แฟนเพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล (อนันต์ พทฺธญาโณ)
    วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ได้มรณภาพ
    เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๐๔:๔๙ น.
    ประวัติ ท่านพระราชภาวนาโกศลเจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ปัจจุบัน

    นายรอด มารดา นางจำรัส เสนสกุล มีบุตรธิดารวม ๕ คน ดังนี้

    ๑. พระครูปลัดอนันต์ เสนสกุล
    ๒. นายวิมล เสนสกุล
    ๓. น.ส.ราตรี เสนสกุล
    ๔. นายวิจิตร เสนสกุล
    ๕. นายวิจารณ์ เสนสกุล

    อุปสมบทเมื่อปี ๒๕๑๖ ขณะมีอายุ ๒๕ ปี ณ วัดปากคลองปลากด อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ออกพรรษาแล้วมาอยู่วัดท่าซุง ได้รับตำแหน่ง พระครูปลัด เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2535

    คติธรรมที่ประทับใจเป็นที่สุด
    “สูทั้งหลาย จงมาดูโลกอันตระการดุจราชรถ ที่คนเขลายังหมกอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่”

    เลื่อมใสปฏิปทาหลวงพ่อเป็นที่สุด
    “ชอบใจว่าท่านเป็นผู้ที่พูดได้ และปฏิบัติของท่านเองได้”

    เสียใจที่สุด
    “คือวันที่หลวงพ่อจากไป เรายังไม่ได้มรรคผลอะไร”

    ระหว่างเป็นเจ้าอาวาส
    “ดีใจที่ได้รับใช้พระพุทธเจ้า รับใช้พระพุทธศาสนา”

    ประวัติจากหนังสือ “ที่ระลึกงานกตัญญูกตเวทิตามงคล”
    ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เกิดวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีชวด เป็นบุตรคนแรกของ นายรอด และ นางจำรัส เสนสกุล มีน้องชาย ๓ คน และน้องสาว ๑ คน

    ท่านเกิดที่บ้านเลขที่ ๑๐๑ หมู่ ๓ ต.ทับกฤช อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ต่อมาทางกระทรวงมหาดไทย ได้จัดทำทะเบียนราษฎร์และเขตปกครองขึ้นใหม่ บ้านเดิมที่เกิดจึงเปลี่ยนบ้านเลขที่และเขตปกครองใหม่ เป็นบ้านเลขที่ ๑๓๖ หมู่ ๘ ต.โคกหม้อ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ ๖๐๑๒๐ ซึ่งในปัจจุบันโยมแม่จำรัส และน้องสาวของท่านยังอยู่ที่บ้านนี้

    โยมแม่ของท่านเล่าว่า ท่านพระครูฯ เป็นคนขยัน สะอาดเรียบร้อยมาตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องรู้ราว ไม่อ้อน ไม่โกง สมัยอายุ ๕ ขวบ แม่ไปทำนาก็รู้จักหิ้วน้ำหิ้วหมากไปส่ง แล้วบอกว่า “แม่กินหมากกินน้ำหน่อย” งานที่ไม่ชอบคือไกวเปลน้อง

    เริ่มเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดปากคลองปลากดนอก เมื่ออายุ ๗ ขวบ จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ ไปโรงเรียนวัดปากคลองปลากดนอก ก็เดินไปจากบ้าน แล้วไปลงเรือจ้างข้ามฟาก เพราะโรงเรียนอยู่คนละฝั่งกับบ้าน ริมแม่น้ำน่าน คนแจวเรือชื่อ “ตาอ๋อย” นิสัยโอบอ้อมอารีของท่านพระครูฯ มีมาแต่เด็กเหมือนกัน เมื่อลงเรือแล้วก็ช่วยเกาะหัวเรือไม่ให้เรือถอยออกจากฝั่ง คนอื่น ๆ จะได้ลงได้

    ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านพระครูฯ ไม่เคยโดนโยมแม่ตี น้อง ๆ โดนตีทุกคน โยมพ่อใจดี ไม่เคยตีใครสักคน อย่างมากก็เสียงดัง ถ้าโยมแม่ตีลูก โยมพ่อจะน้อยใจไม่กินข้าว ถึงรุ่นหลาน โยมพ่อก็ยังห้ามตี ถ้าตีหลานโยมพ่อจะไม่กินข้าวเหมือนกัน

    ท่านพระครูฯ เรียนหนังสือเก่ง โยมแม่เล่าว่า “ทั้งห้องเด่นกว่าเขาหมด น้องชายคนรองและน้องสาวคนที่สามไม่ชอบเรียนหนังสือ พอจบชั้นประถม ๔ ก็ออกไถนากันหมด บอกว่าเลี้ยงควายดีกว่า” ส่วนท่านพระครูฯ เมื่อจบชั้นประถมปีที่ ๔ ก็ย้ายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๑ ที่โรงเรียนสหวิทยานุสรณ์ ในอำเภอชุมแสง ซึ่งพึ่งเปิดสอนปีแรกข้างวัดแสงธรรม

    โดยไปอาศัยอยู่กับอาได้ ๒ ปี โยมพ่อก็พาไปฝากไว้กับท่านเจ้าคุณพระชินวงศ์เวที วัดแสงธรรม (ท่านเจ้าคุณพระชินวงศ์เวที อยู่วัดราชบพิธ เป็นครั้งคราว) เป็นลูกศิษย์พระ เย็นก็เล่นฟุตบอลทุกวันจนได้เป็นนักกีฬาฟุตบอลทีมโรงเรียน

    โยมแม่เล่าว่า ท่านพระครูฯ ท่านเด่นเอี่ยมอ่องมาตั้งแต่แรก ไม่เหมือนพี่เหมือนน้อง เสี้อผ้าต้องเอี่ยม ไม่ซื้อเสื้อโหล ต้องตัด มี ๒ ชุด ก็ไม่เป็นไร เหล้ายาไม่กิน ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โยมพ่ออยากให้ลูกเรียนสูง ๆ จะได้ไม่ลำบาก ใน ๓ หมู่บ้าน คือ หมู่ ๑ หมู่ ๒ และหมู่ ๓ มีท่านไปเรียนอยู่คนเดียว

    ท่านพระครูฯ จบชั้นมัธยมปีที่ ๖ (กระทรวงศึกษาธิการเริ่มเปิดมัธยมศึกษา ปีที่ ๓ ปีแรก ) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ตอนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ บ้านถูกโจรปล้นครั้งที่ ๒ ตอนนั้นเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว คิดจะยิงสู้กับโจร ค่อย ๆ คลานไปหาโยมพ่อแล้วกระซิบว่า “พ่อ ๆ ส่งปืนมา” โยมพ่อกดหัวให้ติดพื้นไว้ ไม่ให้สู้

    เนื่องจากปู่ย่าตายาย ท่านเป็นคนทำมาหากินสุจริต ขยัน มีที่ทางมากพอสมควร จึงมีฐานะดีกว่าคนอื่น ลูกหลานแต่งงาน ยายจะแจกควาย ๑ ตัว ไถ ๑ งอน จึงเป็นที่หมายตาของโจร (บ้านท่านถูกปล้น ๔ ครั้ง) ลูกหลานเกรงว่ายายจะไม่ปลอดภัย หลังจากถูกปล้นครั้งที่ ๒ จึงให้ย้ายไปอยู่ในตลาดบางปลากด

    เมื่อจบชั้นมัธยมปีที่ ๖ แล้ว ท่านพระครูฯ ก็กลับมาอยู่ช่วยบ้าน ช่วยทำไร่ไถนามา ๒ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๕๑๐ ก็ไปสอบเข้าตำรวจ สอบข้อเขียนได้แต่ไปตกตรวจสุขภาพ เนื่องจากตาบอดสี เพื่อน ๆ ที่เป็นนักฟุตบอลเขตก็มาชวนไปเรียนวิทยาลัยครู ท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว เพราะพื้นฐานการศึกษาไม่ได้ และห่างมานาน แต่อีกใจหนึ่งก็อยากเรียนหนังสืออยู่ เพราะอยากให้พ่อแม่สบาย

    เมื่อกลับมาอยู่บ้านแล้วเพื่อนฝูงก็มากขึ้น รวมทั้งเพื่อนที่เป็นมือปืนด้วย เมื่อคบมือปืน บ้านก็ปลอดภัย แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ไปปล้นกับเขานะ ยังทำนา ทำไร่ ทำสวน ในที่ ๑๐๐ ไร่เศษของโยมพ่อโยมแม่ ความอยากให้ครอบครัวมีฐานะดีขึ้น ให้พ่อแม่ได้สบาย

    ทำให้ท่านครุ่นคิดพิจารณาถึงการพัฒนาชีวิตมาก หน้าน้ำน้ำท่วม สูง ๒ เมตร แทบทุกปี ความอยากจะพัฒนามันสะสมก็ทำไม่ได้ เพราะดินฟ้าอากาศไม่ได้อำนวยอย่างต้องการ ก็ทนกันไป เคยปรารภกับโยมพ่อว่า ถ้าลงทุนทำนาตั้งแต่จ้างรถไถ ๓ รอบ ๔ รอบ ฝนจะตกเมื่อไรก็ไม่รู้ จะหว่านข้าว จะเกี่ยวข้าว ก็ต้องจ้างหมด ทำไปแล้วเงินที่ลงทุนไปกับข้าวที่ขายได้ก็เท่ากัน อย่างนี้ต้องจนทั้งชาติ โยมพ่อก็บอกว่า “ถ้าคิดอย่างมึงก็ไม่ต้องทำมาหากิน”

    พออายุ ๒๑ ปี ก็ไปเกณฑ์ทหาร กำนันมาขูดรีดแต่ก็ไม่ยอมให้ ไปให้เขาคัดเลือกตามระเบียบจนผ่านพ้นมา ก็กลับมาทำนาต่ออีก ๓ – ๔ ปี พอถึงอายุ ๒๔ ปี คืนหนึ่งฝันไม่ดี ฝันว่าไฟไหม้ มีคนบอกว่าให้แก้ฝันกับน้ำ ให้หนักเป็นเบา ท่านตัดสินใจว่า ๒ เดือนนี้จะไม่ไปไหน กำลังทำนาอยู่ เพื่อนก็มาเรียกชวนไปเที่ยว เขาทำบุญ ๑๐๐ วันงานศพ ก็บอกว่าไม่ไป เพื่อนก็คะยั้นคะยอว่า ไปเถอะ ไปเอาเสื้อบ้านกู ก็ไปกับเขา ไปเอาเสื้อใส่ไปเที่ยว

    ที่งานนั้นมือปืนมารวมญาติกันเลย มีการละเล่น มีรำวง พวกเราคนหนึ่งเรียกให้คนที่นั่นไปซื้อเหล้า แล้วเอามีดแทงเลย ตอนนี้ชุลมุนไปหมด ยิงกันอย่างในหนัง พวกถูกแทงไส้ไหลตายไป ๓ ศพ ท่านรีบไปบอกกับพ่อคนตายว่า “อย่าเอาผมไปเข้ากับพวกหาเรื่องนั่นนะ เดี๋ยวประวัติผมเสีย” เขาก็รับปาก

    แต่พอกำนันมา กำนันจดชื่อทุกคนไปบอกตำรวจหมด ตอนนี้ก็มีการขู่จากพวกที่ตาย 3 ศพว่า ถ้าใครถูกจับ บ้านต้องถูกระเบิดหมด ท่านก็หนีเข้าป่า โยมพ่อตามไปส่งข้าวอยู่ ๒ วัน หลักจากนั้นก็หนีไปอยู่กับญาติที่โคกสำโรง จ.ลพบุรี อยู่ไม่ถึง ๒๐ วัน ก็ขึ้นรถ บขส.กลับบ้าน พบพวกมือปืนอีก ก็ชวนกันไปอีก เสื้อผ้าหายหมด ก็ไปกับเขา

    หลังจากนั้นก็กลับมาบ้านทำมาหากิน ไม่มีเรื่องอะไร คุยกับบ้านคนตายก็ไม่มีปัญหาอะไร เราหากินโดยสุจริต แต่ความคิดอยากมีฐานะตั้งตัวได้ อยากพัฒนายังฝังใจอยู่ ท่านเล่าว่า “จะไปชอบผู้หญิงก็ไม่มีสวรรค์จะให้เขา ไม่มีความรู้ ไม่มีเงิน” ตอนนั้นอายุ ๒๕ ปี เห็นเข้าบวชกันมาก กลัวแม่จะเสียใจก็บอกแม่ว่า “บวชแล้วผมไม่สึกนะแม่” โยมแม่ก็โมทนา เมื่อถูกน้องสาวแซวเรื่องบวช ท่านก็บอกว่า “ถ้ากูบวช มีงอย่ามาแค่นให้กูสึกเชียวนะ กูบวชแล้วกูไม่สึก”

    ความเข้าใจก่อนบวช

    ท่านเล่าว่า มันเป็นบุพกรรมหรือไงไม่ทราบ เพราะเป็นคนเกลียดพระมาก่อน เกลียดเข้ากระดูก ถือว่าเป็นมารสังคม เป็นมิจฉาทิฎฐิมาเต็มขั้นเลย อยู่บ้านนอกนี้ เวลาแม่ให้ไปทำบุญ ให้เอาปิ่นโตไปวัด เราก็ไปแต่ไม่ถึงวัดหรอก กินเสียเองกลางทาง

    เพราะเราเจอสิ่งที่ไม่ดีมาก่อน นักบวชบางคนก็กินเหล้า บางคนก็ดูดกัญชา ก็คิดว่าไม่เห็นมันดีกว่าเราเลยนี่ เป็นมารศาสนาจริง ๆ ก็เลยไม่นับถือมาโดยตลอด พออายุ ๒๕ บวช คือบวชตามใจพ่อแม่ ตอนบวชก็ยังไม่ศรัทธา เอาผ้าเหลืองหุ้มไว้เฉย ๆ แต่ความที่เป็นมิจฉาทิฎฐิแรง ๆ ทำให้ค้นคว้ามาก เขาคุยเรื่องกรรมฐาน เราก็ค้านเขาตลอด

    เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

    ท่านพระครูฯ อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๑๖ ณ วัดปากคลองปลากดนอก มี พระอธิการทองหยด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ชุบ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูนิยุตฺตธัมมสาร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ การบวชตอนสงกรานต์ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างหนึ่งเฉพาะท่านพระครู เนื่องจากช่วงสงกรานต์เป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของจุลศักราช ชาวบ้านนิยมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ พระทั้งวัดจึงต้องสวดมาติกาบังสุกุลทุกวัน ท่านนั่งอยู่ท้ายอาสน์สงฆ์ สวดไม่ได้ หน้าชาอยู่ ๕ วัน

    บวชแล้วก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร ท่านเล่าว่า “ไอ้เราก็อยู่วัดบ้านนอกใช่ไหม เช้าก็เอน เพลก็นอน ตอนนั้นไม่มีทีวี บ่ายก็พักผ่อน เย็นก็ทำวัตรนิดหน่อยก็นอนอีก “โยมแม่ท่านเล่าว่า “สมัยอยู่วัดปากคลองปลากดนอก ท่านพระครูฯ อ้วน นอนกระดานตัวเหลือง ขาก็อ้วน”

    แต่แท้จริงแล้ว นับแต่วันที่บวช ท่านพระครูฯ ท่านเล่าว่า ท่านพบว่า “สวรรค์อยู่ที่นี่เอง การคิดถึงอนาคตไม่ต้องมี อนาคตแค่นี้พอแล้ว ที่เราทุกข์ทุกอย่างแค่นี้พอแล้ว พ่อแม่ให้เรา ๒๕ ปีพอแล้ว ต่อแต่นี้ไปชีวิตเป็นของเรา สมองโปร่งโล่งเบาไปหมด มีความสุข”

    และจากความอายที่สวดมนต์ไม่ได้ ทำให้ท่านเร่งรัดท่องบทสวดมนต์ ทั้งพระอภิธรรม มาติกา ทำวัตรเช้า วัตรเย็น อนุโมทนาวิธี และเจ็ดตำนาน จนคล่อง ที่นอนคือ นอนท่องบทสวดมนต์ และเรียนนักธรรมตรีด้วยตนเอง ก่อนออกพรรษาก็ไปสอบที่สนามสอบวัดแสงสวรรค์ อ.ชุมแสง ก็สอบได้นักธรรมตรี

    ต่อมามีพ่อค้าเอาหนังสือมาแลกของที่วัด ท่านก็เอาของไม่ใช้ไปแลกได้หนังสือมาหนึ่งเล่มชื่อ “ลีลาวดี” แต่งโดย “ธรรมโฆษ” (อาจารย์แสง จันทร์งาม หรืออดีตท่านเจ้าคุณพระภัทรมุนี วัดแก้วแจ่มฟ้า) อ่านแล้วติดใจเพราะถูกจริตท่าน หลังจากนั้นท่านพระครูสุรินทร์ (ท่านพระครูวิจารณ์วิหารกิจ แห่งวัดสุขุมราม) ชวนมาปฏิบัติธรรม ท่านก็กลัวจะบ้า ท่านพระครูสุรินทร์บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่บ้าหรอก แล้วท่านพระครูสุรินทร์เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานให้อ่าน ท่านเล่าว่า “แต่เรายังไม่อ่านหรอก”

    ถามพระครูสุรินทร์ว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือ
    ท่านบอกว่า มี
    แล้วพระครูเห็นไหม
    บอก ไม่เห็นหรอก แล้วท่านก็โยนหนังสือให้อ่าน
    ถามว่า หนังสือนี่ใครเขียนล่ะ คนเขียนตายหรือยัง
    บอกว่า ยังไม่ตาย แล้วท่านก็ให้อ่าน

    พออ่านประวัติหลวงปู่ปาน โอ้โฮ..ในนั้นหลวงพ่อจวกพระไว้เยอะนี่ “พระแบบนี้ไม่ใช่พระหรอก” ก็นึก เออ…ถูกคอกับเรา “พวกนี้พวกเดียรถีย์” ท่านก็บอกไปเรื่อย ๆ
    พออ่านพรรษานั้นก็วางไม่ลง อ่านเร็วกลัวจะหมดก่อนออกพรรษา เปิดนิดหน่อยแล้วก็วาง เปิดไม่ให้หน้ามันติดต่อกัน อ่านรูดเดียวเดี๋ยวไม่มีอ่านอีก เหมือนกับกินขนม กินนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็เก็บไว้ กลัวจะหมด

    พออ่านแล้วก็เร่าร้อนใจมาก อยากจะมาหาหลวงพ่อ ก็เตรียมการบอกให้น้องชาย (ชื่อวิจิตร) มาขอเงินแม่ ๕๐๐ บาท บอกว่าจะไปเที่ยว พ่อไม่ให้ บอกให้มาเอาเอง จะสึกก็ให้มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน

    ท่านก็มาบ้าน บอกทางบ้านว่า ไม่สึกหรอก จะไปวัดท่าซุง เมื่อได้เงินมาแล้วก็ไปขอร้องให้ท่านพระครูสุรินทร์พามาวัดท่าซุง ท่านพระครูสุรินทร์ก็บอกว่า มาแล้วจะกลับวันเดียวไม่ได้นะ ไว้ออกพรรษาก่อน สมัยนั้นจะมาวัดท่าซุงต้องนั่งเรือจากวัดปากคลองปลากดนอก มาขึ้นที่นครสวรรค์ จากนครสวรรค์ก็นั่งรถบขส. มาอุทัยธานี แล้วต่อรถสองแถวมาวัดท่าซุง

    พอออกพรรษา พระครูขึ้นไปชวนท่านพระครูสุรินทร์ พระครูสุรินทร์ก็กลัวหลวงพ่อดุ รีบมากันแต่เช้า มาถึงก่อนเพล ท่านคุยอยู่กับมหาเปีย วัดปากคลองมะขามเฒ่า ในกุฎิริมน้ำ (กุฎิที่คุณครูนนทา อนันตวงษ์ สร้างถวาย) เรื่องงานกฐินอยู่ ท่านบอกให้ไปฉันข้าวที่โรงครัวก่อน พอท่านฉันเสร็จแล้ว ท่านมาเลี้ยงหมาของท่าน ข้าวเป็นกะละมัง ๆ เลย มาตักทำเองเลย ท่านบอกให้พระเลี้ยง นี่หมามันจะติดสีเหลือง อย่างน้อยก็เป็นเทวดา เสร็จแล้วก็ไปล้างชามท่าน้ำนั่นนะ เลี้ยงปลาอีกที เรียกว่าปลาตะเพียนทอง มันก็มากิน ล้างกะละมัง เสร็จก็กลับ

    เราไปใหม่ก็ไปนั่งรับท่านข้างใน โอ้โห ตาท่านคมกริบ มองเพ่ง… “ไอ้คนสมัยนี้มันบวชเป็นพิธีกรรมเท่านั้นแหละ มันบวชมันกลัวมีเมียไม่ได้มันถึงบวช” ว่าเราหรือเปล่าวะเนี่ย ว่าเราหรือเปล่า แข็งปั๊กลงมาถึงใจเลยนะ ตอนหลังนี่บอกไม่ได้ เป็นความลับ พูดเป็นสาธารณะไม่ได้ โอ้…ท่านจวกปั๋ง ๆ ๆ มาเลย

    พระครูสุรินทร์ท่านก็บอกว่าฝากด้วย พระท่านอยากจะมาปฏิบัติธรรม อยู่กับหลวงพ่อ ท่านถามว่า “ระงับนิวรณ์ได

    27858282_1743034035717473_1801531523266324544_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  2. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    27751550_929530997223440_5579171776319715180_n.jpg
    กำหนดการบำเพ็ญกุศลศพ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล เจ้าอาวาสวัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี

    เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันนี้ พระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล ได้เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลฯ เพื่อเดินทางไปสู่วัดท่าซุง
    กราบพ่อด้วยเศียรเกล้า

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  3. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  4. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  5. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระอรหันต์มีกี่แบบและแตกต่างกันอย่างไร
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    1. พระอรหันต์มี 4 แบบ คือ สุขวิปัสสโก หมดกิเลสแล้ว แต่ไม่มีความรู้พิเศษ เห็นผีเห็นเทวดาไม่ได้ ได้แต่ปลงสังขาร ให้อารมณ์หยุดอยาก คือ ไม่อยากเกิด ไม่อยากมี ไม่อยากเอาดีกับชาวโลก เพราะเห็นว่าเมื่อยังเกิด ตราบใด ก็ยังต้องทุกข์ตราบนั้น ท่านเลยเบื่อเกิด ทั้งเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ท่านไม่เอาด้วยทั้งนั้น สิ่งที่ท่านต้องการก็คือ พระนิพพาน
    2. พระอรหันต์อีกแบบหนึ่งก็คือ พระอรหันต์ที่เรียกว่า เตวิชโช คือ ท่านทรงวิชชาสาม ได้แก่
    – ทิพยจักขุญาณ มีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต ท่านรู้ได้คล้ายตาทิพย์
    – อันดับที่สอง สามารถระลึกชาติในอดีตได้ทุกชาติที่ท่านเกิดมาแล้ว
    – สาม ท่านละกิเลสหมดทุกอย่างเหมือนท่านสุกขวิปัสสโก

    3. พระอรหันต์อันดับที่ 3 ได้แก่ท่านผู้ทรง อภิญญา 6 คือ
    – แสดงฤทธิ์ได้ทุกอย่าง เพราะอำนาจกสิณ
    – มีหูทิพย์ เพราะอำนาจกสิณ
    – มีทิพยจักขุญาณ
    – มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
    – รู้ความรู้สึกนึกคิดของคนและสัตว์ได้
    – ทำกิเลสให้สิ้นไป

    4. พระอรหันต์ประเภทที่ 4 ท่านมีอำนาจฤทธิ์เหมือนท่านผู้ทรงอภิญญา แต่มีญาณพิเศษกว่า คือ มีปัญญาฉลาดเฉียบแฉลม สามารถคิดคำนวณพยากรณ์เหตุการณ์ทุกอย่างได้โดยฉับพลัน มีฤทธิ์คล่องแคล่วกว่าอภิญญา 6

    ท่านอันดับที่ 4 นี้แหละ ที่ท่าน ปิณโฑลภารทวาชะ และท่านโมคคัลลาน์ ท่านทรงได้

    28783057_1767489336605276_6586740097361717430_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  6. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) หรือ เจ้าพระยาโกศาเหล็ก
    *** จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)****
    หลังจากเป็นพระบรมไตรโลกนาถพอสมควร เวลานั้นอย่าลืมนะว่ามี พระอรหันต์มาก คนเวลานั้นนิยมเจริญพระกรรมฐานอยู่มาก แต่การแย่งราชสมบัติกัน สมัยกรุงศรีอยุธยานี่แย่งกันไปแย่งกันมา ก็รู้สึกน่ารำคาญ กษัตริย์เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมา รู้สึกว่าใคร ๆ ก็อยากเป็นกษัตริย์ เห็นว่าเป็นของดี บางคนเป็นได้ไม่กี่ปีก็ตาย ก็ยังอยากจะเป็นกัน ก็แปลกตำแหน่งกษัตริย์เป็นตำแหน่งที่หนักมาก แต่ก็อยากเป็นกัน ช่างเขา มันเป็นกฎของกรรม และอาจจะเป็นบุญวาสนาของเขาก็ได้ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต ก็ไปเป็นพรหมตามเดิม ไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาอีก

    วาระที่ ๑๐ ก็ลงมาเกิดเป็นขุนเหล็ก หรือ “พระยาโกษาเหล็ก” เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อ ขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ประวัติของ เจ้าพระยาโกษาเหล็ก และสมัยหลังน้องชายก็เป็นเจ้าพระยาโกษาปาน ทำอะไรบ้างก็รู้กันตามประวัติศาสตร์แล้ว แต่งานจริง ๆ ทำมากกว่านั้น มีงานหนักมาก เจ้าพระยาโกษาเหล็กนี่เป็นเชื้อสายของสุโขทัย ตอนนี้ท่านก็มาถึงไทย และขยายไทยให้เข้าสู่สภาพปกติ เพราะตอนนั้นไม่สู้ปกตินัก

    เจ้าพระยาโกษาเหล็กและเจ้าพระยาโกษาปาน เคยเดินทางถึงต่างประเทศ ทั้ง ๒ คน มีฝีมือดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาก อันดันแรกเป็นเพื่อนเล่นกัน ต่อมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันมีฝีมือดี ต่อมาเป็นแม่ทัพ สมัยนั้นมีแม่ทัพนายกองเก่ง ๆ หลายท่านด้วยกัน เช่น พระยาพิชัยดาบหัก และอีกหลายคน ไม่ใช่เก่งคนเดียว เก่งคนเดียวนี่เก่งไม่ได้

    บั้นปลายของชีวิตท่านลาราชกิจราชการ เพราะเป็นคนแก่ ไปจำศีลภาวนาเจริญพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตามปกติของคนแก่ ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็กด้วยกำลังของฌานไปเป็นพรหมตามเดิม นอนสบายได้พักหนึ่ง ก็ต้องเสด็จลงมาอีกแล้วกรุงศรีอยุธยาแตกยับเยิน

    28782712_1771768359510707_5627375604356855511_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  7. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    #น้ำมนต์พระพุทธเจ้า

    เวลานี้ได้ยินข่าวบอกมีพระบางวัด เวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทไปหา เขาบอกว่าเป็นงานศพ ออกมาพูด ๒ องค์ ๓ องค์ ก็มาโจมตีเรื่องเชื่อน้ำมงน้ำมนต์ เป็นต้น

    อันที่จริง พระเราทำอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก ต้องศึกษากำลังใจคนเสียก่อน กำลังใจคนน่ะอยู่ระดับไหน และก็น้ำมนต์มันไร้ผลหรือเปล่า ไอ้ที่เขามีผลมันก็มี ที่ทำกันเลอะเทอะไร้ผลก็มี ก็รวมความว่า คนติน้ำมนต์ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความไม่รอบคอบ จะขอนำเรื่องน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง

    ในพระธรรมบทภาคที่ ๗ ท่านกล่าวว่าเป็นเรื่องบุพกรรมของพระพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์ จะได้รู้กันว่าการทำน้ำมนต์พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พระอานนท์ทำ และพระอานนท์เป็นพุทธอนุชาด้วย (เป็นน้องชาย) และเป็นพุทธอุปฐาก เป็นที่อุปถัมภ์เหมือนเงาตามตัวพระพุทธเจ้า ถ้าน้ำมนต์ไม่ดี ถ้าพระอานนท์ไปทำเข้า พระพุทธเจ้าต้องเล่นงานแน่

    แต่ทว่าในเรื่องนี้คาถาที่ทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าบอกให้พระอานนท์ศึกษา เมื่อพระอานนท์เรียนไปแล้วก็ไปทำน้ำมนต์ ก็เป็นอันว่า คนที่ด่าคนทำน้ำมนต์ก็ถือว่าคนนั้นก็ด่า พระพุทธเจ้าด้วย คนที่ด่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่สาวกของพระองค์ คำว่า สาวก หมายความว่า ผู้รับฟัง คือคนไม่ใช่คนของพระพุทธเจ้านั่นเองถือว่าเป็นคนของเดียรถีย์

    วันนี้อาจจะพูดแรงไปนิดหนึ่งก็ต้องขออภัย พูดให้พวกเราสู่กันฟังนี่เป็นเรื่องของภายใน จะสุ่มสี่ สุ่มห้า พูดส่งเดชไปมันจะลงนรก ท่านที่ปฏิบัติพระกรรมฐานได้แล้วไปดูเสียบ้าง ว่าคนที่พูดไม่ค่อยดูเหนือดูใต้ประเภทนี้เขาไปอยู่ขุมไหนกัน

    เนื้อความก็มีอยู่ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุพกรรมของพระองค์เองจึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาอันนี้ ในสมัยหนึ่ง ณ เมือง ไพสาลี ซึ่งมีอณาจักรติดต่อกับกรุงราชคฤห์มหานคร เวลานั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคร้ายขึ้น โรคอันดับแรกคือ ความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล และก็เกิดโรค คนก็อด โรคก็มาก ร้อนก็ร้อน ความจริงเมืองไพสาลีกับเมืองราชคฤห์นี่อยู่ใกล้กัน เขตนี้ถ้าร้อนก็ร้อนน่าดู ไปมาแล้ว เกือบจะทนไม่ไหว

    ก็เป็นอันว่าคนก็เจ็บป่วยตายกันเป็นแถวๆ อันดับแรกโรคก็เกิดก่อน ไอ้ความไข้มีเข้ามาร่างกายทรุดโทรมอากาศไม่ดี โรคอื่นก็เข้ามาแทรก หนักๆเข้าก็อหิวาตกโรคก็มา เรื่องอหิวาตกโลกนี่ ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

    อหิ นี่เขาแปลว่า งู
    วาต นี่เขาแปลว่า ลม
    โรคะ นี่เขาแปลว่า การเสียดแทง

    ฉะนั้นคำว่าอหิวาตกโรคเนี่ยเขาแปลว่า โรคหรืออาการเสียดแทงมาจากลม ลมที่มีพิษเหมือนงู ฉะนั้นคนที่เป็นอหิวาต์ตายเร็วเหมือนคนถูกพิษงูกัด เวลานั้นการแพทย์ก็ดี แต่ทว่ามันไม่ทันถึงวาระที่คนจะตาย ก็ตายกันเกลื่อนฝังกันไม่ทัน ทิ้งหมักหมมกัน โรคอื่นก็เข้ามาแทรก พวกอมนุษย์ คือพวกอสุรกายบ้าง พวกเปตร พวกอะไรบ้างก็เข้ามายื้อแย่งศพกิน ก็หมักหมมกันมากคนตายหนัก อาการตายเมื่อมากอย่างนั้นจริงๆพวกชาวบ้านเขาก็โทษพระราชา

    ความจริงพระราชานี่เป็นกระโถนท้องพระโรงจริงๆ ท่าก็อยู่เฉยๆ ท่านก็ทำความดีทุกอย่าง แต่ชาวบ้านก็โทษว่า ๗ รัชกาลมาแล้ว ไม่เคยมีโรคอย่างนี้เลย แต่มารัชการนี้เป็นรัชกาลที่ ๘ นั่นก็หมายความว่า เขาปกครองราชสมบัติเป็นพระราชาถึง ๗,๐๐๐ องค์มั้ง มันมากด้วยกันไม่รู้กี่องค์ ขี้เกียจจำมา นับว่าเป็นพันๆองค์ในเมืองนี้ เขาไม่มีการปฏิวัติ รัฐประหาร บ้านเมืองมีแต่ความสุข

    แต่ว่าคนทราบว่าตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง ๗ ในช่วงหลังไม่เคยมีโรคร้ายอย่างนี้แต่พอรัชกาลที่ ๘ เข้ามา โรคหนักจริงๆ เขาเลยโทษพระราชา ว่าพระราขาไม่ทรงธรรมพระราชาท่านก็ดีแสนดี จึงประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ปุโรหิตที่มีความรู้ด้านต่างๆให้สอบสวนความประพฤติของพระองค์ ว่าความประพฤติของพระองค์มันไม่ดีตรงไหนบ้าง บกพร่องตรงไหนบ้างขอให้ชี้แจงออกมา ถ้ามีอะไรไม่ดีก็ทรงยอมรับผิด

    บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นก็พิจารณาเห็นแล้วว่าพระองค์ทรงทำดีทุกอย่าง อยู่ในศีลธรรมทุกอย่าง ท่านบอกว่าเวลานั้นเกิดโรคขึ้น ๓ ประการคือ

    ๑. ภัยเกิดจากอาหาร อาหารมันหายากจนไม่มีอะไรจะกิน
    ๒. ภัยเกิดจากอมนุษย์ คือพวกผี พวกเปรต พวกอสุรกาย
    ๓. ภัยเกิดจากโรค ที่มันเกิดขึ้นเพราะอากาสไม่ดี

    ในเมื่อทุกคนเห็นว่าพระราชาดีก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า “ความผิดของพระองค์ไม่มีพระเจ้าค่ะ”
    พระองค์จึงได้ปรึกษาว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดี เอายังไงกันแน่ โรคจึงจะบรรเทา”
    บรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์ทั้ง ๖ เป็นพวกเดียรถีย์บอกว่า “ถ้าไปนำอาจารย์ทั้ง ๖ มา อาจารย์ทั้ง ๖ มีฤทธ์มาก มีบุญญาธิการมาก โรคอย่างนี้จะหาย”

    แต่ทว่าเวลานั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกใหม่ๆ หมายความว่าใหม่เอี่ยมเลย ข้าไปอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ประมาณ ๑ ปีเห็นจะไม่ครบดีเป็นเวลาจวนที่จะเข้าพรรษา ก็หมายความว่า เข้าปีที่ ๒ บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญานเป็นปีที่ ๒ ก็มีคนที่ทราบข่าวพระพุทธเจ้า ก็บอกว่า

    “เวลานี้พระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอให้ไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาที่นี่ โรคภัยไข้เจ็บมันจะหาย ภัยอันตรายต่างๆ มันจะหมดไป”

    ในที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าเห็นด้วย อาจารย์ทั้ง ๖ มีมานานแล้วโรคภัยมันก็มี แต่ว่า สมเด็จพระชินสีห์ คือพระพุทธเจ้าเราใฝ่ฝันกันมานาน ใครก็พูดถึงพระพุทธเจ้า แต่ไม่เคยพบพระพุทธเจ้าจริงๆ สักที เวลานี้พบพระพุทธเจ้าจริงแล้ว

    ขณะที่ปรึกษากันอยู่นั่นก็มี พระเจ้าลิจฉวี องค์หนึ่งท่านประทับอยู่ด้วย พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าพร้อมกับ พระเจ้าพิมพิสาร ในวันที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารเข้ามากรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก และเวลานั้นพระเจ้าพิมพิสารกับบรรดาพุทธบริษัทเป็นพระโสดาบันกันเป็นแถวๆ พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้ก็เป็นพระโสดาบันด้วย ในเมื่อเขาพูดถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงยืนยันว่าพระพุทธเจ้ามีความดีจริง ถ้าพระพุทธเจ้ามาในที่นี้โรคนี้มันจะหาย

    ความจริงโรคร้ายที่เบียดเบียนร่างกายมันเป็นของธรรมดา มันเป็นโรคมาใหม่ แต่โรคร้ายที่สุดที่ประจำใจคือ ความเลวของจิตมันจะหายไปด้วย

    ทุกคนก็ตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นต้องให้พระเจ้าลิจฉวีองค์นี้กับลูกชายของปุโรหิตไปนิมนต์พระพุทธเจ้าที่กรุงราชคฤห์มหานคร เมื่อท่านรับอนุมัติเขาส่งไปแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร

    ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน เอาเครื่องบรรณาการไปมอบให้แก่พระเจ้าพิมพิสารไปถวายมีคนเขาบอกว่ามีความต้องการอยากจะได้พระพุทธเจ้าไปสงเคราะห์ที่เมืองไพสาลีเพราะเวลานี้คนตายกันมากฝังก็ไม่ทัน เผาก็ไม่ทัน

    พระเจ้าพิมพิสารก็บอกว่า “พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ในอำนาจของกระผม ผมเองก็เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จไป หรือไม่เสด็จไปเป็นเรื่องของท่านที่ต้องไปกราบทูลเอง จะเอาเครื่องบรรณาการ เครื่องกำนัล เครื่องผู้ใหญ่บ้านอะไรก็ตาม ผมรับไม่ได้ ทางที่ดีไปนิมนต์เอง”

    พระเจ้าลิจฉวีกับลูกชายของปุโรหิตก็ไปกราบทูลสมเด็จพระศาสดาให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็พิจารณาดูตามอำนาจพระพุทธญาน ก็ทรงทราบว่า ถ้าตถาคตไปที่นั่น (นึกในใจนะ) ไปถึงแล้วฝนจะตกหนัก จะชะสิ่งโสโครกทั้งหมด ให้ไหลลงแม่น้ำคงคา ความสะอาดของพื้นที่จะเกิดขึ้น

    ๑.โรคจะบางเพราะความสกปรกเริ่มหายไป

    ๒.ถ้าเราแสดงพระธรรมเทศนารัตนสูตร คือ ยานีธะภูตา ฯลฯ ในเจ็ดตำนาน ผลจะเกิดมหันต์ ให้คนเข้าอยู่ในไตรสรณาคมน์ อยู่ในศีล ๕ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะมีความสุขกันคือไม่เบียดเบียนกันโดยทางกาย ไม่ฆ่ากันบ้าง ไม่เบียดเบียนทำร้ายกันบ้าง ไม่รักไม่ขโมยกัน ไม่แย่งคนรักกัน ไม่โกหกมดเท็จ ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่นินทาชาวบ้าน และก็ไม่เมาเกินไป อันนี้เมืองไพสาลีจะมีความสุขยิ่งกว่าเดิม แต่ว่าจะให้หมดไปทีเดียวไม่ได้เพราะว่าความเลวของมันมีอยู่

    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญานก็ทรงรับว่า “ตถาคตจะไป”

    ต่อมาเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ ก็เข้าไปกราบทูลสมเด็จพระจอมไตรว่า “จะเสด็จไปเมืองไพสาลีหรือพระพุทธเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ไป จะไปสงเคราะห์ แต่ว่าจะไปไม่นานจะต้องกลับมาเข้าพรรษาที่พระเวฬุวัน เวลานี้ก็เหลือเวลาอีก ๑๐ วันจะเข้าพรรษา”
    พระเจ้าพิมพิสารจึงกราบทูลว่า”ก่อนที่พระองค์จะเสด็จไป รอข้าพระพุทธเจ้าก่อน ขอปรับพื้นที่ให้ดีเสียก่อน พื้นที่ยังไม่ราบเรียบ”
    จึงทรงสั่งให้พนักงานปรับพื้นที่ให้เรียบดำเนินสะดวกๆ สำหรับพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ระยะทางสิ้นทางไกล ๕ โยชน์ และก็จัดดอกไม้ ๕ สี โปรยปรายไปที่ทางสูงแค่เข่า เป็นการบูชาพระพุทธเจ้า เมื่อเสร็จแล้วก็กราบทูลให้เสด็จพระดำเนิน

    เวลานั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ ก็เอาร่มฉัตร ๒ ชั้นกั้นให้พระพุทธเจ้า ฉัตรชั้นเดียวกันให้พระสงฆ์ ๕๐๐ รูป ๑ รูปต่อฉัตร ๑ คัน หลังจากนั้นไปถึงแม่น้ำแล้วต้องข้ามฟาก ก็เอาเรือ ๒ ลำเข้ามาเทียบกัน ทำเป็นเรือกัญญา ประดับประดาสวยงาม สำหรับเรือพระพุทธเจ้า นี่ประดับประดาสวยงาม

    พระเจ้าพิมพิสารไปส่งเรือถึงน้ำแค่คอ เรือถอยออกไป ท่านก็เดิตามเรือไป มือพนมไปไหว้พระพุทธเจ้า ลงทั้งเครื่องทรงไม่ใช่มีแต่ผ้าขาวม้า น้ำแค่คอก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ยังไม่เสด็จกลับเพียงใด ข้าพระพุทธเจ้าก็จะคอยพระองค์อยู่ที่นี้จนกว่าเสด็จกลับ”

    พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จทางเรือสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ แล้วก็ทรงขึ้นฝั่ง ทางฝั่งโน้นก็เช่นกัน เมื่อทราบว่าพระเจ้าพิมพิสารทำอย่างนั้น พระราชาเมืองไพสาลีก็ลงมารับน้ำแค่คอเหมือนกัน จัดที่ให้เรียบเป็นทางระยะ ๓ โยชน์ ถึงเมืองแล้วก็เอาดอกไม้โปรยปรายด้วยเช่นเดียวกัน แต่ว่าทางโน้นจัดหนัก ของพระพุทธเจ้าฝั่งนี้จัดฉัตร ๒ ชั้น ทางฝั่งโน้นจัดฉัตร ๔ ชั้นรับพระพุทธเจ้า ฝั่งพระเจ้าพิมพิสารจัดร่ม ๑ ชั้นกับบรรดาพระสงฆ์ แต่ฝั่งโน้นเอาร่ม ๒ ชั้นทำเกยกัน

    พอพระพุทธเจ้าทรงเหยียบพื้นดินฝั่งโน้นของเมืองไพสาลี มหาเมฆใหญ่ตั้งขึ้นฝนตกหนักนับเป็นชั่วโมงๆ นาบางแห่งน้ำท่วมแค่เข้าบ้าง บางแห่งท่วมแค่อก น้ำพัดพาเอาสิ่งโสโครกต่างๆลงในแม่น้ำคงคาทำให้บ้านเมืองสะอาดไปอีเยอะ ทำให้สิ่งปฏิกูลไหลลงแม่น้ำคงคาหมด ส่วนเลอะเทอะต่างก็ไหลมาตาม ส่วนพื้นดินก็สะอาด ความชุ่มชื้นก็ปรากฏ คนก็เริ่มมีความสบายเพราะฝนไม่ตกมานาน

    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเสด็จเข้าเมืองไพสาลี เข้าไปในเขตพระราชฐาน แล้วองค์สมเด็จพระประทีบแก้ว ก็ทรงเรียกพระอานนท์ว่า

    “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ จงมานี่ เธอจงเรียนรัตนสูตร เรียนรัตนสูตรอันนี้ไปแล้วก็เดินบริกรรมรอบๆ เขตของเมืองไพสาลีทั้ง ๔ ทิศ”

    พระอานนท์เรียนรัตนสูตรแล้วหลังจากนั้นก็เอาบาตรขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วใส่น้ำ เริ่มทำน้ำมนต์

    วิธีการทำน้ำมนต์ของพระอานนท์ ก็คือ

    อาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้า ๓๐ ทัศ คือ บารมีปกติ ที่เรียกว่า บารมีเฉยๆ ๑๐ ทัศ อุปบารมี ๑๐ ทัศ ปรมัตถบารมี ๑๐ ทัศ และก็ความดีของพระพุทธเจ้าอันหนึ่งคือ มหาบริจาค ๕ ประการ และก็ จริยา ๓ ประการ คือ

    ๑.โลกัตถจริยา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่โลก
    ๒.ญาตัตถจริยา ที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่พระญาติ
    ๓.พุทธัตถจริยา คือทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า คือสอนให้คนบรรลุมรรคผล
    และการอารธนาความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ในการก้าวเข้าสู่พระครรภ์ในภพสุดท้ายและความดีของการประสูติ ความดีในการเสด็จออกมหาภิเนษภรมภ์ของพระพุทธเจ้า

    และพระพุทธเจ้าทรงทำความเพียรถึง ๖ ปี ต่อมาความดีของพระองค์บารมีช่วยให้ชนะมาร ตลอดจนอาราธนาความดีที่แทงตลอดเพื่อพระสัพพัญญุตญาน เหนือบัลลังค์ต้นโพธิ์เป็นพระอรหันต์ การยังธรรมจักรที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่ปัญจวคีย์ ฤาษีทั้ง ๕ ให้เป็นไปในโลก และ ก็อาราธนา โลกุตรธรรม ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ได้แก่

    โสดาปัตติมรรค
    สกิทาคามิมรรค
    อนาคามิมรรค
    อรหันตมรรค
    พระโสดาปัตติผล
    สกิทาคามิผล
    อนาคามิผล
    อรหันตผล
    และ นิพพาน อีก ๑ เป็น ๙

    หลังจากอาราธนาพระบารมีทั้งหมดเสร็จ พระอานนท์ก็เข้าไปยังเขตของเมืองในพระนครเที่ยวทำพระปริตร คือสูตร ยานีธะ ภูตา ฯลฯ เรื่อยไปในกำแพงทั้ง ๓ ด้าน คือเดินกำแพง ๓ ด้านตลอด ๓ ยามในราตรีนั้น เดินไปเดินไปก็สวดรัตนสูตร ยานีธะ ภูตาฯลฯ และท่านบอกว่าเมื่อพระอานนท์ใช้ศัพท์ว่า “ยังกิญจิ” เท่านั้นแหละ ท่านพรมน้ำไปด้วย ทำน้ำมนต์น่ะ (เขาทำน้ำมนต์ด้วยบทนี้นะ) พรมน้ำขึ้นไปเบื้องบน ตกลงบนกระหม่อม ของอมนุษย์ คือ เปรต อสุรกาย เป็นต้น

    พวกนั้นทนไม่ไหววิ่งกันพล่านไปหมด แล้วตกลงมาบนหัวมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ป่วยและบรรดาคนป่วยทั้งหลายหายโรคในทันทีทันใดนั้นเอง แล้วลุกขึ้นแวดล้อมพระเถระ เรื่องทำน้ำมนต์นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ถ้าทำถูก อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรมีผลมาก

    จาก หนังสือสมบัติพ่อให้
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (หลวงพ่อฤาษี วัดทาซุง)

    29258427_1780235441997332_3661189359009484828_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  8. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  9. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  10. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  11. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    เจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) เป็นแม่ทัพเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คราวไปตีเมืองเชียงใหม่ ครั้งยังมีชีวิตอยู่ก็ได้บูรณะวัดท่าซุงในอดีตให้กลับมามีความเจริญอย่างมากในสมัยนั้น
    อนุเสาวรีย์เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) อยู่บริเวณด้านหน้าพระจุฬามณีเจดีย์สถาน วัดท่าซุง ตรงข้ามกับโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ คู่กับอนุเสาวรีย์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ – ซึ่งทั้งสององค์นี้มีความสำคัญต่อวัดท่าซุงอย่างมาก เพราะคอยช่วยเหลือวัดท่าซุงมาโดยตลอด โดยเฉพาะท่านกรมหลวงชุมพรฯ ขณะนี้ท่านมีตำแหน่งเป็น “ท้าววิรุฬหก” ท้าวมหาราชทางทิศใต้

    29512431_1786371854717024_1281386347664884849_n.jpg
    29468418_1786371851383691_2347900284711959191_n.jpg
    29512245_1786373918050151_8832650541279083771_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  12. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  13. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  14. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  15. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    พระเจ้าตากสินลาพุทธภูมิ

    วันพระเจ้าตากสิน วันที่ ๒๘ ธันวาคม เราก็ไหว้ ไหว้พระเจ้าตากสินที่เป็นกษัตริย์ด้วย ไหว้พระเจ้าตากสินที่เป็นพระด้วย อันนี้เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าตากสินก่อนจะสวรรคตเป็นพระ แล้วก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำของท่านยังอยู่ใครอยากจะไปดู ก็ไปดู กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้

    แต่ความจริงกุฏิที่ท่านอยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำมีความผาสุกกว่านั้น เวลาท่านออกมาจากถ้ำ ท่านก็มีที่พัก มีห้องพัก ห้องร้อน ห้องเย็นของท่านตามสบายๆ แต่ความจริงไม่ได้สั่งลูกชายเป็นคนสร้าง ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้วมันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็คนแก่ด้วย ก็หมดความรัก

    ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมของท่าน ก็เป็นด้วยความเคร่งครัด คือไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า “เคร่งครัด” คือปฏิบัติตรงไปตรงมาใน “มัชฌิมาปฏิปทา” แต่ทว่า พระเจ้าตากสิน เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็น “พระโพธิสัตว์” แล้วต่อมาภายหลัง ถามภาพนิมิต ระยะเวลาใกล้ๆประมาณ มกราคม ๒๕๓๓ เอากันแค่ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓

    วันนั้นพบ พระเจ้าตากสินอีกครั้งหนึ่ง คือว่า พ.อ.สถาพรนำดาบเล่มหนึ่ง มาจากเมืองตาก เขาบอกว่า ดาบของพระเจ้าตากสิน เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่นครปฐม ซึ่งเป็นนายทหารม้ารุ่นพี่ของ พ.อ.สถาพรเมื่อคืนวันที่ ๒๙ เขามาให้ไว้ คืนนั้นก็ปรากฏว่า ตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะตั้งไว้บนเตียงที่สมควร

    พอตอนดึกเวลาประมาณสักหกทุ่ม เวลาจะนอนลงก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพพระเจ้าตากสิน สวยงามมาก มาที่ดาบ

    ถามว่า “มาทำไม?”
    ท่านบอกว่า “ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็ทำให้มันหน่อย”

    ถามว่า “ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง?”
    ท่านก็บอกว่า “ประโยชน์มี” ท่านอธิบายให้ฟัง แต่ขอปิด ไม่ใช่ปิด แต่ไม่บอกให้ทราบหลังจากนั้นก็คุยกัน

    ถามว่า “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง?”
    ท่านบอกว่า “ยังไม่ได้ลา”

    ก็ถามว่า “ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ..?”
    ท่านบอกว่า “เวลานี้ปรากฏว่าพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็ม รอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาจากพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด?”

    ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็ไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหมล่ะ?”
    ท่านบอกว่า “ไปซิ! ที่มานี่ก็จะมาชวนไปด้วยกัน” ไปด้วยกัน ไปหาพระท่าน ไปถึงเมื่อกราบท่านแล้วก็ถามว่า…

    “เวลานี้ พระสิน เทวดาสินนี่ เวลานี้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ชักเอือมๆ อยากจะทราบว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว…?”

    พระท่านก็บอกว่า “จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังจากพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว”

    ก็เล่นเอาเทวดาสินหน้าซีดเซียว…ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ๓๐ พุทธสมัย ก็เลยถามพระท่านบอกว่า (พระอะไรน่ะห้ามถามนะ! ถ้าจะถามว่า ถามพระอะไร ก็บอกว่าพระก็แล้วกัน)

    “ถ้าเทวดาสินจะลาพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน”

    ท่านบอกว่า “เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้วกำลังเหลือ ก็เหลือแค่ “เอหิภิกขุ” เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า “เอหิภิกขุ” เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ”

    ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า “เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นเทวดาต่อไป
    คำว่า “เทวดาต่อไป” ก็หมายถึงว่าเป็น “วิสุทธิเทพ” นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติรู้ได้อย่างไร ก็บอกว่า ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร ไม่มีความจำเป็น

    คนที่เห็นผีน่ะเข้าฌานหรือเปล่าล่ะ เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า มันก็เปล่า สภาพนี่ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอก แต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ มันเรื่องง่ายๆ

    32169640_1839128929441316_802119519446237184_o.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  16. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อเมตตาสอนวิธีแก้ปากเสีย (วจีกรรม4)
    โดยให้หลักไว้ดังนี้
    โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม เมื่อถูกกระทบทางทวารทั้ง 6 (ประตูทั้ง 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบผิวกาย และธรรมารมณ์)
    เพราะอุเบกขา หรือวางเฉยไม่เป็น เบรกจึงแตกเป็นปกติ มีผลทำให้กรรมบท 10 หมวดวาจา ไม่เต็มสักที (กรรมบท 10 หมวดวาจา 4 มี ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ , ไม่พูดส่อเสียดหรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์)
    วิธีปฏิบัติแก้โดย
    1) พยายามคิดเสียก่อนจึงค่อยพูด
    2) หรือพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาที่ฟังคนอื่นเขาพูด
    3) พยายามดึงจิต อย่าไปไหวตามคำพูดของผู้อื่น (โดยฟังอย่างเดียว ห้ามปรุงแต่งธรรมนั้นๆ)
    4) พยายามฟังแล้วกรองเอาสาระจากคำพูดนั้นๆ ของเขา ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (ด้วยปัญญา)
    5) เวลาคนอื่นเขาพูด จะยาวจะสั้น ปล่อยเขาพูดให้จบก่อน เราใช้ความคิดฟังไปแล้ว จะรู้ว่า คำพูดนั้นๆ มีสาระหรือไม่มีสาระ ควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือ ควรวาง ควรตัด ก็รู้ได้ด้วยความคิด ไม่ใช่ประโยคไหนมากระทบหูแล้ว กูอยากจะพูดก็ว่าไปเรื่อย โดยไร้ความคิดพิจารณา
    6) หากทำตาม 5 ข้อแรกแล้ว คิดอยากพูดบ้างก็ให้พิจารณาว่า พูดแล้วเป็นคุณหรือโทษ มีสาระหรือไม่มีสาระ ยิ่งเป็นสาระธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งสำคัญ จะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นความจริง ไม่ผิดศีล-ไม่ผิดพระวินัย ไม่ผิดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ผิดก็พูดได้ สรุปว่าต้อง นิสสัมมะ กรณัง เสยโย หรือใคร่ครวญด้วยปัญญาเสียก่อนจึงค่อยพูด เพราะแม้ว่าจะเป็นจริงแต่พูดแล้วคนฟังไม่เชื่อ-ไม่ศรัทธา ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูด
    ที่มา : ธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑ หน้า ๙๒-๙๓

    33311772_1853222581365284_2647492221498032128_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  17. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    หลวงพ่อได้เล่าเรื่อง “โลกเกิด” ให้ฟังว่า

    ในวาระแรกได้ทูลถามถึงประวัติการตั้งโลก ท่านตรัสว่า
    “เป็นเรื่อง อจินไตย ไม่ควรคิด รู้แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ไร้เหตุผลในการบรรลุ ฉันบอกได้ แต่บอกแล้วเอาอะไรเป็นส่วนที่จะบรรลุมรรคผลไม่ได้ จะรู้ไปให้หนักสมองทำไม”

    ต่อมาได้ถามถึงมนุษย์ที่เริ่มเกิดเป็นอันดับแรกว่า ใครเป็นคนบันดาลให้มนุษย์เกิด พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า

    “นี่เธอจะคลั่งพระเจ้ากับเขาแล้วซิ ใครที่ไหนจะมาสร้างถ้ามีผู้สร้างมนุษย์แล้ว เจ้าคนที่สร้างโลกสร้างมนุษย์นั้นมันเกิดมาจากอะไร จึงมาสร้างโลกสร้างมนุษย์ได้ มนุษย์ไม่มีใครสร้าง ร่างกายของสัตว์และมนุษย์เกิดจากอณูน้อยๆ ที่รวมตัวกันเข้า

    วิญญาณนั้นเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ มีการเกิดขึ้นได้และไม่มีการสลายตัว คำว่าวิญญาณในที่นี้ หมายถึง จิต เป็นธาตุพิเศษ ที่เกิดจากการรวมตัวของ อนูพิเศษ ที่มีความรู้ ความเคลื่อนไหวรวดเร็ว เธออย่ารู้มากกว่านี้เลย ไม่มีอะไรเป็นคุณพูดไปก็ไร้ประโยชน์”

    ที่มา : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒

    33338120_1854343374586538_6046726409831841792_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  18. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    ปล่อยนกจะได้บุญไหม
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ถ้าหากเราจะทำบุญด้วยการปล่อยนก เราจะได้บุญไหมคะ…?
    หลวงพ่อ : ได้
    ผู้ถาม : ทีนี้มาคิดดูอีกที ถ้าเราไปซื้อมาปล่อยบ่อยๆ เขาก็จะไปจับนกมาอีก อย่างนี้เรียกว่าเป็นความผิดหรือเปล่าคะ ?
    หลวงพ่อ : ความคิดนี่ไม่ผิด แต่ว่าขาดดีไปนิด ถ้าเราซื้อมาปล่อยมันก็ไม่ตาย ถ้าเราไม่ซื้อมาปล่อยเขาอาจจับมาแกงก็ได้ นกตัวนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ฆ่าให้ตายแต่ก็เสียอิสรภาพ ถ้าเราปล่อยไปนกตัวนั้นก็พ้นจากการถูกขัง และเขาถือเป็นการให้อภัยแก่ชีวิตสัตว์เหมือนกัน
    ผู้ถาม : จะไม่เป็นการส่งเสริมให้คนนั้นเขาทำบาปหรือคะ ?
    หลวงพ่อ : จะไปส่งเสริมเขายังไง ถ้าเราไม่ซื้อก็ไม่เสียหายอะไร ถ้านกตัวนั้นอยู่นานๆ น่ากลัวตาคนนั้นแกแกงนะ หรือแกจะปล่อย ดีละ… ไม่มีใครซื้อ ฉันปล่อยเองก็ได้ ปล่อยลงท้องไปเลย..
    ผู้ถาม : (หัวเราะ)
    หลวงพ่อ : ว่าไง..จะปล่อยหรือไม่ปล่อย
    โยมยิ้มไม่ตอบ หลวงพ่อจึงสรุปว่า
    หลวงพ่อ : การปล่อยนกมันก็มีเมตตาส่วนหนึ่ง มันมีโอกาสให้นกเป็นอิสรภาพ นกไม่ถูกขัง และเงินที่ให้ไปเขาก็ได้เลี้ยงชีวิต เป็นอันว่าเราได้ ๒ ทาง เสียสตางค์ ๑ บาท ได้ ๒ ส่วน ดีไหม..
    ถ้าคิดว่าเราปล่อยนกอย่างเดียวเป็นการให้อภัยแก่นกเป็นเมตตาบารมี ถ้าเราซื้อนกปล่อย นกก็ไม่ถูกขัง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตาย แต่ก็ลำบากต้องพลัดพ่อพลัดแม่ใช่ไหม ถ้าเราซื้อคนที่ขายเขาก็ได้เงินไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็เอาทั้ง ๒ ทางเลย ถือเป็นการให้ทานไป
    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ฉบับรวมเล่มปีที่ ๒ ปี ๒๕๒๔ ฉบับที่ ๙-๑๘ หน้า ๕๒๐)

    34507004_1867238093297066_7600478636440813568_n.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
  19. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
  20. ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง

    ศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    4,338
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +121
    การรับเงินของพระ
    เทศนาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แก่ภิกษุสามเณร
    เรื่องวินัยสงฆ์เกี่ยวกับการรับเงินของพระ
    เมื่อ 17 ก.ย. 2518

    ทีนี้มาถึงสิกขาบทข้อที่ ๘. พระวินัยกล่าวว่า “อนึ่งภิกษุใดรับก็ดีให้รับก็ดีซึ่งทองเงินหรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
    “สำหรับสิกขาบทนี้ขอท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญให้ดี ทั้งนี้ในที่บางแห่ง หรือในเขตบางเขต เขาไม่มีโยมรับเงินรับทองกัน และชาวบ้านเขาก็เห็นกันว่าพระที่ไม่รับเงินรับทอง เป็นพระที่เคร่งครัดมัธยัสถ์ ถึงกับมีการรังเกียจพระที่รับเงินรับทอง แต่ตามความเข้าใจของผมหรือว่าพระมหาเถรานุเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความเข้าใจกันดี อันนี้เพราะอะไรเพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า รับเองก็ดี ใช้ให้คนอื่นรับก็ดี หรือมีความรู้สึกอยู่ว่าเขาเก็บไว้เพื่อเรา และเราก็ถือว่าทรัพย์สินส่วนนั้นมันเป็นของเรา ท่านจะพิจารณาเห็นว่าต้องอาบัติเสมอกันคือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทีนี้พระบางท่านเวลาเขามาถวายไม่รับ ไม่รับเอง แต่ว่าให้ลูกศิษย์รับ ให้มอบไว้กับลูกศิษย์ แต่ว่าใส่ย่ามเถอะไม่ยอมรับ มือไม่รับ อันนี้ท่านทั้งหลายที่ฟังแล้วเห็นว่ามันพ้นไหม เห็นว่ามันพ้นหรือไม่พ้น มันพ้นตรงไหนกัน รับเองก็ดี ให้คนอื่นรับก็ดี หรือว่าคนอื่นที่เขาเก็บไว้ให้เราที่เรียกว่า ไวยาวัจกร
    แต่เรามีความรู้สึกว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นทรัพย์ของเราก็อาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์
    นี่ที่ผมย้ำมากๆ ก็เพราะความเข้าใจผิดของปวงชนและพระมีมาก ถ้าตนเองไม่รับเงิน แล้วต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนรับ หยิบ หรือต่อหน้าคนไม่รับ ลับหลังคนไม่รับ คนอื่นเก็บเอาไว้ให้ ก็รู้ว่านั่นเงินของเรา มีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จิตใจยังผูกพันอยู่ ไม่ได้พ้นโทษไปเลย ถ้ามันยังไม่พ้นโทษอยู่ นี่ตามความรู้สึกของผม หรือว่าครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ในสมัยโบราณ ผมเรียกว่าโบราณเพราะว่าเวลากาลผ่านมาประมาณ 40 ปีเศษ ในสมัยที่ผมบวชใหม่ๆ ที่พูดนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2518 ผมบวชผ่านเวลากาลผ่านมาได้ 40 ปีเศษ ถอยหลังไป 40 ปี ผมเรียกว่าโบราณ คือมันเก่าแล้ว คนสมัยนั้นหัวยังเก่าอยู่ ท่านบอกว่า การที่เราไม่รับต่อหน้าคน แต่ว่าให้คนอื่นรับ หรือว่าคนอื่นรับเงินแล้วเขาเก็บไว้เพื่อตนยินดีอยู่ แต่เราไม่ยอมรับ จิตคิดว่าเรามีความดีที่ไม่รับเงิน ท่านบอกว่าคนที่มี อารมณ์อย่างนั้นมีกิเลสหนาแน่นที่สุด เพราะว่าเป็นการหลอกลวงชาวบ้านเขา ทำตนเป็นคนดี แต่ความจริงไม่ได้ดีตามนั้นแต่จิตใจกับเลวทราม
    กับท่านผู้รับเองให้ชาวบ้านเขารู้ ไหนๆ เราจะรับแล้ว เราก็ยอมรับเสียต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อว่าชาวบ้านเขาจะได้ทราบว่าพระองค์นี้รับเงิน ในเมื่อเขารู้ว่าแล้วเรารับเงิน เขาจะนิยมเราหรือไม่นิยม เป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว เราเปิดเผยให้เขารับรู้เลยดีกว่า ว่าเรารับเงินรับทอง ถ้าหากว่าเราไม่รับต่อหน้าชาวบ้านแต่ว่าภายหลังเราเก็บเอง หรือบุคคลอื่นเก็บ แล้วก็ทราบว่าเงินของเรา เรามีอยู่ เงินและทองของเรามีอยู่ เราถือสิทธิ์อยู่ ยินดีอยู่ ถ้าชาวบ้านเขาทราบทีหลัง เราจะเสียสองชั้น คือเสียในเรื่องหลอกลวงชาวบ้าน และก็ต้องโทษที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้
    ดังนั้นในการรับเงินและทองเอง แต่ทว่าจงอย่ายินดีในเงินและทองนั้นว่าเป็นทรัพย์สินของเราโดยเฉพาะ พึงทำใจของเราให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเวลานี้เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เงินและทองที่เขาจะถวายเรา เขาก็ถวายเราในฐานะที่เป็นพระ ดังนั้นเวลาที่เขาจะถวายเขาก็บอกว่า ใช้ตามสมควรแก่สมณบริโภค คือเราต้องคิดไว้เสมอว่าเงินทองทั้งหลายเหล่านี้เราจะใช้บำรุงตัวเราเองตามความจำเป็น ถ้าเหลือนอกจากนั้นเราจะเอาเงินจำนวนนี้
    ไปสร้างบุญสร้างกุศล ให้เป็นประโยชน์แก่บรรดาสาธารณชน เป็นส่วนสาธารณะ นี่เรียกว่า แม้จะก่อสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา หรือสร้างสิ่งตามความจำเป็นเพื่อความสะดวกของบรรดานักบวชทั้งหลายหรือว่านักบุญทั้งหลาย อย่างนี้จิตใจของเราไม่ยึดถือว่าเงินนี้มันเป็นของเราโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นเงินของพระพุทธศาสนา เป็นเงินของพระ เขาถวายพระ ถ้าเราไม่บวชไม่มีใครเขาให้ จะไปเอาเงินจากเขา บางทีต้องมีโฉนดที่ดินไปให้เขารับรอง ดีไม่ดีเขาก็ไม่ยอมให้ นี่ทำใจของเราให้สบายแบบนี้ จงอย่าติดในลาภ อย่าติดในเงินและทอง อย่างนี้ผมถือว่า เราทนหน้าด้านแต่ว่าใจของเราไม่ด้าน ยอมรับต่อหน้าชาวบ้าน เพื่อเป็นการประกาศความจริงว่าเรามีความจำเป็นจะต้องใช้
    สิกขาบทนี้แหล่ะท่านบรรดาสหธรรมิกทั้งหลาย ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าท่านสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าต่อไปในภายภาคหน้าคนที่จะพะเน้าพะนอพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เหมือนในสมัยที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ไม่มี องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสในสมัยก่อนหน้าพระปรินิพพาน ว่า
    “อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว สิกขาบทบางสิกขาบทซึ่งไม่ใหญ่โตนัก ถ้าหากว่าไม่เหมาะกับกาลสมัย ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะเห็นว่าไม่สมควร จะเพิกถอนเสียก็ได้”
    นี่เป็นพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา แต่ด้วยว่าในเมื่อเป็นคำดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครที่ไหนจะยอมเพิกถอน ก็มีความเคารพในพระองค์ เราสู้เอาหน้าด้านแต่ใจสะอาดดีกว่า ดีกว่าต่อหน้าคนไม่รับ แต่ลับหลังรู้ค่าของเงิน รู้ค่าของทอง รู้จักใช้เงินและทองให้เป็นประโยชน์ส่วนตนและเป็นประโยชน์ส่วนรวม อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าดี แต่ใจด้าน ขอให้ท่านทั้งหลายเลือกเอาอย่างหนึ่ง จะยอมหน้าด้านแต่ว่าใจดี หรือว่าจะเอาหน้าดีแต่ใจด้านกัน ท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ร่างกายหรือหน้าก็ดี ตัวก็ดี มันไม่ได้ไปกับเราด้วย ส่วนที่จะไปจริงๆ มันก็คือใจ แต่จะไปเสวยความสุขหรือความทุกข์มันก็อยู่ที่ใจ หน้าด้านแต่ใจดี แสดงว่าใจสะอาด หน้าดีแต่ใจด้านแสดงว่าหน้าสะอาดแต่ว่าใจเสีย ใจสกปรก ทีนี้ถ้าใจของเราสกปรกเวลาตายเราก็เอาความสกปรกไป ส่วนที่สกปรกชาวสวรรค์เขาไม่ชอบ ชาวสวรรค์เขาต้องการความสะอาด เราอยู่ไม่ได้ คนสกปรกต้องไปอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4 คือ ในนรก หรือไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
    นี่ขอบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลายพากันวินิจฉัยตามนี้ แล้วก็เลือกปฏิบัติเอา แต่สำหรับผมน่ะขอยอมรับว่าผมหน้าด้านแน่ ในเรื่องการรับเงินรับทอง แต่ใจของผมผมไม่ยอมด้านในเรื่องนี้ เพราะว่าผมไม่ยอมเอาเงินที่เขาเอามาถวายเป็นประโยชน์ส่วนตน ซื้อไร่ซื้อนาซื้อบ้านให้เขาเช่า อะไรพวกนี้ผมไม่มี ออกเงินให้กู้ผมไม่มี ได้มาเท่าไรเหลือกินเหลือใช้ สร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนา และให้ความสะดวกกับบรรดานักบุญทั้งหลาย อย่างนี้ผมยอมหน้าเสียเพื่อรักษากำลังใจของตัวเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ยกยอตัวเอง พูดตามความเป็นจริง ครูบาอาจารย์ท่านก็ปฏิบัติมาแบบนี้ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ แล้วทำไมเราจะมาทำหน้าดีใจเสียใจเพื่อประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา “ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อนมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”
    ถ้าใจของเราเลวแต่ว่าหน้าดีมันจะมีประโยชน์อะไร สู้ทำหน้าของเราให้เป็นหน้าด้านแต่ใจสะอาด ดีกว่าหน้าสะอาดใจด้าน เลือกกันเอานะ ผมไม่ได้บังคับ ยังไงๆ ก็บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเราเป็นปูชนียบุคคล อย่าหลอกลวงชาวบ้านเขาเลยบรรดาเพื่อนทั้งหลาย

    35268170_1877916938895848_4183191107129049088_o.jpg

    ที่มา คำสอนหลวงพ่อฤาษี (ลิงดำ)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...