ขออนุญาตสอบถามพี่ๆและเพื่อนๆนักปฏิบัติทุกท่านครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rattanasak, 26 ธันวาคม 2017.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อ่านไปเรื่อย ๆ ในโพสท์นี้ ก็จะได้ "คำตอบ" เอง นะครับ
    +++ ภาษาที่สื่อสารอาจไม่เหมือนกัน สำหรับผมแล้ว "ราคะ โลภะ โทสะ" คือ "ผลลัพธ์จากการปรุง และ จิตส่งออก"

    +++ ถ้าไม่ปรุง/ไม่ส่งออก "ราคะ โลภะ โทสะ" ย่อม "ไม่" สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ "ทดสอบโดยการ ไม่ปรุงจิต" ดูก็จะทราบได้เอง

    +++ ส่วน "โมหะ" คือ "หลงการปรุง และ เรื่องราวต่าง ๆ ในการปรุง" ทั้งหมด ที่เรียกว่า "มโนเอาเอง" นั่นแล .....

    +++ วิญญาณขันธ์ จะตรงกันกับ "วิญญานัง" ในปฏิจจะสมุปบาท
    +++ ภาษาตรงนี้ ตามลักษณะที่ใช้ภาษามา "วิญญานขันธ์ ยังไม่ดับ" ไม่น่าจะเป็น "ขั้นตอนสุดท้ายในวงจรปฏิจจสมุทปบาท"

    +++ ขั้นตอนสุดท้ายในวงจรปฏิจจสมุทปบาท "วิญญาณขันธ์" นั้น "ดับไปนานแล้ว" อยู่ในขั้นตอน "กำเนิด" วิญญาณขันธ์ มากกว่า

    +++ "อณู ของ เหตุปัจจัยโย" ไม่ได้ "อยู่ข้างใน" วงจรปฏิจจสมุทปบาท แต่มันเป็น "ผู้ให้กำเนิด วงจรปฏิจจสมุทปบาท"

    +++ วงจรปฏิจจสมุปบาท อวิชชา นั้นเริ่มต้นที่ "อารัมนปัจจัยโย" ใน มหาปัฏฐานสูตร
    +++ ลอง "ค้นหา ในช่วงที่พระพุทธองค์ กำลังจะ นิพพาน" ก็จะพบข้อความบางประการ ที่เกี่ยวกับ "เจตนา" อะไรสักอย่าง ที่พระพุทธเจ้า เข้า นิพพานไปแล้ว และกลับออกมา สั่งเสียปัจฉิมวาจา หรืออะไรสักอย่างในบริเวณนี้ ก่อนที่พระองค์จะเข้า "นิพพานจริง" ที่พระอนุรุทธ เรียงลำดับ "วาระจิต" ในการเข้านิพพาน ของพระองค์

    +++ อาการ "เจตนา" ตรงนั้น เปรียบได้กับ "ชนวนแห่ง วิบาก/บารมี" ที่ตั้งไว้แล้วให้มันทำงาน ตรงนั้นเป็น เจตนาสุดท้าย ก่อนการทำลาย "อัตตา" จะเกิดขึ้น
    +++ ความเป็น "ตน/อัตตา" เป็นผู้สร้าง "กิริยาจิต" ดับกิริยาจิตได้ ความเป็นตนก็ยังคงอยู่ (นิโรธ)
    +++ เป็น "คำถามที่ดี" การทำลายอัตตาที่ผมกล่าว คือ การนำเอา "กิริยาจิต มาตั้ง ปัฏฐานในอัตตา (เอากิริยาจิตไว้ในตน)" จากนั้น ตัวกิริยาจิต ก็ทำการ ระเบิด ตัวมันเอง พร้อมอัตตาไปด้วยกัน

    +++ อีกประการหนึ่ง อาการของคำว่า "ราคะ โทสะ โมหะ" ไม่ควรเอามา ผสมปนเป ในบริเวณนี้ เพราะมันยังเป็น "ความมั่วในชั้น กามาวจร" อยู่

    +++ พยายามอย่า นำเอามาผสม กับสภาวะที่ก่อกำเนิดอัตตา มิฉะนั้น "ทั้งคนพูด และ คนฟัง" จะมึนกันไปหมด
    +++ เป็น "คำถามที่ดี" การทำลายอัตตาที่ผมกล่าว คือ การนำเอา "กิริยาจิต มาตั้ง ปัฏฐานในอัตตา (เอากิริยาจิตไว้ในตน)" จากนั้น ตัวกิริยาจิต ก็ทำการ ระเบิด ตัวมันเอง พร้อมอัตตาไปด้วยกัน

    +++ อีกประการหนึ่ง อาการของคำว่า "ราคะ โทสะ โมหะ" ไม่ควรเอามา ผสมปนเป ในบริเวณนี้ เพราะมันยังเป็น "ความมั่วในชั้น กามาวจร" อยู่

    +++ พยายามอย่า นำเอามาผสม กับสภาวะที่ก่อกำเนิดอัตตา มิฉะนั้น "ทั้งคนพูด และ คนฟัง" จะมึนกันไปหมด
    +++ ตรงนี้ก็เช่นกัน "สัญญาเวทยิธนิโรธ" ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับ "ปรากฎการณ์ที่เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล"

    +++ "สัญญาเวทยิธนิโรธ" เป็นการ "ดับ/หยุด" ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ ไม่ให้ทำงาน หรือ สลายไป

    +++ ส่วนการ "เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล" ไม่สามารถทำได้ด้วยวิธี "นิโรธ (ดับ)" แต่เป็นวิธีของ "วิมุติ (แยก)" ออกจาก ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ

    +++ โดยที่ ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ ยังคงอยู่ "ยังทำงานตามปกติ ไม่มีการแทรกแซงใด ๆ ทั้งสิ้น"

    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องของ "วิมุติญาณทัศนะ" ที่ แยกออกจาก ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ ที่ผมใช้ภาษาอยู่เป็นประจำว่า "ตัวดู ถูกรู้" นั่นเอง

    +++ เมื่อแยกออกมา จนสิ้นกระแสแรงดึงดูดของมันแล้ว ก็จะเห็น อาณาบริเวณ "รอบข้าง รอบนอก" ของ ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ ได้เอง

    +++ แล้วก็จะรู้ได้เองว่า สิ่งที่เรียกว่า "กาล+จักรา" "วัฏฏะ+สังสาร" "โลกธาตุ" และ อื่น ๆ คืออะไร (กาลจักร เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงสอนและถ่ายทอดเอาไว้ ในทุกพระพุทธศาสนา แต่ ในประเทศไทยนั้นเกิดการ "สาบสูญในการถ่ายทอด ในเรื่องนี้ไปแล้ว")

    +++ ขันธ์ 5 รวมทั้งภพภูมิ ไม่ควรนำมากล่าวในบริเวณนี้ เพราะบริเวณนี้ อยู่ข้างนอก "กาล+จักรา" "วัฏฏะ+สังสาร" "โลกธาตุ" ต่าง ๆ

    +++ การปฏิบัติต่าง ๆ หลัก ๆ คือ "ให้พ้นจาก 3 ภพภูมิ คือ กามาวจร/รูป/อรูป" และทั้ง 3 ภพภูมิ นี้ยังอยู่ "ข้างใน โลกธาตุ" ไม่ได้อยู่ ข้างนอก

    +++ สำหรับ "ผู้ที่ ออกจาก ตัวดู/ผู้รู้/อัตตาจิต/หลุมดำ ได้จริง" แล้วก็ควรที่จะทำความเข้าใจในเรื่อง "ไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล" รวมทั้ง 60,000 สูญกัปป ก่อนที่ "พระรามพุทธเจ้า" จะมาบังเกิดดู

    +++ ในเรื่อง "ไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล" นี้มีอยู่ใน "พระไตรปิฏก" แต่เหตุตรงนี้ NASA ได้รู้เรียบร้อยแล้ว ว่า "มันจะเกิดขึ้น เพราะเหตุใด"
    +++ พวกเราในกลุ่มฝึก ก็รู้ชัดเจนแล้ว "ตรงนี้ สำหรับผู้ที่ทำ วิมุติญาณทัศนะ ได้แล้ว และ ใฝ่ใจที่จะ รู้ตามที่พระไตรปิฏกกล่าวไว้" (ส่วนผู้ที่ "ไม่ใฝ่ใจ" ก็ไม่ต้องเข้ามา เสนออะไรให้วุ่นวาย)
    ============================================
    +++ จาก link ข้างล่างนี้ ลองสืบเสาะค้นหาดูว่า อยู่ใน "พระไตรปิฏก บทใด" ด้วยนะครับ
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=160.0;wap2

    ๒.พระรามเจ้า
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ ประการใด จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา
    ============================================
    +++ ในท่อนนี้ "เป็นอย่างที่ กล่าวมาทั้งหมด" แต่ใน
    +++ ข้อที่ 3 "ความแบ่งแยกซอยละเอียดถี่ยิบ" นั้น เป็นอาการของ "พรรณรังสี"
    +++ ข้อที่ 4 "ความแข็งเป็นดุ้นเป็นก้อนเดียว" นั้น เป็นอาการ "เสมอภาพ ภราดรภาพ" สรรพสิ่งเป็น "เนื้อเดียวกันล้วน ๆ"
    +++ ครับ เข้าใจผิด "ไกวัลยธรรม" เปรียบเสมือน "ประตู" เฉย ๆ เป็น "พรรณรังสี" ระหว่าง นิพพาน กับ กาลอวกาศ ก่อนเข้าสู่ โลกธาตุ/ภพภูมิ

    +++ ส่วน นิพพาน เป็น มิติที่ทับซ้อนในทุกมิติอยู่แล้ว (ทำ remark ตรงนี้ไว้ด้วย)
    +++ ไกวัลยธรรม เป็น (ฉัพ) พรรณรังสี "ไร้อัตตาจิต/ตัวดู/ผู้รู้/หลุมดำ"

    +++ จิตประภัสสร เป็น อาภัสระพรหม มีและเป็น "อัตตาจิต/ตัวดู/ผู้รู้/หลุมดำ" เต็มใบ
    +++ ที่ผมกล่าวว่า "ไกวัลยธรรม คือ ปากประตู" นั้นเพราะ ไกวัลยธรรม ยังต้องมี "การกระทำการ เปิด ประตูอยู่" ถ้าไม่ทำ ก็จะไม่เกิด ปรากฏการณ์ ไกวัลยธรรม ได้

    +++ นี่แหละ จึงทำให้ผม "ไม่นิ่งนอนใจ" ในสภาวะทื่ "ยังต้องมีการกระทำอยู่" จึงได้ "ทำจนถึงที่สุดแห่ง ไกวัลยธรรม" จนถึง "อกิริยา" คือ "ไร้ action/reaction" ทั้งปวง

    +++ เมื่อถึงที่สุดแล้ว มันกลับกลายเป็นว่า "ไม่มีการถอนจิต ไม่มีการเดินจิต" มันกลับกลายเป็น "การอยู่ใน ปัจจุบัณขณะ แห่ง ปัจจุบัณขณะ" ไปซะเฉย ๆ อย่างนั้นเอง

    +++ แต่ถ้าผม "ไม่ผ่านปากประตูแห่ง ไกวัลยธรรม ตรงนี้" ผมก็คงไม่สามารถ "อยู่/เข้าใจ" ปรากฏการณ์ของ "การอยู่ใน ปัจจุบัณขณะ แห่ง ปัจจุบัณขณะ" ตรงนี้ได้เลย

    +++ และก็จะไม่สามารถพูดได้ว่า "สภาวะนี้ "ทับซ้อน" อยู่ใน ทุกมิติ/ภพภูมิ รวมทั้ง จักรวาล/เอกภพ" ออกมาได้เลย

    +++ สภาวะนี้ "สามารถ เข้า/ออก/ชำแรก เข้ามาได้ใน ทุกมิติ/ภพภูมิ จักรวาล/เอกภพ" ทั้งหมด "โดยไร้ กิริยาจิต" ตรงนี้เป็น "สภาวะรู้ ที่เป็น อกิริยา"

    +++ ดังนั้น "ผู้ที่อยู่ใน สภาวะรู้ ที่เป็น อกิริยา" นี้จึงสามารถ "เข้า/ออก/ชำแรก เข้ามาได้ใน ทุกมิติ/ภพภูมิ จักรวาล/เอกภพ" ได้โดย "ไร้กิริยาทั้งปวง"

    +++ พวกผมในกลุ่มฝึก เรียกตรงนี้ว่า "เป็นรู้ เนื้อสุดท้าย" ซึ่งเป็น คำศัพท์ภาษเฉพาะกลุ่ม เท่านั้น
    +++ ใช่ครับ เคล็ดของมันนั้น ขึ้นอยู่กับคำว่า "อยู่" ในฝั่งทางฟากไหน ระหว่างฟาก เกิด/ดับ กับฟากที่ พ้นการ เกิด/ดับ (อกิริยา) เท่านั้นเอง นะครับ

    +++ ประการสุดท้าย คือ "พระโพธิสัตว์ หรือ พุทธภูมิ" หากเกิดอาการ "เห็น" อีกฟากหนึ่งเมื่อใด แม้จะชั่ว "ฟ้าแลบ/ช้างกระดิกหู/งูแลบลิ้น" ก็ตาม

    +++ ก็จะ "สิ้นสุด" ความเป็น พุทธภูมิ และเปลี่ยน switch เป็น อริยะภูมิ ทันที "ตรงนี้ ไม่มีข้อยกเว้น ใด ๆ ทั้งสิ้น" และ สามารถใช้ตรงนี้เป็น "มาตรวัด" ได้ นะครับ
     
  2. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ตรงนี้คือ สภาวะถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วหรือค่ะ

    แสดงว่านิโรธสมาบัติสภาวะนี้เป็นสภาวะของพระอรหันต์เท่านั้นใช่ไหมค่ะ แล้ววิมุติญาณทัศนะ คือ ญาณที่รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ใช่อาสวักขยญาณไหมค่ะ ตามความเข้าใจของตนเอง อาสวักขยญาณ คือสภาวะที่เข้าถึงจิตพุทธะ ที่รู้ยิ่งในทุกสรรพสิ่งที่พระอรหันต์ผลต้องเข้าถึงสภาวะนี้กันทุกคน

    ขอภัยค่ะถ้าใช้คำถามที่ไม่สมควร เพราะ ณ ปัจจุบันนี้ถ้าไม่ถามเรื่องแบบนี้กับท่านแล้วไม่รู้จะถามใครก็ยังต้องติดค้างคาใจไปอีกนาน และยังสงสัยว่าท่านยังอยู่ในสภาวะของอรหัตมรรคอยู่นะค่ะ เพราะถัาผู้ที่ได้อรหัตผลแล้วต้องบวชทุกคนมิใช่หรือค่ะ อย่างกรณีของตนเองที่ได้เข้าไปเห็นทั้งญาณวิมุติทัศนะ หรือ จิตพุทธะก็ได้แค่รู้ ยังไม่เป็นผู้เป็นนะค่ะ เพราะเชื่อว่ายุคนี้เป็นยุคการสร้างบุญบารมีถ้าสร้างเหตุไว้ตรง ที่ใคร ๆ บอกว่ายุคอภิญญาสาธารณะ หรือ ยุคแสงสว่างของธรรมโลกุตระหรือองค์ธรรมิกราชาเปิดลงมายังโลกอีกคราให้ผู้มีบุญบารมีได้สัมผัสในยุคกึ่งพุทธกาล หลังจากนั้นแล้วที่มีการยกระดับมิติให้สูงขึ้นจะมีพระอรหันต์เกิดขึ้นจำนวนมาก

    มิได้ปรามาสนะค่ะแต่ว่าต้องให้กระจ่างแจ้งแก่ใจตนเอง ที่ยังเข้าใจว่าจิตพุทธะ คือ สภาวะของอาสวักขยญาณ แต่สงสัยนะและเข้าใจว่าพระอรหันต์ต้องบวช ๑ พระอรหันต์ต้องได้อาสวักขยญาณ ๑ เพราะตนเองยังเป็นผู้รู้มิใช่ผู้หลุดพ้นค่ะ ตามข้อความด้านล่างนี้ที่ไปค้นหามาค่ะ


    วิมุตติญาณทัสสนะ ความรู้เห็นในความหลุดพ้น ก็คือเมื่อได้หลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณทัสสนะ มีความรู้เห็นในความหลุดพ้น มีในพระสูตรบางสูตรที่กล่าวถึงว่า บางท่านหมดกิเลสแต่ไม่รู้ว่าหมดกิเลสเพราะไม่มีญาณทัสสนะ เพราะฉะนั้นเมื่อหมดแล้วต้องมีญาณทัสสนะด้วย เหมือนคนที่หายโรค ต้องรู้ว่าตัวหายโรคแล้ว จะได้เลิกกินยา

    ความเป็นผู้รู้ ซึ่งไม่ใช่ผู้เป็น หลุดพ้นจากอาการหรือความรู้สึกที่เกิดจากความเป็นไปตามความยึดมั่นของวิญญานกับนามรูป หรืออาจเรียกว่า เราเป็นผู้ดู ไม่ใช่ผู้เป็น

    https://th.m.wikipedia.org/wiki/วิมุตติญาณทัสสนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2018
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ด้วยความนอบน้อมในคุณธรรมที่ได้ และสัจจวาจาจริงด้วยความบริสุทธิ์ มิได้มีจิตคิดสิ่งใดด้วยความปรามาส ที่เป็นการลบหลู่หรือดูหมิ่นแม้สักน้อย และเห็นด้วยในคุณธรรมที่ประสบมาว่าคืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ค่ะ มิได้เป็นการสบประมาทดั่งที่หลาย ๆ ท่านเข้าใจ แต่เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้ได้มาคำตอบ
    ๑.นิโรธสมาบัติ
    ๒.วิมุติญาณทัศนะ
    ๓.อาสวักขยญาณ
    และประเด็นสำคัญที่คิดว่า การทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว จำเป็นหรือไม่ที่ต้องบวชภายใน ๗ วัน ดั่งที่เข้าใจกันมาตลอดนะค่ะ
     
  4. rattanasak

    rattanasak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    414
    ค่าพลัง:
    +616
    สอบถามพี่ธรรมชาติ อีกครั้งนะคับ 4 อสงไขย 1 แสนกัป คำว่า 1 กัป นี่คือ 1 ระบบสุริยะจักรวาลแตกดับไป 1 ครั้งใช่หรือไม่ครับ หรือ มันทั้งหมดของกาแลคซี่เลย เพราะคำถามนี้ผมคุยกับพี่ชายมานานแล้วก้อนึกเองเออเองว่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ พอจะอธิบายได้หรือไม่ครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ทุกข์นั้น มีอยู่เสมอ แยกได้คร่าว ๆ 4 ระดับ คือ

    1. ทุกข์มีได้ในตน และ ตนเป็นทุกข์ ตรงนี้ เป็นของ ปุถุชน
    2. ทุกข์มีแต่ไม่ได้อยู่ในตน มีอาการ ทุกข์เป็นทุกข์ ตนเป็นตน ทุกข์มี แต่ ไม่มีอิทธิพลกับตน เป็นอาการใน "วิมุติญาณทัศนะ" (เสขะ)
    3. ทุกข์มีแต่ไม่มีตน ตรงนี้ ทุกข์มีอยู่ แต่ ตนไม่มี เลยไม่มีใครเป็นทุกข์ ตรงนี้ เป็นของผู้ที่ "เป็นรู้" แล้ว (อเสขะ)
    4. ทุกข์มีแต่ตนไม่รับรู้ ตรงนี้ พวกสมาธิหัวตอ ก็ทำได้ แต่จะ "ตัดความพ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะเป็นแค่ การหลบทุกข์" เท่านั้น (ฌานฤษี)

    +++ ตรงข้อ 3 เป็นที่สุดแห่งทุกข์ หรือเปล่า ลองพิจารณาดูเอานะ
    +++ คนธรรมดา ก็สามารถมีอุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้เหมือนกัน (จิตมันดับไปเฉย ๆ) แต่ จะไม่สามารถรู้จัก และ ทำเอาเองได้ เหมือนผู้ที่ฝึกฝนจนรู้ชัดเจน

    +++ นิโรธสมาบัติ เป็น "สภาวะตามธรรมชาติของจิตอย่างหนึ่ง" ซึ่ง จิตทุกดวงสามารถทำได้ ถ้ารู้จักวิธีทำ

    +++ เพียงแต่ว่า "ความใฝ่ใจ" ที่จะ "ไป" สู่สภาวะนั้น "เกิดขึ้นมา หรือไม่"

    +++ ส่วนใหญ่จะมี ตรงนี้เป็น "ฉันทะ ในอิทธิบาท 4" แล้วการใฝ่หาจะนำไปสู่ "สัมมามรรควิถี" จะมาจากตรงนี้เอง
    +++ วิมุติ = หลุดออก/แยกออก (จากอะไร เป็นเรื่องหนึ่ง ๆ เฉย ๆ)

    +++ ญาณ = รู้
    +++ "รู้/สภาวะรู้" คือ จิตพุทธะ อยู่แล้ว ตรงนี้เป็น "ญาณ" เป็น "ฟากของ รู้"

    +++ อาสวะขยะ เป็น "อาการ" ที่ยังมี "ขยะในใจยังมีอยู่" ยังไม่พ้นไปได้ เป็น "ฟากของ ขยะ"

    +++ ขยะทั้งหมด "เกิดจากเหตุ" ทำให้พ้นไปจาก เหตุปัจจัยโย แล้ว ขยะจะหมดไปเอง เป็นวิธีหนึ่ง (ภาษาที่สื่อเข้าใจได้ นะ)

    +++ กับอีกวิธีหนึ่ง คือ เลือกอยู่กับ "ฟากของ รู้" (อยู่กับรู้ ของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) พิจารณาเอา นะ
    +++ คำว่า "มรรค" ยังมีการ "เดินจิต" อยู่หรือไม่ ยังเป็น "กิริยาจิต" อยู่หรือเปล่า ใช้ตรงนี้เป็นเครื่องตัดสิน

    +++ กลับไปอ่าน โพสท์ที่แล้วให้ดี ๆ อีกสัก 2-3 รอบ ก็รู้เอง
    +++ ตรงนี้เป็น "สัจจธรรม ตัวจริง หรือเปล่า" ลองไปหาฟังจาก "หลวงตา มหาบัว" เอานะ

    +++ ผมฝึกบุคคลในกลุ่มฝึก จน "เป็น" รู้เนื้อสุดท้าย ประมาณ 10 +- และผู้เข้า ไกวัลยธรรม ประมาณ 20+-

    +++ ส่วนผู้ที่ ถึงสภาวะรู้ก็ ราว ๆ 40+- ส่วน ฌาน รูป/อรูป ประมาณ 50++ และ ผู้ที่ "รู้จักอาการของ สติ" ก้อ 100++

    +++ ทุกคนยัง "ดำรงค์ชีพตามปกติ ทุกคนล้วน เกิน 7 วันทั้งสิ้น" ทุกคน "เป็น สติ วินะโย" 100% คงพูดได้แค่นี้ นะ

    +++ เป็นพระอรหันต์ "ต้องบวชใน 7 วัน ไม่งั้น ตาย" เป็นคำพูดที่เป็น "ดาบ 2 คม" ต้องระวังให้มาก

    +++ โดยเฉพาะ กุศล/อกุศล เจตสิก วิบากมันแรงแบบ "สุด ๆ" เพียงขณะจิตเดียว ก็ ปิดมรรคผล ได้ทันที
    +++ ตรงนี้เปรียบได้ง่าย ๆ ระหว่าง อาการต่าง ๆ ดังนี้ คือ

    1. คุณ รู้ คุณ
    2. คุณ เห็น คุณ
    3. คุณ รู้จัก คุณ
    4. คุณ เป็น คุณ

    +++ อาการ 4 อย่างนี้ เป็นการ "ระบุ" เฉพาะส่วนบุคคลอย่างง่าย ๆ นะครับ
    +++ จริง ๆ แล้ว ตรงนี้ ผมยกให้ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" มากกว่านะ เพราะ "ตรง" กับที่กล่าวมาจริง ๆ
    +++ จิตพุทธะ คือ จิตที่ "ข้ามฟาก" ไปแล้ว ไม่ได้อยู่ใน "ระหว่าง"

    +++ อาสวักขยญาณ นั้น อาสวะขยะ อยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วน ญาณ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เพียงแค่ "หันกลับมาดูขยะ" เท่านั้นเอง

    +++ คงพอเป็นที่เข้าใจได้บ้าง ตามอาการ นะ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ 1. นิโรธสมาบัติ = ดับสนิททั้ง สัญญา (ส่วนของรูป) และ เวทนา (ส่วนของ นาม) เป็น สมาธิแบบ "ปิด" (สมถะ) ไม่รับรู้ สรรพสิ่งจาก ภายนอก ปิดหมด

    +++ 2. วิมุติญาณทัศนะ = ไม่ปรากฏทั้ง สัญญา (ส่วนของรูป) และ เวทนา (ส่วนของ นาม) เป็น สมาธิแบบ "เปิด" (วิปัสสนา) รับรู้ สรรพสิ่ง ทั้งหมด เปิดหมด

    +++ 3. อาสวะขยะญาณ = เป็น วิมุติญาณทัศนะ โดยเฉพาะ รู้แจ้งว่า ขยะทั้งหลาย "ไม่มี" ขณะข้ามไปอีกฟากหนึ่ง เรียบร้อยแล้ว (ภาษาที่พูดกันรู้เรื่อง นะ)
    +++ เป็นพระอรหันต์ "ต้องบวชใน 7 วัน ไม่งั้น ตาย" เป็นคำพูดที่เป็น "ดาบ 2 คม" ต้องระวังให้มาก

    +++ โดยเฉพาะ กุศล/อกุศล เจตสิก วิบากมันแรงแบบ "สุด ๆ" เพียงขณะจิตเดียว ก็ ปิดมรรคผล ได้ทันที

    +++ ให้ลอง map ตรง ๆ ไปยัง "เจตนา" ที่มุ่งเฉพาะ ที่ส่งตรงลงมาใน "ศาสนาพุทธ" ดู

    +++ ก็พอจะรู้ได้ว่า "ผู้พูดคนแรก" เป็นใคร ลัทธิ/นิกาย อะไร ในแผ่นดินยุคไหน มีเจตนาอะไร เป็น มิตร/ศัตรู ของศาสนาพุทธ หรือไม่

    +++ ให้ย้อนกลับไปอ่าน โพสท์ที่แล้วมาก็จะ ชัดเจน ได้เอง นะครับ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ศาสนาพุทธ ในภาคที่เป็น "ความรู้ทั่วไป" ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ "ฝึกตน" หรือ ผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการ ฝึกตน อาจมีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นได้

    +++ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ หากจะกล่าวเป็นภาษาปัจจุบัน คือ ปรากฏการของ "กาล และ อวกาศ" ซึ่งมีอยู่ "ตามความเป็นจริง"

    +++ ผู้ที่จะ "รู้ได้ตามความเป็นจริง โดย ไร้นิมิต (อนิมิต) ไร้มโน" ได้นั้น ต้องได้ "วิมุติญาณทัศนะ ที่แยกออกหลุดออกจาก ความเป็น ตน/อัตตาจิต/ตัวดู/หลุมดำ" แล้วเท่านั้น

    +++ ในกรณี "ถอดจิต นั้น ไม่นับว่าเข้าข่ายตรงนี้" เพราะยัง "เป็น ตัวดู ที่มโนแทรก ได้ง่ายมาก" ต่างจากกรณี ของ ญาณทัศนะ

    ===========================================

    +++ อสงไขย นับจาก การก่อกำเนิดของ บิกแบง (ภาษาที่พูดกันรู้เรื่อง) จน บิกแบง ตายไป 1 ชั่วอายุขัยของ บิกแบง แล้วก็ "เกิดใหม่อีก"

    +++ มหากัปป คือ ระยะเวลาที่ "กลุ่มกาแลคซี่ (กลุ่มโลกธาตุ)" โคจรรอบตัวเอง 1 รอบ เรียกว่า 1 วันของ กลุ่ม กาแลคซี่

    +++ มหากัปป นับในระดับของ Galaxy clusters ที่ยังมี "แรงโน้มถ่วง ซึ่งกันแลกัน" หากแรงโน้มถ่วง ขาดจากกัน ถือว่าเป็น "มหากัปป ของ แต่ละกลุ่ม"

    +++ กัปป คือ 1 วันของ Galaxy ตัวเดียวโดด ๆ

    +++ กัปปอายุไขยของ "สิ่งที่เรียกว่า มนุษย์" นับจาก "ระบบสุริยะ เคลื่อนตัวเข้าสู่ หลุมดำ" ของเราจะ เคลื่อนตัว อยู่ "ข้างนอก ไม่ได้อยู่ ข้างในหลอด"

    +++ แรงกดดัน "เข้มข้น" โลกภิภพเล็กลง สิ่งมีชีวิตมีขนาดเล็กลง ชิวิตสั้นลง มนุษย์สอยมะเขือ มี ทุกข์+ชั่ว มาก ฯลฯ

    +++ แล้วโดนแรงดึงดูด ลงไป "ข้างนอก ของจุดตัด X หรือ ศูนย์กลางของแกนหลอด" แล้วโดนผลักออกมาทาง หลุมขาว ออกมายังขอบ ริม กาแลคซี่อีกครั้ง

    +++ แรงกดดัน "เจือจาง" โลกภิภพใหญ่ขึ้น สิ่งมีชีวิตมีขนาดใหญ่โต ชีวิตยาวขึ้น เกิดมนุษย์ 80 ศอก 40 ศอก ต่าง ๆ ทุกข์+ชั่ว มีไม่มาก ฯลฯ

    +++ แล้วจึง วกกลับมาด้านบนใหม่อีกรอบ เป็น "วัฏฏะอายุไขยมนุษย์"

    +++ วัฏฏะ คือ "วงจร" ของใครของมัน กรณีใคร กรณีมัน เท่านั้น
    ===========================================

    +++ กลุ่มฝึกของพวกเรา ใช้เกณฑ์ ที่กล่าวมานี้ สื่อสารระหว่างกลุ่ม

    +++ พวกเรา "ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ" กับการคำณวณ ที่มีเลขศูนญ์ 40-60 ตัว หรือเป็น ร้อย ๆ ตัว พวกนั้น

    +++ ถือว่า เป็นความรู้ เฉพาะกลุ่มพวกเรา เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น เมื่อถามมา ก็ตอบไป เท่านั้น นะครับ
     
  8. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    สาธุอนุโมทนาในธรรมทานของท่านธรรม-ชาติเป็นอย่างยิ่งค่ะ สำหรับอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์คำสอนที่เป็นอัศจรรย์ ขอขอบพระคุณมาก หากท่านทราบวาระจิตด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ข้าพเจ้า ด้วยความอยากรู้ธรรมที่สงสัย และด้วยความปราถนาที่ต้องการให้คนอื่นได้เข้าใจในธรรมนั้นด้วย ถ้าหากข้าพเจ้าผิดพลาดพลั้งในสิ่งที่ไม่สมควรในเรื่องใด ๆ ข้าพเจ้าขอขมาและขออโหสิกรรมในทุก ๆ กรณีค่ะ
     
  9. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ขอถามนอกเรื่องค่ะ แสงสว่างส่องมายังโลกอีกครานั้นเป็นจริงตามพุทธทำนายแล้ว มิกราชาโพธิญาณนั้นมาก่อนหรือหลังค่ะ
     
  10. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ใครเข้าใจนิพพานเป็นอนัตตา ก็เข้าใจธรรมะผิดหมดเลย ได้แค่สมาธิ ไม่เข้าใจอริยสัจจริงๆ ไม่เข้าใจพระไตรลักษณะตรง
     
  11. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 00 ฉบับที่ 0000 ข่าวสดรายวัน


    จำนวนนับแบบไทย

    คอลัมน์ รู้ไปโม้ด


    เยาวชน



    คอลัมน์ รู้ไปโม้ด



    น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com



    อยากจะทราบการนับของคนไทย ของจีนมีแค่หนึ่งถึงหมื่น แต่ของไทยพอจะทราบมาบ้างว่ามีเกินล้านคือ 10 ล้าน=1 โกศ 10 โกศ=อะไร ได้ยินมาว่ามีอสงขัย, กัปล์, กัลป์ และอื่นๆ อีกมาก ท่านผู้รู้กรุณาช่วยบอกด้วย ขอขอบคุณ



    /ตำแย



    ตอบ- ตำแย



    เปิดตำรา"สังขยา"กันเถอะ สังขยาจริงๆ นา แต่ไม่ได้กินกะข้าวเหนียว เป็น "สังขยาปกาสกปกรณ์และฎีกา: การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์" วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของคุณบุญหนา สอนใจ ซึ่งอธิบายไว้ดังนี้...อ้อ คำเตือนจากน้าชาติคือระวังอาการเมาจนเสียสูญเพราะตัวศูนย์



    ระบบการนับจำนวน หรือภัณฑสังขยา ซึ่งเป็นระบบการนับของไทยนั้น เริ่มจาก เอก=1 ทสะ=10 สตะ=100 สหัสสะ=1,000 นยุตตะ=10,000 ลักขะ=100,000 ทสสตสหัสสะ=1,000,000 โกฏิ=10,000,000 ปโกฏิ=100,000,000 โกฏิปโกฏิ=1,000,000,000 นหุตะ=10,000,000,000 นินนหุตะ=100,000,000,000



    อักโขภินี=1,000,000,000,000

    พินทุ=10,000,000,000,000

    อัพพุทะ=100,000,000,000,000

    นิรัพพุทะ=1,000,000,000,000,000

    อพพะ=10,000,000,000,000,000

    อฏฏะ=100,000,000,000,000,000

    อหหะ=1,000,000,000,000,000,000

    กุมุทะ=10,000,000,000,000,000,000

    โสคันธิกะ=100,000,000,000,000,000,000

    อุปปละ=1,000,000,000,000,000,000,000

    ปุณฑรีกะ=10,000,000,000,000,000,000,000

    ปทุมะ=100,000,000,000,000,000,000,000

    กถานะ=1,000,000,000,000,000,000,000,000

    มหากถานะ=10,000,000,000,000,000,000,000,000

    อสังเขยยะ=100,000,000,000,000,000,000,000,000



    มีข้อน่าสังเกตว่าระบบการนับที่เรียกว่าอักโขภินี มีการใช้กันในสำนวนไทยมาแต่โบราณ คำ "มากอักโข" ก็มาจากคำอักโขภินีนี่เอง จำนวนนับหลักอักโขภินีคือจำนวนหนึ่งล้านล้านนั่นเอง ครั้งหนึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์ความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยสามารถมีสินค้าส่งออกจำหน่ายไปต่างประเทศมีมูลค่าถึงหนึ่งล้านล้านบาท การประชาสัมพันธ์ครั้งนั้นมีปัญหาเรื่องภาษาที่จะใช้สื่อความ เพราะคำว่าล้านล้านเป็นคำซ้ำที่ก่อให้เกิดความสับสน (ต่อมาไม่นาน ประเทศไทยก็เป็นหนี้ต่างชาติด้วยจำนวนเป็นล้านล้านเช่นเดียวกัน) เรียว่าเป็นหนี้เขาอักโขภินีก็ได้เนาะ



    มาถึงคำ กัป และ กัลป์..."กัป"เป็นอายุของโลกตั้งแต่เมื่อพระพรหมสร้างเสร็จ จนถึงเวลาที่ไฟประลัยกัลป์มาล้างโลก ประลัยครั้งหนึ่ง (ศาสนาฮินดูว่าเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของพระพรหม วันหนึ่งของพระพรหมคือ 1,000 มหายุค เท่ากับ 4,320,000,000 ปีมนุษย์) อุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูงด้านละ 1 โยชน์ (ประมาณ 16 ก.ม.) ทุก 100 ปี มีเทวดานำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไป ถือว่าเป็นกัปป์หนึ่ง



    คำว่า "กัลป์" หมายถึงเมื่อพระอิศวรล้างโลกด้วยไฟประลัยกัลป์ โลกจะไร้สิ่งมีชีวิตและอยู่ในความมืดมาจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วพระพรหมก็จะสร้างโลกเป็นการขึ้นต้นกัลป์ใหม่ โลกจะถูกสร้างและถูกทำลายเช่นนี้สลับกันตลอดอายุของพระพรหม



    อายุของกัปป์มี 2 แบบ คือ 1.กำหนดอายุของโลกซึ่งอุปมามีอายุยาวนานดังความข้างต้น 2.กำหนดอายุของมนุษย์ในยุคนั้นๆ เรียกเต็มว่าอายุกัปป์ เช่นว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงคุณของอิทธิบาท 4 ให้พระอานนท์ทราบว่าผู้เจริญอิทธิบาท 4 แล้ว จะดำรงอยู่ได้ตลอดกัปป์หรือเกินกว่ากัปป์ก็ได้ แต่สิ่งที่พุทธองค์ได้ทรงตรัสนั้นหมายถึงอายุกัปป์ของมนุษย์ ไม่ได้หมายถึงอายุของโลก อายุกัปป์ของคนยุคนี้ประมาณ 80 ปี



    ส่วนอสงไขย (ไม่ใช่อสงขัย) หมายถึงจำนวนนับที่มากจนนับไม่ถ้วน เป็นชื่อของมาตรานับจำนวนใหญ่ที่สุดคือโกฏิยกกำลัง 20

    จำนวนนับครับ อ้างอิงจาก นสพ ข่าวสด
     
  12. ศิษย์โง่ V2

    ศิษย์โง่ V2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2017
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +243
    2 ประโยคนี้ น่าสนใจมาก
    1. ถ้าคิดตามฮินดู เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี มีอายุประมาณ 2 กัปเลยทีเดียว
    2. การตีความเรื่องกัป ที่ตรัสกับพระอานนท์

    ขอบคุณที่เอามาให้อ่านครับ
     
  13. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    นานแค่ไหนก็ไร้ราคา ถ้าเกิมาไม่รู้อริยสัจ ความสุขมันไปเร็วแค่ชั่วพริบตาอยู่ดี
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้ "รู้อยู่"
    +++ ให้ "วาง" ตรงนี้ลง

    +++ ควรถาม "เฉพาะ" ที่ตนปรารถนา และ "วิธีทำ" เฉพาะกรณี ดีที่สุด

    +++ เจตนาในการถาม "เผื่อ" ผู้อื่นแม้เป็นเจตนาดี แต่ อาจไม่ตรงกับกับความต้องการของผู้อื่นได้

    +++ และจะเป็น ช่อง ให้คนพาลบางคน สอดแทรกเข้ามาได้

    +++ การโพสท์ของคนพาลเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ "ไร้ประโยชน์" ทั้งสิ้น

    +++ คนพาล แม้มีเพียงคนเดียว ก็อาจก่อกวนให้เสียเรื่องได้ ให้สังเกตุเอา นะ
    +++ การขอขมา ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียง "มารยาท" ทางโลกเฉย ๆ

    +++ หาก กรรมไม่ผูกพัน การขอขมา ก็ไม่มีผล

    +++ การขอขมา เป็นการ ขอจบ เรื่องราวเพื่อไม่ให้ พัวพันยืดเยื้อต่อไป ตรงนี้เป็นทางโลก

    +++ แต่ในทางธรรมนั้น การขอขมา ไม่สามารถแก้วิบาก ได้

    +++ การกระทำใด ๆ เมื่อทำเสร็จแล้ว สิ่งที่เหลือตามมา ก็คือ วิบาก ตรงนี้ไม่มีใคร ขอขมา กับวิบากได้เลย

    +++ การขอขมาทางโลก ก็คือการ ขอยุติในประเด็นต่าง ๆ

    +++ การขอขมาในทางธรรม คือ การ "เร่งความเพียร" ให้พ้นอิทธิพลของ วิบาก เท่านั้นเอง

    +++ ให้คุณ jityim ขอขมา ในทางธรรม ให้สำเร็จ นะครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,571
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การเริ่ม พุทธันดร นับจากวันที่พระพุทธองค์ ทรงบันลุโพธิญาณ

    +++ ดังนั้น "กึ่งพุทธกาล" ควรจะอยู่ที่ 2500 - 45 = 2455

    +++ ตรงนี้ ตรงกับช่วงที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต สร้างกองทัพธรรม หรือไม่


    +++ ที่สำคัญ คือ ช่วงที่ ธรรมิกราช ปรากฏ มีใคร "รู้จัก" หรือไม่

    +++ ช่วงที่ ธรรมิกราช ยังอยู่ มีใคร "รู้จัก" หรือไม่

    +++ ช่วงที่ ธรรมิกราช จากไปแล้ว มีใคร "สำเหนียกรู้" หรือไม่


    +++ คำถามที่ว่า "ธรรมิกราช" มาก่อนหรือหลัง กึ่งพุทธกาล นั้น

    +++ ตรงนี้ควรไปค้นเอาจาก "พระไตรปิฏกฉบับเต็ม" จะดีกว่า นะครับ
     
  16. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    สาธุค่ะ เคยกล่าวเรื่องนี้ไว้แล้วในกระทู้ "อหังการวิเศษมาร" ของท่านรัตนมหาธาตุ ว่าคือหลวงปู่มั่น นั่นเอง

    อยากให้แสดงความเห็นเรื่องภัยพิบัติในยุคนี้ค่ะ
     
  17. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    คนพลานมาชี้ทางคนดี. ให้รู้อนัตตาไม่ใช่นิพพาน. บรรลุกันเลยทีเดียว
     
  18. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    หึ
    ความสุขมันผ่านไปเร็ว
    ไม่รู้จักสุขแท้ อันเป็นวิมุติสุข บรมสุข ที่เที่ยงแท้และแน่นอน
    ไม่แปรปรวน ไม่มีอยู่ในไตรลักษณ์ แล้วมาอวดอุตริมนุษธรรมา
     
  19. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    อวดอุตริคืออะไร. ทำความเจ้าใจดีหรือยัง
     
  20. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +1,225
    ตอบมาสิครับที่อวดน่ะ มีจริงมั้ย หรือลอยลม
     

แชร์หน้านี้

Loading...