ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ระบบเศรษฐกิจ ทำลาย ปชต. และโลกได้อย่างไร?​



    โลกร้อนและปัญหาของโลกในปัจจุบัน ล้วนเกิดจากระบบเศรษฐกิจ จริงอยู่ว่าปัญหาของโลกอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่สามเหตุที่มาจากระบบเศรษฐกิจนั้น มีอยู่แน่นอน เหมือนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรุกเข้ามาของระบบเศรษฐกิจแบบจีน ดังที่ชายเคยได้กล่าวไปแล้ว ในบทความนี้ จะกล่าวถึงปัญหาที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจรวมๆ ดังนี้

    1 ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
    ทำให้มนุษย์กลายเป็นได้แค่ "ขี้ข้าชั้นดี" สำหรับองค์กรๆ หนึ่ง หรือก็คือ "มนุษย์เงินเดือน" ที่ถูกตีค่า ตีราคาด้วยเงินเดือนได้ ในอเมริกาสามารถพิมพ์ดอลล่าร์เท่าไรก็ได้ โดยไม่อิงกับทองคำ เมื่ออเมริกาพิมพ์ออกมาแล้ว ก็มาจ้างให้ประเทศที่ยากจนทำงานในฐานะขี้ข้า ทีนี้ อเมริกาก็แค่เป็นเจ้านายมาสั่งใช้ประเทศที่ยากจนทำงานไป นี่มันระบอบศักดินาชัดๆ ไม่มีความเป็น ปชต. เลย เห็นไหม? ปชต. ในประเทศกำลังพัฒนา ถูกทำลายด้วยระบบทุนนิยมอย่างนี้ อเมริกาใช้เงินซื้อคนทั้งประเทศก็ได้ ให้คนทั้งประเทศนั้นเป็นขี้ข้า เท่านี้ก็จบ

    2 ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
    ทุกๆ การผลิตจะต้องแลกมาซึ่งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติครับ เช่น ระเบิดภูเขาเอาแร่, ตัดไม้เอามาแปรรูป, ใช้สารเคมีเพื่อทำการเกษตร, ปล่อยสารพิษลงแม่น้ำในกระบวนการผลิต ฯลฯ จนในที่สุด ก็กลายเป็น "ภาวะโลกร้อน" อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นี่แหละ ที่ว่าระบบทุนนิยมทำลายโลก ไม่ใช่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่งครับ โดนหมดทุกประเทศ ประเทศทุนนิยมไม่เคยรับผิดชอบต่อผลกระทบนี้ พวกเขาเพียงแค่ "ล่าเหยื่อ" จากประเทศหนึ่งไปสู่ประเทศหนึ่ง หากประเทศไหนหมดประโยชน์แล้วก็ย้ายไปล่าเหยื่อประเทศใหม่ครับ

    3 ทำลายสังคมของมนุษย์
    ระบบ "องค์กร" เข้ามาแทนที่ "ระบบสังคม" เอาง่ายๆ ผู้ใหญ่ที่เคยอยู่ในสังคมอย่างได้รับการยอมรับ อาจกลายเป็นแค่ยามแก่ๆ ที่ถูก CEO หนุ่มด่าเอาก็ได้ นี่คือ ระบบองค์กรของทุนนิยม ที่ทำลายได้แม้แต่สังคมมนุษย์ ความเป็นสังคมมนุษย์, ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล, สถานภาพในสังคม ฯลฯ ล้วนถูกทำลายได้ด้วยการแทนที่ด้วยคำว่า "ระบบองค์กร" สถานภาพที่ถูกตั้งขึ้นตามสมมุติในแต่ละองค์กร เข้ามาแทนที่และมีอิทธิพลเหนือกว่าปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม เราต้องทำงานอยู่ในองค์กรที่ถูกจัดให้เป็นไป แต่ไม่เป็นธรรมชาติ

    4 ทำลายประชาธิปไตย
    ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ไม่เคยสนับสนุน ปชต. เลย ตรงกันข้าม มันสนับสนุนระบอบศักดินาต่างหาก เริ่มแรก เจ้าขององค์กรธุรกิจก็คือ "เจ้า" คือ "นาย" และลูกจ้างก็คือ "ขี้ข้า" คือ "บ่าว" ดังนั้น คุณไม่ต้องไปหวังว่าจะมีความเท่าเทียมในระบบทุนนิยม มันไม่มีแม้แต่เสรีภาพที่คุณจะพูด จะวิจารณ์เจ้านายของคุณด้วยซ้ำ เพราะเขาก็คือ "เจ้า" ไงละครับ ห้ามวิจารณ์ เหมือนผิด ม. 112 คุณอาจถูกไล่ออกได้ นี่เรื่องจริง ชีวิตจริง ระบบทุนนิยมไม่เคยช่วยให้เกิด ปชต. มันคือ "กาฝาก" ที่ย้อมตัวเป็นสีขาวให้เหมือนนกพิราบเท่านั้นเอง

    5 ทำลายโลก นำไปสู่สงคราม
    ระบบทุนนิยมไม่อาจนิรันด์ตลอดไป มันไม่เที่ยงแท้และจะต้องล่มสลายในวันหนึ่ง ทุกคนรู้ดี และได้วางแผนให้เกิดสงคราม set zero ขึ้นไว้ เพื่อล้างระบบเป็น 0 เพื่อเริ่มต้นใหม่ พูดง่ายๆ คือ ระบบนี้มันนำพาเราไปสู่สงครามโลกชัดๆ เพราะมันมีจุดจบเช่นนั้น มันถูกสร้างมาเพื่อการกอบโกยและบริโภค บริโภคกันจนหนำใจ จนหมดโลกแล้วก็ทำสงครามฆ่ากันให้ตายไปทั้งโลก ก่อนที่จะมาเริ่มต้นกันใหม่ นี่หรือคือระบบเศรษฐกิจที่ดี? ในเมื่อตัวมันเองนำทางเราไปอย่างนี้ มีอนาคตคือสงครามโลกเช่นนี้ จะเป็นระบบเศรษฐกิจที่ดีได้ยังไง

    ระบบทุนนิยมใกล้ล่มสลายแล้ว เราควรคิดหาระบบใหม่ได้แล้วครับ!
     
  2. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    like ที่1988,1990ครับผม
    ปล.พี่ดอกไม้สู้ๆchearrchearrchearr
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ศรัทธากับวิริยะยังไม่เต็มที่เลย ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร?


    อินทรีย์ห้าของเราได้แก่ ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา นั้น จะเกิดขึ้นได้เป็นลำดับ กล่าวคือ เราต้องมีศรัทธาที่ถูกต้องตรงทางก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อศรัทธาเต็มที่แล้ว ไม่อาจศรัทธา ไม่อาจจะเชื่ออะไรได้ไปกว่านี้แล้ว เราต้องใช้วิริยะต่อไป เหมือนการต่อรถต่อเรือน่ะละ ทีนี้ เราต้องเพียร ต้องวิริยะจนถึงที่สุดก่อน แล้วสติ, สมาธิ และปัญญา จึงจะเกิดขึ้นตามมาได้ หลายคนชอบลัดขั้นตอนนะ ยังไม่ได้วิริยะเต็มที่เลย ไปเอา "ปัญญา" กันแล้ว ไปนั่งคิดเอา นึกเอาว่าธรรมะเป็นอย่างนั้น สัจธรรมเป็นอย่างนี้ นิพพานเป็นอย่างโน้น คิดเอาเองกันทั้งนั้น พวกนี้เรียกว่า "ปรัชญา" นะ มันยังไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่สัจธรรม นั่งคิดเอาก็ได้แค่ปรัชญา มันไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง ปัญญาที่แท้จริงจะเกิดจากการคิดเอาเองไม่ได้ คิดเอาเองมันก็มีแต่อุปทานไปเองทั้งนั้น ปัญญามันจะเกิดได้เราวิริยะเต็มที่หรือยัง เมื่อวิริยะแล้ว สติเกิดไหม? สมาธิละ? สองตัวนี่ถ้าเต็มที่ของมันอีก สุดท้ายก็จะเกิดปัญญาได้ เหมือนการปูอิฐจากรากฐาน ถ้ารากฐานยังไม่ดี ยังไม่ได้ทำ ยังไม่เต็มที่ มันจะปูขึ้นไปถึงยอดได้อย่างไร? ก็ไม่ได้ ปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าแม้แต่วิริยะยังไม่เต็มที่เลย?

    หลายคนชอบอุปทานไปเองว่า "นี่คือความพอดี" ชอบไปกำหนดเอา คิดเอาถึงความพอดี ที่แท้จริงมันคือ ความขี้เกียจนะ ยังเพียรไม่เต็มที่ ยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ยังไม่ได้มรรคผลอะไรทั้งนั้น แล้วใจร้อน อยากได้เร็วๆ เลยอุปทานไปเองเลยว่าตรงนี้ก็พอแล้ว ตรงนี้ก็พอดีแล้ว มันจะพอดีได้ยังไง ในเมื่อเรายังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมเลย ทำอะไรทำให้เต็มที่ ทำให้ถึงที่สุด เหมือนเป๊ปซี่ เต็มที่กับชีวิต เคยไหม? เคยเห็นคนญี่ปุ่นไหม? เขาทำเต็มที่ ทำเหมือนจะตายให้ได้เลย เขาไม่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เหมือนคนไทยนะ คนไทยเรารักสบาย ชอบคิดไปเองว่าทำเท่านี้ก็พอแล้ว อุปทานไปทั้งนั้น พอได้ไง มันยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมเลย วิริยะยังไม่เต็มสมบูรณ์เลย มันจะเกิดปัญญาได้ยังไง เห็นพระป่าไหม? แต่ละรูปเข้าป่านี่ไปเสี่ยงตายนะคุณ เสี่ยงชีวิตแลกธรรม บุกป่าไปรูปเดียว บ้างเป็นไข้ป่าตาย บ้างถูกสัตว์ร้ายกัดตาย บ้างไม่มีข้าว ไม่มีน้ำดื่มก็ตาย กว่าจะได้ธรรมมาได้ เขาไม่ได้นั่งอ่านธรรมะเอา นั่งฟังธรรมะเอา แล้วมาบอกว่าบรรลุธรรมแล้ว แบบนั้นไม่มีหรอก ไม่มีใครได้ธรรมะมาโดยยังไม่ได้เพียรจนถึงที่สุดแห่งธรรมหรอกนะ ไม่มีใครไม่เคยเสี่ยงด่านเป็นตายมาก่อนที่จะได้ธรรม คนเราจะได้ธรรมได้ต้องวิริยะจนถึงที่สุดแห่งธรรม ต้องผ่านด่านความเป็นความตายมาก่อนแล้วทั้งนั้นจึงจะเกิดปัญญา

    เราเป็นฆราวาสก็ทำให้เต็มที่ ทำให้ถึงที่สุดแห่งธรรมในหน้าที่นี่ละ!
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    "โจชัว หว่อง" หมากที่ผิดพลาดของอเมริกา​



    หลายคนเกรงว่าการเข้ามาของอเมริกาจะทำให้เกิดสงครามกลาง เมือง และกล่าวไปถึงขั้นที่ว่าการเคลื่อนไหวของโจชัว หว่อง ที่จะมาไทยครั้งนี้ อาจนำแนวคิดการต่อสู้มาด้วยและทำให้เกิดคลื่นใต้ น้ำครั้งใหม่ ทว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่เลยครับ ถามว่าไม่ใช่อย่างไร? สรุปง่ายๆ อย่างนี้ เดิมทีอเมริกาอาจนิยมใช้ยุทธวิธีปลุกปั่นให้คนในประเทศเรียกร้องปชต. ด้วยตัวเอง จนนำไปสู่สงครามกลางเมือง เช่น การใช้ โจชัว หว่อง เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจีนที่ครอบงำฮ่องกงอยู่ ทว่า ถ้าคุณดูให้ดี จะพบว่าอเมริกาได้ทบทวนแผนการณ์ใหม่ทั้งหมดแล้ว และเดินเกมแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะในเขตเอเชีย เช่น การที่ให้โจชัว หว่อง ต่อสู้ในระบบแทนการต่อสู้อยู่ภายนอกระบบ ขับดันให้เขาเข้าสมัครรับเลือกตั้ง จนได้รับชัยชนะ นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอเมริกาไม่ต้องการสร้างสงครามกลางเมือง จึงให้โจชัว หว่อง เดินเกมเข้าสู่ระบบการเลือกตั้ง ถ้าเขาต้องการให้เกิดสงครามกลางเมือง เกิดความแตกแยกจริง เขาต้องไม่ให้โจชัว หว่องเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งแน่นอน แล้วให้เดินเกมนอกระบบ เพื่อล้มล้างระบบเดิม จริงไหมครับ? ดังนั้น ข้อกังวลเดิมๆ ของหลายท่าน ชายอยากบอกว่ามันไม่จริงแล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว อเมริกาใช้แผนการใหม่ คือ "แผนการต่อสู้แบบชาวยิว" คือ ยังไง? ก็คือ การที่เราไม่แยกตัวจากระบบ แทรกซึมเข้าไปในระบบ แล้วสร้างอิทธิพลจากภายในระบบเหมือนที่ชาวยิวทำ จนมีอำนาจมากมายในขณะนี้

    ทว่า ที่ชายบอกว่าการเดินเกมของอเมริกาเป็นหมากที่ผิดพลาดนั้น คืออะไร? คืออย่างนี้ครับ ถ้าโอบามาจะใช้แผนการณ์สู้แบบชาวยิว นับว่าคิดได้ยอดเยี่ยมมาก เพราะไม่ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง และยังเป็นวิธีที่ได้ผล ซึ่งชาวยิวใช้มานานแล้ว การแทรกซึมเข้าสู่ระบบแล้วสร้างอิทธิพลจากภายในเป็นวิธีที่แยบยลมาก ผิดอยู่อย่างเดียวคือ "โจชัว หว่อง" เป็นคนที่เคยต่อสู้อย่างเปิดเผยมาก่อน จนทำให้จีนไหวตัวทันได้ จีนย่อมจับตามองความเคลื่อนไหวของเขาได้โดยตลอด และสามารถ "เก็บ" เขาได้ถ้าจำเป็น เหมือนที่ทำกับปันเชน ลามะ แห่งธิเบตมาแล้ว ความผิดพลาดนี้ เกิดจากการก้อปแผนการณ์ต่อสู้แบบชาวยิวที่ไม่ละเอียดพอ ชาวยิวจะต่อสู้โดยไม่เปิดเผยตัวตนครับ ทุกคนเดินอยู่ในสังคมเดียวกับเรา แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นยิวบ้าง? พวกเขาหน้าตาเหมือนคนอเมริกันนี่แหละ แต่ใจไม่ใช่ ใจของพวกเขาเป็นยิว ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้เลยว่าใครเป็นใคร ปนกันอยู่ในทำเนียบขาวเต็มไปหมด นี่คือ "ความน่ากลัวของยิว" ที่คนหนึ่งคนสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคาดคิดนัก เพราะเขามีอิทธิพลต่อนโยบายสำคัญๆ ของประเทศอย่างสูง ชนิดที่เรียกได้ว่าบงการอยู่เบื้องหลังการเมืองโลกและอเมริกาเลยทีเดียว ในขณะที่ โจชัว หว่อง เป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นตัวหมากที่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย และถูกจีนจับจ้องอยู่ตลอด การก้อปปี้แผนการณ์การต่อสู้แบบยิวนี้ จึงมีจุดอ่อน จุดผิดพลาดที่เห็นได้อย่างชัดเจน!

    ทว่า ก็นับว่าอเมริกาได้เปลี่ยนแนวทางมาเดินได้ถูกทางแล้วละครับ
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    บัวหกกลีบแห่งการกระทำกรรม


    บุคคลกระทำกรรมหนักและเบา ส่งผลให้เกิดในชาตินี้หรือชาติหน้าได้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน อุปมาเหมือนบัวหกกลีบ ดังต่อไปนี้

    บัวชั้นที่หนึ่ง 1 "กระทำกรรมหนัก"
    การกระทำกรรมหนักเป็นเหตุ หวังผลให้เกิดได้สองลักษณะ

    - เกิดผลในชาตินี้
    คือ การกระทำกรรมหนักมากจนถึงขั้นเห็นผลในชาตินี้เลย เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อความอยู่รอดในชาตินี้ที่เป็นไปอย่างผิดศีลธรรม ทว่าสิ่งที่กระทำนั้นใช้เวลาสั้นในการออกดอกผล เช่น การยังชีพของมือปืนรับจ้าง ออกผลเกิดชาตินี้แล้ว ยังมีผลในชาติหน้าด้วย

    - เกิดผลในชาติหน้า
    คือ การกระทำกรรมหนักมากทว่ายังไม่เกิดผลในชาตินี้ได้ เพราะสิ่งที่ทำนั้นต้องใช้เวลาในการออกดอกออกผล เช่น การสร้างชาติ, กู้ชาติ, สร้างระบอบระบบต่างๆ ส่วนใหญ่ผู้กระทำอาจต้องสังเวยชีวิตกันไปข้างหนึ่ง เพราะเป็นกรรมหนัก แล้วจึงได้รับผลในชาติหน้า

    บัวชั้นที่ 2 "กระทำกรรมกลาง"
    การกระทำกรรมอย่างกลางเป็นเหตุ ให้เกิดผลได้สองลักษณะ

    - เกิดผลในชาตินี้
    คือ การกระทำกรรมอย่างกลางแต่เห็นผลได้ในชาตินี้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ใช้เวลาสั้นในการออกดอกผลหรือสำเร็จได้ด้วยพลังด้านมืด เช่น การทำงานเพื่อให้ได้เงิน ที่จะส่งผลให้เกิดในชาติหน้าด้วย

    - เกิดผลในชาติหน้า
    คือ การกระทำกรรมอย่างกลางแต่เห็นผลได้ในชาติหน้า เพราะใช้เวลานานในการออกดอกผลหรือเพราะไม่ได้ใช้พลังภาคมืด เช่น การทำงานแล้วไม่ได้เงิน ถูกโกงหมดก็จะได้รับผลบุญในชาติหน้า

    บัวชั้นที่สาม 3 "กระทำกรรมเบา"
    การกระทำกรรมอย่างเบาเป็นเหตุ ส่งผลให้เกิดได้สองลักษณะ

    - เกิดผลในชาตินี้
    คือ การกระทำกรรมอย่างเบาแล้วเห็นผลได้ในชาตินี้ เพราะอดีตเคยได้ทำกรรมนี้ไว้ก่อน เมื่อชาตินี้กระทำซ้ำเพียงเล็กน้อยก็เกิดผลได้ เช่น อดีตเคยสร้างเขื่อน ชาตินี้เป็นหัวหน้าสั่งการเฉยๆ ก็เกิดผลได้

    - เกิดผลในชาติหน้า
    คือ การกระทำกรรมอย่างเบาทำให้ชาตินี้ไม่เห็นผล แต่พอจะหวังผลได้ในชาติหน้า เช่น การทำบุญทำทาน เป็นต้น กรรมเหล่านี้เป็นกรรมที่เบาเกินไปกว่าที่จะเกิดผลได้ในชาตินี้ จึงไม่ควรหวังผล

    อนึ่ง กรรมทั้ง 6 ลักษณะนี้ บุคคลพึงพิจารณาก่อนที่จะกระทำเถิด
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ถึงเวลาทบทวน "วิถีการต่อสู้เพื่อ ปชต. ในไทย"


    ปัจจุบันประเทศไทยถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารชั่วคราว จึงเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนจะพัฒนาความเป็น ปชต. ในตัวเองด้วยการกล้าหาญที่จะต่อสู้กับรัฐบาล ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมจึงมีการเคลื่อนไหวของ ปชช. อยู่เนืองๆ แม้ระยะหลังๆ จะมีเหลือแต่กลุ่มนักศึกษาก็ตาม ทว่า การต่อสู้แบบการใช้มวลชนเข้าสร้างความวุ่นวายนั้น ชายไม่เห็นด้วย ภายหลังการต่อสู้เริ่มเปลี่ยนเป็นสันติวิธีมากขึ้น เช่น กรณี โจชัว หว่อง เปลี่ยนการต่อสู้แบบใช้มวลชน มาเป็นการสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง ดังที่ชายได้วิเคราะห์มาแล้ว ชายยังคงยืนยันเหมือนเดิมคือ โอกาสนี้เป็นโอกาสดีที่เราควรพัฒนา ปชต. ให้เกิดในระดับ ปชช. แต่ต้องเป็นไปโดยสันติวิธี เช่น การต่อสู้ตามหลัก Butterfly effect ซึ่งชายได้ใช้มาตลอด ทว่า ชายไม่ได้เน้นการต่อสู้กับคนในชาติเดียวกัน ชายเน้นการต่อสู้กับพวกกลุ่มทุนนิยมจีนที่เข้ามาทำลายระบบเศรษฐกิจไทย เป็นต้น ทั้งยังมีการเสนอระบบเศรษฐกิจใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ระบบทุนนิยมที่ใกล้จะล่มสลายด้วย นอกจากนี้ ชายยังเสนอให้ดึงเงินภาคประชาชนเข้ามาสู่รัฐในรูปอื่นที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อกระตุ้นให้ ปชช. มีความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมืองตามระบอบ ปชต. ตามหลักโดย ปชช. เพื่อ ปชช.

    ดังนั้น ชายจึงต่อสู้มาโดยตลอด แม้ไม่เคยใช้ยุทธวิธีระดมมวลชนก็ตาม ชายต่อสู้ใน "วิถียิว" แต่แตกต่างจากชาวยิวตรงที่ชายไม่ได้เข้าสู่ระบบ เมื่อไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ ชายจะทำลายระบบนั้นก็ได้ ชายย่อมไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพราะไม่มีส่วนได้เสียกับมัน จริงไหมครับ? ดังนั้น ชายจึงกล้าทำอะไรที่อาจจะเกิดผลกระทบกับระบบได้มากกว่าชาวยิว ในขณะที่ชาวยิวอาจรอให้ระบบล่มก่อน แล้วค่อยทำสงคราม set zero พวกเขาก็รอกันต่อไป แต่ชายจะทำสงครามแล้ว เพราะอะไร? เพราะจีนกำลังทำสงครามเงียบอยู่ เขายึดทิเบตได้แล้วก็แผ่ขยายอิทธิพลออกมาสู่ประเทศต่างๆ โดยรอบ เช่น เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ เป็นต้น ดังนั้น ชายจึงต้องทำสงครามเงียบตอบโต้เช่นกัน ชายต่อสู้โดยสันติวิธีและไม่ใช้ความรุนแรงเลย การต่อสู้ต่อไป จะเป็นการต่อสู้โดย "ทัพเศรษฐกิจ" ไม่ฝั่งทุนนิยม ก็ฝั่งสังคมนิยมที่จะต้องเป็นฝ่ายล้มไปข้างหนึ่ง หากใครล้มก่อน ชาวโลกก็จะคิดว่าเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจนั้นๆ ไม่ดีเป็นเหตุ ทำให้เกิดการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจทั้งโลก ทีนี้ ระบบทุนนิยมก็จะอ้างได้ว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร ความผิดอยู่ที่ระบบเศรษฐกิจจีนต่างหาก แล้วสร้างความเชื่อมั่น ให้ชาวโลกกลับมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบนี้ต่อไปได้ เอาละ คุณเห็นหรือยัง? สงครามเงียบ มันจะต้องเกิดขึ้น และเราจะต้องสู้เพื่อให้ได้รับชัยชนะ เพราะอะไร?

    "โจชัว หว่อง" มาไทยครั้งนี้ อาจช่วยให้การต่อสู้เปลี่ยนไปได้ครับ
     
  7. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ถ้าไม่ธุดงค์ บรรลุธรรมไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ?
    (สงสัย)
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746

    ไม่จริง

    ธุดงค์จะบรรลุธรรมได้ถ้าไม่ติดการจร
    การจรไปเรื่อยๆ เป็นภาวะๆ หนึ่งทำให้
    ติดการจรได้ ติดการจรไปเรื่อยๆ ไม่บรรลุ

    ส่วนการอยู่กับที่จะบรรลุได้ต้องไม่ติดที่
    เช่น อยากไปให้มันพ้นๆ ก็ไปไม่ได้ อยู่
    แบบโดนเวรกรรมกระหน่ำ คนทำไม่ดีใส่
    เหมือนนางเอื้อยแต่ก็ทนอยู่ไปงั้นๆ หาก
    ไม่เกิดความเบื่อหน่ายในสถานที่อยู่ก็ไม่
    ได้บรรลุธรรมแน่นอน ตายไปเป็นผีเฝ้าวัด
    เป็นผีฤษี ผีพระภูมิพระพรหม ส่วนใหญ่จะ
    มักจิตสงบนิ่ง ยังกะพระอรหันต์อย่างนั้นเลย
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ปฏิบัติธรรมไม่เป็นธรรมชาติ เพราะชอบถูกครอบงำเป็นไฉน?


    หลายคนปฏิบัติธรรมแล้วไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ เพราะนิยมเอาอะไรมาครอบงำตัวเอง แทนที่จะเปิดเผยธรรมะ ธรรมชาติภายในของตนเองออกมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ กลับปรุงแต่งเอาสิ่งที่ตนคิดว่าดี คิดว่าใช่ มาครอบงำตัวเอง จนไม่บรรลุมรรคผล ตัวอย่างดังนี้

    1 ธรรมะครอบงำ
    คือ เอาธรรมะ, คุณธรรม, ความดี, ความกตัญญู, ศีลธรรม ฯลฯ มาครอบงำตัวเอง เปลือกนอกจึงดูดี แต่ภายในลึกๆ ไม่ใช่ อะไรไม่ดีก็กดลงไว้ ซ่อนไว้ลึกๆ ด้วยการเอาธรรมะมากดทับ มาครอบงำไว้ ยิ่งปฏิบัติจึงยิ่งไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใสซื่อ

    2 อริยะครอบงำ
    คือ เอาตัวตนความเป็นพระอริยะ, พระอรหันต์, พระสงฆ์สาวก ฯลฯ มาครอบงำตัวเองไว้ บางคนเป็นฆราวาสแต่ทำตัวเลียนแบบพระ, บางคนเป็นพระแต่ทำตัวเลียนแบบฤษี เปลือกนอกดูเหมือนพระอริยะ แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันคือการครอบงำตัวเองด้วยตัวตนพระอริยะ

    3 ตำราครอบงำ
    คือ เอาตำรามาครอบงำตัวเอง อะไรๆ ก็ต้องอ้างอิงตำรา เหมือนเช่นนักวิชาการทำ จริงๆ เราเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง อยากพูดอะไรก็พูดไป มีผิด มีถูกได้ เป็นธรรมดา แต่เพราะกลัวคนจะไม่เชื่อถือ กลัวจะผิด เลยต้องอ้างตำราไว้ก่อน นานวันเข้าตำราก็ครอบงำในที่สุด

    4 ครูบาครอบงำ
    คือ เอาหลวงปู่ครูบามาครอบงำตัวเอง เอะอะอะไรต้องอ้างหลวงปู่ หลวงพ่อเอาไว้ก่อน บ้างทำตัวเหมือนหลวงปู่ หลวงพ่อ ต้องมีมาดเอาไว้ให้คนเชื่อถือ อันนี้ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาตินะ มันไม่เป็นตัวของตัวเอง มันเหมือนคนหลงลืมธรรมะ ธรรมชาติของตัวเองไป

    5 พุทธะครอบงำ
    คือ เอาพุทธะ พุทธภาวะหรือความเป็นพุทธะมาครอบงำตัวเอง เช่น คิดว่าตัวเองเป็นพุทธะแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ใช่ คิดว่าอะไรๆ ก็เป็นพุทธะไปหมด เหมือนคนกำลังคลั่งใคล้อะไรสักอย่างหนึ่ง มองอะไรก็เป็นพุทธะไปหมด สะกดจิตตัวเองให้เห็นทุกอย่างเป็นพุทธะตลอดเวลา

    6 ความสุขสงบครอบงำ
    คือ เอาความสุขมาครอบงำตัวเอง เพราะคิดว่าปฏิบัติธรรมได้ผลจะต้องมีความสุข หรือคิดว่า "นิิพพานัง ปรมัง สุขขัง" ปฏิบัติแล้วจึงเอาความสุขมาครอบงำตัวเอง แต่ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาตินะ ความสุข ความทุกข์อะไร มันอนิจจัง เกิดๆ ดับๆ ไม่เที่ยง ไม่ต้องเอามาครอบงำ

    7 นิพพานครอบงำ
    คือ เอานิพพานบ้าง, สุญยตาบ้าง, ความว่างเปล่าบ้าง ฯลฯ มาครอบงำตัวเอง จริงๆ แล้วสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมะ ธรรมชาติ เช่นนั้นเอง (ตถาตา) เราไม่จำเป็นต้องไปเอามาครอบงำตัวเราก็ได้ มันอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นของมันอยู่แล้ว แต่เราไปสำคัญมั่นหมายมันมากเกินไป

    นี่เป็นตัวอย่างของการปฏิบัติธรรมที่ไม่เป็นธรรมะ ธรรมชาติ ไม่เป็นธรรมชาติอย่างที่เราเป็นจริงๆ เพราะไปเอาอะไรสักอย่างหนึ่งมาใช้ครอบงำตัวเอง มันคือการปรุงแต่ง ปรุงแต่งมากดทับธรรมะภายในของตัวเองไว้ มันไม่ใสซื่อ ไม่บริสุทธิ์ แต่ดูดีงาม ทำให้คนชอบ คนเชื่อถือ ศรัทธาเราอะไรแบบนั้น แต่ทำแล้วไม่ได้มรรคผลใดๆ

    เมื่อมีสติเท่าทันแล้วก็ให้หลุดพ้นออกจากโคลนตมที่ทับถมเหล่านี้
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    จับตา "ภาวะฟองสบู่แตกในจีน" ตอนที่ 1​



    เมื่อไม่นานมานี้ ชายได้อ่านบทความหนึ่งกล่าวถึงเศรษฐกิจจีนว่ากำลังจะกลายเป็น "ฟองสบู่แตก" หลายท่านอาจงงว่าเป็นไปได้ยังไง เศรษฐกิจจีนออกจะดี? ชายจะขออธิบายให้ชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ เข้าใจกันง่ายๆ อย่างนี้ครับ ในจีนมีนักลงทุนที่ชอบเก็งกำไรเยอะ เขาเข้าไปเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน, ที่ดิน, โรงแรม, คอนโดฯ ฯลฯ เขาไม่ได้ซื้อไปเพื่ออยู่จริงๆ สมมุติคอนโดที่ขายจริงอยู่จริง อยู่ที่ราคา 2 ล้าน เขาเก็งกำไรให้ขึ้นไป 2.2 ล้าน จากนั้นคนซื้อไปก็ไปเก็งกำไรต่อเป็น 2.5 ล้าน อีกคนก็มาเก็งกำไรต่อไปเป็น 2.8 ล้าน เป็นต้น นึกออกไหมครับ ราคาจริงสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงควรจะอยู่ที่ 2 ล้านเท่านั้น แต่พอเก็งกำไรแล้ว ปั่นราคาขึ้นไปได้ถึง 2.8-3 ล้านก็ได้ เหมือนเราเป่าฟองสบู่นี่ละครับ ทีนี้ พอราคาถูกดันขึ้นไปมากๆ มันก็จะเกิดอาการฟองสบู่แตกได้ฮะ คือ ระดับราคาในตลาดได้รับผลกระทบจากราคาที่ถูกปั่นให้สูงขึ้น เหมือนที่ดินที่พม่าในเขตเศรษฐกิจใหม่ ถูกปั่นให้ราคาสูงขึ้นไปมาก จนเกินความเป็นจริง ต้นทุนก็สูงขึ้น สมมุติชายจะไปซื้อที่ดินเพื่อทำโรงงาน แทนที่จะลงทุนแค่ 50 ล้าน มันอาจปาเข้าไป 100 ล้านเลยก็ได้ แบบนี้ชายจะไหวไหม? ถ้าลงทุนก็มีความเสี่ยงสูง ไม่ก็ขาดทุนได้ง่ายๆ แย่เลยครับ ต้นทุนในการลงทุนมันเพิ่ม เพราะถูกเก็งกำไร ถูกปั่นราคาขึ้น นี่ละครับ ที่เรียกว่าภาวะฟองสบู่

    เราต้องแยกให้ออกครับว่าอะไรคือการซื้อขายเพื่อบริโภคที่แท้จริง กับการซื้อเพื่อเก็งกำไร เอาไปขายต่อ และการลงทุนที่แท้จริงกับการลงทุนระยะสั้น พวกที่ลงทุนระยะสั้นและพวกเก็งกำไรนี่ละครับ ที่ชอบปั่นราคาขึ้นระยะสั้น โดยไม่สนใจผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ผลคือ เมื่อราคาถูกปั่นสูงขึ้น มันก็กระทบต่อตลาดในภาพรวม ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น อะไรต่อมิอะไรก็สูงขึ้นตามๆ กันไป นึกออกนะครับ แต่พอมันไม่ใช่การลงทุนที่แท้จริง และการบริโภคที่แท้จริง มันก็จะ "แป๊ก" ในท้ายที่สุดไงครับ นี่ละ ที่เขาเรียกว่าฟองสบู่แตกไงฮะ ทีนี้ เขานิยมเก็งกำไรในธุรกิจใดบ้าง? ก็พวกทองคำ, น้ำมัน, ที่ดิน, บ้าน ฯลฯ เพราะของพวกนี้ มันมีมูลค่าและคนต้องการซื้อแน่นอนคือ ซื้อไปขายต่อยังไงก็ต้องขายได้ ยิ่งบ้านและที่ดิน เราขายออกไม่ได้เป็นปี เราก็ยังเก็บเอาไว้ได้ ไม่เสื่อมค่า มีแต่จะราคาเพิ่มครับ ไม่เหมือนรถยนต์ เราซื้อแล้วมาขายต่อราคาก็ตกลง จริงไหมครับ? อย่างในไทยเราโชคดีอย่างหนึ่ง เรายังสร้างเศรษฐกิจไม่สำเร็จฮะ ถ้าเราทำโครงการรถไฟความเร็วสูงและเขตเศรษฐกิจพิเศษสำเร็จ ก็อาจเจอ "พวกนักเก็งกำไร" พวกนี้เหมือนฝูงแร้ง มันจะลงมาเป็นฝูงมารุมทึ้ง รุมจิก จนเกิดภาวะฟองสบู่ คือ ราคาที่ดินจะสูงขึ้นๆ ผิดปกติ ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น สูงจนไม่อาจลงทุนทำธุรกิจอะไรได้เลยครับ แถมพวกนี้จะบินจากไปอย่างไม่สนใจผลกระทบที่ทิ้งไว้ ลงไปหากินที่ไหนก็สร้างภาวะฟองสบู่ที่นั่น เป็นพวกที่อันตรายมาก

    ดังนั้น จีนในขณะนี้จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่แตกครับ
     
  11. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ผมไม่ใช่นางเอี้อยนะครับผม.
    เปรียบเทียบอะไรให้มันใกล้เคียงผมหน่อยสิครับพี่[Embarrass
     
  12. ซี-วา

    ซี-วา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +644
    ไม่มีใครจัดการกับพวกฝูงแร้งได้เลยหรอครับ?
    ุถ้าผมมีอำนาจ ผมจะล้างทั้งระบบ
    (ประการแรกที่ต้องล้างคือระบบของ"ใจ"
    ใจสกปรกต้องชำระ)rabbit_eating
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746

    ชายชอบนก ปล่อยตามธรรมชาติละครับ ดีแล้ว
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ลักษณะจิตของผู้ที่บรรลุธรรมแล้วเป็นไฉน?


    เราจะตัดสินว่าใครบรรลุธรรมแล้วโดยอาศัยธรรมะที่เขาพูดออกมา ไม่ได้ โจรก็พูดธรรมะได้ครับ เพียงแค่ไปอ่านไปทำความเข้าใจมา แล้วเอามาพูดต่อก็ได้แล้ว ดังนั้น เขาไม่ตัดสินการบรรลุธรรมที่คำพูด หรือธรรมะที่แสดงออกมากันหรอก เขาดูที่ "จิต" ครับ ดังนี้

    1 จิตที่อิสระแต่ไม่กลัวการถูกจองจำ
    แม้ถูกจองจำอยู่ เขาก็ยังมีจิตใจที่อิสระ การจองจำและพันธนาการไม่อาจขังกรอบเขาไว้ได้ เขาจึงไม่กลัวการถูกจองจำ แม้อยู่ในคุกก็ไม่ต่างจากนิพพาน เหมือนๆ กันทั้งนั้น นี่คือ จิตที่อิสระอย่างแท้จริง

    2 จิตที่สุขผ่องใสแต่ไม่กลัวความทุกข์
    คนบางคนกลัวทุกข์ พยายามไขว่คว้าหาความสุข พยายามทำใจให้เป็นสุข ทั้งหมดนี้เพราะกลัวทุกข์ กลัวตัวเองจะเจ็บปวดเมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ แต่คนที่มีความสุขแท้จริง ย่อมไม่กลัวทุกข์

    3 จิตที่อยู่กับความเป็นจริงแต่ไม่หลงมัน
    คนบางคนไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่กล้าเผชิญหน้าสู้กับความเป็นจริง อยู่ในโลกมายาที่ตัวเองสร้างขึ้น หลอกตัวเองให้ได้ อยู่ในโลกแห่งความฝัน แต่ผู้บรรลุจะอยู่กับความจริงโดยไม่หลงมัน

    4 จิตที่อยู่เหนือกิเลส ใช้และหยุดกิเลสได้
    ไม่ใช่ปฏิเสธกิเลส และไม่ใช่ถูกกิเลสครอบงำ ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วย่อมใช้กิเลสได้โดยไม่ถูกมันครอบงำ ใช้มันได้ก็หยุดมันได้ทันท่วงที เหมือนบุรุษผู้กล้าขี่ม้าพยศ แล้วควบคุมม้าพยศนั้นๆ ได้

    5 จิตที่แน่วแน่มั่นคง แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ไม่ใช่คนที่ไม่ยึดมั่นอะไร แต่เคว้งคว้าง จับต้นชนปลายไม่ถูก ดังฝุ่นฝงที่ปลิวไปในอากาศ ก็หาไม่ เช่นนั้นเรียกว่า "ฟุ้งซ่าน" การไม่ยึดติดของผู้บรรลุธรรมล้วนมีความแน่วแน่มั่นคงในจิตใจ ไม่ฟุ้งซ่าน

    6 จิตที่ซื่อตรง ตรงทาง แม้ไม่รู้อะไรจริง
    ไม่ใช่ผู้รู้ และไม่จำเป็นต้องรู้ไปหมดทุกอย่าง ผู้บรรลุธรรมกลับมีจิตซื่อตรง ตรงทางที่ถูกต้องได้ แม้ไม่ได้รู้อะไรจริง จุดนี้แหละ ที่ทำให้ปัญญาต่างจากความรู้ เราไม่มีความรู้ แต่ปัญญาทำให้เราไม่หลงได้

    7 จิตที่เหมือนไม่รู้อะไรเลยแต่กลับไม่ผิด
    และแม้ไม่รู้อะไรเลย กลับไม่หลง แม้ถูกยั่วยุมากมายก็ไม่ผิดพลาด นี่คือ ลักษณะของผู้มีปัญญา ผู้บรรลุธรรมแล้ว ไม่ใช่ผู้รู้ นักวิชาการอะไรแบบนั้น ปัญญาที่แท้จริงไม่ใช่ความรู้ แต่ทำให้เราไม่หลงได้

    ทั้ง 7 ประการนี้ คือตัวอย่างจิตใจของผู้ที่บรรลุธรรมแล้วครับ
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    หายนะของระบบเศรษฐกิจจีน​



    ระบบเศรษฐกิจจีน เริ่มแรกก็ดูดี ฟู่ฟ่าเหมือนจะโตเอาๆ แต่หลังๆ ก็เริ่มแสดงอาการเป็นพิษออกมาแล้วครับ ชายได้โพสบทความไปบ้างแล้วเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในระบบเศรษฐกิจจีน วันนี้ชายจะขอแสดงให้เห็นถึง "สาเหตุ" สำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติขึ้น ดังต่อไปนี้

    1 การค้าแบบผูกขาดอย่างเห็นแก่ตัว
    การค้าขายในจีนนั้นมีการผูกขาดให้เห็นทั่วไป ไม่มีระบบการแข่งขันเสรีที่แท้จริงเหมือนในประเทศประชาธิปไตยครับ คือ เขาอาจคิดว่าเขาเป็นประเทศที่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย ดังนั้น แนวนโยบายก็น่าจะตรงข้ามกัน เมื่อ ปชต. เน้นการค้าขายเสรี เขาก็เน้นการค้าขายในแบบผูกขาด ทว่า การผูกขาดนั้นมันคือสาเหตุหนึ่งของหายนะครับ เพราะมันทำให้ไม่เกิดความหลากหลายและนวัตรกรรมใหม่ๆ ได้เลย

    2 สงครามราคาจนเสียสมดุลราคา
    การค้าขายในจีนเน้นกลยุทธ์ราคาอย่างมาก มีการลดราคาแข่งขันอย่างหนัก เพื่อแย่งชิงลูกค้ากันอย่างดุเดือด ทว่า ลูกค้ากลับไม่ได้มีความจงรักภักดีต่อสินค้าอย่างแท้จริง เรียกว่า ใครได้ราคาต่ำกว่าก็จะเปลี่ยนใจไปซื้อได้ทันที ดังนั้น สงครามราคาในจีนจึงดุเดือด จนธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบกันไปไม่น้อยเลยทีเดียว สมดุลราคาที่แท้จริงจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ ขาดเสถียรภาพของราคาในที่สุด

    3 การเก็งกำไรอย่างไม่รับผิดชอบ
    การเก็งกำไรของนักลงทุนระยะสั้นของจีน เปรียบได้กับอีแร้งลงทึ้ง ลงในธุรกิจใด หายนะก็จะมาเยือนในเวลาไม่ช้า เพราะพวกเขาจะดันราคาขึ้นเพื่อเก็งกำไร ไม่ได้ซื้อขายเพื่อบริโภคอย่างแท้จริง เมื่อราคาถูกดันไปมากๆ ถึงจุดหนึ่ง คนสุดท้ายจะขายไม่ออก และราคาในตลาดจะได้รับผลกระทบให้สูงตามต้นทุนที่ซื้อมาแพงด้วย นี่เองที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ในจีน ซึ่งจีนเองก็ไม่สามารถแก้ไขได้

    4 การเข้าซื้อกิจการอย่างนักล่า
    การล่าอย่างหิวโหยผ่านการเข้าซื้อกิจการในจีน เป็นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กิจการเล็กๆ ถูกซื้อแล้วควบรวมเข้าด้วยกัน หลายกิจการถูกทำให้เจ๊งก่อน แล้วจึงถูกล่า ถูกซื้อในราคาต่ำๆ ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจขึ้น เช่น แทนที่จะค้าขายต่อไป มูลค่าทางธุรกิจจะอยู่ที่ 10 ล้าน ทว่า พอถูกล่าแล้วทำให้เจ๊ง กิจการนั้นๆ จะถูกกดราคาลงมาเพื่อซื้อในราคาถูกๆ อาจขายได้เพียง 5 ล้าน เป็นต้น

    5 การไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆ
    นักลงทุนจีนไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตนได้กระทำลงไป เพียงเพื่อให้กิจการของตัวเองอยู่รอด พวกเขาอาจใช้กลยุทธ์ที่ทำลายทั้งคู่แข่งและตนเองได้ เช่น price war ดังที่กล่าวมาแล้ว เราได้เคยเห็นข่าวที่ลาวโวยวายเรื่องนักลงทุนจีน ไปทำสวนกล้วยแล้วเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาแล้ว นี่คือ ตัวอย่างความไม่รับผิดชอบต่อสังคมของนักลงทุนชาวจีน ที่กำลังสร้างหายนะให้กับประเทศจีน นั่นเอง

    เราจะมาจับตาดูกันต่อไปว่ารัฐบาลจีนจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรครับ
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    มีธรรมมาก รู้มาก แต่เป็นแค่ "ปุถุชน" เป็นไฉน?


    ฆราวาสหลายท่านปฏิบัติธรรมแล้วยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังไม่อาจก้าวข้ามโคตรปุถุชนได้ อนึ่ง บุคคลใดก็แล้วแต่จะบรรลุธรรม บรรลุเป็นพระอริยะขั้นหนึ่งขั้นใดได้นั้น จะต้องผ่าน "โคตรภูญาณ" ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะได้อริยะได้ ซึ่งโคตรภูญาณนี้ จะตัดขาดความเป็นปุถุชนหมดสิ้น ไม่เหลือความเป็นปุถุชนอีก ถามว่าที่ปุถุชนยังไม่พ้นจากความเป็นปุถุชนนั้น เพราะอะไร? สามารถตอบได้ดังต่อไปนี้

    1 หลงความรู้แต่ไม่รู้จักพัฒนาจิตวิญญาณ
    ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้จะคิดว่าต้องรู้ให้มาก ศึกษาให้มาก เข้าใจให้มาก ทว่า เขาไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมนั้นต่างจากการศึกษาในทางโลก ไม่ใช่การทำงานวิจัย และยิ่งไม่ใช่การเป็นนักวิชาการที่อ้างอิงหลักฐาน, ข้อมูล, งานวิชาการ หรือแม้แต่ตำราอะไรทั้งนั้น ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าอะไรคือการพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง แม้จะเก่ง มีความรู้มากทางพุทธศาสนา แต่จิตวิญญาณของเขาก็เหมือนเดิม

    2 หลงความเป็นปุถุชนไม่รู้จักความเป็นอริยะ
    คือ ยังมีความเป็นปุถุชนอยู่เต็มเปี่ยม ไม่รู้ว่าความเป็นอริยะนั้นไม่ใช่ปุถุชนแล้ว พวกเขาคิดว่าธรรมะ คือเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา เลยใช้ชีวิตเหมือนปกติ ธรรมดา แต่มันไม่ใช่ปกติ ธรรมดาแบบพระอริยะ มันเป็นปกติ ธรรมดาแบบปุถุชนไปเสีย หลายคนปฏิบัติธรรมยังกลัวความลำบากอยู่เลย ยังไม่ได้ผ่านด่านความเป็นความตาย ซึ่งพระอริยะท่านต้องผ่านด่านความเป็นความตายแล้วเกิดใหม่กันทั้งนั้น

    3 หลงชีวิตแบบปุถุชน ไม่เด็ดขาดที่จะหลุดพ้นมัน
    คือ ยังไม่ได้ตื่นแจ้งจริงว่าชีวิตแบบปุถุชนนี้ มันยังไม่ใช่ เราเหมือนหนอนตัวหนึ่ง ที่ต้องทลายตัวตนเดิมของเราก่อน เราจึงจะกลายเป็นผีเสื้อโบยบินอย่างอิสระได้ หากเรายังเป็นปุถุชนอยู่ มีชีวิตแบบปุถุชนอยู่ เราก็ยังเหมือนหนอนตัวหนึ่งอยู่ ต่อให้เรียนรู้มากมายแค่ไหน ก็เป็นได้แค่ "หนอนหนังสือ" ตัวอ้วนๆ เพราะเรายังไม่ได้ผ่านการทลายตัวตนเก่า ความเป็นปุถุชนของเราให้หมดสิ้นไปเลย

    4 ยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ยังไม่เต็มที่กับชีวิต
    คือ ยังใช้ชีวิตแบบปุถุชนยังไม่เต็มที่ ยังไม่เต็มที่กับชีวิตปุถุชน ยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งชีวิตของปุถุชน เป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ แล้วอ้างว่าแค่นี้ก็พอดีแล้ว ทำอะไรแต่พอดี ที่จริงก็คือ ยังไม่ได้พยายามถึงที่สุดเลย ยังไม่ได้วิริยะเต็มกำลังเลย พอยังไม่เต็มที่กับชีวิต ยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ความเป็นปุถุชนก็ยังมีอยู่ ไม่หายไปไหน เพียงแค่เอาธรรมะมาครอบงำเป็นเปลือกนอก เพิ่มเติมมาเพียงเท่านั้นเอง

    5 ไม่กล้าหาญพอที่จะมีชีวิตใหม่ และกำเนิดใหม่
    คือ คิดว่าชีวิตของเราแบบนี้ก็โอเคแล้ว ศึกษาธรรมไป ปฏิบัติไปแค่นี้ก็ได้แล้ว จริงๆ แล้วไม่ได้ครับ ตราบใดที่ตัวตน ความเป็นปุถุชนเดิมยังมีอยู่ มันก็ยังเป็นได้แค่ปุถุชนคนเดิม ตราบใดที่ไม่กล้าหาญพอที่จะ "ตาย" แล้วกำเนิดใหม่ มีชีวิตใหม่ ความเป็นปุถุชนมันก็ยังคงมีอยู่วันยังค่ำ เพราะความเป็นปุถุชนยังไม่ได้ตายจากเราไปเลย ชีวิตใหม่ การกำเนิดใหม่ และความเป็นอริยะ ย่อมไม่มีเป็นแน่แท้

    หลายคนรู้ธรรมะมาก อ่าน, จำ ฯลฯ มาเยอะแต่ยังเป็นแค่ปุถุชนครับ
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในไทยมีใครบ้าง?​



    หลายท่านก็คงทราบดีว่ากลุ่มการเมืองในไทยมีไม่กี่กลุ่ม เช่น กลุ่มคนเสื้อแดง, กลุ่มสลิ่ม (เสื้อเหลือง) เป็นต้น ทว่า พวกเขามีใครหนุนหลังบ้าง? หลายท่านทราบแล้ว และมีบทบาทมีความสำคัญอย่างไร ถ้าไม่มีพวกเขาจะได้ไหม? ตรงนี้ หลายท่านอาจยังไม่ทราบ ชายก็ขออธิบายเพิ่มเติมให้เห็นบทบาทและความสำคัญ ดังต่อไปนี้ครับ

    1 กลุ่มเสื้อแดง
    กลุ่มนี้ ผู้หนุนหลังจริงๆ คือ "จีน" ครับ โดยจีนจะสนับสนุนผ่านทางทักษิณอีกที ทักษิณทำงานให้จีนมานานแล้ว ตั้งแต่ทำธุรกิจแล้วได้ผลสำเร็จก็ได้เงินของรัฐบาลจีนมาแล้วครับ ดังนั้น จึงต้องทำงานตอบแทน แต่เขาไม่ใช่คนเลวนะครับ เขาเป็นคนดีมาก เขาจึงกลายเป็น "ตัวแบบที่ดี" ของสังคมนิยมที่ดีครับ งานของเขาจึงออกมาในรูปของสังคมนิยม, รัฐสวัสดิการ ฯลฯ ซึ่งประสบผลสำเร็จมากครับ ทว่า หากเขาไม่ออกไป ระบอบสังคมนิยมก็จะฝังรากลึกในไทยแทน ปชต. ได้ในที่สุด ทำให้กลุ่มการเมืองกลุ่มอื่นต้องเล่นงานเขาครับ

    2 กลุ่มสลิ่ม (เหลือง)
    กลุ่มนี้ ผู้หนุนหลังคือ "สถาบันฯ" ครับ สถาบันฯ ต้องงัดข้อกับพวกคนจีนเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของไทย และเขาทำแบบนี้มีนานแล้ว ตั้งแต่ยุคพฤษภาทมิฬ อะไรนั่นก็ทำครับ เพราะคนจีนเล่นงานเราตั้งแต่เริ่มต่อตั้งราชวงศ์จักรี ตอนนั้นเฉียนหลงฮ่องเต้ก็แผ่อิทธิพลมาไทยแล้ว ดังนั้น สลิ่มจึงกลายเป็นอีกกลุ่มการเมืองหนึ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้ เพราะหากไม่มีกลุ่มนี้ ก็จะไม่มีใครคอยต้านทานอำนาจกับอิทธิพลของจีนได้ครับ ทว่า เราก็ต้องคอยจับตาดู ไม่ให้กลุ่มนี้ฝังรากลึกความเป็น "ศักดินา" มาแทนที่ ปชต. ครับ

    3 กลุ่มนักวิชาการ
    กลุ่มนี้ ผู้หนุนหลังคือ "อเมริกา" ครับ ได้แก่ อาจารย์มหาวิทยาลัย, นักวิชาการ เช่น อาจารย์ ใจ อึ้งภากรณ์ ฯลฯ ซึ่งเป็นต้นฉบับ ปชต. ที่แท้จริง เราจะขาดคนกลุ่มนี้ไม่ได้ เพราะหากขาดพวกเขาแล้ว เราจะไม่มีสายสัมพันธ์ที่แท้จริงกับสาย ปชต. เลย กลายเป็นว่าประเทศเรามีกลุ่มอิทธิพลแค่ "สังคมนิยม" กับ "ศักดินา" เท่านั้นที่แย่งกัน ก็จะไม่เหลือ ปชต. ในไทยเลย ใช่ไหมครับ ปัจจุบัน กลุ่มนี้ ปรับวิธีการต่อสู้ใหม่ครับ อเมริกาก็ปรับกลยุทธ์ใหม่ เป็นการต่อสู้ในระบบที่ไม่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองมากขึ้น นับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีครับ

    4 กลุ่มอิสระ
    เป็น "กลุ่มอิสระ" ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากใครเลย เช่น ปชช. ที่มีความเดือดร้อนอย่างแท้จริง เป็นต้น อย่างชายเองก็อยู่กลุ่มนี้ คือ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากใครเลย เป็นอิสระอย่างแท้จริง ชายไม่ได้ทำงานรับใช้ใคร ไม่มีคำสั่งจากใครทั้งนั้น แต่ชายไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ชายไม่ได้ทำเพราะชายเดือดร้อน แต่ชายทำเพื่อส่วนรวมครับ ชายจึงไม่ถูกใครล้างสมอง ไม่ถูกฝังชิพ ไม่ถูกปลูกฝังความเชื่ออะไรลงมาทั้งนั้น ชายคิดของชายเอง พิจารณาเองเหมือน ปชช. คนหนึ่งอย่างแท้จริง อเมริกา, จีน, สถาบันฯ ไม่เคยมาหนุนชายครับ

    * โดยเฉพาะกลุ่มสุดท้ายทำโดยไม่หวังอำนาจทางการเมืองใดๆ ครับ
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ความเป็นปุถุชนไม่อาจหมดสิ้นไปได้ด้วย "ความรู้"


    มีปุถุชนมากมายที่มีความรู้ความเข้าใจในธรรมะระดับสูง บางคนเป็นด็อกเตอร์ บางคนเป็นนักวิชาการ ฯลฯ ทว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวกับการบรรลุธรรมเลย และไม่ใช่วิถีของพุทธศาสนาดั้งเดิม การที่จะบรรลุธรรม หรือได้สำเร็จมรรคผลจริงในทางพุทธศาสนานั้น จะต้องปฏิบัติทางจิตวิญญาณอย่างยิ่งยวดจนถึงที่สุดแห่งธรรม นั่นคือ ความเป็นปุถุชนต้องตายไปก่อน ดับสิ้นไปก่อน เฉกเช่น พระสมณโคดม ที่กำเนิดใหม่ได้เมื่อความเป็นเจ้าชายสิทธัตถะดับสิ้นไป ซึ่งการจะไปสู่การกำเนิดใหม่ได้นั้น มีหลายทาง เปรียบเป็นประตูสิบประตู ซึ่งประตูทั้งสิบนี้ก็คือ "บารมีสิบ" นั่นเอง ทว่า ในยุคสมัยนี้ บารมีที่เหมาะสมในการปฏิบัติธรรมที่สุดคือ "เมตตาบารมี" หรือก็คือ "ความรักแท้" สรุปง่ายๆ คือ เราจะต้องอาศัยความรักแท้พาไปสู่ความตาย เราจึงจะได้ "กำเนิดใหม่" เพราะอะไร? เพราะสัตว์ที่เกิดในยุคนี้ เป็นผู้ไม่นิยมทำทานบารมี ทำบุญหวังผล ไม่อาจเกิดทานบารมีได้ ถือศีลก็ไม่ได้ มักพลั้งเผลอทำผิดอยู่เสมอ จะให้บวชถือเนกขัมบารมี ก็ไม่ไหวกลายเป็นพระที่ทำตนไม่ดีไป สิ่งเหล่านี้ ทำให้ไม่อาจไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้ นอกจาก "เมตตาบารมี"

    เพราะเหตุนี้ ท่านจึงเห็นโลกในยุคปัจจุบัน มีเรื่ืองรักๆ ใคร่ๆ เต็มไปหมด และเมืื่อมีรักก็มักมีทุกข์ หรือหลายคนแทบเป็นแทบตายกันเลยทีเดียว นั่นคือ วิถีธรรม ซึ่งจัดสรรแล้วอย่างดีโดยธรรมะ ธรรมชาติ แม้แต่ในบางศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ ก็กล่าวถึงเรื่อง "ความรัก" และเน้นเรื่ืองความรักมาก ท่านสอนให้รักอย่างสุดจิตสุดใจเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าไม่สุดจิตสุดใจ มันก็ไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม เมื่อไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ตัวตนเก่าก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความเป็นปุถุชนก็ยังคงมีอยู่เหมือนเดิม และเพื่อช่วยในสรรพสัตว์ได้ผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ธรรมชาติจึงจัดสรรให้เกิด "ความรักที่เป็นไปไม่ได้" ขึ้นในโลกมากมาย เช่น ความรักระหว่างเพศเดียวกัน เพื่อให้พวกเขาได้ไต่ระดับจิตวิญญาณไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น ทว่า ปัจจุบัน สิ่งนี้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไปจากเจตนาเดิม กลายเป็นการสนองความต้องการเชิงปัจเจกแทน ถือคติว่าไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ทำร้ายใครเสียอย่าง ใครจะทำไม? เช่นนี้ เบื้องบนจึงต้องมีโรคภัย โรคร้ายลงมาช่วยทำให้ "ตระหนักถึงความตาย" ทั้งหมดนี้เป็นเพียง "อุบายที่ไร้อุบาย" คือ ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงกันเลย ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นก็เป็นเพียงอุบายให้เราก้าวพ้นความเป็นปุถุชนไปให้ได้ ก็เท่านั้นเอง

    รู้ธรรมะมากมาย แต่รักใครไม่เป็น ก็ไร้ความหมายในทางธรรมครับ
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    Key man ในการขับเคลื่อน ปชต. ไทยและเอเชีย​



    วันนี้ชายจะขอวิเคราะห์บุคคลสำคัญในการขับเคลื่อน ปชต. ในไทย และเอเชียที่เกี่ยวข้องกัน โดยเฉพาะบุคคลที่สำคัญและเป็นตัวนำ สักสามท่าน ซึี่งก็เป็นคนที่ท่านทั้งหลายรู้จักกันดี ดังต่อไปนี้ครับ

    1 อองซาน ซูจี
    อองซานเป็นตัวหมากที่ถูกวางไว้นานแล้ว ไม่ใช่เพียงเพื่อประเทศพม่าครับ นับตั้งแต่ได้รางวัลโนเบลแล้ว เธอก็ถูกวางไว้ในจุดที่ต้องทำเพื่ือขับเคลื่อน ปชต. ในเอเชียทั้งหมด NWO ได้เข้ามาสร้างอิทธิพลถึงในพม่า และทำให้อองซาน ไม่อาจนั่งตำแหน่ง ปธน. ได้ เพื่ือให้เธอไม่ทำเพื่อพม่าอย่างเดียว แต่ต้องทำเพื่อเอเชียทั้งหมด ภายหลัง เธอก็ไม่ยอมให้ใครมาบงการ ตามนิสัยของเธอ การมาไทยก็มาโดยขัดไม่ได้เสียมากกว่า เพราะเรื่องในพม่ายังมีอีกมากเหลือเกิน ยังต้องทำอีกมากเหลือเกิน ก่อนที่จะมายุ่งเรืื่องคนอื่น

    2 ทักษิณ ชินวัตร
    ทักษิณ ไม่ได้ขับเคลื่อน ปชต. เพื่อ ปชต. ที่แท้จริง ตัวเขาเองเป็นสังคมนิยมครับ ทีนี้ ฝรั่งเขาอยากทดสอบดูว่าทักษิณอาจถูกจีนบงการจึงเป็นสังคมนิยมหรือเปล่า? หรือจริงๆ เขาต้องการเป็นฝ่าย ปชต. จริงๆ แต่แค่ถูกบังคับ ดังนั้น พวกฝรั่งจึงให้เขาไปปาฐกถาในหลายๆ เวทีในต่างประเทศครับ ทว่า สิ่งที่เขาแสดงออกมาอย่างเสรีในประเทศ ปชต. เหล่านั้น ก็ยังไม่แสดงให้เห็นถึงความเป็น ปชต. ที่แท้จริง ดังนั้น แผนที่จะเอาจีนออกไป แล้วให้ฝรั่งหนุนทักษิณแทนก็ต้องจบลง ในเมื่อเขาไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่ ปชต. ที่แท้จริงครับ

    3 โจชัวร์ หว่อง
    โจชัวร์ เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ต่อสู้อย่างจริงจังและกล้าหาญท้าสู้กับจีน ทั้งๆ ที่เป็นคนตัวเล็กๆ ครับ (อย่าลืมว่าหลายคนโดนจีนเก็บไปแล้วนะครับ) โจชัวร์ จึงเป็นหมากตัวใหม่ที่อเมริกาจะใช้เพื่อเป็น Model หากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะขยายผลออกไปทั่วทั้งเอเชีย ทว่า ชายเคยบอกแล้วว่าหมากนี้เดินผิดพลาด เพราะเขาถูกจีนจับจ้องเสียแล้ว การจะทำอะไรย่อมไม่ง่ายอีกต่อไป ทว่า เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญมากให้กับฝ่าย ปชต. ครับ แม้ในตอนนี้ เขาอาจจะตกที่นั่งลำบาก และไม่อาจทำอะไรได้มากอีกแล้ว

    จากสถานการณ์ที่ชายแสดงให้ดูมานี้ อเมริกาถึงเวลาต้องหา "ตัวหมากตัวใหม่" แล้ว เพราะหมากที่วางไว้หลายตัว กำลังมีปัญหา ยิ่งกว่านั้นเอเชียกำลังมีปัญหามาก เพราะล่าสุดฟิลิปปินส์ก็ประกาศไม่ขึ้นกับอเมริกาเสียแล้ว อิทธิพลของจีนในเอเชียจึงแผ่ขยายมากยิ่งกว่าแต่ก่อน จนอเมริกาต้องหาเรื่ืองเข้ามาในไทยและหลายประเทศด้วยข้ออ้างว่า "ดูแลป้องกันภัยจาก ISIS" ทว่า งานด้านการทหารก็ต้องควบคู่ไปกับสายงานด้านอื่นๆ ด้วยครับ ซึ่งอเมริกาก็ทราบดี

    หมากตัวใหม่ควรเป็น "คนที่ไม่มีใครรู้จัก" ครับ จีนจึงจะไม่รู้ทันครับ
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    frozen flower

    ท่านเป็นผู้ละเอียดอ่อนตามกาล หากเล็งเห็นประโยชน์ของสาธุชน ท่านจงช่วยไปวิสัชนาธรรมตามกาลเถิด

    https://www.facebook.com/groups/antikukrit/
     

แชร์หน้านี้

Loading...