วางทุกตำรา

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย miracledharma, 6 ธันวาคม 2016.

  1. miracledharma

    miracledharma Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +44


    เขาบอกว่าการเจริญกรรมฐานนี้ เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี ตำราทั้งหลายที่โยมเคยไปติดในครูบาอาจารย์นั้น จงวางทุกตำราเสียก่อน ไม่ว่าตำรานั้นจะเป็นเอกอุแค่ไหนก็หาสำคัญไม่ ถ้าผู้ใดยังไม่วาง ถ้ายังถืออยู่ บุคคลนั้นเรียกว่ายังไม่ได้เปิดตำรา คนที่จะอ่านตำราต้องวางตำราเสียก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเรียกว่าต้องตัดและทิ้งทุกอารมณ์ ทุกตำรา นี่คือวิชาลึกลับแห่งสมาธิ เพราะวิชาลึกลับแห่งสมาธินี้ไม่ได้มีบทบัญญัติ แต่ถ้าใครเข้าไปในสมาธิได้ จะเจอบทบัญญัติคือทางเดิน ก่อนที่โยมจะเดิน โยมต้องวางก่อน รู้ว่าจะเดินทางนี้ คือมีความพอใจเป็นที่ตั้งเสียก่อน ดังนั้นวิชาอย่างอื่นจึงต้องควรวาง หากไม่อย่างนั้นแล้ว จิตโยมจะหาความสงบไม่ได้ คือต้องทิ้งทุกตำรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ไม่ว่าโยมจะไปเจริญภาวนายุบหนอมาก็ดี พุทโธก็ดี สัมมาอรหังก็ดี กำหนดรู้ลมหายใจก็ดี โยมวางทุกตำราเสียก่อน เอาความสงบความวางเฉยนั้นแลเป็นอุบายแห่งความสงบ เพราะจิตโดยธรรมชาติไม่ต้องการบังคับอะไร คือในขณะที่โยมจะเจริญสมาธินั้น ยังไม่ต้องกำหนดรู้อะไร แค่กำหนดรู้ว่าโยมจะทำอะไร นั่นคือระลึกรู้ก่อน คือสติ ถ้าโยมทำอะไร ไม่มีสติไปกำหนดรู้ก่อน โยมจะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่โยมทำนั้นมันคืออะไร แต่ถ้าโยมกำหนดรู้ก่อน ระลึกก่อน เมื่อโยมเดินเข้าไปนั่นแล จิตมันจะคอยบอกเป็นขั้นตอน เป็นระดับที่เกิดขึ้น เมื่อจิตนั้น เมื่อมีสิ่งใดมากระทบก็จะรู้ ที่รู้ได้เพราะโยมกำหนดรู้ก่อน แต่ถ้าโยมรู้ทีหลัง นั่นเรียกว่าความหลงหรือจิตปรุงแต่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ รู้ก่อน ต้องรู้ก่อน รู้ว่าโยมจะทำอะไร เช่นในขณะนี้โยมกำหนดรู้ว่าโยมทำอะไรอยู่ เมื่อโยมรู้นั่นแล นั่นคือความจริง แต่ถ้าไม่รู้ นั้นยังไม่จริง

    สิ่งที่โยมนั่งอยู่ในกายนั้นไม่ใช่กายโยม เพราะในกายนี้ มีอีกหลายดวงจิตดวงวิญญาณที่เขาสามารถมาอาศัยได้ มาอยู่ได้ ใครจะรู้ได้เล่าว่ากรรมในอดีตของโยมนั้นทำอะไรมาบ้าง ฆ่าใครมาบ้าง ฆ่าสัตว์อะไรมาบ้าง เขาไม่ได้ไปไหนหรอกจ้ะ เขาก็อยู่กับโยม เพราะเป็นสิทธิ์ที่เขาจะอยู่ได้ ผู้ใดไปเบียดเบียนสังขาร ทำให้ชีวิตตกกันไป เขาก็ต้องมาอาศัยสังขารโยม เพราะเป็นสิทธิ์อันพึงที่เขาจะทำได้ ใช่มั้ยจ๊ะ โยมไปทำลายบ้านเรือนใคร เขาไม่มีที่อยู่ เขาก็ต้องมาจองเวรโยม จริงมั้ยจ๊ะ

    สิ่งนี้ที่โยมต้องปฏิเสธไม่ได้ โยมต้องมาเจริญกรรมฐานเพื่อจะให้กำเนิดเกิดบุญ ให้เขานั้นได้มีกำลังหล่อเลี้ยงในดวงจิต ให้เขาเกิดปัญญา เกิดเรียกว่าเห็นชอบ เกิดอภัยในจิตในวิญญาณ ดังนั้น โยมต้องมาเจริญเมตตาจิตนั่นเอง สิ่งทั้งหลายที่ทำให้จิตมนุษย์นั้นวิกลจริตก็ดี ฟุ้งซ่านรำคาญใจก็ดีนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผลกรรมในอดีตและปัจจุบัน อดีตนั้นมีกรรมไม่สามารถแก้ไขได้ แม้โยมจะปรารถนาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะประหัตประหารให้ชีวิตนั้นมันตกล่วงลงไปแล้วก็ตาม เมื่อตายแล้วก็คือคำว่าตาย สูญแล้วก็คือสูญ เสียแล้วก็คือเสีย แต่ในปัจจุบันโยมยังคงอยู่ ที่สำคัญจงอย่าทำใจของโยมนั้นมันขุ่นและเสียไป อย่าตายไปกับสิ่งนั้น สิ่งไหนที่ล่วงไปแล้ว จงปล่อยวางซะ แล้วกอบกู้ชีวิตใหม่ขึ้นมา เขาจะได้ไปเกิดกับโยม ไม่งั้นเขาเรียกว่าเขาจะดึงโยมลงไปด้วย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหตุเพราะจิตที่อาฆาตมาดร้ายนั้นเอง

    การฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น เหตุก็เพราะเหตุด้วยแบบนี้ เป็นอำนาจแห่งจิตวิญญาณที่เขาสามารถทำได้ เมื่อจิตโยมมันอ่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนโจรที่เขาแฝงอยู่ในความมืด ย่อมเห็นบุคคลที่อยู่ในทางสว่างเป็นธรรมดา ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้น โยมต้องสร้างบุญกุศลไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันโดยไม่มีข้อแม้ โยมจะทำบุญทำกุศลอย่างไร มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครเอาของโยมไปได้ และโยมนั้นแลเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง โดยอ้อมก็คือบิดามารดาของโยม ดังนั้นโยมจะทำบุญทำกุศลอย่าได้มีข้อแม้ หรือจะมาเจริญบุญกุศล เจริญภาวนา ก็อย่าได้หวังอะไร สิ่งที่โยมควรหวังก็คือ เมื่อหวัง เมื่อปรารถนาคือต้องทำให้ได้ อย่างน้อยเมื่อมาแล้ว ขอให้มีความเพียร มีสัจจะ นั่นก็เรียกว่ามีศรัทธา คือมีความเชื่อ

    ก็เพราะด้วยเหตุแบบนี้ที่โยมมีความเชื่อและศรัทธา จึงเรียกว่าบุญบารมีเก่าของโยมยังมี ฉันจึงมา ณ ที่แห่งนี้และรอคอยโยมมาเนิ่นนานแล้ว หาใช่ว่าเป็นเรื่องเหตุบังเอิญไม่ ดังนั้น ก็จะเข้าสู่ปฐมบทแห่งการมาและการที่โยมจะไป คือการตายในกาลข้างหน้า หรือโยมจะเถียงว่าโยมจะไม่ตาย นั่นก็หมายถึงว่า โยมจะหลุดออกโคจรจากโลกและกรรมใบนี้ได้ โยมต้องเปิดประตูออกไปเอง เพราะไม่มีใครขังโยมไว้ แท้ที่จริงแล้ว โยมติดในรสคุกกิเลส ตัณหา อุปาทาน แท้ที่จริงถ้าโยมเบื่อหน่าย โยมก็เดินออกไปได้สบายแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ

    ในโลกทุกวันนี้ สังคมนี้ ประเทศนี้ หรือประเทศไหนๆ ถ้าไม่มี มีแต่คนดี ไม่มีใครทำผิด โยมว่าเขาจะมีกฎระเบียบมั้ยจ๊ะ (ไม่มีค่ะ) จะมีผู้คุมมั้ยจ๊ะ (ไม่ต้องมีค่ะ) จะมีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มั้ยจ๊ะ (ไม่ต้องค่ะ) เฉกเช่นเดียวกับนรก จึงต้องมียมบาลและผู้ควบคุมบัญชีกรรมดีกรรมชั่ว ก็เฉกเช่นเดียวกัน กฎในโลกมนุษย์ก็มีตามครรลองคลองธรรม กฎแห่งโลกวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ถ้ากฎในทางโลกตัดสินไม่เป็นธรรม คดีก็จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีก คือกฎโลกวิญญาณจะเที่ยงธรรม เพราะโยมไม่สามารถปกปิดในกรรมได้ นั่นก็เช่นเดียวกับว่าโยมไม่สามารถหลอกตัวเอง โกหกตัวเองได้ กรรมนั้นแลที่โยมปิดไว้ อวิชชานั้นแลที่ยังไม่ได้แก้ไข ที่ยังไม่ได้ถูกสะสางนั่นแล มันจะไปรวมบัญชีของโยมไว้ คือเรียกว่าหนี้เสีย คือกรรมชั่ว อกุศล ใจโยมยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง คือยังมีขาดศีล ยังด่างพร้อยอยู่นั่นแล

    การในครั้งนี้ ถ้าโยมปรารถนาจะพ้นทุกข์ โยมผู้เดียวทำไม่ได้ อำนาจแห่งจิตที่มันครอบงำนี้มีอำนาจมาก นั่นคืออำนาจแห่งกรรม ใครจะสามารถเหนืออำนาจแห่งกรรมนี้ไปได้ บุคคลผู้นั้นต้องรู้กรรมตัวเองให้ได้เสียก่อน เมื่อรู้แล้ว กำหนดกรรมตัวเองได้ ก็ต้องรู้กรรมตัวเองได้ ควบคุมกรรมตัวเองได้ ย่อมจะรู้ปริมาณกรรมตัวเองว่ามีมากน้อยเพียงใด จะกำจัดอย่างไร สิ่งเหล่านี้ เหตุอย่างนี้ โยมต้องช่วยเหลือกัน นั่นเรียกว่าสามัคคีธรรม เพื่อให้เกิดบารมี

    สิ่งที่ฉันให้โยมกระทำและสร้างขึ้นมานี้ ล้วนเป็นอุบายแห่งสมมติบัญญัติแห่งธรรม คือที่เรียกว่าจะเอาไปต่อรองกับมาร และกรรมที่โยมได้กระทำ ที่ได้ล่วงเกินในพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ เหล่าสรรพวิญญาณทั้งหลาย นั่นเรียกว่ากรรมชั่วที่โยมได้กระทำไว้ สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครช่วยโยมได้ ฉันก็ได้แค่บอกว่าโยมต้องทำแบบนี้ แต่ฉันจะไปบังคับโยมไม่ได้ ก็แค่ได้มาบิณฑบาต โยมจะใส่ โยมจะปรารถนาหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่โยม เพราะฉันปักกลดรอโยมมาเนิ่นนานแล้ว แต่เมื่ออีกสี่ปีข้างหน้าที่จะมาถึง นั่นคือการกำหนดเคลื่อนย้ายที่ต้องเดินทางต่อไป ไม่เฉพาะโยมเท่านั้นที่เป็นผู้ตกทุกข์หรือมีทุกข์มีภัย ในสยามประเทศนี้ จะต้องมีทุกข์มีภัยเป็นหย่อมหญ้าอีกมากมาย เมื่อสี่ปีครบแล้ว ทุกอย่างที่ฉันกล่าวไป เมื่อโยมคิดว่าโยมทำได้ ถือว่าเป็นสัญญาใจกัน เมื่อครบกำหนดแล้ว มีกำลังพลมากพอแล้ว เราต้องเคลื่อนที่ เอาเรือนั้นลงนาวา ถ้าโยมไม่เคลื่อนที่แล้ว ก็เหมือนว่าที่ตรงนี้จะมีภัย อุปมาว่าอย่างนั้น

    แต่โยมนั้นยังไม่คิดว่าภัยนั้นจะบังเกิด เพราะว่าขลาดเขลาด้วยปัญญา หรืออวดดีก็ตาม ผู้นั้นก็ต้องสนองในกรรมนั้นไปเอง ฉันคงไม่เอาส่วนรวมนั้นมาพลอยเสียในคนส่วนน้อย ถ้าใครปรารถนาที่จะไป โยมก็จงปรารถนาเอาเอง ที่โยมจะไปได้ นั่นก็คือโยมต้องเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ช่วยกันต่อเรือลำนี้ หรือที่ฉันจะบอกว่าต่อแพนั่นแล โยมจะรอให้น้ำหรือภัยมา แล้วโยมเพิ่งต่อแพ โยมจะทันมั้ยจ๊ะ (ไม่ทันจ้ะ) เมื่อโยมมีเวลา โยมก็หัดพาย เมื่อโยมมีกำลัง โยมก็สร้างต่อมันขึ้นมา การสร้างนี่แลเรียกว่าการสร้างทานบารมี การต่อเรือนี่แลคือการเจริญปัญญา คือการเอาบุญเก่าของโยมนั้นมาต่อ แต่โยมจะต่อผู้เดียวไม่ได้ เพราะเรือลำนี้มันลำใหญ่ เศษหนึ่งในร่างกายของโยมก็คือเศษหนึ่งในเรือ เรือลำหนึ่ง ถ้ามันรั่ว มีรอยร้าว แม้เพียงเสี้ยว โยมว่าภัยจะเข้าได้มั้ยจ๊ะ อุปมาศีลนั้นแล

    ดังนั้น เมื่อศีลมนุษย์นั้นยังไม่มั่นคง เราก็จงเอาศีลนั้น บุคคลที่ทรงศีลอยู่มารวมตัวให้มาก อำนาจแห่งศีลแห่งธรรมมันก็จะมีมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...