สวัสดีครับผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ คนมีญาณวิเศษ ถามหน่อยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somboon kumpa, 21 พฤศจิกายน 2016.

  1. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ครับ ญาน พื้นฐาน อย่าง รูปญาน 1-4 หากฝึกจนชำนาญแล้ว ก็รู้เห็นและทำอะไรที่พิเศษได้ตั้งมาก ยิ่งเข้าถึงนามธรรมอันลึกซึ้งไปอีก เป็น อรุปญานด้วยแล้ว พลานุภาพวิเศษย่อมมากขึ้นตามลำดับคับ แต่จุดหมายหลักคือความดับทุกข์ใจไม่เผลอเข้าไปปรุงทุกข์อีกครับ ..
     
  2. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    แล้วฝึกถึงขั้นไหนแล้วล่ะคับ คุณ dragon129 หรือว่าเน้นสายตรงดับทุกข์เลย..
     
  3. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,666
    ค่าพลัง:
    +6,165
    รูปญาณไม่มี
    มีแต่รูปฌาน
     
  4. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    แค่อยากรู้เลยมาถามเฉยๆครับ ไม่มีอะไรครับ
     
  5. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ที่ผมถามเพราะว่าผมเคยได้ยินว่าดูดวงผ่านญานหยั่งรู้เต็มไปหมดเลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วของจริงรึเปล่าครับ
     
  6. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    แล้วตัดกิเสลตัว วิจิกิจฉา ได้หมดยังคับ คุณ dragon129
     
  7. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ผมอยากรู้มันแปลกตรงไหนหรอครับ อยากรู้ก็ถามผู้รู้แปลกหรอกครับ
    แล้ววิจิกิจฉาคือไงหรอครับ
     
  8. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ถ้ารู้ได้แม้กระทั่งความคิดคน นั่นแหละคับ ของจริง ^__^
     
  9. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    ยิ่งฟังก็ยิ่งงงครับ อธิบายหน่อยครับท่านผู้รู้
     
  10. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ^__^ อยากรู้อะไรเพิ่มเติม แอดเพื่อนมาคุยได้ครับ คืนนี้ขอตัวพักกายใจก่อนครับ ขอบคุณที่ร่วมสนทนาครับ ...
     
  11. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
  12. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    อันนี้ก็ต้องไปพิสูจน์เอาเอง(ไปดูดวงด้วยตัวเอง)
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    จริงๆอยากจะให้เข้าใจว่า คนที่ทำอย่างนี้ได้
    ไม่ได้เป็นผู้วิเศษหรือยอดมนุษย์อะไรครับ
    (เด่วฟังหลักการใน#rep ถัดไปแล้วจะเข้าใจ
    ที่พูดนะครับ)
    เป็นคนธรรมดาๆอย่างเราๆ ยังมีกิเลสอยู่
    เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเองครับ...
    การที่เราไปมองว่า ทำอย่างนั้นโน้นนี่ได้
    ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการลด ละ คลายกิเลสในใจ
    ว่าเป็นความสามารถพิเศษ ตรงนี้
    จะกลายเป็นกิเลสอย่างหนึ่งได้ครับ
    ที่มันจะสร้างจาก โทสะ โมหะ โลภะ ที่มีในใจเรา
    แล้วไปดึงสิ่งที่อยู่ภายนอก
    ที่มันจะสร้างให้จิตเราเองคิดว่าตนเองเหนือกว่าใคร
    และที่มันจะสร้างให้จิตเราคิดที่จะอยากได้รับการยอมรับ
    ไม่ว่าจะไปอยู่ไหน ในสภาพแวดล้อมหรือสังคมใดๆเกี่ยวกับเรื่อง
    ชื่อเสียง เรื่องลาภยศ เรื่องการติดสุขต่างๆ
    หรือเรื่องการได้อยากรับการยอมรับสรรเสริญต่างๆ
    ว่าตนนั้นมีดี หรือว่าตนนั้นเหนือใคร หรือว่าตนไม่ใช่บุคคลธรรมดาครับ


    ที่นอกจากทำให้เราเผลอไปยึดติดได้อย่างไม่รู้ตัวแล้ว
    ยังเป็นเหตุตังเป้ง ที่ทำให้เรายังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดครับ


    การที่จะเป็นบุคคลที่มีอะไรพิเศษนั้นคือบุคคล
    ที่ตัวจิตในกายนั้นสามารถกำจัด
    อวิชชาต่างๆที่มีในตนได้
    เป็นบุคคลที่จิตนั้นอยู่เหนือโลก
    คือไม่ยึดติดสิ่งใดๆในโลกนี้
    แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นมันจะยังมีอยู่
    ได้เหมือนๆท่านทั้งหลายที่พ้นๆไปแล้วครับ
    หรือหลายๆท่านที่เราเชื่อว่าท่านพ้นแล้ว
    แต่ยังดำรงธาตุขันธ์เพื่อยังประโยชน์
    ต่อผู้อื่นอยู่โดยที่ไม่ต้องมีใครไปบอกท่านเหล่านั้นครับ...


    ที่นี้มาพูดถึงภาพโดยรวมเกี่ยวกับเรื่องการทำได้ในเรื่อง
    เหนือวิสัยต่างๆ เช่นเหนือการมองเห็นได้ปกติ
    เหนือการค้นคว้าต่างๆที่ประกอบกับแหล่งข้อมูลต่างๆ
    ที่หาได้ในโลก เหนือการได้ยินปกติ เหนือการสัมผัส
    ที่รับรู้ได้ทางกายมากกว่าปกติ เหนือการสร้างได้จาก
    วัตถุต่างๆที่มีอยู่บนโลก เหนือการปรากฏให้เห็นได้
    ในขณะที่ยังไม่มีทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์มารองรับได้
    เหนือการปิดบังซ่อนเร้นเทคนิคต่างๆเพื่อแสดงผล
    ออกมาให้เห็นได้ ได้ยินได้ รับรู้ได้ต่างๆนั้น....


    บ้างก็เรียกว่า ญานวิเศษ ความสามารถพิเศษทางจิต
    บ้างก็เรียกว่า อภิญญาบ้าง(แยกเป็นภายในกับภายนอก
    ภายในคือ รับรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่แสดงให้คนอื่นๆรับรู้
    เหมือนตนเองไม่ได้ หรือทำให้คนอื่นๆรับรู้หรือเข้าถึง
    แบบตนเองไม่ได้ ส่วนภายนอกคือ ตนรับรู้ได้อย่างไร
    คนอื่นๆก็จะรับรู้และสามารถทำได้เหมือนตนเอง)
    หรือบ้างก็เรียกว่า เครื่องรู้บ้าง การหยั่งรู้บ้าง..ฯลฯ
    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็แล้วแต่ว่าท่านจะให้คำจำกัดความว่า
    อย่างไร ซึ่งจะอย่างไรก็ได้ ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ


    ขออนุญาตต่อให้#Rep ต่อไปนะครับ
    ท่าทางจะต้องใช้การอธิบายเพิ่มเติมอีกซักหน่อย
    กรุณาอ่านให้จบทั้งหมดก่อนนะครับ
    หากยังไม่เข้าใจเด่วค่อยมา ตั้งประเด็นกัน
    แลกเปลี่ยนกันภายหลังนะครับ


     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อนุญาต ต่อนะครับ ให้เข้าใจอย่างนี้นะครับ
    ไม่งั้นเด่วเราจะหลงเรื่องความสามารถในการทำได้
    กับระดับฌาณมันจะปนๆกันได้ซึ่งจะทำให้เรางงๆได้ครับ...

    การที่จิตจะเกิดความสามารถทำอะไรได้มากกว่าปกติไม่ว่าเรื่องอะไรนั้น
    (ขอใช้คำว่ามากกว่าปกติแทนนะครับ เพื่อความเข้าใจได้ง่ายขึ้น)
    ให้พึ่งระลึกไว้ว่า มันจะเกิดขึ้นได้อยู่หลักๆ ๒ กรณีครับ...

    คือ ๑.จิตที่มีความสามารถทำได้ ด้วยพิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะผ่านวิธีการใดๆ
    มาก็ตาม ไม่ว่า จะผ่านการสร้างสติ สมาธิ ตบะ ฌาณ ญาน กำลังจิต
    พรหมวิหาร ๔ การเดินปัญญา อาปาฯ อสุภะกรรมฐาน อหาเรฯ
    เรียกว่า จากกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนั้น ซึ่งสามารถแยกได้ย่อยต่อไปนี้คือ
    ๑.๑ ทำได้ชั่วคราวแล้วเสื่อม ถึงเวลาจะทำก็มาสร้างให้เกิดขึ้นใหม่
    ๑.๒ ทำได้ชั่วคราวแล้วไม่เสื่อม ถึงเวลาจะทำก็เกิดขึ้นมาได้เอง

    และ ๒. จิตที่มีความสามารถทำได้ เกิดขึ้นได้เองไม่ว่าความสามารถอะไรก็ตาม
    โดยไม่ผ่าน กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองมา.ซึ่งแยกได้อีกดังนี้
    ๒.๑. เกิดขึ้นได้ชั่วคราว ไม่สามารถบังคับให้เกิดได้ดังใจเวลาที่ต้องการ
    และไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้เพราะอะไร และไม่เข้าใจว่าคืออะไร
    ๒.๒ เกิดขึ้นได้ในเวลาที่ต้องการ
    ๒.๓ เคยเกิดขึ้นได้ และปัจจุบันไม่เกิดขึ้นอีก
    และให้เข้าใจว่า ทั้งข้อ ๑ และ ๒ นั้น หากไม่สามารถที่จะให้เกิดขึ้นได้อีก
    ณ เวลาที่ต้องการ หรือ เวลาจะใช้งานไม่เกิดขึ้น หรือ ไม่มีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้น
    มาจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอีก...จำเอาไว้ว่า มันยังเป็นมิจฉาทิฐิครับ...
    ถ้าเป็นโลกุตะระ จะไม่มีเสื่อมและจะมีการพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆของมันเอง
    ไม่ว่าจิตดวงนั้น จะผ่านมาแบบในข้อ ๑ หรือ ข้อที่ ๒ ที่เคยกล่าวก่อนหน้านั้นมาครับ.
    .

    ปล.ส่วนการทำโน้นนี่นั้นได้ เกี่ยวกับระฌานไหนนั้น
    เป็นส่วนของเทคนิคขอนุญาตไปเล่าให้ฟังอีก # Repหนึ่งนะครับ(^_^)
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ก็แสดงว่า เค้าทำได้จริง ก็สามารถ ที่จะรู้ได้จริง ครับ
     
  16. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ขึ้นอยู่กับความคิดและมุมมอง+การให้ความสำคัญ

    เรื่องความสามารถพิเศษต่างๆนั้น ขึ้นอยู่กับความคิดและมุมมอง+การให้ความสำคัญของแต่ละคนนั่นเอง

    ตัวอย่างเช่น การเป็นโปรกอล์ฟมือวางอันดับหนึ่งของโลก นักมวยโอลิมปิกเหรียญทอง ทีมฟุตบอลที่เป็นแชมป์ในศึกฟุตบอลโลก
    สิ่งเหล่านี้ มองเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราสามารถฝึกกันได้ก็ได้ มองเป็นเรื่องพิเศษ
    ของผู้มีพรสวรรค์เหนือกว่าคนอื่นๆก็ได้ เห็นแล้วตื่นเต้นดีใจแปลกใจก็ได้ เห็นแล้วรู้สึกเฉยๆก็ได้

    หรืออีกอย่างหนึ่ง คนทำมาค้าขายจนร่ำรวยมีเงินทองเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน
    มองเป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ได้ เพราะเรื่องทำมาค้าขาย ใครๆก็ทำกันได้อยู่แล้ว
    มองเป็นเรื่องพิเศษที่ควรแก่การตื่นเต้นยินดี อัศจรรย์ใจ ควรแก่การยกย่องนับถือก็ได้

    อันนี้คือ ยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบให้ฟัง ว่า ขึ้นอยู่กับความคิดและมุมมอง+การให้ความสำคัญของแต่ละคน
    ซึ่งต้องมีทั้งคนที่มองเป็นของดีสิ่งวิเศษ สมควรแก่การยกย่องนับถือ และคนที่มองเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
     
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    สำหรับ การที่ตนรู้ในสิ่งใดก็สามารถทำให้คนอื่นรู้ได้เหมือนกัน ทำในสิ่งใดก็สามารถทำให้คนอื่นทำได้เหมือนกัน
    จากตำราและประวัติครูบาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ ไม่เคยพบว่ามี
    ที่มี เห็นมีแต่การสอนวิธีปฏิบัติ ให้ผู้ปฏิบัติไปรู้ไปเห็นเอาเองนั้นแหละ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    #Rep นี้เป็นส่วนสุดท้ายของเรื่องการที่จิตทำอะไรให้ได้มากกว่าปกติ
    อันดับแรก ให้ท่านพึ่งระลึกเอาไว้ว่า ความสามารถที่จิตจะทำอะไรได้มาก
    กว่าปกตินั้น เราไม่ได้วัดกันที่ ดวงจิตนั้นเคยผ่านสมาธิ ระดับฌานในขั้นไหน
    มาครับ...(ที่พูดก็เพราะว่า เรื่องพวกนี้สามารถเกิดขึ้นได้
    ทั้งแบบที่ผ่านวิธีการหรือไม่เคยฝึกก็เกิดขึ้นได้ เหมือนในข้อ ๑ และ ๒ ในRep
    ก่อนหน้า) และไม่ได้วัดกันตรงที่ว่า ดวงจิตนั้นเคยทำอะไรได้มาก่อน หรือเคยเกิดความ
    สามารถอะไรได้ในอดีตที่ผ่านมา(เหตุผลตาม ข้อ ๑ และ ๒ ในRep ที่ผ่านมา)


    เราจะวัดและดูกันที่ ปัจจุบันเท่านั้น ย้ำว่าปัจจุบันเท่านั้น
    และต้องเกิดขึ้นได้ ณ เวลานั้นทันที โดยไม่ต้องใช้มากพิธี
    หรือใช้วิธีการใดๆ ที่ใช้เวลานานเพื่อให้มันเกิด หรือต้องมานั่งหลับ
    ตาก่อน อย่างนี้ไม่ใช่นะครับ
    ที่จะเป็นตัวบอกว่า จิตดวงนั้นที่มีความสามารถทำอะไรพิเศษได้นั้น
    มีความสามารถในการเข้าถึงระดับฌานในระดับที่เท่าไรครับ
    สรุปว่า ดูปัจจุบันและผลที่เกิดขึ้นจริงนะครับ อย่าไปดูตรงที่เคยนั่งสมาธิได้
    ในระดับไหนมาก่อน หรือเคยทำอะไรได้มาก่อนในอดีตนะครับ ถ้าติดตรงนี้
    จะหลงตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึงชนิด ที่จำทางกลับบ้านไม่ได้ครับ
    และจะหลงตัวเองแบบที่คิดว่า ตัวเองได้ฌานระดับสูง
    หรือเข้าฌานระดับสูงได้ ทั้งๆที่ผลที่เกิดขึ้นได้ เป็นเพียง
    กำลังระดับกำลังสมาธิไม่มากหรือสมาธิต่ำนั่นเองครับ
    (หลายๆคนอาจจะงงๆ หรือคิดลึกๆในใจว่า
    ความสามารถแบบนี้ มันใช้กำลังเพียงเท่านี้น่าจะพอทำได้
    เพราะว่า บางที่เรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมา
    ไม่เห็นว่าจะต้องมานั่งสมาธิอะไรก็เกิดได้
    บางทีนอนๆ เคลิ้มๆ จะหลับบ้างไม่หลับบ้างก็เกิดได้
    แต่ทำไมบุคคลเหล่านั้นถึงบอกว่า ตัวเองใช้กำลังหรือได้
    กำลังฌาน ๔ นั่นหละครับ พูดพอให้เกิดข้อสะกิดใจ) เด่วฟังต่อไปนะครับ
    จะยกตัวอย่างให้ฟัง แล้วจะเข้าใจว่า กำลังฌานระดับไหน
    จะส่งผลได้ประมาณไหน ทำอะไรได้บ้างนะครับ
    เอาเฉพาะในระดับกำลังสมาธินั้นๆนะครับ
    ยังไม่นับในระดับที่ต้องการหนุนส่งเสริมกันนะครับ


    จะแยกแบ่งสีไว้ให้อ่านให้พิจารณาดูนะครับ
    จิตที่มีความสามารถทำอะไรได้มากกว่าปกติ
    และสามารถเข้าถึงกำลังสมาธิได้ในระดับอุปจารสมาธิ
    จะมีความสามารถที่จะทราบเรื่องเหล่านี้ได้เช่น
    รู้อดีต รู้อนาคต รู้วาระจิต รู้ที่ไปที่มาของ คนและสัตว์
    หรือพูดง่ายๆเป็นระดับสมาธิ ที่หมอดู นักพยากรณ์
    ที่ชอบอ้าง ชอบยกตนว่า ตัวเองเป็นผู้วิเศษ เลิศหรู
    อลังการงานสร้างทั้งหลายใช้กันครับ..
    หรือการเห็นนิมิตกสิณ ต่างๆด้วยตาเปล่าในอากาศ
    เห็นระดับอุคหนิมิต เห็นแสงสีต่างๆ เห็นวงกลมสีต่างๆ
    ที่ไม่ใช่เหมือนหนอนแบบแว๊บหายแว๊บหาย
    รู้สึกรับรู้พลังงานภายนอกต่างๆได้ พลังงานในพระเครื่อง
    วัตถุต่างๆได้ เห็นวิญญานได้ด้วยตาเปล่า หรือหลับตาบ้างเห็น
    แบบแว๊บๆ การที่จิตทำอย่างนี้ได้ เป็นความสามารถ
    ที่ไม่เกินระดับอุปจารสมาธิทั้งสิ้นครับ....
    และย้ำอีกว่า *** สามารถเกิดขึ้นได้แม้ผ่านวิธีการมา
    และไม่เคยฝึกอะไรมาก็ตามครับ เหมือนที่ย้ำ
    ข้อ ๑ และ ๒ ก่อนหน้านั้น***


    จิตที่มีความสามารถ ในการเข้าถึงรับรู้สัมผัสพลังงาน
    และเล่นกับพลังงานต่างๆได้ ไม่ว่าพลังงานดิน น้ำ ลม ไฟ
    อากาศ พลังงานจากกสิณสี เขียว แดง ขาว เหลือง
    หรือเล่นกับพลังงานภายนอก ไม่ว่าร้อนหรือเย็น(บ้างเรียกว่า
    จักรวาล เรียกหยินหยาง ฯลฯ)
    หรือมีความสามารถในการปรับธาตุร่างกายต่างๆ(รักษาโรคได้เบื้องต้น)
    สลับไปมาได้ ไม่ว่าธาตุดิน
    น้ำ ลม ไฟ ปรับให้ลด ให้เพิ่ม ให้มาก ให้น้อย
    หรือมีความสามารถในการดูด ดึง ส่ง พลังงานต่างๆ
    ลงในวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
    ไม่ว่าพลังงานที่มาจากภายในที่สร้างผ่านวิธีการต่างๆมา
    หรือพลังงานภายนอกต่างๆที่ไปดึงเข้ามา
    หรือมีความสามารถเห็นแสงวงกลม เห็นวิญญานต่างๆได้
    แบบที่คงที่มากขึ้น นานขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
    พวกนี้ความสามารถในการทำได้ของจิต
    อยู่ในระดับปฐมฌานทั้งสินครับ


    ส่วนความสามารถฌานสอง ก็จะเพิ่มจากข้างบนเล็กน้อย
    คือเล่นกับพลังงานได แล้วนำพลังงานมารวมกัน เพื่อเปลี่ยน
    รูปแบบพลังงานอื่นๆ เช่นเป็นอาวุธบางอย่าง..
    การเคลื่อนย้ายเส้นเอนแบบนามธรรมภายในกาย
    การเจาะลงไปปรับธาตุเฉพาะจุดต่างๆ ให้ได้ผลดีขึ้น
    การปรับสมดุลย์พลังงานต่างๆ การจัดระเบียบให้เส้นสาย
    พลังงานในกายเป็นไปในทิศทางที่เรียบร้อย การปรับจุด
    พลังงานตามแนวจักระต่างๆในกายให้เรียบร้อย...
    การสร้างเครื่อยป้องกันพลังงานภายนอกที่ไม่ดีต่างต่างๆ
    เช่น การเขียนยันต์ ผูกยันต์กลางอากาศ(ซึ่งต้องเริ่มจากอุปจาระ)
    การเพิ่มพลังงานในวัตถุ ลดพลังงานในวัตถุ การผูกพลังงานใน
    วัตถุใว้กับต้นพลังงานต่าง(เริ่มจากอุปจาระเช่นกัน)....


    ในระดับฌาน ๓ เช่นการเพิ่มธาตุต่างๆของร่างกาย
    เช่น การเพิ่มธาตุดินเพื่อต่อกระดูก การลดธาตุต่างๆที่เกิน
    เช่น ลดธาตุที่ทำให้เป็นโรคร้ายแรงต่างๆด้วย ธาตุไฟ ธาตุน้ำ
    แต่จะค่อยๆหายไปตามลำดับ เช่น ก้อนเนื้อก็ทำประมาณ
    ๔ ถึง ๕ ครั้งเป็นต้น(มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก)
    และบางครั้งก็เริ่มหักกระดูกได้(ไม่ต้องโดนตัว)
    ต่อเริ่มได้แต่หลายรอบหน่อยสำหรับการต่อ
    ******* ย้ำว่าห้ามใช้ธาตุดิน สำหรับกรณีคนที่สมองไม่ดีเป็นอันขาด***
    การเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนบางอย่างของร่างกายในระยะ
    ที่ใกล้เคียงต่ำแหน่งเดิม

    ในระดับฌาน ๔ จะมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง จำเอาไว้เลยนะครับว่า
    กำลังระดับนี้ จะสามารถพลิกนามธรรมให้เป็นรูปธรรมได้
    และเล่นแร่แปรธาตุได้ เล่นกับพลังงานที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมได้
    เช่น เล่นพลังงานไฟ ให้กลายเป็นไฟจริงๆได้ เล่นพลังงานน้ำจนกลาย
    เป็นน้ำจริงๆได้ หยิบจับของในอากาศเป็นวัตถุจริงๆได้ ยังไม่นับอื่นๆนะครับ
    หรือสำหรับผู้ที่รักษาก็จะทำให้ก้อนเนื้อส่วนเกิน ณ อวัยวะร่างกาย
    ณ บริเวณนั้นหายไปได้ ณ เวลานั้นๆ



    และก่อนจบ ก็ย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ระดับฌานไหนก็ตาม ทำอะไรได้ก็ตาม
    ให้ดูว่า พอจิตเคยทำได้แล้ว และหลังจากที่ทำวางไปแล้ว
    พอถึงเวลาจะใช้งาน มันสามารถเกิดขึ้นได้ ภายในเวลาเสี้ยววินาทีหรือไม่
    ถ้ายังเป็นนาที หรือไม่เกิดขึ้นอีก ให้พึ่งระลึกเอาไว้ว่า
    มันเป็นโลกียะฌาน ซึ่งจะเป็นมิจฉาทิฐิอยู่นะครับ
    ...แบบโลกุจะต้อง ดำริจะใช้งานเมื่อไร
    ต้องเกิดทันที ไม่เสียเวลา ไม่มีเสื่อมและมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ
    ตามละดับกิเลสที่ตัดได้ จากการวิปัสสนาหรือจากการเดินปัญญา
    ลดละกิเลสในใจตนเองครับ......


    และที่สำคัญมาก ก็คือ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเลย
    ทางพุทธศาสนาครับ ส่วนตัวส่วนมากมักจะเห็นผู้ที่จิตทำได้
    ในระดับอปุจารสมาธิแต่เผลอไปยึดติดกับเรื่องตรงนี้
    ทำให้หลงสภาวะระดับฌานตนเอง และหลงตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
    แม้ว่าจะไม่มีความสามารถแสดงได้ก็ยังหลงตัวเองได้....


    ทั้งๆที่ไม่ว่า บุคคลใดถ้าทำได้ถ้ายังเป็นโลกียะญานเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่พาลให้ติด ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    และแม้ว่าจะเป็นแบบโลกุตระ ถ้าไม่ทิ้ง ไม่คลาย วางไม่เป็น
    ก็จะเตลิด ขาดๆเกิ๊บๆ เป็นไปแบบไม่อัตโนมัติ ยังมีจิตเป็นผู้กระทำได้อยู่


    ในความเห็นส่วนตัวสำหรับผู้เขียนเห็นว่า
    ผู้ที่จิตมีความสามารถพิเศษจริงๆคือท่าน
    ที่สามารถเข้าถึง อาสวักขยญาณ คือการรู้
    และทำให้อาสวะสิ้นไปได้นั่นเองครับ




     
  19. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    ฌาณมาก่อนญาณครับ
     
  20. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ตอบข้อ 1 การที่คนจะหยั่งรู้ได้ ไม่จำต้องถึงระดับญาณ ไม่ต้องถึงระดับมีฌาณ

    ในโลกนี้ มีศาสตร์ที่คนเราไม่รู้อยู่มาก ยกตัวอย่าง ตำราดูมหาปุรุษ ซึ่งในอินเดียโบราณสืบทอดการดูลักษณะบุคคลมา เริ่มแรกทีเดียวนั้น ฝ่ายฤาษีดาบสยุคก่อนมีพระพุทธองค์ ล้วนเข้าฌาณได้ และมีญาณหยั่งรุ้อนาคต ก็ทราบด้วยญาณว่าจะมีบุรุษที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเคารพ จึงมีการพูดคุยกัน และเพื่อประโยชน์ของมนูษย์จึง ถ่ายทอดความรู้นั้นจากปากต่อปาก แต่ที่เรียกกันเป็นตำรา เพราะเหล่าฤาษีดาบสหลายร้อยมาชุมนุมกันและถ่ายทอด จนรวบรวมเป็นตำราดูลักษณะ

    จะเห็นว่า เดิมการดูลักษณะมาจากฌาณและญาณ แต่พราหมณ์ในภายหลังรับรู้แค่ตำราหรือวิชาที่ถ่ายทอดมาเท่านั้น ไม่จำต้องมีฌาณหรือได้ญาณ

    ตำราการดูดาวดูดวง ก็เพราะคนสมัยโบราณ จิตเค้าสงบ เค้ามองดุดาว ดูยาม มากๆ เข้าด้วยจิตที่สงบ หมอผี(ก็คงคล้าย ฤาษีดาบสของอินเดีย) จิตที่สงบและประกอบกับการสังเกตุธรรมชาติกับชีวิตประจำวันของคนเรา ก็เลยเกิดการหยั่งรู้ ต่อมาก็เลยสืบทอดเป็นตำรา คนดูดวงไม่จำต้องมีฌาณหรือมีญาณใดๆ เลย

    กรณีที่ท่านเล่า นั้น จึงไม่จำต้องที่ผู้ทำนายหรือผู้ทายทัก จะต้องมีฌาณหรือญาณแต่อย่างใด ในหลายกรณีศาสตร์การหยั่งรู้ที่สืบทอดยังมีลักษณะเป็นมายา หรือทริค ที่ทำให้ผู้ที่จะถูกทำนายต้องเปิดเผยความจริงต่อผู้พยากรณ์โดยผู้ถูกทำนายไม่ทราบ

    อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ตอบเป็นทางวิทย์ฯ ผมขออธิบายสั้นๆ แบบอุปมา

    คนเราในทางวิทยาศาสตร์ จัดเป็นสสารแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพลังงาน สสารมีลักษณะแข็ง มีรูปร่าง แต่พลังงานมีลักษณะเป็นคลื่น คล้ายคลื่น

    การเคลื่อนไหวของคลื่นนั้นแต่ละคลื่นมันกระทบกันได้ สะท้อนไปมาได้ ในทางวิทย์ เราสามารถคำนวณเส้นทางการโคจรของดาวได้ฉันใด ชีวิตและจิตใจของคนเรา ก็ย่อมทำนายได้ เพราะคนเราในส่วนที่เป็นคลื่นย่อมมีทิศทางของมันเอง คนที่เพียงได้อุปจารสมาธิย่อมหยั่งถึงการหยั่งรู้นั้นได้ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยุ่กับการตั้งจิตของคนแต่ละคนเอง

    ตอบข้อ 2
    หาตำราหรืออาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชา หรือทริค

    หรือถ้าจะได้ฌาณก็ระงับนิวรณ์ ๕ ถ้าจะได้ญาณก็แล้วแต่จะฝึก ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะได้แบบผลุบโผล่ ใช้งานจริงไม่ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...