สมาธิสำหรับการรักษาโรคด้วยตัวเอง ขอคำแนะนำด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผ่านมาเฉยๆ, 30 มีนาคม 2017.

  1. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ตามนั้นครับ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอบคุณครับ ที่ตั้งกระทู้แบบนี้...
    ทั่วไปเราอาจเคยได้ยินมาว่าหลายๆท่าน
    ที่เจ๊บป่วย ไม่ว่าด้วยโรคอะไรก็ตาม
    ไม่ว่าจะร้ายหรือไม่ร้ายแรงนะครับ
    พอมานั่งสมาธิแล้วกลับพบว่า โรคที่ตนเอง
    เป็นอยู่นั้นกลับหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    เรื่องทำนองนี้เชื่อๆว่า หลายๆท่านคงได้ยินมา
    หรืออาจจะประสบด้วยตัวเองมาแล้ว...
    จนเรื่องทำนองนี้ แต่งเป็นหนังสือออกขายมาแล้วหลายเล่ม
    แต่บางท่านก็ยังจะสงสัยว่า ทำไมถึงหายได้
    เพราะอะไร เรื่องที่จะเล่านี้ ถือว่าเป็นความเชื่อเรื่องเล่านะครับ
    เพราะว่า ยังไม่มีเครื่องมีอทางวิทยาศาสตร์ที่จะ
    พิสูจน์ให้เห็นจริงได้ชัดเจน แม้บางครั้งจะพบเห็นผลได้
    แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร

    เรื่องเล่าคือ...ร่างกายมนุษย์เราประกอบด้วยธาตุหลักๆ
    ๔ ธาตุ คือ ธาตุ ดิน น้ำ ลม จริงๆยังมีอีก ๒ ธาตุ คือ จิต
    และวิญญานธาตุ แต่จะยังไม่กล่าวถึงในที่นี้มาก...

    และก็เชื่อว่า การที่ร่างกายบริเวณอวัยวะใดๆก็ตาม
    ที่นอกจากจะเสื่อม
    เนื่องจากธรรมชาติหรือตามอายุไขแล้ว

    ยังพบว่า มีบางส่วน บางอวัยวะของร่างกายที่สามารถ
    เสื่อมก่อนวัยอันควรได้ เนื่องจากสภาวะแวดล้อมๆต่างๆ
    เช่น ความเครียด การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่กระแสไฟฟ้า
    การย้ำคิดย้ำทำ ไม่ว่าเรื่องในอดีต เรื่องปัจจุบัน หรือเรื่องในอนาคต การไม่รู้จักปล่อยวางทุกเรื่องที่ทำให้เครียด
    ความคิดฉาริษยา เรื่องปากท้อง การทำมาหากิน ฯลฯ
    พูดง่ายๆคือ ทุกเรื่องที่ต้องใช้สมองคิด แต่ในเวลาปกติ
    ไม่รู้จักวาง.....
    และอีกเรื่องก็คือ บางกรณีที่นักปฎิบัติบางคน
    มีความสามารถในด้านการรับรู้พลังงานภายนอกได้
    หรือกลุ่มผู้มีสัมผัสภายในทั้งหลาย และก็มีปัญหาเดียวกัน
    กับกลุ่มที่มีความคิดข้างบน ก็คือ การไม่รู้จักปล่อยวาง
    ในสิ่งที่ตนสัมผัสได้ จนเป็นเหตุนำมาสู่การคิดต่างๆนานา
    ไม่ว่าจะสงสัย ใคร่อยากรู้ต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดพลังงานตกค้าง
    ส่งผลกระทบกับร่างกายต่างๆนาๆอย่างที่คาดไม่ถึงนั่นเองครับ...

    และเราๆก็อาจจะเคยได้ยินมาว่า ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรค
    ที่ทางการแพทย์ปัจจุบัน รักษาไม่หาย แต่พอไปให้ผู้ที่ใช้
    วิธีทางเลือก หรือวิทยาศาสตร์ทางจิต รักษากลับพบว่า
    โรคที่เป็นอยู่กลับหายไปได้ หรือ ค่อยๆทุเลาลงจนหายขาดก็มี
    แต่เหมือนเป็นดาษสองคม เพราะหลังจากหายแล้วประมาท
    ไม่ดูแลรักษาสภาพจิตใจและร่างกาย จึงทำให้กลับไปเป็น
    เหมือนเดิมอีก.......
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่กล่าวมา ก็ยังไม่ใช่แนวทางการรักษาที่ดีที่สุด
    การรักษาตัวเองที่ดีที่สุด ก็คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ...
    เช่น ยิ้มเป็นไหม เพื่อให้จิตไม่เครียด ปล่อยวางเป็นไหม
    เลิกย้ำคิดย้ำทำได้ไหม เป็นคนอารมย์ดีได้ไหม
    เพื่อให้จิตใจสบายๆ อยู่กับปัจจุบัน ไม่ยึดไม่จมอยู่กับ
    อดีตและอนาคตที่ยังมาไม่ถึงได้ไหม
    ทางพุทธศาสนา เราถึงได้มีเรื่องของปัญญาขึ้นมา...
    ก็เพื่อให้จิตยอมรับและเข้าใจสภาวะต่างๆที่เป็นธรรมชาติ
    ของมัน จนตัวจิตไม่ยึด ไม่หลง จนเป็นตัวของตัวเอง
    จนกระทั่งจิตผ่อนคลาย รูสึกสบายๆ ได้อย่างธรรมชาติ
    ในขณะที่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคม อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
    ได้อย่างแยบยลด้วยครับ....
    ใน Rep นี้ถือว่าเป็นการเกริ่นนำ
    ด้วยต่อไป จะขออนุญาตแนะนำ การฝึกสมาธิ
    สำหรับการรักษาโรคด้วยตัวเอง
    ยิ่งเคยเห็นนามธรรมมาบ้างยิ่งจะเห็นได้ชัด
    ยิ่งเคยสัมผัสพลังงานอะไรได้บ้างยิ่งดี
    แต่ถ้าไม่เคยไม่เคยสัมผัสอะไรมาก็ไม่ต้องซีครับ
    เพราะว่า ผลที่ได้จะออกมาเหมือนกันคับ
    ขอว่าใน Rep ต่อไปนะครับ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    วิธีข้อดีคือใช้กำลังสมาธิในระดับไม่มาก
    ใช้เพียงแค่ระดับอุปจารสมาธิเท่านั้นครับ
    เพียงแต่ปัญหาคือ การที่จะเข้าถึงสมาธิระดับนี้
    ในระดับที่เพียงพอต่อการใช้รักษาตัวเอง
    ซึ่งจะขอกล่าวใน Rep ต่อไป ใน Rep นี้
    ขอพูดวิธีรักษาตัวเอง..ที่ข้าพเจ้าได้เรียนมา
    จากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ตอนนี้ท่านได้ละสังขารไปแล้ว
    อาจารย์ท่านนี้ ถือว่าเป็นท่านที่สามารถพลิกนามธรรม
    เป็นรูปธรรมได้แบบตาเปล่าเห็นๆ และท่านเน้นหลักๆ
    เรื่องปัญญา แต่ถ้าเรื่องพิเศษ ส่วนตัวประกันได้ว่า
    ไม่เป็นสองรองใครในประเทศไทยนี้แน่นอนครับ
    และมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งศิษย์ใกล้ชิดท่านจะทราบ
    ได้ดีเนื่องจากจะมีประสบการณ์ตรงครับ...

    วิธีการคือ ให้ใช้ระบบหายใจแบบอาปาฯนะครับ...
    คือ ให้เราอยู่ในท่านั่งแบบพิธีการก็ได้
    หรือถ้าใครไม่สดวก นั่งแล้วปวดขาก็ให้นั่งเก้าอี้ครับ
    ที่ต้องใช้ท่านั่งเพราะจะเกี่ยวกับขั้นตอนในการรักษาครับ
    ที่จะต้องดึงพลังงานขึ้นมาก่อนเพื่อที่จะใช้แลกเปลี่ยน
    สลับพลังงานดีกับไม่ดี ให้พ้นกายครับ
    เพราะท่านอนแม้ว่า เริ่มต้นจะดึงพลังงานขึ้นมาได้
    แต่ตอนที่เดินพลังงานนั้น พลังงานมันจะวกกลับเข้าไป
    ดึงร่างกาย ซึ่งจะขวางผลที่จะเกิดขึ้นได้ครับ.....

    ยกตัวอย่าง สมมุติว่า นาย ก ป่วยเป็นก้อนเนื้อขึ้นที่ลำไส้ใหญ่
    เริ่มต้น ให้นาย ก นั่งสมาธิโดยที่ให้หงายฝ่ามือ ทั้งสองข้างไว้
    บริเวณหัวเข่า รักษาหลังให้ตรงไว้ แล้วให้หายใจเข้าให้ลึก
    จนกระทั่งท้องพอง และหายใจออกให้ท้องยุบ แต่จำเอาไว้ว่า
    ไม่ต้องไปตามลมหายใจนะครับ
    และที่สำคัญให้ทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกเวลาหายใจเข้า
    ให้รู้สึกเหมือนลมหยุดที่ปลายจมูกเท่านั้น และให้ทำความรู้
    รับรู้เวลาที่หายใจออกว่ามีลมหยุดที่ปลายจมูกด้านใน...
    ส่วนจะภาวนาอะไรก็ได้ หรือ ไม่ภาวนาก็ได้ครับ
    เพราะเราไม่ได้เน้นผลของคำภาวนา แต่เราจะเน้น
    การเข้าสภาวะจิตที่เอื้อต่อการรักษาตัวเองครับได้ครับ
    และที่สำคัญก็คือ
    เพื่อเป็นอุบายให้จิตยกระดับ
    ขึ้นไปมากกว่าระดับปฐมฌานครับ.
    เพราะการไปเอาจิตไปตามลมหายใจ
    มันทำให้จิตเกิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันไม่เอื้อ
    ต่อสภาวะที่จิตจะใช้งานด้านพิเศษได้นั่นเองครับ
    และระดับสมาธิเรามันจะไม่เกิดปฐมฌานครับ

    เหตุผลที่ต้องหายใจอย่างนี้
    เพราะอะไรนั่นหรือ ก็เพราะว่า การลดกำลัง
    สมาธิจากสูงกว่า ลงมาในระดับที่ต่ำกว่า
    มันจะง่ายๆกว่านั่นเองครับ พอนึกภาพออกไหม
    เหมือนเราวิ่งได้ความเร็วสูงสุด ๑๐ กม.ต่อชั่วโมง
    แต่ถ้าวิ่งไปไม่นานเราจะเหนื่อยได้เร็วครับ
    แต่ถ้าเราวิ่งได้สูงสุด ๑๐ แต่เราลดความเร็ว
    มาวิ่งจริงแค่ ๔ กม.ต่อชั่วโมง
    มันจะทำให้เราไม่เหนื่อย และวิ่งได้นานขึ้น พอเข้าใจนะครับ...
    เด่วไป Rep ต่อไปครับ


    ใจไม่อยากจะเขียนยาวมาก
    แต่จะขอแทรกเหตุและผลให้ทราบ
    ไว้ร่วมด้วยเท่านั้นเองครับ


     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ต่อมาเมื่อจัดท่าทางได้แล้วอย่างที่บอก
    หายใจไปซักพักได้แล้วอย่างที่บอก...
    อ่อ ที่สำคัญวิธีการนี้สามารถทำได้ทั้งแบบหลับตา
    และลืมตานะครับ แบบหลับตาจะเหมาะกับบุคคลที่
    ถนัดการเห็นนามธรรมต่างๆในขณะที่หลับตา
    ส่วนแบบลืมตา จะเหมาะกับคนที่เห็นนามธรรมแบบ
    ลืมตา ไม่ว่าจะเห็นพลังงานต่างๆ หรือเห็นผงเห็นผีมา
    ก่อนอะไรก็ตามได้หมด.....
    แต่ว่า ตาต้องนิ่งห้ามขยับซ้ายและขวานะครับ
    เพราะถ้าขยับซ้ายแค่นิดเดียว ระบบความทรงจำ
    ในอดีตมันจะทำงานทันทีครับ
    และถ้าตาขยับทางขวาแค่นิดเดียว
    ระบบการสร้างความทรงจำก็จะทำงานอีกเช่นกัน
    และถ้ารู้สึกล้าสายตาให้หลับตาได้
    ไม่ต้องตึงและเคร่งอะไรมากตรงนี้
    จะหลับตาก็ได้ ไม่หลับก็ได้ จะหลับตาสลับกับลืมตาก็ได้
    ตรงนี้ก็หาความสมดุลย์กันเอาเองนะครับ.......

    และสำหรับการนั่งแรกๆ แม้จะไม่รู้สึกอะไรเลยที่ฝ่ามือเลย
    ไม่ต้องซีนะครับ ให้เน้นการทำความรับรู้ที่ปลายจมูก
    กับระบบหายใจไปเรื่อยๆ ถ้าสมาธิเรามันเกินระดับฌาน ๒
    ขึ้นไปโดยมากจิตเราจะไม่เห็นอะไรแล้วครับ

    แต่ต้องระวังอย่างหนึ่งนะครับ สำหรับบางคนที่จิตทำงาน
    แบบแสงนำ อ่อ ปกติจิตที่ทำงานได้ จะมีการทำงาน ๒ แบบ
    คือเห็นเส้นสาย กับ มีแสงนำ เห็นเส้นสายก็คือ จิตที่มองเห็น
    พลังงานต่างๆในอากาศหรือในวัตถุได้หรือ
    สัมผัสรูปแบบพลังงานต่างๆได้แบบมองเห็นเป็นเส้นใสๆ
    ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา ส่วนมาก ลืมตาจะเห็นชัดกว่า
    และแบบแสงนำ ก็คือแบบที่สามารถเห็นเป็นรูปร่าง
    และมีสีประกอบร่วมด้วย หรือบางดวงจิตก็ทำงานได้ทั้ง
    ๒ แบบก็มี แล้วแต่ดวงจิตนั้นๆ ตรงนี้ไม่ต้องซี เล่าให้ฟัง
    เฉยๆครับ....

    ****ข้อควรระวัง ****
    ที่ต้องให้ระวังก็คือ ไม่ว่า หลับตาหรือลืมตา หากเกิดปิติ
    รูปแบบต่างๆ ให้เราเฉยๆทุกๆกรณีครับ หรือเราจะเห็น
    ดวงกลมๆ แสง สี เสียงอะไรก็ตามให้เราเฉยๆทุกๆกรณีครับ
    หรือ ไม่ว่า จะเห็นภาพวัตถุ บุคคล ต่างๆ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ย้ำว่าแม้ว่าจะเห็นแบบลืมตานะครับ
    ก็ให้เฉยๆไว้ทุกๆกรณีนะครับ ที่บอกให้เฉยๆไม่ใช่อะไรครับ
    เพราะหากไปสนใจเมื่อไร มันจะขวางการพัฒนาระดับสมาธิ
    ของเราให้แป๊กในระดับปฐมฌานทันทีครับ

    ยกเว้นว่า จะเห็นคล้ายๆไข่กบ ที่มีแสงสว่างในตัวเอง
    และที่คล้ายไข่กบทั้งหลายรวมกันแล้วมันทำให้บริเวณนั้น
    สว่างๆมากๆไม่ว่ากัน กำลังระดับนี้เอาไว้ต่ออรูปฌาน
    หรืออฐิษฐานให้เกิดผล หรือสร้างกำลังจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ซึ่งยังไม่กล่าวถึงในตอนนี้เพราะไม่ใช่ประเด็นที่เราจะกล่าว

    และอีกอย่างที่มักจะเจอได้แบบหลับตาและลืมตาแต่หลับตา
    จะเห็นชัดกว่า การที่เราเห็น แสงสว่างมากๆ ประมาณสปอร์ตไลท์
    ในสนามฟุตบอล แม้ว่าเราจะนั่งปิดไฟก็ตาม แต่ว่าบริเวณ
    รอบๆเราจะสว่างๆมากๆ ตรงนี้จะบอกเอาไว้ว่า
    มันเป็นกิริยาปกติอย่างหนึ่งธรรมดาๆนะครับไม่มีอะไร
    ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ในระดับกำลังน้องๆปฐมฌาน
    หลักสังเกตุสภาวะนี้ แม้ว่าเราคล้ายๆกำลังคิดอะไรอยู่
    แต่ว่าแสงสว่างนี้ก็ยังคงอยู่ และที่สำคัญเลยก็คือ
    แม้แสงสว่างมากแต่มันจะไม่เย็นครับ
    ให้ระวังนะครับ ถ้าเผลอไปยึด จะทำให้หลงตัวเองได้
    คิดว่าตัวเองบรรลุโน้นนี่นั้นได้ และจะหลงแบบกู๋ไม่กลับ
    ใครสอนก็ไม่ได้เพราะจะคิดว่าตัวเองเก่ง และสภาวะนี้
    ที่สำคัญ เป็นสภาวะที่พวกผีหรือวิญญานพอมีฤิทธิ์
    มันชอบมาสร้างภาพหลอกเราครับ สร้างภาพเป็น
    พระพุทธฯ พระสงฆ์ หรือครูบาร์อาจารย์ที่เรานับถือ

    ถามว่า เค้าทำได้ยังไง ทำได้ซิครับ เพราะเค้าเชื่อม
    เข้ามาในจิตเรา เค้าจึงเห็นว่าในจิตเรามีสัญญาอะไรอยู่บ้าง
    เค้าก็ดึงสัญญานั้นให้ขึ้นมาให้เราเห็น
    จากสิ่งที่อยู่ในจิตเรานั่นหละครับ

    สภาวะนี้ที่ต้องบอกเพราะว่า เจอกันบ่อยครับ
    บางทีเค้าหลอกว่าเป็น ระดับสูงๆ จนเราเผลอคิดไปว่า
    เป็นท่านจริงๆ ซึ่งบอกให้เลยตอนนี้ว่า
    ไม่ใช่แน่นอนครับ ให้ระวังให้ดีครับ...

    แต่สภาวะนี้ ตรวจสอบง่ายๆครับ
    คือถ้าเกิดขึ้น ให้ใช้กำลังสติมองไปในสิ่งที่เห็น
    แล้วซักพักหนึ่งสิ่งที่เห็นจะเปลี่ยนแปลงได้
    เพราะว่าพลังงานมันสามารถสร้างเป็นภาพ
    หลอกเราได้จากสัญญาที่มีในจิตเรา
    แต่ไม่สามารถสร้างความถี่ของพลังงานที่มา
    จากกำลังบุญให้เท่ากันได้..
    ถ้ากำลังสติเรามากพอที่จะมองสิ่งนั้นได้นาน
    ความจริงก็จะปรากฏให้เห็นต้นพลังงานที่แท้จริงได้ครับ

    เอ้า ยาวจัง ยังไม่เริ่มซักที

    ระดับนี้ย้ำว่า ไม่ว่าจะเกิดสัมผัสอะไร ไม่ว่าแสง
    สี เสียง ภาพต่างๆ ให้เฉยๆทุกๆกรณีนะครับ
    ไปต่อ Rep ต่อไปดีกว่า เริ่มยาวแระ


     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    หลังจากที่หงายฝ่ามือแล้ว
    ต่อไปจะรู้สึกเหมือนมีอะไรหยิบๆหยับๆก่อน
    ตามด้วยหยิบๆหยับๆและเหมือนมีกระแสลม
    ขึ้นบริเวณฝ่ามือลอยไปข้างบนในแนวดิ่ง
    (ซึ่งถ้าถึงตรงนี้ก็ดีครับเพราะเป็นการปรับ
    ธาตุแบบรวมทั้งกาย แต่ยังไม่ใช่ที่จะแนะนำ
    ที่จะให้รักษาเน้นเฉพาะจุดครับ)ตรงนี้อาจจะมี
    อาการร่วมกับเหมือนมีลมหมุนเล็กๆบริเวณ
    กลางฝ่ามือร่วมด้วยครับ และพอเลยจากจุดนี้แล้วต่อไป
    ลมที่หมุนเล็กๆกลางฝ่ามือนั่นจะเริ่มใหญ่ขึ้น
    และหมุนวนคล้ายวงกลมกินบริเวณพื้นที่นิ้วด้วย
    ส่วนจะหมุนเฉียงหมุนเอียงๆ
    หมุนกลมๆไม่ต้องสนใจนะครับ ช่างมันไปเลย
    แต่หลักๆก็คือมันจะหมุนเข้าหาตัวเราครับ
    เราก็ไม่ต้องสนใจ จนกระทั่งลมที่หมุนๆนั้น
    มันลดขนาดลงมาอยู่บริเวณฝ่ามือเรา
    ไม่กินพื้นที่ไปบริเวณนิ้วแล้ว...
    ซึ่งในช่วงนี้ เราลองเอาฝ่ามือหันให้มาชนกัน
    ห่างซักประมาณ ๑๐ หรือ ๒๐ ซม.ได้
    เพื่อดูความหนาแน่นของลมที่หมุนนี่ได้
    ถ้าสมาธิเราดีนะครับ หรือว่าเราทำบ่อยๆ
    มันจะมีความหนาแน่น ชนิดที่ว่าเราต้องออก
    แรงเพื่อให้ฝ่ามือมาชนกันเลยทีเดียว
    แต่ตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักนะครับ
    เอาไว้ตรวจสอบความชัดเจนพลังงานเฉยๆครับ
    และท้ายสุดก่อนที่จะเริ่มใช้งานได้นั้น
    พลังงานที่เริ่มลดขนาดมาหมุนบริเวณกลางฝ่ามือนั้น
    มันจะเริ่มลอยสูงพ้นผิวหนังบนฝ่ามือได้เล็กน้อยครับ
    คือไม่มีลมที่หมุนบางส่วนกินเข้าไป
    ภายในบริเวณเนื้อหรือกายเราบริเวณฝ่ามือ
    ถ้ามาถึงตรงนี้ได้ ก็จะเริ่มไปสู่ขั้นตอนเพื่อ
    เดินพลังงานตรงนี้สำหรับไว้ใช้รักษาได้แล้วหละครับ
    สำหรับคนที่พอมีพื้นฐานมาบ้างจะทำตรงนี้ได้ง่ายนะครับ
    ส่วนใครที่ยังไม่มีพื้นฐานมา ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ
    เพราะในขั้นตอนที่รู้สึกหยิบๆยับๆและมีลมขึ้นตรงๆ
    ไปข้างบนในแนวดิ่งนั้น มันก็เป็นการรักษาโรค
    แบบปรับสภาพร่างกายโดยรวมอัตโนมันอยู่แล้วครับ
    คนที่นั่งสมาธิแล้วอยู่ดีๆโรคที่เคยเป็นอยู่หายไป
    ก็เพราะอยู่ในสภาวะสมาธินี้บ่อยๆและนานเพียงพอ
    ที่ธาตุร่างกายมันปรับของมันเองนั่นหละครับ
    เพียงแต่ว่า สภาวะนี้ต้องอาศัยการนั่งบ่อยๆหน่อย
    เท่านั้นเองครับ ไม่เหมือนที่จะแนะนำ ถ้าทำได้
    ไม่เกินครั้งที่ ๕ และ ๖ จะสามารถปรับส่วนธาตุที่เกินได้
    ภายในครั้งเดียวที่ทำได้ครับ


    เด่วว่าต่ออีก Rep ครับ ทนๆอ่านหน่อยนะครับ..
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พิมพ์ไปซักง่วงเหมือนกันแฮะ แต่ไม่เป็นไร
    มีโอกาสได้โม้แล้ว ก็จัดต่อให้เสร็จดีกว่าเนาะ....
    เมื่อใครก็ตามที่ทำมาถึงในสภาวะที่รู้สึกเหมือน
    เป็นก้อนกลมๆหรือไม่ค่อยๆกลมเท่าไรหมุนๆ
    บริเวณกลางฝ่ามือได้แล้ว ไม่ว่าตอนนี้จะอยู่
    ในกิริยาแบบหลับตาหรือลืมตาก็ตามนะครับ

    ให้กำหนดหรือสั่งหรือคล้ายๆคิด ให้ก้อนกลมๆ
    ที่อยู่บนฝ่ามือทั้งสองข้างนั้น มันค่อยๆเคลือนๆตัว
    จากฝ่ามือและให้มาหยุดที่ต้องข้อพับของกลางแขนเรา
    ให้ได้ก่อนในอันดับแรกนะครับ.
    ตรงนี้สำคัญมากสำคัญยังไง ก็เพราะเป็นอุบายสำหรับ
    การแบ่งหน้าที่ในการทำงาน คือต่อไปพลังงานที่อยู่
    บนมือซ้ายจะทำหน้าที่ดูดพลังงานส่วนเกินที่อวัยวะ
    ที่กำลังรักษา เพื่อมาวางบนมือขวาก่อนนั่นเองครับ
    ซึ่งเป็นขั้นต่อไป ......ในระหว่างนี้ ไอ้ก้อนพลังงาน
    มันจะแตก มันเซบ้าง โยกบ้าง กินหมุนเข้าไปในแขนเราบ้า
    หรือ หมุนกระจายประหลาดๆบ้าง
    ให้จำเอาไว้ว่าเป็นเรื่องปกตินะครับไม่ต้องสนใจ
    ตรงจุดนี้ เราจะเน้นให้ก้อนๆที่เคยหมุนบนฝ่ามือเรานั้น
    ให้มันมาหมุนตรงข้อพับของเราเหมือนที่มันเคยหมุน
    บนฝ่ามือของเราครับ......อ่อตรงจุดนี้ก็คือ
    ให้มันหมุนแบบที่อยู่เหนือผิวเราคล้ายๆบนฝ่ามือนะครับ
    บอกไว้เฉยๆกันลืมครับ

    และในลำดับต่อมานั้น ให้เราทำอย่างเดียวกันอีก
    พอมันมาหมุนที่ข้อพับเราได้แล้วให้เรากำหนดย้ายมันให้
    มาหมุนบนหัวไหล่เราให้ได้ครับ ส่วนระหว่างที่ก้อนพลังงานนี้
    จะขึ้นมาบนหัวไหล่เรานั้น จะแตก จะเซอย่างไรก็ช่างมันนะครับ
    ไม่ต้องสนใจ ให้ดูว่า มันหมุนบนหัวไหล่เรา เหนือไหล่เรา
    แบบไม่ติดกายได้หรือยังเป็นพอครับ.......

    ถึงจุดนี้แล้วยังไม่สามารถใช้งานนะครับ.....
    ให้เราย้อนก้อนพลังงานนี้ให้กลับไปที่ข้อพับอีกรอบ
    และให้ย้อนกลับไปที่ฝ่ามืออีกครั้งถึงจะพร้อมใช้ได้นะครับ...
    ทำไมนะหรือ ๑ เพื่อกระตุ้นให้จิตเริ่มเข้าใจระบบการ
    ทำงานในระดับปรับธาตุครับ เข้าใจระบบทำงานอย่างไร
    ก็คือ ปกติในการทำงานระบบปรับธาตุนั้น จิตจะทิ้งกาย
    หรือตัดกายนี้ชั่วคราวแล้วเข้าสู่สภาวะที่เป็นแยกธาตุที่รวม
    เป็นกายออกเป็นส่วนๆ
    คือแยกธาตุดิน น้ำ ลมและไฟ ส่วนธาตุอื่นๆยังไม่พูดถึงครับ
    และเพื่อให้ จิตคุ้นเคยในการปรับให้ธาตุกายเหล่านั้น
    ไปเชื่อมกับอากาศภายนอกก่อน คล้ายๆเป็นอุบายหลอกว่า
    ไม่มีร่างกาย ที่รวมทั้งดินน้ำลมไฟจนเป็นร่างกายที่จับต้องได้
    แบบชั่วคราว และเพื่อให้มันแยกส่วนธาตุใครธาตุมัน
    โดยไปเชื่อมกับอากาศธาตุภายนอก เพื่อเอาไว้ให้เป็นทาง
    เดินของธาตุหรือพลังงานส่วนเกิน จากอวัยวะที่เราจะรักษาให้
    มันสามารถเดินทางโดยมีอากาศธาตุเสมือนเป็นเส้นทาง
    ให้มันเดินทางได้นั่นเองครับ
    และ ๒ คือให้พลังงานตรงหัวไหล่นี้ ไปเชื่อมกับแนวพลังงาน
    ตามแนวกระดูกสันหลังครับ ทำไม่ต้องกระดูกสันหลัง...
    เพราะส่วนหนึ่งของการที่จิตจะทำอะไรพิเศษได้...
    มาจากแนวพลังงานที่วิ่งตามแนวกระดูกสันหลังนี่หละครับ
    ส่วนหนึ่ง นอกจากกระแสพลังงานที่วิ่งตามแนวจักระข้างหน้า
    ไปเชื่อมกับพลังงานของครูบาร์อาจารย์ข้างบน ก่อนที่รวม
    เป็นคล้ายๆท่อปะปาและเชื่อมขึ้นข้างบน ก่อนที่จิตจะทำงาน
    หรือให้ความสามารถทางจิตทำอะไรนั่นเอง
    ตรงนี้ไม่เข้าใจไม่เป็นไรครับ ให้ฟังไว้ก่อน
    เด่วถ้าผ่านตรงนี้ไป หรือจิตทำงานได้ในอนาคต
    จะเข้าใจที่พูดตรงนี้ได้เองครับ...
    ยากอีกแระ เด่ว Rep ต่อไปจะถึงขั้นการรักษาแล้วนะครับ
    ห้ามพลาดตอนสำคัญนะครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ต่อมาเมื่อย้อนก้อนพลังงานกลับมาได้แล้วนะครับ
    สำคัญเลยตรงนี้ ให้ย้ายมือขวา ไปบริเวณอวัยวะ
    ที่เราจะทำการปรับธาตุให้มันนะครับ จำเอาไว้ว่า
    อย่าให้มือไปโดนร่างกายนะครับและที่สำคัญก็คือ
    ให้หงายมือขวาอยู่อย่างนั้นนะครับ ไอ้ลูกพลังงาน
    กลมๆก็ปล่อยให้มันหมุนอยู่อย่างนั้นหละครับ

    และต่อมาให้ย้ายมือซ้าย
    ของเรานั้นและคว่ำฝ่ามือเข้าหา
    ร่างกาย พูดง่ายๆว่า ให้ฝ่ามือซ้ายหันเข้ามาที่กายเรา
    ตรงบริเวณอวัยวะที่เราจะทำการรักษาครับ
    และให้ฝ่ามือซ้ายอยู่เหนือผิวกายเล็กน้อย
    เพื่อให้ก้อนพลังงานในมือซ้าย มันวิ่งไปตรงอวัยวะ
    ที่เรากำลังรักษาครับ ตรงนี้ระวังอย่าให้ฝ่ามือ
    โดนร่างกายนะครับ. กิริยาตรงนี้ก็คือ ไอ้ลมหมุนๆนี้หละครับ
    จะเข้าไปหมุนบริเวณอวัยวะตรงนั้น
    และลมหมุนนี้ มันจะไปดึงเอาพลังงานส่วนเกินตรงอวัยวะ
    ชิ้นนั้นมาไว้ในฝ่ามือซ้ายครับ.......


    อาจจะมีคนส่งสัยว่าทำไมต้องใช้มือซ้าย...เหตุผลเพราะ
    ในร่างกายเรานั้น จะมีธาตุเหล็กอยู่ในเส้นเลือดดำ
    บริเวณด้านขวาของลำตัวเป็นปกติทุกคนครับซึ่งธาตุเหล็ก
    ตรงนี้พอทิ้งกายไปแล้ว มันจะยังสภาวะแม่เหล็กในบริเวณ
    ร่างกายด้านขวาของเราเป็นปกติ การใช้อีกด้านที่แทบไม่มี
    ธาตุเหล็ก จึงจะเหมาะกับในเรื่องของการดูดพลังงานนั่นเองครับ
    งงไหมครับ ถ้างง ให้นึกนึกแม่เหล็กสองก่อนนะครับ
    ถ้าเราจับแม่เหล็กในระยะที่มันห่างกันเล็กน้อยมันจะทำ
    หน้าที่พยายามที่จะดูดกัน แต่ถ้ามันใกล้กันมันจะดูดกันจนติด
    กันเลย เราเลยจำเป็นต้องใช้มือซ้ายเพื่อสร้างสภาวะในการดูด
    พลังงานส่วนเกินเหมือนเราจับแม่เหล็กให้ห่างกันเล็กน้อย
    นั่นเองครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไง หวังว่าจะเข้าใจกันนะครับ ๕๕๕

    เอ่อ!!! พี่ครับ แล้วเมื่อไรถึงจะยกมือซ้ายออกได้ครับ...
    ก็ตอบว่า จนกระทั่งรู้สึกว่า ไอ้ลมที่มันหมุนๆ มันมากระทบ
    หรือทำให้ผิวหนังบริเวณฝ่ามือเรามันรู้สึกหยุบหยิบๆนั่นหละครับ
    ทางกิริยามันบอกว่า มันดูดธาตุที่เกินมาเพียงพอแล้ว
    ในขณะนั่นครับ พอเอามือซ้ายออกและไปไหนต่อหละครับพี่...

    ก็ให้เอาก้อนพลังงานที่ไปดูพลังงานส่วนเกินที่อยู่บนมือซ้ายนั้น
    ยกไปวางไว้บนมือขวายังไงหละครับ.
    ระวังอย่าให้ฝ่ามือชนกันนะครับ ยกไปวางคือ
    เอาก้อนพลังงานไปทับก้อนพลังงานนะครับ
    เพื่อให้ก้อนพลังงาน
    บนมือขวาของเรานั้นมันดูดพลังงานบนมือซ้ายยังไงหละครับ
    มือขวาก็เหมือนเราเอาแม่เหล็กมาใกล้กันนั่นหละครับ
    มันเลยทำหน้าที่ในลักษณะของการดูด นึกภาพแม่เหล็ก
    ที่เล่าก่อนหน้าให้ฟังออกนะครับ...
    แล้วจะพอตอนไหน ก็จนเรารู้สึกว่า ไอ้หยิบๆบนฝ่ามือซ้าย
    มันหายไปนั่นหละครับ และก้อนพลังงานบนมือซ้าย
    มันหมุนเหมือนเดิมคือเฉียดฝ่ามือเรานั่นหละครับ

    และก็ย้อนกลับไปทำที่อวัยวะตรงนั้นซ้ำอีกครั้งครับ
    และจะรู้ได้อย่างไรว่ากี่รอบพอแล้วหละครับ
    ก็จนกระทั่ง เวลาเราเอาฝ่ามือซ้ายเพื่อให้ก้อน
    พลังงานมันดูดพลังงานตรงนั้น มันไม่มีพลังงานอะไร
    ที่ทำให้ฝ่ามือซ้ายเรารู้สึกหยิบๆบนฝ่ามืออีกนั่นหละครับ
    อวัยวะร่างกายเราบริเวณนั้นก็จะดีขึ้นได้ของมันเอง
    แบบน่าประหลาดใจครับ ถ้าทำได้อย่างที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมด
    ก่อนหน้านี้นะครับ ย้ำว่า ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นครับ...

    เอ้า ! มันแต่โม้เทคนิค ลืมเลยว่า อุปกรณ์ที่สำคัญอีกอย่าง
    ก็คือเทียนครับ ใช้เพื่อเอาก้อนพลังงานบนมือขวา
    ไปเผาไฟจากเปลวเทียนครับ เผาจนรู้สึกว่า ก้อนพลังงาน
    บนมือขวาเราหมุนเฉียดๆไม่ติดผิวบนฝ่ามือนั่นหละครับ
    ให้ใช้เทียนสีขาวขนาดประมาณนิ้วโป้
    ของเรานะครับ ทำไมต้องเทียนสีขาวหละครับพี่...
    ก็เพราะว่า สีขาวเป็นสีที่เวลาเราเผาพลังงานแล้ว
    พลังงานที่ถูกเผามันจะไม่ย้อนกลับเข้ากายเรา
    บริเวณฝ่ามือขวายังไงหละครับ ถ้าถามว่าทำไม
    ถึงเป็นอย่างงั้น หละครับ ตอบเลยว่าไม่ทราบครับ ๕๕๕๕
    รู้แต่ว่า เทียนสีขาวข้อดีเวลาเผาจะไม่มีพลังงาน
    ย้อนกลับเข้าฝ่ามือเราครับ ถ้าสีเหลือง สีแดง สีม่วง ชมพู
    เนี่ยย้อนกลับเข้าที่มีได้บางส่วนนะครับ
    ตรงนี้ เอาไว้พิสูจน์ด้วยตัวเองเล่นๆได้ครับ...
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ท้ายนี้เล่าไปบ่นไป แต่บ่นเฉยๆแต่ว่าคนบ่น
    ยังไม่แก่นะครับ ๕๕๕๕๕
    หวังว่า บทความที่มาจากประสบการณ์ตรงนี้
    จะมีประโยชน์กับท่านใดก็ตามที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ
    และเนื่องจากว่า ข้าพเจ้าได้ทดลองทำแล้ว
    จึงเป็นที่มาของการถ่ายทอดครับ...

    และต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า
    ที่ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังนี้ไม่ใช่ว่าเพราะข้าพเจ้า
    เป็นคนเก่ง และเป็นคนดีอะไรนะครับ
    ที่นำมาถ่ายทอดนี้ ก็แค่เพียงข้าพเจ้า
    ได้มีโอกาสได้รับรู่ก่อนเท่านั้นเองครับ

    ยิ่งวิธีการนี้ ถ้าใครที่มีสัมผัสภายในดี
    และใครที่เล่นกับเรื่องพลังงานได้
    จะสามารถทำได้ดี ส่วนใครทำได้แล้ว
    ก็ทนๆฟังข้าพเจ้าโม้ไปก่อนแล้วกันนะครับและ
    ที่สามารถนำมาถ่ายทอดนี้
    เป็นเพราะพระอาจารย์ท่านที่เด่นทางด้านการพลิกนามธรรม
    เป็นรูปธรรมได้นั้น ท่านเมตตาสอนข้าพเจ้า
    เป็นกรณีเฉพาะ ความจริงมีอีกหลายอย่างที่ท่านสอน
    แต่ว่า มันไม่เป็นสากลที่จะเล่าแล้วสามารถเข้าถึงได้ง่ายครับ

    เพราะแค่เล่าเพียงบางส่วน แบบที่ถ่อมตัวแล้ว
    ทั้งๆที่ไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดีอะไรเลย
    ตั้งแต่เข้ามาในเวบนี้
    เล่าให้ฟังว่า วิธีโน้นนี่ทำอย่างไร
    ยังโดนขัดแข้ง ขัดขา ตลอด
    โดนกล่าวหา โดนว่า โดนปรามาสตลอด
    แต่พอท้ากลับให้พิสูจน์ให้แสดง
    ก็หาว่า ข้าพเจ้าแสดงก้ามอีก
    อวดเก่งอีก ถามหน่อย ถ้าอยู่ดีๆ
    คุณ มะรึง ไม่มากล่าวหา ไม่มาว่า
    ไม่มาปรามาสก่อน ข้าพเจ้าจะไปท้า
    ไปว่าท่านทำไมหละครับ
    ด่าได้ ตำหนิได้ ไม่ว่าครับ
    นี่ประโยคบอกเล่าเฉยๆนะครับ

    ด่าได้ ว่าได้ เตือนได้แต่
    ขอให้มีเหตุผล มีหลักการทางปฏิบัติจริงๆ
    มาแย้งหน่อยนะครับ ไม่ใช่ยกตำรา
    ทั้งๆที่ยังไม่เคยปฏิบัติมาเลยหรือยัง
    ปฏิบัติแล้วเข้าไม่ถึง และยึดเอา
    ตัวเองเป็นที่ตั้ง จัดมาแบบเต็มๆ

    พอท้าแล้ว ไม่กล้ารับ แล้วเล่นวิธีสกปรก
    พยายามพูดดิสเครดิสกัน ๕๕๕๕๕๕
    แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่ง
    เรื่องอะไรที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไปนะครับ

    ส่วนตัวยอมรับว่า ตัวเอง ก็มีความกวน
    บาทา พอสมควรครับ..กวนมากด้วยครับ
    นิสัยตรงนี้ยอมรับครับ...
    ว่ายังแก้ไม่หายครับ ต้องขออภัย และขออโหสิกรรม
    ล่วงหน้าด้วยใจจริงนะครับ
    ถ้าใครที่เคยโดนข้าพเจ้ากวนบาทาไปบ้าง

    แต่ประกันได้ว่า ถ้าไม่มากวนบาทา มาพาดพิงกันก่อนแบบ
    ไร้เหตุผลก่อน ข้าพเจ้าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับท่าน
    แน่นอนครับ ตรงนี้เล่าให้ฟังเฉยๆ
    ไม่ได้คิดกล่าวหาและพาดพิงใครนะครับ
    ที่แล้วมาก็แล้วไปครับ คนละมัดสองมัด
    เจ๊าๆกันไปนะครับ...เป็นสุภาพบุรุษต้อง
    รู้จักคำว่า จบเป็นจบนะครับ...
    จบในที่นี้ ไม่เกี่ยวว่าใครผิดหรือใครถูก
    แต่อยู่ที่ว่า การจบเพื่อยุติปัญหาครับ


    ส่วนเทคนิคที่ได้นำมาถ่ายทอดนี้
    ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆวิธีนะครับ
    แต่ส่วนตัวมองว่า วิธีนี้หละน่าจะเหมาะสมที่สุด
    เพราะไม่เปลื้องทรัพยากรอะไร และส่งผลกระทบ
    กลับคืนน้อยที่สุดด้วยครับ..

    ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ถามท่านตอนที่ยังไม่ละสังขาร
    จริงๆก่อนหน้านั้นท่านจะไปแล้ว ๕ ถึง ๖ ครั้ง
    แต่ลูกศิษย์ท่านขอไว้ก่อนครับ ถามท่านแล้วว่า
    สามารถนำมาถ่ายทอดได้หรือไม่..ความจริง
    วิธีนี้ทราบมาปีหนึ่งกว่าๆแล้วครับ
    แต่ยังไม่ถึงวาระให้ได้ถ่ายทอดซักที....
    เพราะไม่มีใครถามเลย ถามแต่เรื่องอื่นๆ
    บางคนก็ถามแต่เรื่องสัมผัสๆ ทั้งที่บอกว่า
    ไม่ให้ยึดแล้วให้ฝึกโน้นนี่นั่นไปก่อน
    เด่วมันจะมีเครื่องย้อนรู้ได้เอง..ก็ฟังอยู่นะ..(แอบนินทา)
    แต่สุดท้ายก็มาถามอยู่ดี ๕๕๕๕๕๕๕
    เอาว่าพอเข้าใจนะครับ ๕๕๕
    บ้างก็อยากรู้แต่วิธีสร้างกำลังจิตเพื่อช่วยคนโน้น
    คนนี้ถามไปก็ยังทำไม่ได้ซักที ๕๕๕๕ (แซวๆ)
    แต่หารู้ไม่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นหละดีที่สุด

    ท้ายนี้ด้วยใจจริง ข้าพเจ้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
    ที่ธรรมดามากๆคนหนึ่ง ไม่ใช่คนเก่ง คนดีอะไร
    แค่เพียงนำ วิธีการของพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้า
    และหลายๆท่านที่เคยพบเจอเคารพ มาถ่ายทอด
    ให้ฟัง เพียงแต่ยาวหน่อย เพราะอาจจะช่วยคลายความ
    สงสัยให้ท่านหากท่าน
    เกิดความสงสัยกิริยาระหว่าง
    หวังว่าบทความที่นำมาลง
    คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

    วิธีการนี้ไม่ใช่การชุบชีวิตนะครับ
    หรือทำให้ท่านเป็นอมตะนะครับ
    เป็นเพียงวิธีบรรเทา รักษาร่างกาย
    ให้สามารถใช้งานได้ต่อ ตามสภาพของ
    มัน ณ เวลาปัจจุบันนั้นๆนะครับ และท่านไม่ควรลืม
    ว่า ร่างกายทุกคน มีเสื่อมได้ตามกาล
    และไม่มีใครหนีความตายพ้นได้นะครับ
    และที่สำคัญยิ่งกว่า อย่าลืมใจความสำคัญของ
    พุทธศาสนานะครับ ว่าเน้นเรื่องอะไรเป็นหลัก...
    เรื่องอื่นๆเป็นเพียงแค่ทางผ่าน ไม่ใช่เส้นทางสายหลัก
    ขอให้พึ่งระลึกตรงนี้ไว้ด้วยนะครับ...
    และท้ายจริงๆ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    บารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม
    พระอริยะเจ้าทั้งหลาย
    ครูบาร์อาจารย์ทุกท่าน ขอให้ทุกท่าน
    ที่เข้ามาอ่านเจอวิธีการนี้ ให้ได้ฝึกสำเร็จและเข้าถึง
    ทุกๆดวงจิต และดลบันดาลให้
    ท่านใดที่ร่างกายพร่องมาอ่านเจอขอ
    ให้ทุกท่านสุขภาพดีขึ้นดีขึ้นตามสภาพปัจจุบับ
    ของร่างกายนั้นๆทุกท่านด้วยเทอญ.... _/\_ _/\_ _/\_
     
  9. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    IMG_1425.jpg
    กราบขอบพระคุณพี่ท่านป๋านบมากๆค่ะที่เมตตาถ่ายทอดวิธีการรักษา ขอให้ป๋านบมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เช่นกันค่ะ

    ป.ล. อยากได้วิธีรักษาโรคเงินในกระเป๋าพร่องจังค่ะ (แซวๆ)
     
  10. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เล่นแร่แปลธาตุเลยมั้ยครับ
    เสกทองกันเลย ไม่ต้องทำมาหากิน
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    พลิกนามธรรม เป็นรูปธรรมได้ แบบตาเปล่าเห็นๆ

    พูดเกินธรรม เกินความจริงไป คือว่า นามธรรมก็นามธรรม รูปธรรมก็รูปธรรม ใครจะพลิกกลับด้านได้
     
  12. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ให้รักษาโรคทางใจง่ายกว่า เนื่องจากบังคับได้(แต่ฝึกให้ฉลาดก่อน)
    สมาธิ+ธรรมะ รักษาโรคทางใจได้
    รักษาโรคทางกาย ยาก เนื่องจากบังคับมันไม่ได้
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    กระทู้นี้เน้น วิธีการฝึกสมาธิสำหรับการรักษาโรค
    ทางกายด้วยตัวเรา...นะครับนี่คือประเด็นหลักๆ


    ส่วนเรื่อง ของพระสงฆ์ท่านที่สอนวิธีให้นั้น
    และ ที่ข้าพเจ้าพูดว่า
    สามารถพลิกรูปธรรม เป็นนามธรรมได้นั้น
    คำพูดนี้ คือเรื่องจริง ไม่ได้เกินจริง
    ย้ำว่า คือเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นจริงๆ

    ขอย้อนอดีตก่อนที่ข้าพเจ้าจะมากล่าวในเรื่องนี้
    ถ้าใครได้อ่าน วิธีการนี้ที่ข้าพเจ้านำมาลง
    ข้าพเจ้าจะบอกว่า ข้าพเจ้าทราบมาปีกว่าแล้ว
    แต่ยังไม่มีโอกาศนำมาลงเพราะไม่มีใครถาม..


    ข้าพเจ้านั้นเคยได้ยิน ลูกศิษย์ใกล้ชิดท่าน
    พูดให้ฟังกับหู ย้ำว่าได้ยิน กับหูนะครับ
    ไม่ใช่ไปอ่านตำรามา ได้ยินกับหูแสดงว่า
    ข้าพเจ้าเคยพบเจอ และได้สนทนากัน...

    บางท่านเป็นบุคคลมีชื่อเสียงมีต่ำแหน่งระดับประเทศ
    ซึ่งท่านนี้ได้ดูแลสำนักปฏิบัติท่านอยู่
    บางท่านมียศระดับสูงๆ
    หรือแม้แต่กระทั่งรุ่นพี่ที่สนิทข้าพเจ้าพูดให้ฟัง
    บอกว่าเคยเห็นท่านทำอะไรบางอย่างแบบตาเห็นๆ
    ท่านนี้บอกว่า ชอบไปหาพระสงฆ์มาตั้งแต่หนุ่มๆ
    แต่ไม่เคยเห็นใคร ที่ทำได้จริงแบบนี้มาก่อน
    ในนี้มี บางท่านที่เป็นฆารวาส ชำนาญด้านสมาธิ
    แม้แต่พระฤาษีด้วยกันก็ต้อง
    ให้ความเคารพนับถือท่าน
    พูดให้ข้าพเจ้าฟังเช่นกัน
    ข้าพเจ้าได้ฟังมาหมด เพราะนั่งรถข้าพเจ้า
    แล้วท่านเหล่านั้นพาข้าพเจ้าไปพบอาจารย์ท่านนี้
    แต่ด้วยนิสัย ข้าพเจ้าก็ยังแค่ฟังเฉยๆไม่ได้สนใจ
    และไม่คิดว่า จะจริงหรือไม่จริง
    จะเกินจริง หรือ ไม่เกินจริง
    เพราะนิสัยส่วนตัวข้าพเจ้า หากยังไม่เคย
    พิสูจน์ด้วยตัวเองไม่ว่า เรื่องกรรมฐานใดๆก็ตามมาก่อน
    ข้าพเจ้า จะไม่วิพากษ์ วิจารณ์อะไร นี่คือนิสัยข้าพเจ้า

    และคนอย่างข้าพเจ้า ที่กล้าท้าทุกคนที่เข้ามากวนบาทา
    ข้าพเจ้าก่อนว่า มาเลย กรรมฐานกองไหนก็ได้ ใน ๔๐ กอง
    ถ้าท่านที่กวนข้าพเจ้าคิดว่า ท่านเจ๋ง จริงๆ ทำได้จริงๆ
    ข้าพเจ้าขอ ท้าพิสูจน์กับท่าน ตัวต่อตัวเลย
    ไม่ว่ากรรมฐานกองไหน พิสูจน์แบบแสดงให้คนอื่นๆรับรู้
    ได้ สัมผัสได้นะครับ ไม่ใช่แบบหลับตาแล้วรู้เองคนเดียว
    นี่คือนิสัยข้าพเจ้าที่ปัจจุบันยังแก้ไม่หาย และ

    จนกระทั่งข้าพเจ้าได้พิสูจน์ประจักษ์กับความ
    สามารถของพระสงฆ์ท่านนี้ด้วยตัวเอง
    ตั้งแต่ได้มีโอกาศพบท่านในครั้งแรก
    นอกจากคำสอน ความสามารถทางจิตที่เป็นเลิศ
    ของท่านผู้นี้แล้ว พิสูจน์ได้ด้วยตัวเองตั้งแต่ครั้ง
    แรกที่ข้าพเจ้าได้พบท่าน ซึ่งไม่สามารถบอกตรงๆได้
    เกรงว่า กลัวจะมีคนที่ไม่เชื่อ คิดว่าข้าพเจ้าพูดเกินจริง
    ท่านนี้ไม่ต้องอ่านตำรามาก่อน ก็พูดสิ่งที่มีอยู่ในตำราได้นะครับ
    จะมาปรามาสท่าน ข้าพเจ้าจึงระวังในการที่จะเอ่ยชื่อท่าน
    นั่นยังแค่ทำให้ข้าพเจ้า รู้สึกถึงความสนุก รู้สึกเหมือน
    เห็นเส้นทางเดินต่อไปข้างหน้า
    เพราะกรรมฐานบางอย่างของข้าพเจ้า
    ที่ได้เล่าเรียนมา จากครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมินั้น
    ข้าพเจ้านั้น พบว่า มีท่านที่สามารถสอนต่อยอดให้
    ข้าพเจ้าได้ ไม่กี่ท่าน ที่สอนเป็นพระสงฆ์มีชื่อเสียงทั้งสิ้น
    แต่ท่านนี้ การแนะนำเชิงเทคนิคไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้า
    ประหลาดใจอะไร. แต่การพลิกนามธรรมเป็นรูปธรรม
    ได้ของท่านนี้ ที่ข้าพเจ้าได้พบเจอด้วยตัวเอง
    หลังจากนั้น ในหลายๆครั้งต่างหาก
    ที่ทำให้ข้าพเจ้า กล้าพูดได้เลยว่า
    ท่านนี้มีความสามารถในการพลิกรูปธรรม
    ให้เป็นนามธรรมได้ จริงๆ ล้านเปอร์เซนต์เต็ม
    ย้ำว่า ล้านเปอร์เซนต์เต็มครับ

    ที่กล้าพูดเพราะ
    พิสูจน์ และเห็นกับตัวเองมาด้วยตาของตัวเองจริงๆ
    แบบลืมตาเห็นๆ พูดง่ายๆว่าด้วยตาเปล่าๆ
    เรื่องหายตัวได้ นั่นเด็กๆ..ความจริงมีอีกหลายเรื่องมากๆ
    ที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ขอเล่าเฉพาะกลุ่มที่ควรเล่าให้ฟังและ
    แต่ละเรื่องไม่ใช่ข้าพเจ้าฝันเอา หรือหลับตาเห็นเอาแล้วมาพูด
    และที่ข้าพเจ้า
    พูดเรื่องของท่านนั้นไม่ได้มีเจตนาใดๆ
    เพียงเพื่อ ต้องการถ่ายทอดการรักษาโรค
    ที่ท่านเคยสอนข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้พิสูจน์แล้ว
    และข้าพเจ้าเคยขอท่านไว้
    เพื่อมาถ่ายทอดในขณะที่ท่านยังไม่ละสังขารไว้เท่านั้น


    หากใครไม่เชื่อ มากล่าวหาข้าพเจ้า
    ว่าพูดเกินจริงไปหรือเปล่า ก็เป็นสิทธิของท่านครับ
    ข้าพเจ้าคงไปห้ามความคิดท่านไม่ได้หรอกครับ
    แต่ขออย่างหนึ่ง ว่าอย่ามาปรามาสครูบาร์อาจารย์กัน
    อย่าทำเป็นเก่ง อย่าทำเป็นสู่รู้ ยิ่งตนเอง
    ไม่มีความสามารถทางจิตทำมะเขืออะไรได้เลย
    ควรจะสำเหนียก วาจาและคำพูดของตนเองให้ดี
    และยิ่งไม่เคยใช้ความสามารถทางจิตเพื่อประโยชน์
    ของผู้อื่นอะไรเลย อย่ามาพูดมากครับและ...
    อย่าทำเป็นปากดี หากไม่เคยพบไม่เคยเจอท่านมาก่อน
    ถ้าหากท่านไม่ สนใจวิธีการรักษาโรคด้วยตัวเองนี้
    ก็ไม่ต้องมาอ่าน มาวิพากษ์วิจารณ์อะไร
    เชิญไปที่กระทู้อื่นๆได้ครับ อะ ! งง เด้ งง เด้
    นอกจากท่านจะมีวิธีการ ที่เป็นประโยชน์
    มาเสริม วิธีการนี้ อย่างนี้สังคมพร้อมต้อนรับท่านครับ
    หรือท่านมีวิธีการอื่นๆนอกจากนี้
    ที่รักษาได้ มาคุยกันได้ เพื่อประโยชน์แห่งมวลสมาธิ
    จะได้มาอ่านอย่างนี้ท่านจะเป็นบุคคลที่น่าสนทนาด้วย



    ส่วนโรคเงินในกระเป๋าพร่อง ตัวใครตัวมันนะครับ ๕๕๕
    ส่วนโรคทางใจ. สมาธิเป็นแค่เครื่องมือช่วย
    ธรรมะเป็นแนวทาง โรคทางใจกิริยาก็คือ
    ใจไปยึดมั่นถือมั่น แก้โรคยึดมั่นถือมั่น
    คือการปล่อยวางครับ พูดง่ายจัง ฟังดูเท่ห์
    แล้วเวลาบอกใครว่า ปล่อยวางนะ
    แห๋มๆใครพูดแล้วทำไม เสมือนว่าหล่อจังเลย..


    แต่ ถามว่า ?? จะปล่อยวางได้อย่างไรหละครับ
    ก็ต้องสร้างสติทางธรรมให้มันเกิดมีก่อน
    ตำราหรือคำสอนคำแนะนำใดๆมันช่วยให้จิต
    คลายความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้หรอกครับ
    มันต้องสร้างสติทางธรรมที่ได้มา
    จากการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวันอย่างไรก็ได้ขอให้มีฐานอยู่ที่กาย
    เพื่อที่จะเป็นตัวที่คอยควบคุม
    ความคิดควบคุมพฤติกรรมของจิต
    ให้จิตคลายจากความคิด คลายจากความคิด
    ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งมักเป็นความคิดในอดีต
    ตรงนี้ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก.......
    ตัวจิตเราจะปล่อยให้เค้ารับรู้
    แต่เราจะไม่ให้จิตเกิด ตรงนี้เลยต้องอาศัย
    สติทางธรรมไปรู้เท่าทันก่อนเป็นอัดดับแรก
    นึกออกไหม ถ้าไม่มีสติ จะเอาอะไรไปรู้ว่าจิตมันเกิด
    หรือเอาอะไรไปรู้ว่า จิตเเกิดมันเป็นอย่างไร เก๊ทไหม


    ประกอบกับมีกำลังสมาธิ
    ที่เพียงพอที่จะควบคุมตรงนี้ร่วมด้วยครับ....
    จากนั้นเราจะปล่อยให้จิตเค้าว่างรับรู้อยู่ภายในอย่างนั้น
    ตามสภาวะความเป็นจริง ณ ปัจจุบันนั้น
    ที่ชอบพูดหล่อๆกันว่า ด้วยความเป็นกลางนั้นหละครับ
    เป็นกลางคือ ไม่มีความคิดเราไปปรุงร่วม
    ไม่มีความคิดที่ผุดโดยไม่ได้ตั้งใจไปปรุ่งร่วม
    ถ้าทันไม่มีสติทางธรรมเลย ท่านจะเอาอะไรไปเห็น
    ความคิดสองตัวนี้ได้ครับ ท่านก็เพียงจะพูดว่า
    ท่านนะมีสติ ก็จะพูดๆไปทั้งๆที่ว่าตัวเองมีสติ
    ทั้งๆที่ จิตมันความกับความคิดไปแล้ว รวม
    กับความคิดที่ผุดไม่ได้ตั้งใจไปแล้ว ปรุงไปแล้ว
    ท่านก็จะว่าท่านมีสติ นี่มันสติแบบโลกๆไม่ใช่
    สติทางธรรม......ยึดอะไรก็ตามไม่ว่าดีหรือไม่ดี
    กิริยาของจิตคือขาดสติ แต่หากปรุงอะไรก็ตาม
    ที่ยึดไม่ดีหรือไม่ดี กิริยาของจิตคือเสียสติครับ
    เข้าใจนะครับ



    จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ว่า เรื่องโรคทางใจนั้นๆ
    ที่ทำให้จิตเกิด มันเป็นทุกข์ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์
    จิตถึงจะคลายเรื่องนั้นๆได้ของตัวจิตเองครับ
    นี่คือแค่จิตคลายตัวได้ มันไม่ยึดได้
    แต่มันจะยังต้องกลับมาเกิดอีกได้
    นอกจากว่า ท่านจะเริ่มเป็นระดับโปรซีรีย์
    ที่เริ่มมีปัญญาญานขึ้นมา จนรู้เหตุรู้ผล
    ของการเกิดนั้นๆ ถ้าท่านถึงตรงนี้ได้
    คงไม่ต้องมาพูดอะไรมากแล้วหละครับ.....
    และท่านคงมีความเข้าใจนามธรรมพอตัว
    มีความสามารถทางจิตพอตัวแล้วหละครับ
    เรื่องสมาธิคงชิวๆ เบ เบ สำหรับท่านแล้ว
    เรื่องปัญญาทางธรรมคงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับท่าน

    ปล.หวังว่าจะเข้าใจในภาพรวมที่สื่อนะครับ
     
  14. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    เป็นกระทู้ที่น่าสนใจมากเลยครับ ผมสนใจเรื่องนี้มานาน และได้ปฏิบัติมาจนเกิดผลมาบ้างแล้ว ก็ขอให้แนวทางดังนี้
    การเกิดโรคนั้น สมมติฐานของโรคคือ ธาตุทั้ง 4 ทำงานไม่สมดุล อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
    แต่ทั้งหมดนั้น จิต คือ ผู้ควบคุมธาตุ เมื่อจิตทำงานบกพร่อง ธาตุย่อมทำงานบกพร่อง สังเกตได้ว่า ผู้ที่เครียด ย่อมทำให้ร่างกายแปรปรวน

    การรักษาโรค ด้วยกรรมฐาน มีอยู่หลายระดับ
    ระดับแรก คือ ทำสมาธิ เพื่อให้จิตสงบระงับ แล้วให้ร่างกายนั้นซ่อมแซมตนเอง
    ระดับต่อมา คือ เจริญ กายคตาสติ แล้วใช้กายคตาสติ จับการเคลื่อนไหว ภายใน แล้วเคลื่อนไหว เอ็น กระดูก กล้ามเนื้อ ให้สมดุล
    ระดับต่อมา คือ เจริญ เวทนานุปัสสนาสติ แล้วใช้จิตระงับทุกขเวทนา ดับลมเวทนา พัดลมเวทนาให้ขึ้นบน ลงล่าง ตามอำนาจจิต หรือ เพ่งไปตามจุดต่างๆ แทนการฝังเข็ม

    การรักษาโรคด้วยกรรมฐานยังมีรายละเอียดปลีกย่อยมอีกมากมายครับ แต่สรุปง่ายๆทำสมาธิ เจริญอานาปานสติ ให้ถึงลมละเอียดจนตัวเบาได้ นั่นแหละครับ คือ ยอดวิชา ซึ่งเป็น โพชฌงค์ระงับอาพาธทั้งปวง
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เห็นด้วยครับ
    กับคุณรโชหรณังครับ
    อาปาฯ คับที่สำคัญเลย
    อีกอย่างเป็นฐานกรรมฐานทุก
    กองด้วยครับ
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ส่วนเรื่อง ของพระสงฆ์ท่านที่สอนวิธีให้นั้น
    และ ที่ข้าพเจ้าพูดว่า
    สามารถพลิกรูปธรรม เป็นนามธรรมได้นั้น
    คำพูดนี้ คือเรื่องจริง ไม่ได้เกินจริง

    ย้ำว่า คือเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นจริงๆ


    รูปธรรม นามธรรม คุณนพเข้าใจว่า รูปธรรม ได้แก่อะไร ? นามธรรม ได้แก่ อะไร ? ครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ได้คับ แต่เราจะเปลี่ยนเป็นใช้มือซ้ายข้างเดียวดูด (หรือขวาข้างเดียวก็ได้)
    พูดง่ายๆใช้มือเดียวคับ
    ไม่ต้องโดนตัว และกำหนดให้พลังงานส่วนเกินตรงอวัยวะคนที่เรารักษาผ่านกายเราขึ้น
    ผ่านไปบนศรีษะเราและ ขึ้นไปบนอากาศ
    เหนือศรีษะเราแทนคับแทนคับ
    แต่ต้องรู้จัดเคลียตัวเองให้เบาด้วยคับ
    ตอนไหนควรเลิกทำ
    ให้สังเกตุเวลาดูดมันจะวนขวา
    ถ้าเสร็จมันจะวนซ้ายหรือไม่หมุนคับ
    และไม่ควรเกิน ๒ นาทีต่อครั้งครับ

    ขอบคุณที่ถามเสริมในจุดที่ผม
    อธิบายตกไปให้นะคับ

    ปล รูปธรรมจับต้องได้
    นามธรรมจับต้องไม่ได้คับ
    คุณมาจากดิน
     
  18. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    การดึงปราณจากภายนอกเข้าสู่กาย หรือ การถ่ายปราณจากกายเราออกสู่ภายนอกต้องระวังอย่างมากครับ เพราะพลังมีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป จะทำให้ปราณภายในไหลเวียนผิดปรกติ จะทำให้ เจ้าของเจ็บป่วย และเกิดเวทนา และในระยะยาวหากแก้ไม่ตกจะทำให้เจ้าของเสียจริตได้ครับ เพราะจะไม่สามารถควบคุมพลังตนเองได้ จะคุ้มดีคุ้มร้ายได้ครับ

    เห็นเสียจริตกันมามากแล้ว เพราะเรื่องของจักระและปราณนี่หละครับ ทางที่ดีอย่าไปเล่นกับมันดีกว่า เดินตามทางปลอดภัยคือ คุมกายลมในกายของเราให้ชำนาญ เป็นลมประณีตตามทางพระพุทธองค์ดีกว่าครับ
     
  19. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    ปล รูปธรรมจับต้องได้
    นามธรรมจับต้องไม่ได้คับ
    คุณมาจากดิน


    เพื่อให้คำตอบนั้นแคบลง ก็ว่า ร่างกาย = รูปธรรม (จับต้องได้) จิตใจ = นามธรรม (จับต้องไม่ได้)

    เมื่อเป็นดังนั้น คุณจะพลิกร่างกาย คือ รูปธรรม ให้เป็นจิตใจคือนามธรรม ได้ยังไงครับ

     
  20. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    โดยส่วนตัวไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ จึงเข้ามาอ่านข้อมูลจากทุกฝ่ายครับ

    ฟังหูไว้หู

    คริคริ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...