดไม่เหมือนตนไปทั่ว โดยขาดเหตุและผล
    ..ยึดว่าต้องทำแบบตนเองคือการเคารพ
    พระรัตนตรัย.ต้องคิดแบบตนเองเท่านั้น

    ก็แม้ตัวเองยังยึดสิ่งที่ตัวเองเชื่อ
    โดยขาดสติ ขาดการพิจารณา
    ยังจะมีหน้า มาพูดเรื่อง เคารพพระรัตนตรัยให้ชาวโลกได้รับรู้..
    และก็สอนอะไร มีแต่เรื่องนามธรรม
    สอนแนะให้คนยึดติดแต่ในนามธรรม
    อย่างนี้มันเป็นการ เคารพตรงไหน???

    (การเคารพจริงๆ ไม่ต้องมาเป่าประกาศ ให้คนอื่นๆรับรู้หรอกครับ
    การเคารพ มันเป็นการเคารพในใจตนเองลึกๆ.
    เหมือนคุณ เคารพบิดามารดาคุณ คุณมาบอกคนอื่นๆว่าเคารพ
    แต่นั้นมันเป็นแค่ ภาษาทางโลกที่สมมุติมาเพื่อให้คนอื่นๆ
    เข้าใจว่าเคารพ แต่ความเคารพลึกๆในใจคุณเอง
    คุณจะไปอธิบายให้คนอื่นๆเข้าใจ อย่างที่ตัวจิต
    คุณรับรู้ได้อย่างไร และคุณจะไปกล่าวหา
    คนอื่นๆที่ไม่เคยมาเป่าประกาศให้ชาวโลก
    เค้ารับรู้ว่าตัวเองเคารพพระรัตนตรัยเพียงแค่
    เค้าไม่พูดเหมือนคุณ เค้าไม่ได้ทำเหมือนคุณก็ไม่ได้
    เข้าใจที่พูดนะครับ เพราะเรื่องแบบนี้
    มันอยู่ในใจตนเองครับ)

    ส่วนเรื่องการเห็นสิ่งต่างๆที่เป็นนามธรรม
    หรือการเห็นนามธรรมแบบชั่วคราว
    แม้จะเห็นด้วยตาเปล่าๆ. ถ้าเราสังเกตุ
    จะพบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดเวลา
    ไม่สามารถรักษาให้เป็นดังใจเราได้ ก็เพราะเป็นนามธรรม
    เราจะไปยึดเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไรครับ
    เหมือนคุณบอกว่า ผีมีจริงๆเพราะคุณเคยเห็น
    คุณก็เชื่อว่ามีจริง แต่คนไม่เคยเห็นก็ไม่เชื่อ
    และอย่าลืมว่า แม้จะเชื่อว่ามีจริงคุณก็ยึด
    และที่เค้าไม่เชื่อว่าไม่มีจริง ก็ยึดว่าไม่มีจริงนั่นหละครับ
    พอเข้าใจที่สื่อนะครับ มีต่อครับ

     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    มาต่อครับ เพราะไม่มีใครที่จะมีความสามารถ จะทำให้นามธรรม
    ปรากฏ คงอยู่ และรักษาสภาพ
    ไว้ตลอดได้เวลาครับ.ดังนั้นเราจึงยึดไม่ได้ครับ...
    แต่ถ้าคุณเคารพได้ ก็ควรเป็นความเคารพ
    แต่ไม่ยึดติดครับ เพราะถ้าคุณยึด คุณจะมองว่า
    สิ่งที่คุณยึดถูกต้อง และใครเห็นต่างกับคุณ
    จะผิดทันที นึกออกไหมครับ...
    ยกตัวอย่าง คุณมองเก้าตัวหนึ่ง คุณยึดว่าเป็นไม้สัก
    ถ้ามีคนมาบอกว่าไม่ใช่ คุณก็จะมองเค้าว่าผิดทันที
    นึกออกไหมครับ จนบางครั้งทำให้เราลืมมองเรื่อง
    เหตุเรื่องผล เพราะการยึดมันจะปิดบังจิตเราให้มืดบอดครับ
    มันจะเป็นการปิดกั้นตัวเราเอง ก็คือปิดกั้นใจเรานั่นหละครับ

    .
    ลองคิดกันดูนะครับขนาด แม้แต่ พระพุทธเจ้าเอง
    ท่านยังบอกไม่ให้ยึดตัวท่าน ท่านบอกยังไม่ให้เชื่อ
    ในสิ่งที่ท่านแนะท่านกล่าว
    แต่ท่านให้ลองปฏิบัติดูก่อน
    ตามธรรมะของท่าน..

    แต่เราเองปากก็อ้างว่า
    ตัวเองเป็นพุทธ คิดว่าตัวเป็นพวกมีปัญญาสูงส่ง
    คิดว่าตัวเองเป็นพวกโลกุตระ
    คิดว่าตัวเองเป็นพวกเคารพพระรัตนตรัย


    แต่พฤติกรรมทางจิตตนเอง
    ก็ยังยึดในสิ่งที่เห็น ทั้งแนะทั้งสอน
    ในสิ่งที่ไมเป็นเพื่อการ ละ การคลาย
    มีแต่สอนให้ยึดมั่นถือมั่น
    โดยขาดการใช้สติทางธรรม
    ขาดการใช้ปัญญาในการพิจารณา
    แต่ก็เข้าใจว่าตนเองปัญญาสุงส่ง
    คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆอยู่นั่นหละ
    อย่างนี้ ให้ท่านพิจารณา
    เอาเองนะครับ ว่าอะไรเป็นมิจฉาทิฐิ หรือ อะไรเป็นโลกุตระ
    โลกุตระ คือ การปล่อยวาง ไม่ยึดติดครับ
    มิจฉาก็อย่างที่รู้ๆ...
    การที่ยังพยายาม มาแนะให้ยึดนามธรรมต่างๆ
    ว่าเป็นจริงเป็นจัง เป็นรูปธรรมอยู่
    ท่านคิดได้หรือยังครับ...ว่าเป็นมิจฉาหรือโลกุตระครับ




    ผีมีฤิทธิ์แค่เพียงเล็กน้อย จะแปลงเป็นอะไรให้
    เราเห็นได้หมดนั่นหละครับ เพราะเค้ารู้ว่า
    กิเลสในใจเรามันเป็นอย่างไร..


    อย่าลืมว่า การยึดติดกับเรื่องจิตวิญญาน
    มันเป็นหนึ่งที่ทำให้เราต้องมาเวียนวายตายเกิดนะครับ
    นอกจากการยึดติดร่างกายตนเอง..

    นักปฏิบัติบางคน ขาดการสร้างสติทางธรรม
    จนแยกแยะดีชั่ว ดำขาวไม่ออก
    มีความยึดติด มาบังทำให้จิตใจมืดบอด
    จนลืมไปว่า สิ่งที่ตนเองยึด มันทำให้จิต
    ไม่ละ ไม่คลาย ไม่เป็นไปเพื่อการไม่มี

    จริงอยู่การไปเห็นนามธรรมภายนอก
    บางครั้งมันดูเหมือนไม่ยึด
    แต่มันเป็นกิเลสธรรมอย่างหนึ่งนะครับ
    มันจะทำให้เราไม่สนใจเรื่องการเจริญสติ
    การเดินปัญญาเพื่อลด ละ กิเลสในใจตนเองครับ
    แต่จะหันไปปฏิบัติ เพื่อ การสร้าง การเพิ่มพูน
    การพอกพูน สิ่งๆต่างๆที่ไปหนุน
    ตัว โทสะ โมหะ โลภะ ทำให้ยึดเอา
    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ จนกลายมาเป็น
    กิเลสอย่างไม่รู้ตัว...
    แต่แม้ว่าจะยึดแบบไม่รู้ตัว
    แต่ปากก็จะบอกว่าตนเองไม่ยึดนั่นหละครับ (^_^)
    ไม่ยึดหรอกครับ เห็นมาพอสมควรครับ
    แต่ผ่านมาสิบยี่สิบปี ไม่เคยลืมเลยนะครับ
    เล่าได้เป็นฉากๆ มีความประทับใจเหมือน
    เรื่องที่ตนเองเล่า ได้รับรางวัลเรื่องเล่าแห่งสยามประเทศ..
    เรื่องที่เอามาพูดไม่ได้ก่อประโยชน์ทางธรรมอะไรหรอกครับ
    มีแต่พูดเพื่อยก เพื่อเสริมตัวเองให้ดูดี เสริมการอยากได้รับ
    การยอมรับทางสังคม ให้ตัวเองดูว่าเก่ง กว่าใครเค้า..
    พยายามแทรกพยายามพูดอะไร
    ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งส่วนรวม
    พยายามที่จะยกตน ข่มท่าน กล่าวหาต่างๆ
    จากเรื่องเล่ารางวัลชาวสยามที่ตนเองยึดติดในนิมิต
    เพื่อที่สุดก็เพื่อจะยกว่าสิ่งที่ตนเองยึดถูกต้องที่สุด
    และว่าต้องใช่แบบที่ตนเองเป็น
    และที่สำคัญปากก็จะบอกอีกว่าไม่ได้ยึด
    จนกลายเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว
    ของผู้ที่คิดหลงตัวเองว่าตน
    เป็นเอกบุรุษทั้งหลายนั่นหละครับ..
    ทั้งๆที่มหาบุรุษผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพ
    เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ไม่ยึด
    ลองพิจารณากันเองนะครับ..(^_^)
     
  14. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ผีหลอกในสมาธิของหลวงพ่อพุธหรอครับ คือหาไม่เจออะครับ
    เจอแต่ชื่ออื่นอะครับ จำชื่อผิดรึเปล่า
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    แป๊บ เด่วหาให้เลยแล้วกัน
    มีสมาชิกนำมาลงในพลังจิตนี่หละ..ซักครู่(^_^)
     
  16. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    [​IMG]

    เวลาคุณเดินผ่าน พระประธานในโบสถ์ หรือพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ ที่เป็นตัวแทนแห่งองค์สมมุติ

    คุณรู้สึกยังไงครับ ถ้าคุณเห็น แล้วเดินผ่านเฉย จิตไม่สะทกสะท้าน ไม่เคยคิดจะยกมือไหว้ ผมถือว่า

    เป็นพวกนอกศาสนา หรือ จิตมิจฉาครับ....ในสมัยพุทธกาล เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา จะองค์จริง

    หริอว่า องค์ปลอม ต่างก็เข้าไปสักการะท่าน ถือเป็นจิตสัมมาครับ คือเห็นแล้ว จิตเกิดความเคารพครับ


    ส่วนเรื่องที่จะยึดถือ ในการเห็นทางสมาธิ หรือเห็นแบบลืมตามอง ว่าเรายึดถือสิ่งเหล่านี้ ได้หรือไม่

    ค่อยใช้สติปัญญา พิจารณาอีกครั้งครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4.334130/


    ใช่ครับจำชื่อตอนผิดครับ
    ขออภัย ขอบคุณที่ทักท้วงมา...

    เนื้อหาตามลิงค์ ของคุณ ปราบเทวดา
    และถ้าสนใจตอนอื่นๆตามไปฟังได้
    ในลิงค์ตัวหนังสือสีแดงนะครับ
    (^_^)
     
  18. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    คุ้นๆ เหมือนกันครับ คล้ายเวลานั่งสมาธิ จิตเห็นเทวดา แล้วเดินตามเทวดาไป

    พอจิตเห็นพระ ก็เดินตามพระไป คือถูกหรอก และหลง ออกนอกลู่ นอกทาง
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขออภัยที่ต้องอ้างอิงนะครับ
    ส่วนข้างล่าง อ้างอิงบางส่วน
    เพื่อว่าสมาชิกบางท่านอาจไม่ได้อ่าน
    หรือข้ามๆไป..
    (^_^)

    ตั้งสมมุติฐานก่อนนะครับว่า
    ถ้าคำจำกัดความของคำว่า
    '' นอกศาสนา หมายถึง บุคคลที่
    นับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่พุทธศาสนา และไม่ได้เป็นการ
    พูดเชิงเหยียด ยกตนเอง ว่าตนเป็นบุคคลในศาสนาพุทธ
    แล้วประหนึ่งจะยกว่าตนเองดีที่สุดนะครับ
    สรุปว่า คือ บุคคลที่นับถือศาสนาอื่นๆที่ไม่ใช่ศาสานาพุทธนะครับ ''



    มีข้อสังเกตุให้ทุกท่านไปพิจารณาเอาเอง...
    ไม่ต้องตอบนะครับ.

    ยกตัวอย่าง ถ้าบางศาสนามีวัฒนธรรมไม่ไหว้
    ศาสดาของศาสนาอื่นๆ...
    แล้วถ้าบุคคลเหล่านั้น เดินผ่านพระพุทธรูปและเราเห็นว่าเค้าไม่ไหว้
    พระพุทธรูป ถามว่าเราเองที่เข้าใจว่าตนเองเป็น
    บุคคลในศาสนา เป็นพวกโลกุตระเนี่ย เราจะไปตัดสินบุคคลเหล่านั้น
    ว่าเป็นมิจฉาทิฐิเลยได้ไหมครับ????

    หรือถ้าสมมุติว่า บางวัฒนธรรมไม่ไหว้ ใช้การจับมือ
    หรือการโอบกอด เพื่อแสดงความเคารพ. หรือทักทาย
    แล้วบุคคลเหล่านั้น เดินผ่านพระพุทธรูป และเราเห็นว่าเค้าไม่ไหว
    ขอตั้งข้อสังเกตุว่า
    ตัวเราเองที่ประกาศตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนา
    เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนในศาสนา เป็นโลกุตระเนี่ย
    ควรจะไปตัดสินใจ
    ว่าบุคคลนั้นเป็นพวกมิจฉาทิฐิไหมครับ


    ในทางพุทธศาสนา วัฒนธรรมไทยเรา
    ถือว่าการไหว้เป็นการแสดง
    ให้บุคคลอื่นๆหรือบุคคลภายนอก
    เห็นว่าเรามีความเคารพต่อสิ่งที่เราไหว้...
    หรือเป็นการทักทาย ก็ว่ากันไปครับ
    และเป็นการแสดงความเคารพของผู้ไหว้ต่อสิ่งที่ไหว้อีกด้วย
    ...แต่เราต้องเข้าใจว่า เราไม่สามารถที่จะไปยึดเอาว่า
    การแสดงความเคารพก็คือจะต้องไหว้อย่างเดียวครับ
    เพราะแม้แต่ไหว้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า บุคคลนั้นเคารพจริงๆครับ
    หรือแม้แต่ไม่ไหว้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า บุคคลนั้นเคารพหรือไม่เคารพครับ

    แต่ถ้าเรายึดเลยว่า ต้องไหว้แบบเรา ก็คือยึดแบบที่ตัว
    เองยึดว่าจะต้องไหว้ ตัวจิตเราก็จะคิดว่าบุคคลที่ไม่ไหว้ นั่นผิด
    และคิดไปในทางอกุศลได้ เช่น
    ว่าเค้าเป็นพวกนอกศาสนา เป็นพวกมิจฉาทิฐิบ้าง
    และก็จะมองว่าคนอื่นๆที่ไม่ไหว้เค้าผิดกันหมด
    แต่หาได้กลับมาดูว่า ที่มองว่าผิด ที่มองว่าเป็นมิจฉา
    เพราะว่าเค้าทำหรือคิด ไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเองยึดนั่นหละครับ....
    ไม่ใช่ผิดเพราะว่าเค้าไม่ไหว้หรอกนะครับ


    พอจะรู้ตัวบ้างหรือยังครับ
    ว่าทำไมมันถึงยึดอะไรไม่ได้
    เพราะถ้าคุณยึดว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้
    ถึงจะต้องเป็นอย่างโน้นนั่นนี้แบบที่ตนคิด
    หรือไม่ยึดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    แบบที่ตนคิด

    มันจะเป็นการปิดกั้นเราเองนั่นหละครับ
    ก็คือปิดกั้นใจของเราเองครับ
    มันจะทำให้ใจเราไม่มีความเป็นกลาง
    มันจะเป็นกลางได้อย่างไร
    ก็เมื่อเราได้เลือกไปแล้ว เข้าใจนะครับ
    บางครั้งมันทำให้เรามองข้าม
    เรื่องเหตุและผล เรื่องความเป็นไปของโลก
    และเรื่องอื่นๆภายนอกที่ตนเข้าไม่ถึง...
    ทำให้เรากลายเป็นคนที่เรียกว่า จิตใจคับแคบได้
    อย่างที่ไม่รู้ตัวครับ

    เพราะอะไรครับ
    เพราะใจเรามันยังมีตัวยึด
    ปิดกั้นใจเราอยู่อย่างไม่รู้ตัว
    และเพราะเราไม่รู้จักปล่อยการยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้น

    ใจเราเองก็ยังไม่ปล่อย ไม่คลายและก็ยังยึดอยู่
    แล้วจะไปรู้ใจคนอื่นๆ แล้วจะเที่ยวไปตัดสินคนอื่นๆ
    ว่าคนอื่นๆเค้าเป็นอย่างโน้นนี่นั่นได้อย่างไรหละครับ
    มันก็มีแต่จะเป็นไปตามที่ ตัวจิตมันยกปรุงร่วมกับ
    สิ่งที่มันยึดอยู่ภายในตัวจิตของมันเองทั้งนั้นนั่นหละครับ

    ปล.เข้าใจที่สื่อนะครับ
     
  20. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    จขกท ถามถึงผล ของการปฎิบัติ ไม่ใช่ ผลของการยึดมั่น ไม่ปล่อยวาง

    จขกท ถามผลนะครับ ว่า การปฎิบัติ แล้วมีใครไปเจอไปพบพระพุทธเจ้าบ้าง

    คำถามมีเท่านี้เอง. ใครเจอมาไม่เจอ ไม่พบ หรือพบเห็น ก็เล่าสู่กันฟัง ถูกไหม?

    จะมาปล่อยวาง ไม่ยึดติดอะไร คนละประเด็น คนละเรื่อง คนละส่วนกัน

    ต้องว่ากัน เป็นประเด็นไป เป็น case ไปกันนะครับ

    (คนบางคน คำถามแค่นี้ ยังไม่เข้าใจ ตอบอะไรไม่รู้ มั่วไปหมด ยกเรื่องมาหลากหลาย เสียเหลือเกิน ออกทะเล)


    ..ฟังพระพุทธเจ้า เชื่อพระพุทธองค์ดีกว่านะครับ

    ยกตัวอย่างนะครับ อนุสติ 10 ในกรรมฐาน10 กอง

    มี พุทธานุสติ ธรรมานุสติ และก็สังฆานุสติ ก็คือ ไห้ระลึก นึกถึงพระพุทธเจ้า เป็น

    อารมณ์ จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ลมหายใจเข้าก็พุทธ ลมหายใจออกก็ภาวนาว่า โธ

    พระพุทธเจ้าสอนไห้ระลึกนึกถึงแต่ความดี พระพุทธองค์ เป็นต้นตอ ของความดี ทั้งมวล

    เราละรึกนึกถึงท่านตลอด เพื่ออะไร เพราะอะไร? ทำไมพระพุทธเจ้า จึงสอนเช่นนี้

    ลองคิดกันดูสิคับ?

    ..พระพุทธเจ้าสอนเพื่ออะไร เพื่อความไม่ประมาทไงล่ะครับ


    อัปปมาทธรรม ความไม่ประมาท เปรียบเหมือนรอยเท้าโค ซึ่งธรรมทั้งหลาย ก็ยั่งลงไป

    ในความไม่ประมาท!!

    การเห็นการพบ พระพุทธเจ้า ในนิมิต หรือ จับภาพพระระลึกรู้ ลมหายใจเข้าออกตลอด

    เวลา เป็นแนวทางของการการปฎิบัติธรรม เพื่อความไม่ประมาาท

    มีใคร รู้บ้างว่า จะหมดลมลงวันไหน จะตายวันตายพรุ่ง ก็ยังไม่รู้กันเลย

    จะมาปล่อยวาง ปล่อยวาง ไม่ยึดติด!!

    ถามว่า ท่านผู้พูด มีความดีแค่ไหน เอาตังเอารอดได้หรือยัง?

    บอกตรงๆ ปล่อยวาง ไม่ยึดติด อะไรทั้งนั้น เผลอนิดเดียว

    ลงไปอยู่ ในนรก นับไม่ถ้วน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ

    เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้าไง มีใครบ้างล่ะ บนโลกใบนี้ จะไม่เคยทำชั่ว เลย ไม่มีใช่ไหม

    ฆ่ามดตัวเดียว ตบยุงทีเดียว ปาณาติบาตนะ อย่าลืม! ไห้ผลลงนรกนะ

    เราจะมาไม่ไม่ยึดดติด ปล่อยวาง เราปล่อย แต่อกุศลกรรม ความชั่วของเรา ในชาตินี้

    และชาติที่ผ่านมา มันไม่ปล่อย! มันไม่วาง ทำทำตามหน้าที่!

    เพื่อนความไม่ประมาท พุทธานุสติ เข้าไว้ ลมหายใจเข้าก็พุท ลมหายใจออกก็โธ

    นึกถึงภาพพระองค์ไหนก็ได้ที่ชอบใจ พุทธานุสติทั้งนั้น!

    เอาเท่านี้ก่อน อย่างน้อย ถ้าตายตอนนี้ ไปสวรรค์ มีสุขติแน่นอน

    พระพุทธเจ้า รับรอง ในพระใตรปิฎก พระองค์ท่าน เคยตรัสกับพรหม ว่า

    คนที่ก่อนตาย พอลึกระนึกถึง คถาคต หมายถึงระพทธเจ้าท่าน ตายแล้ว

    ไปสวรรค์ นับไม่ถ้วน พระพุทธองค์ตรัสไว้แบบนี้นะครับ

    ไม่มีนะครับ ที่พระพุทธเจ้าตรัส ปล่อยวางทุกสิ่ง พอตายแล้ว มีสุขติที่หมาย ระวังจะเอา

    ตัวไม่รอดนะครับ

    ธรรมะของพระพุทธเจ้า จะเกิดการปล่อยวางขึ้นได้จริงๆ ต้องลงมือปฎิบัติ อย่งาจริงจัง

    แล้วกำลังใจ กำลังจิต จะลดละ เองเป็นขั้นเป็นตอน

    ผู้ปฎิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมนะท่าน

    เข้าใจไห้ถูกด้วยนะครับ ปล่อยวางน่ะ ปล่อยวางทางทางโลก

    กิเลส ตัณหา อุปทาน ความทะยานอยาก

    ทางธรรม อะไรที่พระพระพุทธเจ้าสอน ทำตามนั้น แล้วจะมีผลครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...