ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    พุทธกาล 5,000 ปี ประกอบด้วยธรรมสามยุค?


    ยุคมหาสุญตา
    ยุคนี้เป็นยุคแรก ครั้งพระศากยมุนีมาในนิรมาณกายของพระสมณโคดม ทรงแสดงธรรมภายใต้อุบายวิธีแห่งความว่างเปล่า เนื่องจากสัจธรรมแท้อธิบายไม่ได้ ผู้ปฏิบัติต้องเข้าถึงเอง (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญูหิติ) จึงต้องทรงใช้อุบายวิธี และอุบายที่เหมาะสมกับคนยุคนั้นคือ "ความว่างเปล่า" การทำให้หัวว่างก่อน เนื่องจากยุคนั้นเต็มไปด้วย "นักคิด" ชอบคิดสัจธรรมกันเองไม่ได้เข้าถึงสัจธรรมแท้จริง แต่นั่งหลับตาคิดเอา ซึ่งความคิดไม่อาจเป็นสัจธรรมได้ จึงต้องใช้อุบายทำให้ว่างเปล่าจากความคิดปรุงแต่งใดๆ ก่อน จึงจะเข้าถึงซึ่งสัจธรรมได้ ธรรมนี้สืบทอดต่อมาให้พระอชิตะเป็น "บาตรทิพย์" ซึ่งท่านได้มาเกิดสืบทอดต่อธรรมอีกครั้งในนาม "ท่านนาคารชุน"

    ยุคอิทัปปัจจยตา
    ยุคนี้เป็นยุคหลังพระนิรมาณกายแห่งพระศากยมุนีในรูปนามพระสมณโคดมนิพพานไปแล้ว พระศากยมุนีจะทรงหมุนธรรมจักรอีกครั้งในรูปนามอื่ืน ในนิรมาณกายอื่น "ซึ่งไม่ใช่ศาสดา" ในยุคนี้ผู้คนมีความรู้มากขึ้น อุบายวิธีเดิมๆ ใช้ไม่ได้อีก ผู้คนต้องการคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล มีเหตุผลฟังขึ้น ดังนั้น จึงทรงเลือกธรรมที่แสดงถึงเหตุผลอย่างเป็นลำดับตามหลักอิทัปปัจจยตา ซึ่งได้รวบรวมไว้ในคัมภีร์ "อวตังสกสูตร" ซึ่งเก็บรักษาไว้ในเมืองนาค เมื่อถึงวาระก็ได้เปิดเผยออกมาใช้ ยุคนี้พระธรรมแทนด้วย "วัชระ" และมักพบเห็นคู่กับกระดิ่ง ซึ่งกระดิ่งหมายถึงธรรมมหาสุญตา (ความว่างเปล่า) นั่นเอง จึงทำให้เกิดนิกายวัชรยานขึ้นในประเทศต่างๆ

    ยุคพุทธะ
    ยุคนี้เป็นยุคหลังนิกายวัชรยานล่มสลายลง พร้อมการล่มสลายของทิเบต (ก็คือยุคปัจจุบันประมาณ พ.ศ. 2,550) นั่นคือ การจบลงของธรรมสายวัชรยาน เฉกเช่นการล่มสลายลงของนาลันทา อันเกิดขึ้นเมื่อถึงวาระล่มสลายลงของธรรมสุญตา ธรรมยุคใหม่นี้ จะเป็นธรรมที่แสดงถึงความเท่าเทียมกันในมนุษย์ทุกคน ที่มีศักยภาพจะบรรลุซึ่งพุทธสภาวะได้ ปรากฏใน "พระสัทธรรมปุณฑริกสูตร" ซึ่งพระสมณโคดมได้แสดงไว้แล้วก่อนจะละสังขารประมาณ 8 ปี ทว่า ด้วยยุคสมัยนั้นปวงสัตว์ไม่พร้อมรับธรรมนี้ จึงต้องเปิดเผยภายหลังคือกึ่งกลางพุทธกาลนี้ ซึ่งสอดคล้องกับวิถีโลกที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบาน อีกทั้งผู้คนทั้งหลายเรียกร้องขอความเท่าเทียมกัน นั่นเอง

    ซึ่งธรรมทั้งสามยุคนี้ท่านสามารถพิสูจน์และตรวจสอบได้จริงครับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    แผนลดจำนวนประชากรโลกจากสองฝั่งฝ่าย​



    ทั้งฝ่าย ปชต. และสังคมนิยม ต่างมีแผนลดจำนวนประชากรโลกครับ เพราะอะไร? เพราะโลกกำลังวิกฤติ จากภาวะโลกร้อนและอื่นๆ พวกเขาคิดว่าเพราะโลกมีประชากรมากเกินไปครับ พอประชากรมาก ก็มีการบริโภคมาก เมื่อมีการบริโภคมาก ทรัพยากรโลกก็ถูกทำลาย พอนึกภาพออกนะครับ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกันว่า "ควรมีสงคราม" และใช้โอกาสนี้ในการตัดสินกันไปเลยว่าโลกใหม่ จะอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายใด? นโยบายเหล่านี้เป็นนโยบายระยะยาว ออกโดยคณะทำงานเบื้องหลังนะครับ แม้แต่ ปธ. หลายๆ ประเทศก็ไม่รู้ว่าตัวเองขึ้นมามีตำแหน่งแล้ว จะต้องมารับกิจนี้ บางคนรู้ก่อนและหลายคนไม่อยากทำครับ ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

    ปธ. สีเจี้ยนผิง
    ปธ. คนนี้ไม่อยากลดจำนวนประชากรในประเทศของตนด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครับ เพราะ ปธ. คนก่อนๆ เคยทำแล้ว และเขาไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย ปธ. สีเจี้ยนผิงจึงใช้วิธี "ขับดันคนจีนออกสู่ประเทศอื่น" ขยายอำนาจออกไป อาจต้องฆ่าพระลามะบ้าง แต่ก็ถือว่ายังน้อยกว่านโยบายอื่นครับ เรียกว่า เป็นคนที่ใช้ได้ เยี่ยมยอดคนหนึ่งในโลกเลยทีเดียว แถมทำสำเร็จด้วย จนมาหยุดชะงักเอาตอนกลืนเกาะทะเลจีนใต้นี่เอง แผนการณ์ที่ดีเยี่ยมยอดนี้จึงดำเนินต่อไม่ได้

    ปธ. โอบาม่า
    ปธ. คนนี้คิดแบบมนุษย์ ไม่อยากทำอะไรให้วุ่นวาย อยากอยู่แบบมีความสุขแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่นิยมไอ้พวกชอบทำตัวเป็นเทพบ้าง มนุษย์ต่างดาวบ้างในสภาคองเกรสครับ แกเลยทำตัวเล่นๆ ไปเหมือนคนธรรมดา โอบาม่าพยายามไม่ให้เกิดสงครามโลกขึ้นที่เอเชียบูรพา เขาใช้ "ศาลโลก" เพื่อยุติกรณีพิพาทกับจีน นับว่าใช้ได้ เป็นคนที่ฉลาดมากและใช้สันติวิธีได้ยอดเยี่ยมคนหนึ่งเลยทีเดียวแต่เขาไม่อาจต้านทานกำลังของ NWO ไปได้ตลอดแน่นอนครับ

    ปธ. คิมจองอึน
    ปธ. คนนี้อายุน้อยที่สุด แต่ภาวะผู้นำไม่แพ้ใครเลย เขามีความรับผิดชอบสูงมากและเป็นคนเด็ดขาด เขารู้ว่าหน้าที่ของการรวมประเทศเกาหลีทั้งสองเป็นสิ่งสำคัญที่เขาต้องทำ ต้องรับช่วงต่อจากพ่อ จะปัดภาระให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานไม่ได้ จุดนี้ชายนับถือน้ำใจเขาเลย เขาเหนือชั้นกว่าลุงสมชายตรงนี้ครับ ทว่า เขาก็ไม่อยากฆ่าคนเกาหลีด้วยกัน แต่เขาเองก็หาวิธีที่ดีกว่านี้ในการต่อสู้เพื่อรวมประเทศไม่ได้ และยิ่งทำให้สิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมาต้องล่มสลายไม่ได้

    ทว่า แผนลดจำนวนประชากรโลกก็ยังมีต่อไป เพราะผู้ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังคิดว่าการมีประชากรมากเกินไปคือสาเหตุของวิกฤติโลก ทว่า ชายไม่คิดเช่นนั้น ถ้าคุณอยากลดจำนวนประชากรในประเทศของคุณ ก็ให้เขามาอยู่ประเทศไทยเลยครับ ประเทศไทยยังมีพื้นดินที่ไม่ได้รับการพัฒนาหรือพัฒนาไปแต่ทางเกษตรอยู่อีกมากมายยังสามารถพัฒนาที่ดินให้มีราคา มีคุณค่าและอยู่ได้ไม่ต่างจากฮ่องกงเลยครับ แต่ต้องรอให้ชายเป็นประธานาธิบดีก่อนนะฮะ (ล้อเล่น)

    ประชากรเยอะมันไม่ดีตรงไหน? มันอยู่ที่การบริหารจัดการต่างหาก!
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ทำไมต้องมีการพิพากษา, การชำระล้าง และการกำเนิดใหม่?


    สัตว์ทั้งหลาย มิใช่มีแต่เกิดแล้วดับ แต่มี "การดำรงอยู่" อีกด้วย โดยเฉพาะการดำรงอยู่ในโลกนี้ เราต้องเข้าใจว่าโลกนี้มีสามภพ มีนรก มีสวรรค์ ทว่าเราอยู่โลกมนุษย์ซึ่งไม่ใช่สวรรค์ เราไม่สามารถนั่งรอให้บุญมาถึงตัวได้ตลอดทุกครั้งไป ดังนั้น เราจึงต้องทำกรรม เช่น ไปจับปลามากิน เป็นต้น การอยู่ในโลกมนุษย์นั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่มีกรรม ไม่แปดเปื้อนกรรม การทำกิจ การโปรดสัตว์ ทั้งการบำเพ็ญบารมี ฯลฯ ล้วนไม่อาจหลีกเลี่ยงการก่อกรรมได้ทั้งสิ้น แม้เราช่วยคนๆ หนึ่ง เราอาจทำร้ายคนอีกคนหนึ่งอยู่ก็ได้ ดังนั้น เราจะต้องเข้าใจถึงวิถีการดำรงอยู่ในโลกเช่นนี้ ไม่ทำตัวเหมือนเทพที่อยู่บนสวรรค์ ที่ไม่ยอมแปดเปื้อนอะไรเลย ไม่ยอมทำกรรมอะไรเลย เราจะต้อง "กล้าลุยโคลน" กล้าที่จะเกลือกกลั้วกับโคลนตม เหมือนดั่งดอกบัวที่เกิดจากโคลนตมนั้น แม้แต่พระสงฆ์เดี๋ยวนี้จะให้อยู่โดยไม่ก่อกรรมอะไรเลย ก็ไม่อาจทำได้ แต่ละเดือนมีค่าน้ำค่าไฟจะต้องจ่ายเป็นหมื่น ก็มี บางวัดจึงต้องทำเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลออกขาย จำหน่ายแลกเงิน เพื่อให้วัดอยู่รอด เห็นไหม? นี่แหละ การดำรงอยู่ในโลก ลองดูเอาเถิด โลกนี้ สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก กินต่อกันเป็นทอดๆ นี่ไม่ได้ผิด ไม่ได้แปลกอะไรเลย ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมะ ธรรมชาติของโลกเท่านั้น แล้วเราละ? พร้อมที่จะอยู่ในโลกนี้ไหม?

    เราจะดำรงอยู่ในโลกนี้อย่างเทพสวรรค์ที่ไม่แปดเปื้อนกรรม ไม่ยอมแปดเปื้อนอะไรเลย คงไม่ได้ เราจะอยู่ในโลกนี้ เราต้องเข้าใจโลก ต้องแจ้งโลก ตื่นโลกอย่างแท้จริงก่อน โลกที่ไม่ใช่ "โลกสวยในความฝัน" หรือในอุดมคติของใครๆ แต่มันเป็นโลกมนุษย์ที่มีสองด้าน ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เราจะต้องเห็นโลกครบทั้งสองด้าน ไม่ใช่หลงอยู่แต่ในโลกแห่งความฝัน, โลกในจินตนาการ, โลกในอุดมคติที่ดีงาม ฯลฯ โลกที่แท้จริงไม่ใช่เช่นนั้น เราอาจเห็นคนยิ้มให้กัน แต่เบื้องหลังเขาอาจวางแผนฆ่ากันอยู่ก็ได้ แม้ว่าเขาอาจไม่อยากทำเลย แต่เขาอาจถูกบีบให้ต้องทำ ดังนั้น ในการดำรงอยู่ในโลกจึงต้องมี "การพิพากษา" มี "การชำระล้าง" และมี "การกำเนิดใหม่" ในการพิพากษานั้น เพื่อให้เรามีสติรู้ความผิดที่เราได้ทำไป ในการชำระล้างนั้นเพื่อให้บาปที่เราสร้างได้รับการชดใช้ เมื่อเราได้ชดใช้หนี้บาปกรรมหมดแล้ว เราจึงหลุดพ้นจากโลกได้อีกครั้ง และการกำเนิดใหม่นั้น ก็เพื่อให้เรา "กลับคืนสู่สภาวะเดิมแท้" ของเราได้อีกครั้ง เพราะหลายท่าน "เสื่อมจากสภาวะเดิมแท้" เช่น สภาวะเดิมแท้ของท่านอาจเคยเป็นพระโพธิสัตว์, เป็นมหาเทพ ฯลฯ แต่พอลงมาเกิดยังโลก ต้องทำกรรมมากจึงเสื่อมลงไป บางคนเป็นสัตว์, บ้างเป็นปีศาจเลยก็มี ทั้งหมดนี้ไม่ผิดอะไร แม้จิตวิญญาณจะเสื่อมลงไป แต่เมื่อผ่านกระบวนการเหล่านี้ จนกำเนิดใหม่ได้แล้ว ก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมแท้ จิตเดิมแท้ที่พร้อมรับแล้วบรรลุธรรมได้อีกครั้งครับ

    อยู่ในโลกต้องทำกรรมเป็นธรรมดา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกนะครับ!
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    นัก ปชต. ที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง ปชต. ?​



    เพราะความเป็น ปชต. ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ในตัวเราเอง โดยตัวเราเอง มิใช่ด้วยการไปเรียกร้องหรือร้องขอจากใคร เราจะทำตัวเหมือน "สาวก" ที่ไปร้องขอต่อกษัตริย์หรือเทพเจ้า ไม่ได้ การเรียกร้องมันก็ไม่ต่างอะไรกับสาวกที่ไปร้องขออะไรต่อศาสดา หรือต่อเจ้า ต่อสิ่งที่อยู่เหนือหัว เพื่อให้เขาประทานมาให้เรา แต่เรากลับไม่รู้จักมีเอง สร้างเองจากภายในเรา (Inner) ดังนั้น เราจึงเป็นได้แค่ลิงที่เอาแต่เลียนแบบฝรั่ง คิดว่ามันโก้หรูที่ไปเรียกร้อง ปชต. แบบนั้น ชายจะขอเปรียบเทียบนัก ปชต. ในสองลักษณะให้คุณได้เห็นดังต่อไปนี้

    1) นักเรียกร้องระบอบ ปชต.
    ก็อย่างที่คุณเห็นครับ การเรียกร้อง ปชต. ในประเทศฝรั่งต้นแบบนั้น เขาเรียกร้องเพราะ ปชช. มีความพร้อมแล้ว แต่ระบอบการปกครองที่มีอยู่ มันยังไม่ใช่ครับ เขาจึงต้องเรียกร้อง แต่ของไทยเรา ปชช. ยังไม่มีความพร้อม ยังไม่มีความเป็น ปชต. และไม่มีนักเรียกร้อง ปชต. คนไหน ไปช่วยสอน, ช่วยให้ความรู้, อุทิศตนทำให้ ปชช. มีความเป็น ปชต. ที่แท้จริงขึ้นมาเลย มีแต่จะเรียกร้องเอา "ระบอบ" การปกครองแบบ ปชต. เพื่อให้ตัวเองโดดเด่น เป็นข่าว ได้รับการ Focus จากสังคม มีแสงสปอตไลท์ยิงมาที่ตัวเอง ชื่อเสียงก็จะเป็นที่รู้จัก โด่งดังขึ้นมาทันที แต่นั่น "มันไม่ใช่แสงแห่ง ปชต. ที่แท้จริง จากภายใน (Inner) ของคุณเอง" ดังนั้น คนไทยที่เรียกร้อง ปชต. จึงเป็นได้แค่ "ลิง" ที่อยากเลียนแบบฝรั่ง ทำอย่างที่เขาทำบ้างเท่านั้น

    2) นักสร้าง ปชต. ให้ ปชช.
    สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ยากและหาคนทำได้น้อย น้อยคนเหลือเกินที่จะอุทิศตน สละตัว ยอมเสียสละเงินและตำแหน่งทางโลก แล้วมาเสียเวลาให้ความรู้แก่ ปชช. ถึงเรื่องการเมืองการปกครองอย่างแท้จริงแบบจริงใจไม่หลอกลวง ไม่หลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ คือ ไม่ใช่การเน้นที่ตัวระบอบ แต่เน้นที่ตัวคน แต่ละคนทำอย่างไรให้คนแต่ละคน เข้าถึงความเป็น ปชต. มีความเป็น ปชต. ได้แท้จริง เพราะคนไทยเราเคยชินกับการเป็นไพร่ทาสมานาน เคยชินกับการต้องมี "ใครสักคน" อยู่เหนือหัวมานาน พวกเขาต้องการยึดเกาะเจ้า ยึดเกาะเทพ ฯลฯ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจอย่างขาดไม่ได้เลย นี่ละ หน้าที่ที่สำคัญกว่าการไปเรียกร้องระบอบการปกครองอะไร ถ้าเราทำให้ ปชช. มีความเป็น ปชต. ได้ ระบอบการปกครอง ปชต. ก็ต้องมาสู่เราในที่สุด แต่ถ้า ปชช. ไม่มีความเป็น ปชต. ก็ไร้ประโยชน์

    ทว่านักเรียกร้องปชต. ยังไม่มีภาวะผู้นำพอที่จะไม่เดินตามฝรั่งครับ!
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    พระศรีอาร์ฯ ให้แนวทางฆราวาสผู้ทรงธรรมอย่างไร?


    หลายท่านมีปัญญาที่จะไม่ดำรงอยู่ในโลก แต่เรื่องการดำรงอยู่ในโลกกลับไม่มีปัญญา อันนี้ไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริงนะ ปัญญาที่แท้จริงต้อง "สว่างรอบ" จะสว่างด้านเดียวไม่ได้ หลายคนเอาแต่เกลียดโลก ไม่อยากอยู่ในโลก ไม่อยากเกิดอีกแล้ว แต่ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ละ? จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร? ในสมัยพุทธกาลนั้น พระสมณโคดมได้ให้แนวทางเอาไว้สำหรับผู้ที่บรรลุธรรม คือ การบวชพระ ทว่า หลังกึ่งกลางพุทธกาลนี้ พระศรีอาริยเมตตรัย จะลงมาให้แนวทางในการดำรงอยู่แบบ "ฆราวาสผู้ทรงธรรม" ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    1 จิตวิญญาณในมิติที่ห้า
    จะไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นในจิตหนึ่ง หรือจิตใดๆ ว่าเป็นตัวกูของกูแต่จิตเดียว และไม่ใช่การปฏิเสธจิต ไม่เอาจิตใดๆ เลยก็ไม่ใช่ ทว่า จะเป็นลักษณะของอนัตตา คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจิตใดเป็นตัวตนของตน และไม่ปฏิเสธจิตใดๆ อีกด้วย ดังนั้น ท่านอาจมีจิตมากกว่าหนึ่งดวงได้ ทั้งจิตวิญญาณที่เป็นเทพ เป็นมาร ฯลฯ เหล่านั้นไม่ใช่สาระ ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง "นิรมาณกายแห่งองค์มหากรุณา" เท่านั้น

    2 ฆราวาสที่ไม่ต้องบวช
    ฆราวาสผู้ทรงธรรม บรรลุธรรมแล้วไม่ต้องบวชพระก็ได้ แต่จะดำรงอยู่แตกต่างจากสมัยพุทธกาลดังกล่าว สมัยพุทธกาลการบวชพระจะรักษา "จิตหนึ่ง" เอาไว้ได้ จิตที่บรรลุธรรมนั้นจะไม่จุติจากสังขารแต่ยุคนี้ เราจะไม่ยึดจิตดังกล่าว ทำให้จิตจะนิพพานหรือจุติออกไปก็ไม่เป็นไร เราจะดำรงอยู่ด้วยจิตวิญญาณแบบมิติที่ห้าดังกล่าวเราจึงไม่ต้องบวชพระ แต่จะกลายเป็นฆราวาสที่มีลักษณะพิเศษได้ครับ

    3 หญิงชายได้เท่ากันหมด
    เมื่อไม่ต้องบวชพระแล้ว หญิงหรือชายก็สามารถบรรลุธรรมได้ไม่ต่างกันเลย ทุกคนสามารถบรรลุพุทธสภาวะได้เท่าเทียมกัน เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการบวชอีกแล้ว ในสมัยพุทธกาล พระสมณโคดมท่านจะให้ชายบวชก่อน แล้วหญิงสนับสนุนพระด้วยการทำบุญ พอหมดกรรมจากหญิงมาเกิดเป็นชาย ก็ค่อยมาบวช เพราะพุทธกาลมีอายุ 5,000 ปี จึงไม่ต้องรีบ ในยุคนี้ ท่านจะเปิดกว้างให้ทุกคนครับ

    4 ไม่มีศาสดา-สาวก
    ไม่มีเจ้าลัทธิอะไรมาเป็นใหญ่เหนือใคร เพราะมนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการบรรลุพุทธสภาวะไม่ต่างกัน ดังนั้น จึงไม่มีการเป็นศาสดา-สาวก ทุกคนจึงเท่าเทียมกัน ไม่มีการสร้างศาสนาหรือลัทธินิกายใหม่ใดๆ ทุกคนสามารถดำรงอยู่เหมือนฆราวาสร่วมกับชาวโลกได้ แต่อาจไม่มีงานทำ ไม่มีตำแหน่งอะไรเหมือนปุถุชนคนอื่น ทว่า จะมีหน้าที่สำคัญของแต่ละคนที่จะต้องทำกิจให้จบเช่นกัน

    5 มีศีลธรรมในตัวไม่ต้องถือ
    เรียกว่า "ศีลมหาสนิท" เป็นธรรมวินัยในตัวเรานี่เอง ไม่ต้องยึดถือ หากใครผิดทาง จะโดนเล่นงานโดยธรรมวินัยในตัวเองเลย เช่น ถ้าทำสิ่งที่ผิด อาจป่วย อาจเจ็บปวด อยู่ดีๆ เกิดอะไรที่ไม่คาดคิดทำให้ไม่สามารถทำต่อไปได้ ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมะ ธรรมชาติ และเป็นจริง พิสูจน์ได้จริง พระธรรมวินัยในตัวแบบศีลมหาสนิทนี้ จึงไม่ต้องยึดถือ เพราะจะควบคุมบุคคลนั้นๆ ในตัวเอง ด้วยตัวของเขาเองเลย

    ทั้งหมดนี้ สามารถพิสูจน์ได้ เมื่อบรรลุธรรมทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริง!
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    นัก ปชต. ควรเข้าใจเรื่องระบบและคนให้ดี อย่างนี้ครับ ...​



    ระบบ
    พูดถึงเรื่องระบบระบอบนี่ เราต้องแยกให้ออก มองให้ขาดระหว่างระบบที่แท้จริง กับระบบแบบเปลือกๆ ปลอมๆ ตรงนี้ไม่ต่างอะไรกับอำนาจจริงกับอำนาจปลอมๆ เหมือนตำแหน่งบางตำแหน่งไม่ได้มีอำนาจอะไรจริง พอนึกออกไหม? คนบางคนไม่ได้มี power อะไรแท้จริงเลย คุณเข้าใจไหม? เราจะเล่นการเมือง เล่นกับนักการเมือง เราต้องเข้าใจตรงนี้ คำว่าระบบเทียม เช่น มีการเลือกตั้งไปอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่การเลือกตั้งอย่างเสรีจริงๆ มันมีการผูกขาดเช่น ผูกขาด ผูกมัด ปชช. ให้เป็นพวกของตนไปจนตาย ใครทรยศไม่ได้ อ้าว? นี่มันกลายเป็นทาสที่ภักดีกันตั้งแต่เมื่อไร? ปชช. คือ ปชช. เขาจะรักหรือเลิกรักใครเมื่อไรก็ได้ นี่ต่างหากถึงเป็นการเลือกตั้งอย่างเสรีได้จริง นี่มันไม่มีความเสรีจริงๆ มันมีการผูกขาดของพวกกลุ่มทุน เช่น ตระกูลชินวัตร คุณเข้าใจไหม? คนเสื้อแดงก็คือ ผลพวงของการผูกขาดของกลุ่มทุน มันไม่ใช่ผลของการสร้าง ปชต. อะไรเลย นี่ละ ระบบเทียม คือ ระบบการเลือกตั้งแบบจอมปลอม เต็มไปด้วยการผูกขาดของกลุ่มทุน ไม่มีความอิสระเสรีอย่างแท้จริง เข้าใจไหม?

    คน
    พูดถึงเรื่องคน เราต้องเข้าใจว่าคนเราทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันก่อน และทุกคนมีคุณค่าในตัวของเขาเอง อย่าเอาใครมาเทียบกับใคร ในทางการเมืองการปกครองที่แท้จริง เราจะเอาตู่ไปเทียบกับทักษิณไม่ได้ จะวัดคนที่ผลงานแล้วบอกว่าผลงานมากหรือน้อยกว่าทักษิณไม่ได้ ถ้าคุณคิดแบบนี้ คุณก็ไม่ใช่ ปชต. แล้ว นัก ปชต. ที่แท้จริง เขาเห็นคนทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันเสมอ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีผลงานหรือไม่ เขาก็คือ คนๆ หนึ่ง มนุษย์คนหนึ่ง ทำไม? คนไม่มีผลงานไม่ควรอยู่ในโลกนี้ ควรจะตายๆ ไปเสียหรือยังไง? แหมคิดไปได้ คนเรามันก็มีค่าเท่าเทียมกันทุกคนนี่ละครับ แต่เราทำกิจไม่เหมือนกัน นกทำเหมือนปลาไหม คนแต่ละคนก็ทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทีนี้ พอคุณเข้าใจแล้วว่าคนเราทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันจริงๆ ด้วยตัวของเขา ไม่ใช่ด้วยอะไร เพราะคนทุกคนมีคุณค่าในความเป็นมนุษย์อยู่ทุกคน ไม่ใช่เพราะเหตุอะไรทั้งนั้น คุณก็ดูต่อไปว่าเขาอยู่ในระบบที่คุณวางไว้ดีหรือเปล่า? อย่างตู่ ทุกวันนี้ ไม่ทำงานไม่ได้นะ คนด่าเต็มบ้านเต็มเมือง ถามหน่อย ตู่ไม่อยู่ในระบบหรือ? ไม่จริง ตู่โดนระบบบางอย่างบีบอยู่ทุกวัน ให้ต้องทำงานอย่างหนัก นี่ถ้าคนๆ นี้ ทำงานอยู่ในระบบดีอยู่ คุณก็ไม่ต้องกลัวอะไร จริงไหม?

    รายละเอียดเรื่องระบบกับคน ชายจะค่อยๆ นำเสนอทีละน้อยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2016
  7. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    โดนนนนใจโพสที่1973,1975มากเลยอ่ะคับพี่ดอกไม้[Embarrass
     
  8. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    หนทางสู้เพื่อประชาธิปไตยของผมคือ ร่วมมือกับพวกมิติที่ห้า ชวนมาป่วนหาแนวร่วม
    เพื่อทดสอบผู้กล้า พาไปสู่โลกใหม่ที่มีแต่คำสาป อาถรรพ์ ต้องรู้จักภูติไว้มั่งนะ เขาอยู่มาก่อนเรา
    เกิน 5000 ปีซะอีก พวกลึกลับนี่ก็เอาอารมณ์ผมไปเขียนการ์ตูน ทำหนัง หลายเรื่องแล้ว
    โลกแห่งความฝันของข้าพเจ้า ใครก็ได้ช่วยที ไม่ชอบแนวแฟนตาซีกันรึ
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    เมื่อกิเลสนิพพาน ความปรารถนาที่แท้จริงจะปรากฏ


    กิเลสเป็นสมมุติธรรม มีเกิดขึ้น, ตั้งอยู่ แล้วดับไป วนเวียนอยู่อย่างนั้น เมื่อใดที่กิเลสดิบสนิทแท้จริง ไม่เกิดอีก เรียกว่า "กิเลสนิพพาน" เมื่อนั้น เราจะค้นพบ "ความปรารถนาที่แท้จริง" ของเรา ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่กิเลส ความปรารถนาที่แท้จริงเหมือนวิมุติธรรม อันเป็นแก่นแท้ซ่อนอยู่ในกิเลสนั้นๆ กิเลสเป็นเพียงสมมุติธรรมที่ห่อหุ้มเอาไว้ก็เท่านั้นเอง เช่น คนบางคนปรารถนา "มหาบุรุษ" ปรารถนาที่จะเป็นมหาบุรุษผู้หนึ่ง (พุทธะ) แต่เพราะกิเลสบดบัง ทำให้เขาหลงคิดไปว่าเขาชอบชายงามก็ได้ เขาก็จะไล่ตามชายงาม พยายามไขว่คว้า และยึดครองชายงามนั้น กิเลสหลอกล่อให้เขาเตลิดไป หากแม้นเขาได้เข้าถึงความปรารถนาที่แท้จริงของเขาแล้ว เขาก็ไม่ต้องไปแสวงหาชายงามนั้นที่ใด เขาย่อมเข้าถึงความเป็นมหาบุรุษนั้นด้วยตัวของเขาเอง มนุษย์ทั้งหลายทุกวันนี้ วิ่งไล่ตามหาสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการแท้จริง เพราะมันไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง มันเป็นแค่กิเลสนำพา ดังนั้น พวกเขาย่อมไม่เคยสมหวัง ไม่เคยพบความสุขที่แท้จริง เพราะการเริ่มต้นแสวงหาของเขานั้นก็เริ่มต้นผิดเสียแล้ว

    คนเราเกิดมา ควรเข้าใจตัวเอง มีสติตื่นเต็มที่ว่าตัวเองต้องการอะไรอย่างแท้จริง ปรารถนาสิ่งใดอย่างแท้จริง มิใช่ถูกหลอกล่อด้วยวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นสินค้าต่างๆ เครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ทำให้เตลิดไป เพื่อครอบครองสิ่งเหล่านั้น เราทั้งหลายได้เสียเวลาในชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์ ในสิ่งที่เราเองไม่ได้ต้องการจริงๆ บางคนต้องทำงานหนักทั้งชีวิตเพื่อให้ได้ครอบครองสิ่งที่กิเลสหลอกล่อให้ต้องมี แต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขแท้ เพราะเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความปรารถนาที่แท้จริงของเขาคืออะไร? หลายคนเหนื่อยยาก ลำบากทั้งชีวิตเพื่อทำให้ครอบครัวร่ำรวย มีอันจะกิน ทว่า นั่นหรือคือความปรารถนาที่แท้จริงของเขา? อนึ่ง ความปรารถนาที่แท้จริงของคนเราไม่ใช่สิ่งที่ผิด มันเป็นวิมุติธรรมอย่างหนึ่ง เป็นแก่นแท้ของกิเลสอีกที ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกิเลสอีกที แต่เราทั้งหลายยังมิทันได้แกะเปลือกคือกิเลสออกเลย เราก็ต้องเหนื่อยยาก ลำบากทั้งชีวิต เพียงเพื่อสนองกิเลสนั้นแล้ว หากแม้นเราได้ยอมเสียสละเวลาสักนิด เพื่อทำความเข้าใจตัวเองให้ถ่องแท้ ว่าเราต้องการอะไรกันแน่? เราก็อาจค้นพบความปรารถนาที่แท้จริงของเราได้ เราก็ไม่ต้องเหนื่อยไปเพราะกิเลสเหล่านั้น เราจะได้พบความสุขแท้ ไม่ใช่ความสุขอันจอมปลอม เกิดๆ ดับๆ เหมือนมายาหลอกหลอน กิเลสไม่ใช่สิ่งที่ผิด และไม่ใช่สิ่งที่ถูก (เพราะไม่ใช่วิมุติธรรม) กิเลสเป็นแค่ธรรมะที่เกิดๆ ดับๆ ไปไม่เที่ยงเพราะเป็นเพียงสมมุติธรรมเท่านั้น และเราจะไม่มีทางเข้าถึงความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเองได้ หากเรายังไม่อาจถึงซึ่ง "กิเลสนิพพาน" เราก็จะต้องเหนื่อยเพราะถูกกิเลสหลอกล่อให้ต้องวิ่งไล่ไขว่คว้าอยู่ต่อไป แต่กลับไม่ได้รับความสุขที่แท้จริงเลย

    อย่ามัวเสียเวลา จงเร่งค้นหาความปรารถนาที่แท้จริงให้พบเถิด!
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ถึงเวลาที่ฝ่าย ปชต. ต้องเสนอแนวทางระบบเศรษฐกิจใหม่แล้ว!​



    ความคิดของ NWO เดิมคิดว่าถ้าระบบทุนนิยมมันไม่ดี ก็ปล่อยให้มันล่มสลายไป แล้วทำสงคราม set zero ก็แค่นั้น ไม่มีปัญหาอะไร จริงๆ แล้วเขาคิดผิด เขาลืมคิดไปว่าถ้าระบบทุนนิยมมันล่มไปแล้ว ใครๆ เขาก็ต้องเข็ดหลาบ ไม่อยากเอาแล้ว ไม่อยากเสี่ยงกับระบบที่ทำให้เขาล่มจม เขาก็ต้องการระบบใหม่อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นจีนก็จะเสนอระบบเศรษฐกิจใหม่ให้กับชาวโลก ต่อให้อเมริกาชนะศึกก็ต้องพ่ายแพ้ใจคน เมื่อใจคนทั้งหลายไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธาในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เขาก็ไม่อยากได้ระบอบการปกครอง ปชต. ไปด้วย ดังนั้น แผนการณ์ของฝ่ายสังคมนิยมก็คือ การสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมาที่เหนือกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า แล้วให้ "แจ๊ก หม่า" ทำหน้าที่เหมือนศาสดาเผยแพร่ลัทธิความเชื่อนี้เหมือน "คาร์ล มาร์ก" ที่ทำหน้าที่เผยแพร่แนวคิดต่อต้านระบบทุนนิยมน่ะละครับ ทุกวันนี้ ฝ่าย ปชต. ยังไม่มีวิธีการใดๆ ในการแก้ไขเศรษฐกิจ อีกทั้งนักคิดสายปชต. ทั้งหมดก็เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์สายทุนนิยมมาทั้งหมด จึงไม่มีใครคิดนอกกรอบพอที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ อีกทั้งตัวระบบทุนนิยมเอง มันก็ไม่ใช่ปชต. มันไม่เคยหนุน ปชต. เลย เพราะมันหนุนระบอบการปกครองแบบศักดินา และมันก็ลอกแบบ ลอกแนวคิดมาจากศักดินาคือ มีเจ้านาย มีขี้ข้า เหมือนกันเด๊ะๆ มันจึงเป็นได้แค่ "กาฝาก" ที่ย้อมตัวเป็นนกพิราบขาว!

    ถามว่า แนวทาง "ดอกเบี้ยติดลบ" ที่ "เบน เบอร์นันกี้" เสนอนั้น จะใช้ได้ไหม? อย่างนี้ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าระบบทุนนิยม มันมีรากฐานมาจากสมการหนึ่ง คือ กำไร มาจาก รายได้ที่มากกว่าต้นทุน และต้นทุนนั้นมีดอกเบี้ยอยู่ด้วย พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือ ถ้าคุณเอาเงินไปลงทุนแล้ว คุณต้องพยายามให้ได้รายได้มากกว่าต้นทุนกับดอกเบี้ย หรือถ้าอยากกำไรก็ต้องพยายามมากกว่าดอกเบี้ยน่ะเอง ทีนี้ เขาก็เลยใช้ "อัตราดอกเบี้ยเป็นบวก" เพื่อกระตุ้นให้คนก้าวไปข้างหน้า เชื่อมั่นว่าอนาคตต้องดีกว่าวันนี้ นึกออกไหม? ระบบจึงมีโครงสร้างมาแบบนี้คือ ถูกออกแบบมาภายใต้ความเชื่อที่ว่าจะต้องเป็นบวกเสมอ อนาคตต้องดีกว่าวันนี้เสมอ ทุกอย่างต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ ระบบมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับการถอยหลังเลย เก็จป่ะ? คือ เขาไม่ได้คิดว่าเฮ้ย แล้วถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ถอยหลัง เราขาดทุนละ? เราจะทำยังไง? ขาดทุนมึงก็เจ๊งไป เพราะดอกเบี้ยจะเป็นบวกเสมอ มันจะเพิ่มทับถมทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามึงไม่ทำอะไร ดอกเบี้ยแม่งก็ท่วมหัวมึง 555 เข้าใจไหม? นี่ละ ระบบทุนนิยม มันถอยหลังไม่ได้ มันเลยต้อง "ล่า" เหมือนเสือโหย ถ้ากอบโกยจนหมดประเทศๆ หนึ่งไปแล้ว ก็ต้องออกล่าประเทศต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีอนาคต มีตลาดใหม่ๆ มีช่องทางใหม่ๆ ถ้าไปต่อไม่ได้ มันก็ตัน พอมันตัน มันจะถอยหลังไม่ได้ มันจะใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นลบไม่ได้ เพราะระบบมันไม่ได้ออกแบบมารองรับสถานการณ์เช่นนั้น เก็จนะ!

    มัวคิดกันว่าโลกใหม่จะเอาศาสนาอะไร? แต่กลับไม่แก้ไขทุนนิยม!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กันยายน 2016
  11. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    โมทนากับพี่ดอกไม้ครับผมchearrchearrchearr
     
  12. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ธรรมะที่แท้จริงไม่ใช่รูปแบบ
    ไม่ใช่การเข้าฌาน เป็นวันๆ
    ไม่ใช่การมีฤทธิ์อภินิหาร ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
    .. แต่คือการค้นพบและรู้จัก
    เข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง
    ว่าเรามาอยู่บนโลกใบนี้เพื่อสิ่งใด?

    ปล.เราค้นพบตัวเองจริงๆแล้วหรือยัง?
    หรือยังหลงจนกู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่นหรือไม่?
    จง. พิจารณาเถิด...
    (ความคิดเห็นส่วนตัว)rabbit_eating
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    เหตุใดผู้มีธรรม จึงเป็นเนื้อนาบุญได้?


    ผู้มีธรรม เช่น พระอรหันต์ ก็ดี, พระโพธิสัตว์ ก็ดี, พระพุทธะ ก็ดี ท่านจะมีตำแหน่งทางธรรมรองรับ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งเดียว แต่จะเป็นทีม ทีมยังไง? เช่น ตำแหน่งพุทธะในทางธรรม ท่านจะมีพระสาวกองค์ขวาซ้าย, มีองค์อุปถัมภ์, องค์อุปัฏฐาก ฯลฯ เห็นไหม? แค่พุทธะนี้ก็มีตำแหน่งทางธรรมเกิดขึ้นมามากมาย รองรับสภาวะให้แล้ว ทำให้คนที่เข้าไปทำหน้าที่ช่วยเหลือท่าน ได้หลุดพ้นจากซาตาน ไม่ต้องเป็นทาสซาตาน สามารถดำรงอยู่ในโลกได้ มีเงินทองใช้ เช่น น้องสาวของชาย ปัจจุบันไม่ได้ทำงาน แต่แต่งงานกับฝรั่ง เขาก็ดูแลให้เงินใช้ น้องสาวก็รับผิดชอบดูแลครอบครัวด้วย เรียกว่า "อุปถัมภ์" ก็ได้ เมื่อมีตำแหน่งทางธรรมเช่นนี้แล้ว เขาก็รอดพ้นจากซาตาน มีอิสระ และมั่นคง เพราะมีเทพดูแล มีสวรรค์คอยปกป้อง ชายเองไม่มีตำแหน่งทางโลกและทางธรรมในโลกมนุษย์ แต่ตำแหน่งทางธรรมที่ไม่ขึ้นอยู่กับโลกมนุษย์ เพราะขึ้นอยู่กับสวรรค์นั้น ชายมีแน่ ชายจึงสามารถทำงานสื่อสารธรรมะได้จนถึงทุกวันนี้ ทำงานโดยไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ แต่อยู่ได้ เพราะสวรรค์ดูแล มีเทพดูแล ให้มนุษย์เข้ามาดูแล ทำหน้าที่ต่างๆ เช่น อุปถัมภ์, อุปัฏฐาก เป็นต้น

    บารมีธรรมของผู้มีธรรมหนึ่งคน สามารถรองรับตำแหน่งเทพได้มาก ดังนั้น ท่านจึงเป็น "เนื้อนาบุญของโลก" ได้ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นเจ้าของธุรกิจอะไร อาศัยบารมีธรรมของเรานี้ เรามีตำแหน่งในทางธรรมแล้ว โลกมนุษย์ไม่ได้แต่งตั้งอะไรให้เรา แต่สวรรค์รับรู้ว่าเราคือตัวจริง เรามีรายชื่ออยู่ในบัญชีสวรรค์ แต่ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ เราจะตกเป็นทาสของซาตาน เพราะซาตานครองโลกอยู่ เขาจะเอาเงินและตำแหน่งมาหลอกล่อ พอเราอยากได้ เราก็จะขายตัว ขายวิญญาณให้ซาตาน แล้วเราจะได้ตำแหน่ง ได้เงินเดือน ได้รายได้จากซาตาน ซึ่งกรณีนี้ ทำให้เราไม่รอดพ้น เราไม่ได้โมกษะแล้ว จึงไม่ต้องคิดถึงนิพพานเลย หากโมกษะยังไม่ได้ นิพพานก็ไม่มีทางได้ เพราะตกเป็นทาสซาตาน นั่นเอง ดังนั้น การมีผู้มีธรรมเกิดขึ้นหนึ่งคน จึงโปรดสัตว์ได้มากแม้ไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ให้คนเลี้ยงดูนี่ก็ช่วยเหลือชาวโลกได้แล้ว เพราะคนที่มาเลี้ยงดูเรานี้ เขาจะได้รับความรอดพ้นจากซาตาน ได้ตำแหน่งทางธรรม คือ องค์อุปัฏฐากไป ทว่า แท้จริงแล้วไม่มีใครอยู่เฉยๆ ไปได้ตลอดหรอก ไม่มีใครที่ไม่อยากทำงาน แม้บรรลุพุทธะแล้ว อยู่เฉยๆ ก็เบื่อแย่เหมือนกัน ก็ต้องมีหน้าที่ มีงานทำทุกคนน่ะละ เช่น หน้าที่แสดงธรรมโปรดสัตว์ อนึ่ง ตำแหน่งทางธรรมนี้ไม่ได้มีแต่ผู้มีธรรม บางตำแหน่งสวรรค์ก็ต้องรองรับ ไม่รองรับไม่ได้ เพราะเกี่ยวข้องกับความสงบของโลก เช่น ตำแหน่งฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีธรรมก็ได้ครับ

    ตำแหน่งทางธรรมเป็นตำแหน่งที่แท้จริง เป็นวิมุติ ไม่ใช่สมมุติครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ปชต. ที่ใกล้ล่มเพราะ "สงครามเงียบ" โดยกลุ่มทุนจีน


    จีนทำสงครามเงียบเพื่อขยายอิทธิพลมานาน และกองทัพของจีนก็มาในรูป "กลุ่มทุนจีน" ครับ สิ่งนี้เราจะต้องจับตา และประมาทไม่ได้ เรามัวแต่ทะเลาะกันวุ่นวายเพื่อเรียกร้อง ปชต. อยู่ ทว่า เศรษฐกิจของเราอาจจะพังเพราะถูกกลุ่มทุนจีนบุกยึดจนหมดก็ได้ครับ ด้วย 5 กลยุทธ์ดังต่อไปนี้

    1 การผูกขาดโดยทั้งระบบ
    ระบบทุนนิยมจีนเข้าสู่ประเทศใด จะใช้การผูกขาดทั้งระบบ เช่น ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย จีนเข้ามาในรูป "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" โดยยกมาทั้งระบบ ทั้งต้นน้ำ, กลางน้ำ, ปลายน้ำ ตลอดสายพานทางธุรกิจ ยกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของจีนมาทั้งหมดแล้วค้าขายกันเองในกลุ่มคนจีน จนประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จีนกอบโกยผลประโยชน์ไปฝ่ายเดียว 100% แถมสร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเอาไว้อีกมากมาย

    2 การควบคุมกลไกลราคา
    ระบบทุนนิยมจีนเข้ามาควบคุมกลไกลราคาในประเทศไทยบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในตลาดเกษตรกรรม ตลาดผลไม้ ทำให้ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ หรือแพงขึ้นอย่างผิดปกติได้ กลุ่มทุนจีนจะใช้นักลงทุนจำนวนมาก เข้าเล่นกับกลไกลราคา จนสามารถคมบคุมให้ราคาขึ้นหรือลงได้ โดยการวางแผนกันมาก่อนแล้ว ดังนั้น ราคาในตลาดจึงแปรปรวน และส่งผลกระทบต่อผู้ค้าในตลาดเดิม เดิมทีเราพบการควบคุมกลไกลราคาแต่ในตลาดหุ้น ปัจจุบันมีทุกตลาดครับ

    3 การแทรกแซงจากภาครัฐ
    รัฐบาลจีนใช้เงินอุดหนุนระบบทุนนิยมจีนประมาณ 10% เพื่อให้ผู้ค้าสามารถทำราคาต่ำกว่าราคาที่เป็นจริงได้ จากนั้น จึงใช้ราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดนี้ ไปตีตลาด เหมือนการรบ ทำให้ผู้ค้ารายอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนจีน ต้องล้มหายตายจากตลาดไปหมด ไม่อาจทำราคาได้อย่างคนจีน จีนใช้กลยุทธ์ราคา ราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงนี้ เพื่อให้ผู้ค้ารายอื่นๆ ตายจากตลาดไปให้หมด จากนั้นจีนก็จะผูกขาดทั้งตลาดเพียงรายเดียว เมื่อนั้น เขาจะขึ้นราคาเพื่อเอากำไรภายหลัง

    4 การเข้าซื้อกิจการต่างๆ
    เมื่อจีนบุกตลาดด้วยกลยุทธ์ราคา ทำราคาต่ำๆ จนผู้ค้ารายอื่นเจ๊ง ล้มละลายกันไปหมดแล้ว จีนก็จะไล่ซื้อกิจการที่ล้มเหล่านั้นมาเป็นของตัวเอง เหมือนการรบ ทหารบุกฆ่าแล้วยึดครอง นึกออกไหม? มันคือการรบโดยการค้า ไม่ต้องใช้ทหารอะไรเลย ปัจจุบัน จีนเริ่มเข้าซื้อกิจการของต่างชาติ เช่น KFC ผ่านนอมินีคือ "แจ๊ค หม่า" ซึ่งเป็นหุ่นเชิดที่รัฐบาลจีนปั้นมาให้เป็น Model ของระบบทุนนิยมจีน การเข้าซื้อกิจการจะเป็นไปเรื่อยๆ พร้อมการทำลายธุรกิจผู้อื่น

    5 การไม่รับผิดชอบผลกระทบ
    ในประเทศลาว ที่จีนเข้าไปลงทุน ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก ลาวได้รับผลกระทบจนต้องลงสื่อ เช่น กรณีสวนกล้วยของจีนที่ลงทุนในลาว เป็นต้น กลุ่มทุนจีนไม่สนใจผลกระทบใดๆ ต่อชาติอื่น เพราะถือว่านี่คือการรบ นี่คือ สงคราม การทำลายล้างประเทศอื่นก็คือหน้าที่ของทหารนั่นเอง ทำให้ประเทศไทยตอบโต้ด้วยการให้ประชาชนออกมาด่าว่าทัวร์จีน เป็นต้น (แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การแก้ที่ถูกวิธีครับ) ดังนั้น กลุ่มทุนจีนจึงไม่สนใจผลกระทบใดๆ เหล่านี้

    กลยุทธ์ 5 ประการนี้เองที่กลุ่มทุนจีนใช้ในการรบกับประเทศอื่นครับ
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ปฏิบัติธรรมมานาน เหตุใดยังไม่บรรลุ?


    ปัจจุบันม่ีคนสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมกันมาก ทว่า หลายคนก็ยังไม่บรรลุธรรม ซึ่งมีหลายลักษณะทีเดียว แบ่งออกได้ดังตัวอย่างนี้

    1 ธรรมะสูง แต่ปฏิบัติต่ำ
    คือ พวกหัวสูง จะเอาแต่ธรรมะสูงๆ แต่การปฏิบัติไม่ไปไหน เช่น จะเอาแต่ธรรมะแก่นแท้สัจธรรมอันล้ำลึก อ่านแล้วไม่เข้าใจ คุยกับใครไม่รู้เรื่อง แต่เรื่องการปฏิบัติพื้นฐาน, อินทรีย์ห้า ไม่พัฒนาอะไรเลย

    2 เอาแต่คิด จิตไม่พัฒนา
    คือ พวกเก่งคิด, เก่งใช้สมอง, ชอบใช้ความฉลาดแต่ไม่ได้มีปัญญาจริง วันๆ คิดไปเรื่อยๆ เป็นธรรมะแบบน้ำท่วมทุ่ง ไหลไปได้เรื่อยๆ แต่จิตใจเหมือนเดิม ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

    3 ตั้งเจตนาเอา ไม่เป็นธรรมชาติ
    คือ พวกที่เน้นการปฏิบัติมากไป มากเกิน ทำอะไรเลยเต็มไปด้วยเจตนาไปก่อนเสมอ เลยไม่เป็นธรรมชาติ เพราะทำมากเกินจนไม่มีความพอดี พยายามมากเกิน จนไม่เข้าใจว่าอะไรคือธรรมชาติ

    4 แบ่งพรรคพวก หาเสียงสนับสนุน
    คือ พวกที่ไม่ได้มีจิตตรงสู่สัจธรรมจริง แต่ต้องการแค่การยอมรับหรือพรรคพวก นิยมสร้างพรรคพวก แสวงหาพรรคพวก และชอบแบ่งพรรคพวก เช่น วัดของพวกฉัน, พระของพวกฉัน, แนวฉัน ฯลฯ

    5 ติดตัวตนของผู้มีธรรมะมากไป
    คือ ปฏิบัติตรงทางแล้ว เกือบจะได้แล้ว แต่ไปติดตรงตัวตนของผู้มีธรรม, ตัวตนอรหันต์, ตัวตนโพธิสัตว์, ตัวตนอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะต้องมีคนมายอมรับ จึงต้องทำตัวทำตนให้เป็นไปในแบบที่คนนิยม

    6 ปฏิบัติครึ่งๆ กลางๆ กล้าๆ กลัวๆ
    คือ คนที่ปฏิบัติไม่ถึงที่สุด เมื่อไม่ทำให้ถึงที่สุด มันก็เลยไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม คนที่เขาจะได้ธรรมจริง ไม่มีใครกลัวตายสักคน ตายเป็นตาย เขาปฏิบัติกันยิ่งยวด ทำถึงที่สุดกันทั้งนั้นแหละ ก่อนจะพอดีได้

    7 ผีเฝ้าตำรา, ผีเฝ้าศาสนา, ทายาทอสูร
    คือ พวกที่ตายแล้วกลายเป็นผีเฝ้าตำรา, ผีเฝ้าศาสนา, ผีเฝ้าวัด ฯลฯ เป็นแค่ทายาทอสูร ตัวตายตัวแทนของผีตนเก่า เพราะไม่รู้ทางหลุดพ้น ถูกผีพวกนี้ครอบงำให้หลงตำรา, ยึดศาสนา, ยึดติดวัดมากไป

    8 หาแหล่งธรรมะที่แท้จริงไม่เจอ
    คือ พวกที่รู้ตัวแล้วว่าตนเองต้องไปหาแหล่งธรรมะที่ถูกต้อง มีสติในเบื้องต้น แต่ไม่มีบุญวาสนาพอที่จะไปถึงต้นธาตุต้นธรรม ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ดี ต่อสายธรรมไม่ถูก หาสายธรรมไม่เจอ เลยปฏิบัติเอง

    9 พวกอื่นๆ
    เช่น บางคนอ่อนน้อมถ่อมตนแต่เรื่องธรรมะไม่ยอมใคร สักกายทิฏฐิก็ยังมี, บางคนยึดถือธรรมะบางอย่างมากเกินจนเหมือนคนคลั่งไคล้อะไรสักอย่างจนไม่บรรลุ เช่น ธรรมสุญตา ฯลฯ เหล่านี้จึงไม่บรรลุ

    เมื่อมีสติรู้ตัวตนแล้วว่าเราเป็นแบบไหน ก็ให้ตื่นแจ้งออกมาเสียครับ
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    โลกหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีการปกครองเดียวกัน?


    โลกหนึ่งเดียว (One world) ที่ใกล้จะมาถึง เพราะโลกเก่าของเราใกล้จะถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้แล้ว ทุนนิยมใกล้ล่มสลายแล้ว พวกเขาจึงคิดที่จะทำสงครามเริ่มต้นใหม่ (Set zero) พวกเขาคิดว่าโลกหนึ่งเดียวนั้น จะต้องมีระบอบการปกครองเดียวกัน, ศาสนาเดียวกัน ฯลฯ แท้จริงแล้ว มันจำเป็นหรือ ถ้าโลกกลมกลืนรวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว โดยที่ยังคง "ความหลากหลาย" อยู่ละ? จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะไม่ต้องทำลายความหลากหลายเหล่านี้? หรือการทำลายความหลากหลายอาจไม่ใช่สิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง? ประเทศต่างๆ อาจเลือกที่จะมีระบอบการปกครองต่างกันได้ มีหลายๆ ศาสนาในประเทศนั้นๆ ได้ แล้วถามว่าเช่นนั้นโลกจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร? ด้วยอะไร? ในเมื่อไม่มีอะไรรวมกัน เหมือนกัน หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน?

    คำตอบก็คือ "ระบบเศรษฐกิจ" ไงครับ หากโลกหนึ่งเดียวของเรามีระบบเศรษฐกิจเดียวกัน เราก็สามารถค้าขายกันได้ทั่วโลกภายใต้ระบบนี้ ซึ่งระบบเศรษฐกิจนี้ต้องเป็นมิตรกับทุกระบอบการปกครอง สามารถใช้ได้กับทุกการปกครอง เช่น ปชต., สังคมนิยม, กษัตริย์ ฯลฯ ซึ่งชายคิดว่ามีจริงครับ ระบบเศรษฐกิจ NEWS ที่ชายเสนอนี้ มีจุดหมายปลายทางเพื่อประชาชน หรือก็คือทำเพื่อสังคมที่เท่าเทียมกันไม่ต่างจากเป้าหมายของ ปชต. และสังคมนิยม ทว่า เราจะดึงเอา ปชช. มามีส่วนร่วมด้วย เรียกว่า "โดยประชาชน" นั่นเอง ทีนี้ รัฐก็ไม่ต้องแบกรับภาระหนักเกินไปอีกแล้ว และเอกชน, นักลงทุน ก็ไม่ถูกทอดทิ้งแบบทุนนิยม (ในระบบทุนนิยมนั้น ใครเจ๊งก็เจ๊งไป ไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐครับ) อีกทั้งระบบนี้ไม่ได้มีโครงสร้างใหม่ (New structure) แต่เป็นเพียงพลังงานใหม่ (New Energy World Supporter) เหมือนการเปลี่ยนไปใช้พลังงานใหม่แต่เครื่องยนต์เดิม

    สาเหตุของปัญหาที่แท้จริงของโลกทุกวันนี้คือ "ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม" ซึ่งนำไปสู่การทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนเกิดภาวะโลกร้อน, ความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้, ความเหลื่อมล้ำทางสังคม, ปัญหาสังคม และท้ายที่สุดคือ ความล่มสลายของทุนนิยมซึ่งใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ดังนั้น เราต้องเกาให้ถูกที่คัน แก้ให้ถูก ให้ตรงที่เหตุ โลกไม่ได้มีปัญหาเพราะระบอบการปกครอง ในโลกนี้มีระบอบการปกครองที่หลากหลาย แต่ละประเทศก็ปกครองประชาชนของเขาได้ โลกมีศาสนาที่หลากหลายแต่ไม่ใช่ปัญหาหากไม่มีใครไปทำให้เกิดปัญหาเหมือนในโลกมุสลิม หลักการแพทย์มีอยู่ว่าจุดใดที่มีปัญหาเราก็แก้ไขจุดนั้น จุดอื่นๆ ที่ไม่มีปัญหาเราก็ไม่ควรไปยุ่ง ไปแตะให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อองค์รวมครับ ดังนั้น เราจะแก้ปัญหาโลก เราไม่ควรไปแก้ที่ระบอบการปกครองหรือศาสนา แต่ควรแก้ที่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง เพราะมันคือสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง!

    การบีบให้โลกมีระบอบเดียวกัน, ศาสนาเดียวกันคือชนวนสงครามครับ!
     
  17. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +1,506
    เขียน ๑๙.๔๕

    หนวกหูจริงโว้ย เบื่อพระ มานั่งดูทีวีทุกคืนเลย
    รบกวนสมาธิมากเลย "ใคร" ทำอะไรบ้างดิ

    อีกไม่นาน จีนจะต้องเสียใจ ที่ใช้นโยบายเช่นนี้
    ก่อศัตรูไปรอบด้าน มีแต่คนเกลียดชังมากขึ้นเรื่อยๆ
    ทุกประเทศก็เริ่มรู้ตัวแล้ว แผนต่อต้านก็จะเริ่มมีมากขึ้น
    ดูให้ดีๆ จีนแทบไม่มีมิตรแท้ ที่จริงใจเลย เพราะสันดานแย่

    เราก็คงต้องเริ่มวางแผนรับมือไว้บ้างแล้ว ก่อนจะโดนยึดทั้งประเทศ
    หลายปีก่อน เคยไปเดินห้างพันธุ์ทิพย์ ก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว
    คนจีนเต็มเลย ร้านค้าโดนถล่มราคา สินค้าห่วยๆ
    ป่านนี้ ห้างเจ๊งหรือโดนซื้อไปแล้วล่ะ มั้ง

    เออีซี น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ในการต่อต้าน
    สู้กันเป็นทีม คงพอมีหวัง ต้องปลุกระดม
    "ฝั่งโน้น" ที่อยู่ประเทศต่างๆ ตื่นเร็ว
    ปลุกจิตสำนึกแห่งชาติขึ้นมา
    แล้วเริ่มโจมตีกลับได้


    กระต่ายป่า แห่งเออีซี / แสงสว่างตราค้างคาว

    .
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ตื่นแจ้งโลก อย่างที่โลกเป็น?


    หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการตื่นแจ้งโลกคือการเห็นโลกเป็นสิ่งเลวร้าย มองโลกในแง่ลบ เช่น โลกมีแต่ทุกข์, การเกิดมีแต่กรรม, การวนเวียนในสังสารวัฏมีแต่ทุกข์ ฯลฯ อันนี้ยังไม่ใช่การตื่นแจ้งโลกที่แท้จริงนะ มันเป็นแค่ "อุบายหลอกล่อจิตให้ไม่หลงโลก" เหมือนเราหลอกเด็กให้กลัวอะไรสักอย่าง แต่นั่นไม่ใช่ความจริง ไม่จริงตรงไหน? ไม่จริงตรงที่โลกมีสองด้าน ไม่ใช่มีแต่ทุกข์ ทีนี้ เราไปมองด้านลบ ด้านทุกข์ ทำให้ไม่หลงโลก แล้วเกิดอาการที่เรียกว่าการหลุดโลก คือ ไม่อยากอยู่ในโลกอีกแล้ว อยากจะไปให้พ้นๆ โลกเสีย มีอคติกับโลก แต่ไม่ได้เห็นแจ้งโลกอย่างเป็นกลางๆ ไม่ได้เห็นโลกครบสองด้านอย่างแท้จริง แบบนั้นเรียกว่าใช้ยาเกินขนาด คือ เอาอุบายธรรมมาหลอกล่อให้ตัวเองไม่หลงโลก แต่มันมากเกินไปนะ

    โลกนี้มีสองด้าน ทั้งสุขและทุกข์ ดีและไม่ดี ขาวและดำ เหมือนกับหยินหยางอย่างนั้น มีลาภเสื่อมลาภ เป็นธรรมดา, มียศเสื่อมยศเป็นธรรมดา, มีสุขก็มีทุกข์, มีสรรเสริญ ก็มีนินทา ฯลฯ เป็นธรรมดา นี่คือ ธรรมดาโลก เรียกว่า "โลกธรรมแปด" อย่างไปมองโลกด้านเดียว บางคนไปมองด้านเดียว แต่ด้านดี ก็กลายเป็นพวกโลกสวย บางคนไปมองด้านเดียวแต่ด้านร้าย ว่าโลกเป็นทุกข์ โลกเป็นสิ่งไม่ดี ทำให้อยากหลุดพ้นจากโลก อันนี้นับเป็นอุบายเฉยๆ แต่ไม่ใช่สัจธรรม เพราะมันไม่ใช่ความจริง ใช้แค่พอเป็นอุบายให้ตื่นจากการหลงโลกได้ แต่ถ้าใช้มากไปมันจะ "หลุดโลก" มันจะไม่อยู่ในโลกกันแล้ว คนที่เขาตื่นแจ้งโลกอย่างแท้จริงเขาย่อมมี "สัมมาทิฏฐิ" มีใจเป็นกลาง เห็นโลกทั้งสองด้านอย่างกลางๆ เป็นธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาตินะ คือ เห็นว่าโลกก็มีสองด้านแบบนี้แหละ ทั้งด้านดี ด้านไม่ดี ด้านมืด ด้านสว่าง เราอยู่ในโลก ไม่ติดโลก ไม่หลงโลก แต่ไม่หลุดโลกให้ได้ เวลามีใครมายกย่องชื่นชม มาสรรเสริญเรา เราก็ต้องทำใจว่าจะมีคนอีกกลุ่มนินทาว่าร้ายเราเป็นธรรมดา เคยเห็นดาราไหม? เขาไม่เสียเวลาใส่ใจกับคำนินทาว่าร้ายของคน เพราะเข้าใจในโลกธรรมแปดนี้ ดารา, นายแบบ, นางแบบ, นักร้อง ฯลฯ อย่าคิดว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติธรรมนะ เขามีธรรมอยู่ ธรรมของเขาคือ "โลกธรรมแปด" เขาอยู่กับโลกธรรมแปด เขาไม่หลงเวลามีคนมารักมาชื่นชม เขาไม่เป๋เวลามีคนมานินทาว่าร้าย เวลาสุข สุขได้ เวลาทุกข์ ทุกข์เป็น ไม่ใช่หลุดโลก ทุกข์ไม่เป็น สุขอย่างเดียว ติดสุข ติดฌาน นั่นเป็นพวกพรหมโลก เป็นมนุษย์ต่างดาว มนุษย์โลกนี้เขามีทั้งสุขและทุกข์กัน มีทั้งสองด้านนะ

    ผู้มีปัญญาธรรมแท้จริง จะต้องดำรงอยู่ในโลก ในโลกธรรมแปดได้!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กันยายน 2016
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    หลัก 7 ประการของระบบเศรษฐกิจ NEWS สู่โลกหนึ่งเดียว​



    ก่อนที่ระบบทุนนิยมจีนจะครองโลก ชายอยากให้เราหันกลับมาดูแลระบบเศรษฐกิจในฝ่าย ปชต. กันอย่างจริงจัง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ดังที่ชายเคยได้กล่าวไว้แล้วในบทความก่อนๆ ในบทความนี้ชายขอเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบ NEWS ดังนี้

    1 หลักความรับผิดชอบของรัฐ
    รัฐต้องมีความรับผิดชอบต่อระบบเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากมีองค์กรธุรกิจองค์กรหนึ่งล้มละลายไป สมมุติมูลค่าทางเศรษฐกิจอยู่ที่หนึ่งหมื่นล้านบาท ถ้ารัฐไม่ทำอะไรเลย ก็จะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ล้มละลายสูญเปล่าไปถึงหนึ่งหมื่นล้านบาท แต่ถ้ารัฐเข้าไปดูแล และพยุงไว้ ก็อาจใช้เงินเพียงไม่ถึงหมื่นล้าน อาจร้อยล้าน แต่สามารถรักษาความเสียหายก่อนล้มเอาไว้ ไม่ให้เกิดขึ้นได้

    2 หลักการกระจายความเสี่ยง
    รัฐต้องกระจายความเสี่ยงในการรับภาระต่างๆ ของชาติ ไปสู่ ปชช. เพราะรัฐผู้เดียว หากแบกรับภาระของชาติทั้งหมด อาจไม่ไหว แต่ ปชช. มีจำนวนมากมาย เมื่อเข้ามาช่วยกันแบกรับภาระของชาติ ที่หนักก็จะกลายเป็นเบา ที่ยากก็จะกลายเป็นง่าย รัฐต้องสร้างระบบหรือหาเครื่องมือที่เหมาะสมในการดำเนินการ ภาษีเป็นเครื่องมือหนึ่ง แต่รัฐจะใช้แต่ภาษีไม่ได้ เพราะจะกระทบต่อภาพรวมได้ครับ

    3 หลัก "โดย ปชช., เพื่อ ปชช."
    หลักการนี้มาจากแนวคิด ปชต. คือ "โดย ปชช. เพื่อ ปชช." ในการทำโครงการต่างๆ รัฐจะต้องใช้แนวคิดนี้ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดย ปชช. อย่างแท้จริง "ไม่ใช่รัฐ" รัฐเป็นเพียงตัวกลางในการดำเนินงาน, ประสานงาน, อำนวยความสะดวก ฯลฯ เพื่อให้ "ตัวหลัก" ในการขับเคลื่อนคือ ปชช. เพื่อทำให้ ปชช. เข้มแข็งและสามารถดูแลตัวเอง รับผิดชอบต่อส่วนรวม และชาติบ้านเมืองได้

    4 หลักโครงสร้างเดิมพลังงานใหม่
    หลักการนี้คือ การคงโครงสร้างทางเศรษฐกิจเดิมไว้ (Structure stabilize) แต่เปลี่ยนแปลงเพียงพลังงานในการขับเคลื่อน (New Energy World Supporter) ทำให้โครงสร้างเดิมไม่กระทบ ระบบเดิมไม่มีปัญหา สามารถใช้กับระบบเศรษฐกิจแบบใดก็ได้ โดยใช้พลังงานใหม่เข้าไปขับเคลื่อนเท่านั้นเอง อุปมาเหมือนการใช้รถคันเดิม แต่เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้พลังน้ำมัน เป็นก๊าซ LGV เท่านั้นเอง

    5 หลักส่งเสริมความเท่าเทียมมูลฐาน
    ความเท่าเทียมมูลฐาน คือ ความเท่าเทียมในมาตรฐานการดำรงชีพ ในฐานะมนุษย์โลก เช่น ปัจจัยสี่ อาหาร, ที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค และพลังงาน เป็นต้น ส่วนเรื่องที่เกินกว่านี้ เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะแสวงหา ไขว่คว้าเอาเอง รัฐไม่จำเป็นต้องสนับสนุน เช่น รถยนต์คันแรก อันนี้ไม่จำเป็น การที่รัฐเข้ามาดูแลมาตรฐานในความเท่าเทียมกันมูลฐานนี้ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมลงได้ครับ

    6 หลักส่งเสริมทุกระบอบการปกครอง
    ระบบเศรษฐกิจแบบ NEWS นี้เป็นมิตรกับทุกคนทุกเชื้อชาติศาสนา และสามารถสนับสนุนการปกครองได้ทุกระบอบ ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบ ปชต., คอมมิวนิสต์, หรือกษัตริย์ ทำให้โลกทั้งหมดสามารถใช้ระบบเศรษฐกิจเดียวกันได้ สามารถค้าขายกันได้ทั้งโลก โดยไม่มีปัญหาเรื่องความแตกต่างในระบอบการปกครอง, ศาสนา จึงไม่ต้องทำสงครามบีบให้โลกมีระบอบการปกครองเดียวกันอีก

    7 หลักปรับเปลี่ยนง่ายเพียงแค่แนวคิด
    เพราะไม่ได้เน้นที่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง แต่เน้นที่พลังงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเท่านั้น ทำให้ทุกประเทศ ทุกระบอบการปกครอง สามารถปรับเปลี่ยนมาใช้แนวคิดเศรษฐกิจ NEWS นี้ได้ อย่างง่ายดาย โดยไม่เกิดผลกระทบต่อระบบ, ระบอบเดิม เหมือนใช้พลังงานใหม่เข้าไปในรถยนต์ได้หลายๆ คัน หลายๆ ยี่ห้อ เพราะเป็นเรื่องของหลักการและแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไป เพียงเท่านั้นเอง

    เปลี่ยนก่อนที่จะสายเกินไป! จนต้องทำสงคราม Set zero กันครับ
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ปฏิบัติธรรมแบบพระ ฆราวาสจะไปเลียนแบบไม่ได้!


    ฆราวาสสมัยนี้ปฏิบัติธรรมกันเยอะ แต่เราไม่ใช่พระ เราไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างพระ ดังนั้น เราจะไปปฏิบัติแบบพระ เหมือนพระจริงๆ นั้น ไม่ได้ สมัยพุทธกาล พระอานนท์ได้ให้ "ฆราวาสธรรม" ที่เรียกว่า "ขันธ์สาม" แก่คนผู้หนึ่ง คนผู้นี้อยู่ในลัทธิพราหมณ์ และมีความจำเป็นไม่อาจออกมาจากลัทธินั้นได้ ไม่อาจบวชพระได้ ทว่า เขาจะต้องรับขันธ์สามนี้ ทำไมต้องรับขันธ์? เพราะเขาถึงที่สุดแห่งธรรมแล้วจะทรงขันธ์ในเพศฆราวาสได้ยาก ทว่า มีปัญหาบวชไม่ได้ก็เลยต้องรับขันธ์สามจากพระอานนท์ คนไทยเราก็มีประเพณีรับขันธ์ห้าเหมือนกัน แต่ของเราไม่เหมือนของพระอานนท์นะ ดังนั้น ธรรมในแนวฆราวาสที่ไม่เหมือนของพระสงฆ์ จริงๆ มีตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว แต่ตอนนั้นพระสมณโคดมละสังขารแล้วนะ พระอานนท์จึงไปโปรดพราหมณ์ผู้นั้นแทน ขันธ์สามแบบพระอานนท์ ทำให้ฆราวาสไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้โดยไม่ต้องบวช สามารถปฏิบัติเป็นฆราวาสได้ ทว่า เราทุกวันนี้ มักไปเลียนแบบพระสงฆ์กัน บางคนจะไม่ทำกรรมอะไรเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เรายังเป็นฆราวาสกันอยู่ บางคนแค่พูดตักเตือนหน่อยก็ไม่ได้ หาว่าเป็นกรรม ว่ากล่าวกันไม่ได้ นี่ไม่ใช่แล้ว เราไม่ใช่พระ เราทำกรรมได้แบบฆราวาส จะไปเอาอย่างพระสงฆ์เขาได้อย่างไร? เรามีกิเลสได้ ไม่ใช่ห้ามโกรธ ห้ามมีเลย

    ธรรมแบบฆราวาสจะเริ่มต้นแพร่หลายใน "กึ่งกลางพุทธกาล" ตามคำทำนายว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะลงมาสร้างพุทธศาสนาในภาคฆราวาส แต่ในสมัยพุทธกาลนั้น พระอานนท์ได้ทำไว้เป็นแบบอย่างแล้ว ไม่ใช่ไม่มี เคยมีมาก่อน (ที่เรียกว่าขันธ์สาม) คนไทยเราก็ทำไว้เช่นกันเรียกว่า "การรับขันธ์ห้า" ถามว่าทำไมต้องไปรับกัน? อย่างนี้ บางคนปฏิบัติจิต หรือผ่านเวรกรรม ผ่านการถูกทดสอบมาอย่างยิ่งยวด จนบางคนสูญเสียจิตวิญญาณ กลายเป็นคนไม่เต็มก็มี บ้างก็เกิด "ขันธปรินิพพาน" เกิดเองนะ ตามธรรมชาตินี่ละ เพราะสุกงอมมาเต็มที่แล้ว เต็มแก่แล้ว ห้ามไม่ได้ ทีนี้ เขาจะทรงขันธ์ยากแล้ว นี่ใครไม่เป็นไม่รู้ ปฏิบัติไม่ถึงจะไม่รู้ อาการใกล้จะละสังขารเป็นเช่นไร? มันมีกันได้ ทีนี้ ถามว่าถ้าเราไม่อยากเป็นแบบนี้มีทางออกไหม ตอบได้ว่า "มีแน่นอน" การปฏิบัติยิ่งยวดให้ถึงนิพพานนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็น "ขันธปรินิพพาน" เพราะหากขันธ์นิพพานไปแล้ว คุณจะทรงขันธ์ได้ยากและต้องรับขันธ์ ไม่งั้นก็ต้องบวช ทางออกคือ คุณก็ปฏิบัติให้ได้ "กิเลสนิพพาน" แทน ไม่ว่าขันธปรินิพพานหรือกิเลสนิพพาน ล้วนเป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน" ทั้งคู่ เป็นนิพพานก่อนตาย ใช้ได้ทั้งคู่ ทำให้บรรลุทั้งคู่ แต่ขันธปรินิพพานจะทรงขันธ์ยากกว่า ส่วนกิเลสนิพพานนั้น ไม่มีปัญหาในการทรงขันธ์ เหมาะกับฆราวาส

    ปฏิบัติไปให้ถึงเสียก่อนเถิด แล้วจะทราบว่าของบางอย่างมีอยู่จริง!
     

แชร์หน้านี้

Loading...