จะแยกฝันกับนิมิตรได้อย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย bee peung, 6 พฤศจิกายน 2016.

  1. bee peung

    bee peung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2016
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +85
    ขอขอบคุณทุกความเห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2016
  2. bee peung

    bee peung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2016
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +85
    ขอขอบคุณทุกความเห็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2016
  3. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ความฝันมันอาจจะเป็นสัญลักษณ์หรือเรื่องจริงที่ใกล้เคียงอันนี้จากที่คาดไว้จะเกิดเรื่องเดือดร้อน แต่ก็อย่างที่หลายๆท่านกล่าวไปคือควรป้องกันดีกว่าแก้ไข นั่นคือ เจ้าของบ้านเองก็มีประกันแต่ควรย้ายของมีค่าบางประการไว้ในที่ปลอดภัย และสติเป็นสิ่งที่ต้องคุมตลอดเวลาเพราะว่าอาจเกิดเรื่องเดือดร้อนอื่นๆก็ได้ ถ้าเป็นนิมิตรดีก็แล้วไป หรือหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีเช่นกัน แต่กรรมจะส่งผลเมื่อถึงวาระของมันป้องกันไว้ก่อนเพราะอาจจะด้วยกรรมดีของเราก็มีสิ่งมาดลให้ฝัน
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    นิมิตร

    ถ้ามีความสามารถ มีบารมี อธิษฐานขอเหนซ้ำ ก้จะเหนได้

    ถ้าไม่มีความสามารถ แต่บารมียังมี ผู้ดลจิตจะดลจิตซ้ำได้ (เหมือนกรณี หม่อมท่านนึง ที่เนื่องกับ ร.8......ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้)

    ถ้าไม่มีความสามารถ ไม่มีบารมี จิตที่กำลังเปลี่ยนจากภวังค์ จะเปนจังหวะหากินของสัมภเวสี

    ความฝัน

    ความฝันหยิบยืมฝัน

    เอาความฝันผู้อื่นมา ควบรวมเปนความฝันตน

    มันจะมีรสคิดซ้ำ ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปนเบื้องหลัง

    ถ้าบังเอิญตรง สิ่งที่อยู่ข้างหลัง จะย้ำลงจิตฝังแน่น สำคัญว่ามี ว่าเปน

    ถ้าบังเอิญไม่ตรง สิ่งที่อยู่ข้างหลัง จะย้ำลงจิตฝังแน่น สำคัญว่ามี ว่าเปน ข้างนิเสธ

    พอสำคัญว่ามี ว่าเปน ไม่ว่าข้างไหน ก้จะเกิดตำหนักวิปลาส ฝันเฝื้อง(ข้างบังเอิญตรง) เลอะเลือน(ข้างไม่ตรง แต่ใกล้หวะ อย่างโง้น อย่างงี้)
     
  5. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,111
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ให้ระวังฟืนไฟ ฝันสมจริงมากมั้ยครับ ไม่งั้นก็เป็นจิตนิวรณ์ รึธาตุกำเริบแหละ เชื่อไม่ได้
    ก็ขอให้ขยันส่วนมนต์ จากหนักก็กลายเป็นเบา ก็ขอให้พยายามตรวจตราบ้านบ่อยๆ
    พวกธูป เทียนนนี่แหละตัวดีเลย บ้านมีไม้เปล่าครับ
    นิมิตรก็คือรอยต่อระหว่างภพ เชื่อไม่ค่อยได้เลยครับ อาจเรียกว่าภาพหลอน
    วิธีแก้ก็มีหลายแบบนะ เช่นทำบุญหนักๆ ไม่ก็ดิจิตอลหน่อยก็เป็นเรื่องเทคโนโลยีทีวีอะ
     
  6. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ออ กระทู้นี้ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว คิดว่าคงรู้ผลแล้วกระมัง
     
  7. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
  8. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    รีบหน่อยนะครับ

    ..............................................
    เกร็ดธรรม

    หลวงปู่พุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    แม้ว่า จะมีใครกล่าวว่า
    การภาวนาอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้จึงดีอะไรทำนองนี่ อย่าได้ไปสนใจ

    เราจะเอาอะไรก็ได้
    ถ้าสมมุติว่า จิตของเราเนี๊ยะมันไปติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเหนียวแน่น

    เช่น

    อย่างเราจะภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ
    แต่มันไม่อยู่กับพุทโธ มันชอบวิ่งไปหา สิ่งอื่นที่เราเคยติดมาแล้ว
    ก็ให้เอาสิ่งนั้นแหล่ะมาบริกรรมภาวนา

    เช่น อย่างสมมุติว่า
    ในขณะที่เราภาวนา มันคิดถึงใครคนหนึ่ง
    ก็เอาชื่อของคนคนนั้นมาบริกรรมภาวนา
    เพราะจิตมันติดอยู่แล้ว มันจะได้ติดเร็วขึ้น

    ในเมื่อจิตมีการติดมันก็ย่อมเกิดความสงบ
    ในเมื่อสงบแล้วมันไม่ฟุ้งซ่าน
    ไม่ฟุ้งซ่านมันก็อยู่ในอารมณ์เดียว
    ในเมื่อจิตอยู่ในอารมณ์เดียว จิตก็เกิดเป็นสมาธิ
    ในเมื่อจิตเป็นสมาธิอย่างแท้จริง
    แม้แต่บริกรรมภาวนามันก็ทิ้งไป

    ในเมื่อมันทิ้งบริกรรมภาวนาแล้ว มันก็เป็นตัวของตัวเอง
    ไม่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งใด
    เป็นเหตุให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงของจิตดั้งเดิมของเราว่ามันเป็นอย่างนี้

    ในเมื่อจิตมันปล่อยวางหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
    มันเป็นตัวของตัวเอง มีแต่จิตดวงเดียวล้วนๆไม่ได้พึ่งพาอาศัยอะไร
    มันก็เป็นอิสระ
    ในเมื่อเราฝึกหัดให้มันเป็นอิสระ บ่อยๆ เข้า
    พละ คือกำลังมันก็เกิดขึ้น มากขึ้นทุกที ทุกที
    จนสามารถที่จะทรงตัวอยู่ได้ ในสภาพปกติตลอดไป

    ความเป็นปกติของจิตนั้น
    ความเป็นปกติของจิตในภายใน
    หมายถึง จิตเข้าอยู่ในสมาธิ
    สลัดอารมณ์ทั้งปวงแล้ว
    จิตเป็นจิตดวงเดียวล้วนๆ
    อันนี้เป็นความปกติของจิตภายใน

    ในเมื่อจิต ออกมาสู่อารมณ์ภายนอก
    เช่น สิ่งที่ผ่านเข้ามาทาง ตาหูจมูกลิ้นกายและใจ
    จิตเป็นแต่เพียงสัมผัสรู้
    รู้แล้วไม่ยึดถือสิ่งนั้น เป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
    พอพูดมาถึงตอนนี้ ท่านผู้ฟังอาจจะเข้าใจว่า
    อะอืมๆ ในเมื่อจิตไม่สนใจกับสิ่งใดใด
    จิตมันจะไม่กลายเป็นจิตที่ไร้สำนึกไม่เอาไหนหรือ
    จะไม่กลายเป็นจิตที่ขี้เกียจขี้คร้านไม่เอาการเอางานหรือ
    ข้อนั้นไม่พึงสงสัย

    ถ้าหากว่าจิตมันผ่านความเป็น สมาธิ
    ผ่านความเป็นตัวของตัวเองได้โดยเด็ดขาดแล้ว
    มันจะเกิดความสนใจในหน้าที่การงาน
    เกิดความสนใจในหมู่ในขณะ
    เกิดความสนใจในหน้าที่ที่เราจะต้องรับผิดชอบ

    ผู้ซึ่งเคยขี้เกียจทำงานมันจะขยันขึ้น
    ผู้ที่ไม่เอาใจใส่กับจิตใจของตัวเอง
    ไม่เอาใจใส่กับการงานขาดความรับผิดชอบ
    มันจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น
    อันนี้คือ ผลของการทำสมาธิ

    การทำสมาธิ เช่นอย่าง เราจะไปเข้าห้องกรรมฐาน ไม่เอาไหนเลย
    ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดเลย อันมันก็ไม่ดี เพราะเราทิ้งการทิ้งงานคนอื่น

    การทำสมาธินี่เรามีความมุงหวังที่จะให้เรามีพลังจิต
    มีสติ สัมปชัญญะ ต่อสู่กับงานการที่เรารับผิดชอบอยู่
    สามารถที่จะแก้ไขชีวิต อ่าปัญหาชีวิตประจำวันได้
    สามารถที่จะแก้ไขปัญหาสังคมได้
    ไม่ใช่ว่าทำสมาธิแล้ว
    ไปหลับหูหลับตาไม่เอาไหนแบบนั้นไม่ถูกต้องแน่

    ทำสมาธิเป็นแล้วต้องสนใจในการงาน
    สนใจในหมู่คณะ
    สนใจในการรับผิดชอบ
    สนใจในทุกสิ่งทุกอย่าง
    เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้มันเป็นสภาวะธรรม

    ได้กล่าวแล้ว ว่า
    กายกับใจของเราเป็นสภาวะธรรม
    เป็นครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติฉันใด

    บุคคลภายนอก สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
    ที่เราประสพอยู่ทุกวินาที
    สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสภาวะธรรม
    เป็นเครื่องรู้ของจิตเป็นเครื่องระลึกของสติ
    เราทำสติให้รู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้น
    ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง

    นักปฏิบัติสมาธิต้องสู้ สู้ต่อการงานทุกสิ่งทุกอย่าง
    เพราะว่าการทำสมาธินี่ ทำให้จิตมีสมาธิ
    มีความตั้งมั่น มีความมั่นใจ
    มั่นใจต่อหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบอยู่
    อันนี้คือผลของการทำสมาธิในขั้นนี้

    ถ้าหากเราฝึกหัดทำสมาธิในขั้นต้น อะอืมๆ
    พอที่จะจับหลัก แห่งการทำสมาธิ
    สามารถที่จะทำจิตให้สงบ
    สามารถ ที่จะน้อมจิตไปพิจารณา
    สามารถที่จะทำสติให้รู้เท่าทันเหตุการณ์นั้นๆ
    คือตามรู้เหตุการณ์นั้นๆ จนทัน
    ก็ ได้ชื่อว่า
    เป็นผู้ได้ปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องด้วยประการะฉะนี้

    ได้กล่าวธรรมะบรรยายมา พอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านผู้ฟัง
    ก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาละเวลา จึงขอยุติ ด้วยประการะฉะนี้
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,171
    ค่าพลัง:
    +1,231
    เป็นอย่างไรบ้างครับ
    จขกท.นี้ หายเงียบไปเลย ไม่เห็นกลับมารายงานผล เล่าสู่กันฟังบ้าง
    หรือว่ามัวแต่หาเงินซ่อมบ้านที่ไฟไหม้...???

    แต่จากประสบการณ์แล้ว ผมยืนยันว่า ถ้าฝันว่าไฟไหม้บ้าน ไม่ได้หมายถึงบ้านถูกไฟไหม้จริงๆหรอก
    ส่วนมากมักจะหมายถึงความทุกข์ความเดือดร้อนที่ผู้นำมาให้ มีเรื่องมีราวกันไป...
     
  10. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    593
    ค่าพลัง:
    +289
    เออแล้วอยู่กับความฝันกับอยู่กับนิมิตรแล้วแบบไหนชีวิตหรือธรรมที่เพียรพยายามจะดีกว่าละเน้อ...สรุป...ไม่รู้เหมือนกันนะอยู่ที่ผู้ระลึกจะรู้จะเห็นได่ด้วยตนเอง...เพราะความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่ทั้งสองสิ่งและความเป็นจริงคงไม่มีทางได้เพราะสักแต่ว่าทำโน้นนี่นั่นแน่นอน...อนุโมทนาคับ
     
  11. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    คืออย่างงี้ค่ะ ครั้งล่าสุดนั่งแล้วไม่ยอมบริกรรมเข้าออกหรือพุทโธตามปกติ แต่มันผุดคำว่า ที่รัก ซ้ำๆอ่ะค่ะ (ไม่ได้นึกถึงใครเรียกเราหรือเราเรียกใครนะคะ) แค่เป็น คำกริยาเฉยๆ ทีนี้ก้อกลัวจิตจะกระหวัดไปในเชิงรักๆใคร่ๆ เลยไปบังคับให้พุทโธกับเข้าออก ปกติจะบริกรรมว่าเข้าออกมากกว่าค่ะ ใจมันก้อผุดแต่คำเนี้ยค่ะ ที่รัก สรุปนั่งไม่ได้อ่ะค่ะ

    ประเด็นคือ เราจะแยกได้ไงอ่ะคะว่าคำบริกรรมที่ดีงามแต่ผิดแปลกไป จะไม่ทำให้เราคิดอกุศล
     
  12. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    พยายามจับหลักฟังพระบ่อยๆให้เข้าใจ อย่าไปอ่านสะเปะสะปะครับ

    โพสสะเปะสะปะ อันไหนที่มันไม่ถูกต้อง มันจะมีผลสะท้อนมาหาคนเผยแพร่

    ................................

    บางส่วนที่หลวงปู่พุธ เทศน์ไว้ครับ ลองไปศึกษาตามลิ้งค์ หลายๆรอบ

    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ทีนี้ ในขณะที่เรากำลังนึกบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เป็นต้น
    หรืออะไรก็ได้ ที่ท่านนึกเอา ยึดเอามาเป็นอารมณ์จิต
    ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ สวากขาโต หรือ มรณัง อะไรก็แล้วแต่
    ที่ท่าน มานึกซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ อยู่ในจิตของท่าน

    ในขณะที่จิตมันนึกซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นึกอยู่นั่น
    ปล่อยให้มันนึกไป แต่ถ้าหากว่า จิต
    มันปล่อยวาง ทิ้ง คำ ที่มันนึกอยู่นั้น ไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา
    มันเกิดความคิดของมันขึ้นมาเองแล้ว ปล่อยให้มันคิดไปเหมือนกัน
    แต่ให้มีสติ กำหนดตามรู้ไป คำบริกรรมภาวนา ที่เราตั้งใจนึกอยู่
    เป็นสิ่ง ที่เราหาอารมณ์มาป้อนให้จิต
    เราจะต้องทำงานถึง 2 อย่างพร้อมกันไป

    คือ

    1. หาอารมณ์ มาป้อนให้จิต ประการที่ 2. มีสติควบคุมจิต
    ให้นึกอยู่ที่บริกรรมภาวนานั้น

    เราทำงาน 2 อย่างพร้อมกันไป

    แต่ถ้าหากว่า

    จิตทิ้งอารมณ์ ที่เรามาป้อนให้เค้า เค้าไปคิดอย่างอื่นขึ้นมา
    สุดแท้แต่เค้าจะคิดเรื่องอะไร เราปล่อยให้เค้าคิดไป
    หน้าที่ เหลืออยู่อย่างเดียว
    คือ ให้มีสติ กำหนดตามรู้ไปเท่านั้น ในเมื่อเราตามรู้ความคิดไป
    เค้าจะคิด ไปแบบไหน อย่างไรก็ตาม
    คิดเรื่อง บุญเรื่องบาป เรื่องบุญ
    เรื่องกุศล เรื่องอกุศล เรื่องโลก เรื่องธรรม ปล่อยให้คิดไปเลย
    ไม่ต้องไปห้าม แต่ให้มี สติ กำหนดตามรู้ รู้ รู้ รู้ รู้ ไป

    พอไปสุดช่วงเค้าหยุดคิดปั๊ป จิตจะสงบ นิ่ง สว่าง มีปิติ มีความสุขเกิดขึ้น
    อันนี้ลองๆ ลองๆไปทำดู

    แต่เราจะได้ยินว่า

    เมื่อบริกรรมภาวนาพุทโธ เป็นต้นอยู่ ถ้าจิตทิ้งพุทโธปั๊ป ให้ดึงมาหาพุทโธอีก
    เมื่อจิตทิ้งพุทโธ ไปคิดอย่างอื่น ให้ดึงมาหาพุทโธอีก

    ทีนี้ อันนี้ เราไม่ต้อง

    ในเมื่อ จิตทิ้งพุทโธปั๊ป ถ้าจิตว่างอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ว่างอยู่ ไม่ต้องนึกอะไร
    แต่ถ้าจิต เกิดมีความคิดขึ้นมา ปล่อยให้คิดไป

    แต่ ให้มีสติกำหนดตามรู้
    คือว่า ให้รู้อยู่ในที ถ้าหากว่า จิตคิดขึ้นมาปั๊ป เราตั้งใจกำหนดดูปั๊ป เค้าจะหยุดนิ่งทันที

    ทีนี้ เมื่อ เค้าหยุดนิ่ง เราก็ปล่อยให้นิ่ง อยู่อย่างนั้น
    พอเค้าคิดขึ้นมา รู้ทันที
    พอว่างรู้ว่าง พอคิดรู้คิด ว่างรู้ว่าง คิดรู้คิด สลับกันไปอย่างนี้
    จนกระทั่งรู้สึก ว่า ตัวคิด ก็คิดไม่หยุด
    ตัวตามรู้ คือ สติ ก็ตาม จดจ้องกันไปไม่ลดละ

    บางทีในทำนองนี้ ตัวคิด ก็คิดไป ตัวตามรู้ ก็รู้ไป
    บางทีอาจจะมีอีกตัวหนึ่ง มาสงบนิ่ง อยู่ภายในตัว ในร่างกายของเรา
    มันกลายเป็น สามมิติ

    มิติหนึ่ง คิดอยู่ไม่หยุด
    อีก มิติหนึ่ง ทำหน้าที่ควบคุม
    อีกมิติหนึ่ง มานิ่งอยู่ภายในใจกลางตัว

    อันนี้เป็นไปได้มั๊ย

    ได้หรือไม่ได้ ก็รับฟังเอาไว้ แต่เมื่อท่านปฏิบัติไปปฏิบัติไป ก็รู้เอง



    (อ่านต่อตอนต่อไป)




    อ่านต่อที่นี่ วิถีจิต ..พระราชสังวรญาณ (หลวงปู่พุธ ฐานิโย) - PaLungJit.org
     
  13. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    สาธุครับ
     
  14. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    อาจารย์อยู่สำนักไหนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...