การทำงานของกิเลส อุปกิเลส อาสวะกิเลส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 11 มิถุนายน 2018.

  1. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    การทำงานของกิเลส อุปกิเลส อาสวะกิเลส

    กิเลสมีสามตัว คือ ราคะ โทสะ โมหะ

    อุปกิเลส(ตัณหา) ก็มี ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

    อาสวะกิเลสก็มีอย่างละ ๓ คือ กามาสวะ ภาวาสวะ อวิชชาสวะ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เข้าใจอย่างนั้นหรือครับ
    ส่วนมองว่า โทสะ โมหะ มีโลภะอีกตัว
    มันไม่ใช่กิเลสนะครับ
    เพราะสองสามตัวนี้ มันอยู่ในจิตเราตั้งแต่จะมีกายแล้วครับ
    ด้วยความไม่รู้ของจิตตอนยังไม่มีกาย
    ที่มันชอบส่งตัวไปกระทบและดึงเก็บมาไว้ในตัวจิต
    นั่นหละครับ เลยเก็บพวกนี้ฝั่งไว้แอบ
    ซ่อนอยู่ในที่ว่างของจิต ก่อนที่มันจะสร้างช่องทางต่างๆ
    เพื่อหนุนพวกนี้ ออกมาเป็น รูปร่างหน้าตาแบบมนุษย์หรือสัตว์
    นั่นหละครับ

    มันจะเป็นกิเลสได้ก็ต่อเมื่อ มันได้ส่งตัววิญญาน
    การรับรู้ออกจากจิตไปกระทบ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด
    แล้วดึงเข้ามาปรุงร่วมก่อน ถึงจะเรียกว่า กิเลสได้ครับ
    ถ้าตัวมัน อยู่โดดๆ แอบซ่อนในจิต ไม่ถือว่าเป็นกิเลสครับ
    หรือถ้าบอกว่า โทสะ โมหะ โลภะ มีอยู่แล้วในจิตนั่นพอเชื่อได้
    พูดง่ายๆว่า มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วปกติในจิตเราเองครับ

    เพียงแต่เรามาเรียนรู้เพื่อที่จะทำให้ พวกนี้มัน
    ค่อยลดน้อยลงจากจิตเราเอง
    อย่างระดับโปร ถึงแม้มี แต่ก็ไม่มีเหตุอะไรให้มันเกิดได้อีก
    หรือส่งตัววิญญานออกไปดึงมาได้
    ต้องโปรซีรย์ระดับมีความชำนาญด้านสมาธิ
    ที่เข้านิโรธสมาบัติได้นานๆจริงๆ(ไม่ใช่แบบมีคน
    แอบส่งกล้วย
    ให้รับประทานนะครับ เข้าใจที่สื่อนะครับ)
    ถึงจะค่อยๆฟอก ทั้งโทสะ โมหะ โลภะ

    ออกจากที่ว่างในจิตได้ครับ
    ค่อยๆฟอกนะครับ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เข้าได้

    เรื่องอื่นๆเอาไว้ก่อน ลองพิจารณาประเด็นนี้ก่อนนะครับ
     
  3. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ท่านนพเปิดประเด็นน่าสนใจ

    เอาแค่กิเลสทั่วไปก่อน
    ผมมองว่า
    พอขันธ์ห้า(รูปขันธ์ นามขันธ์)ทำงานเต็มที่
    กิเลสที่แสดงออกหน้าออกตาให้เจ้าของจับได้
    มีราคะ โทสะ โมหะ
    สามตัวนี้เกิดร่วมกับจิตที่ออกทำงานตอน
    เราเกิดผัสสะ

    จิตมันออกทำงานได้ต้องอาศัยวิญญาณขันธ์
    (วิญญาณขันธ์เป็นยานพาหะพาจิตไปเกิด)
    เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายผัสสะใจนึกคิด

    พอจิตทำงานกิเลสก็จะแสดงตัวออกมา
    อาศัยสติที่มีอยู่แล้วทำหน้าที่ให้ระลึกรับรู้


    ส่วนอารมณ์เช่นกามอารมณ์และอารมณ์โกรธ
    ความโลภ ความพยาบาท ความอิจฉาฯลฯ
    ผมมองเป็นแค่อารมณ์หรือความกระเพื่อม
    ทางความรู้สึกเจ้าของเท่านั้น
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถ้าเป็นข้อความล่าสุดที่คุณ กล่องไม้ขีด เขียนมา
    ส่วนตัวเห็นคล้ายๆกันครับ...จากการเทียบเคียงกิริยาภาษาสมมุติ
    มีข้อสังเกตุเพิ่มเติมว่า
    มันจะมีในส่วนกิริยาเกิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่า เห็นได้จากกำลังสติ
    ที่คุณเห็น คือ กระบวณการที่มันเกิด
    หรือขั้นตอนการทำงานของมันนั่นหละครับ...

    ทั่วไปมองว่า จำเป็นที่จะต้องเห็นตรงนี้ให้ได้ก่อนครับ
    ก่อนที่จะไปรู้ เหตุที่มันเกิด และเหตุที่มันดับ
    และก็ไปหาวิธี ค่อยๆ ละ ค่อยๆคลายมัน
    ในลำดับต่อมาครับ.....เครครับ..
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ผมมองหาผู้ระบุเป็นอันดับแรก พระศาสดาสอนไม่ใช่สอนเพราะเป็นคำตอบเลยไม่ต้องหา หาผู้ระบุเจอจะเจอเหตุผลของการระบุ ราคะคือใครที่ระบุและใครที่ว่าระบุเพราะอะไร
     
  6. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ต่อครับ
    มาถึงเรื่องของตัณหา
    กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

    พวกนี้มีอำนาจมากควบคุมความรู้สึกเจ้าของ
    เวลามันออกทำงาน
    มันพุงมาจากความว่างแล้วมาบีบความรู้สึก
    ให้เกิดความอยากขึ้นมา

    สังเกตุได้เวลาเราอยู่เฉยๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

    เจ้าตัณหาทำงานได้ไม่อาศัยการผัสสะ
    ไม่เหมือนกิเลสทั่วไปต้องอาศัยผัสสะ

    แต่ก็เกี่ยวข้องกัน
    กิเลสทั่วไปเป็นลูกน้องของเจ้าตัณหา
     
  7. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ดำหริถึงคำนึงถึงใคร่ครวนถึง เป็นสังขารขัน เป็นอาการจิต ยังไม่มี ราคะ ฉันทะ และตันหา
    แต่เพราะดำหริถึง ใคร่ครวนถึง แล้วยึดติดไม่ปล่อยวาง จึงมี ตันหา กามตันหา ภวตันหา วิภวตันหา
    เมื่อเกิดดำหริถึงแล้วปล่อยเลย ราคะ ฉันทะ ตันหาก้ดับลงก้ไม่เกิดขึ้นครับ

    ตันหาไม่ได้มาบีบคั้นจากที่ไหน แต่เพราะใจเราไปติดพันครับ ไม่วาง ไม่ปล่อย แต่ ติดพันไปในคำนึงถึงคิดถึง จึงเกิดตันหาเล่นไปครับ
     
  8. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ๙. ตัณหาสูตร
    ว่าด้วยตัณหา

    {๑๙๙}[๑๙๙]
    ภิกษุทั้งหลาย
    เราจักแสดงตัณหาเช่น
    ดังข่าย ท่องเที่ยวไป แผ่ไป ซ่านไป เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์ต่างๆ
    เป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อโลกนี้ ซึ่งยุ่งเหมือนกลุ่มด้ายอันยุ่งเหยิง
    ขอดเป็นปมเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้นอบาย
    ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้
    เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว”

    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย ตัณหาเช่นดังข่าย ท่องเที่ยวไป แผ่ไป ซ่านไป เกาะเกี่ยว
    อยู่ในอารมณ์ต่างๆ เป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อโลกนี้ ซึ่งยุ่งเหมือนกลุ่มด้าย
    อันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปมเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้น
    อบาย ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้ นั้นเป็นอย่างไร

    คือ ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้อาศัยขันธปัญจกภายใน
    ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้อาศัยขันธปัญจกภายนอก

    ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการอาศัยขันธปัญจกภายใน อะไรบ้าง คือ
    ๑. เมื่อมีตัณหาว่า ‘เราเป็น’
    ๒. ตัณหาว่า ‘เราเป็นอย่างนี้’ จึงมี
    ๓. ตัณหาว่า ‘เราเป็นอย่างนั้น’ จึงมี
    ๔. ตัณหาว่า ‘เราเป็นโดยประการอื่น’ จึงมี
    ๕. ตัณหาว่า ‘เราเป็นผู้เที่ยง’ จึงมี
    ๖. ตัณหาว่า ‘เราเป็นผู้ไม่เที่ยง’ จึงมี
    ๗. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็น’ จึงมี
    ๘. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนี้’ จึงมี
    ๙. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนั้น’ จึงมี
    ๑๐. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นโดยประการอื่น’ จึงมี
    ๑๑. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นบ้าง’ จึงมี
    ๑๒. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนี้บ้าง’ จึงมี
    ๑๓. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนั้นบ้าง’ จึงมี
    ๑๔. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นโดยประการอื่นบ้าง’ จึงมี
    ๑๕. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็น’ จึงมี
    ๑๖. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นอย่างนี้’ จึงมี
    ๑๗. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นอย่างนั้น’ จึงมี
    ๑๘. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นโดยประการอื่น’ จึงมี
    นี้คือตัณหาวิจริต ๑๘ ประการอาศัยขันธปัญจกภายใน

    ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการอาศัยขันธปัญจกภายนอก อะไรบ้าง คือ
    ๑. เมื่อมีตัณหาว่า ‘เราเป็นด้วยขันธปัญจกนี้’
    ๒. ตัณหาว่า ‘เราเป็นอย่างนี้ด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๓. ตัณหาว่า ‘เราเป็นอย่างนั้นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๔. ตัณหาว่า ‘เราเป็นโดยประการอื่นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๕. ตัณหาว่า ‘เราเป็นผู้เที่ยงด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๖. ตัณหาว่า ‘เราเป็นผู้ไม่เที่ยงด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๗. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๘. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๙. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๑๐. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๑๑. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นด้วยขันธปัญจกนี้บ้าง’ จึงมี
    ๑๒. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยขันธปัญจกนี้บ้าง’ จึงมี
    ๑๓. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นอย่างนั้นด้วยขันธปัญจกนี้บ้าง’ จึงมี
    ๑๔. ตัณหาว่า ‘เราพึงเป็นโดยประการอื่นด้วยขันธปัญจกนี้บ้าง’ จึงมี
    ๑๕. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๑๖. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นอย่างนี้ด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๑๗. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นอย่างนั้นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    ๑๘. ตัณหาว่า ‘เราจักเป็นโดยประการอื่นด้วยขันธปัญจกนี้’ จึงมี
    นี้คือตัณหาวิจริต ๑๘ ประการอาศัยขันธปัญจกภายนอก
    ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการอาศัยขันธปัญจกภายใน ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ
    อาศัยขันธปัญจกภายนอก ด้วยประการฉะนี้ รวมเรียกว่า ตัณหาวิจริต ๓๖ ประการ

    ตัณหาวิจริตเห็นปานนี้ ที่เป็นอดีต ๓๖ ประการ อนาคต ๓๖ ประการ ปัจจุบัน
    ๓๖ ประการ รวมเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ ด้วยประการฉะนี้

    ภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้นั้นแล เช่นดังข่าย ท่องเที่ยวไป แผ่ไป ซ่านไป
    เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์ต่างๆ เป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อโลกนี้ ซึ่งยุ่งเหมือนกลุ่มด้าย
    อันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปมเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้นอบาย
    ทุคติ วินิบาต และสังสารวัฏไปได้”

    ตัณหาสูตรที่ ๙ จบ
     
  9. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    คหสต.
    ผมเห็นว่า ตันหามีเพราะมีความยึดมั่น
    ท่าไม่มีความยึดมั่นตันหาจะดังลงตอนที่จะเกิดได้เมื่อจิตเกิดและปล่อยวาง

    ความยึดมั่นมีหลายละดับ ตันหาเองก้มีหลายระดับ การปล่อยวางเองก้มีหลายระดับ
    ดังนั้นการดังลงของกิเลศจึงดับลงได้ทีละส่วนครับ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวมองว่า
    ถ้าคุณพอเข้าใจกระบวน
    ทำงานของมันแล้ว
    ต่อมาคือภาษาสมมุติที่จะใช้ถ่ายทอด
    อย่างไรไม่ให้คลาดเคลื่อนจากกิริยาของมัน
    ซึ่งในห้องนี้ เกือบทุกท่านที่อยู่มานาน
    ทั้งตำราบ้าง ปฎิบัติบ้าง มักจะพอเข้าใจ
    แตกต่างที่การใช้ภาษาในการถ่ายทอด

    ขอเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเป็น เครื่องรู้
    การรู้พิเศษ หรือไปยึดว่าเป็น
    สภาวะวิเศษอะไร
    ก็จะไปต่อกันได้เอง.
    ถึงวิธีการที่จะก้าวต่อ
    ไปให้ได้จนเห็นว่า
    แท้จริงแล้วกะบวนการเหล่านั้น
    มันเป็นเพียงโปรแกรม การปรุงแต่ง
    ปกติของจิตอยู่

    จะทำให้มีโอกาสย้อนไปถึง
    สาเหตุที่มันเกิด สาเหตุที่มันดับได้
    ซึ่งตรงนี้ จะทำให้สามารถ ตัดวงจร
    ตัววิญญาณการรับรู้ที่ส่งออกจากจิตได้
    ในเรื่องนั้นๆ ส่งผลให้จิตไม่สร้างเชื้อ
    เรื่องนั้นขึ้นมาอีก(ไม่ระลึก นึกขึ้น คิดได้
    หรือผุดขึ้นมาได้อีกในอนาคตเหมือนที่เคย
    วางด้วยปัญญาทางธรรมครับ)

    ก็จะมีโอกาสที่จิตจะคลายตัวเองได้
    ตามธรรมชาติของมันเอง ได้นานขึ้น
    ในลำดับต่อมาอัตโนมัติ
    เวลาเราใช้ชีวิตปกติประจำวันครับ

    ปล เห็นกระบวนการเกิดได้นะดี
    แต่อย่าให้ความสำคัญ เผลอให้ค่ามันหรือคิดว่ามันเป็นการรับรู้หรือเครื่องรู้.
    ไปมากกว่า
    การเพิ่มวิธีการเข้าไปสังเกตุ
    จนรู้เหตุที่มันเกิด
    และเหตุที่มันดับ มันถึงจะพอเรียกได้ว่า
    รอบรู้ในกองสังขารครับ
    จะเกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อ่านมากว่า

    ฝากไว้พิจารณาครับ
    พอมองเห็นภาพกว้างๆนะครับ
     
  11. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ตอบคุณ กล่องไม้ขีดไฟต่อนะครับ
    เป็นคหสต.ของผมเองว่า
    เมื่อคุณเห็นทุข เห็นกระบวนการจิต หรือวิถีจิต ชวนจิต

    คุณเห็น จิตเคลื่อนไป เห็นตันหา เห็นสมุทัย เห็นกิเลศที่เกิดขึ้นกับจิต

    คุณรู้มรรคอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วรู้วิทีดับสมุทัย ตันหา อันเกิดขึ้นด้วย ปัญญา เห็นตามความจริงว่า ยึดถือไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนเราที่แท้อย่างนั้น การดับตันหาก้เกิดขึ้นคือไม่เข้าไปยึดจิตที่เคลื่อนนั้น การเคลื่อจึงดับลงตรงที่ชวนจิตเกิดขึ้น

    เมื่อมีมรรควิทีจึงเห็นนิโรธตันหาได้ เห็นความดับไปของตันหาที่เกิดขึ้นนั้นว่าไม่เกิดขึ้นเพราะจิตไม่ยึดตามไปไม่เคลื่อนไปเพียงทุขเท่านั้นที่เกิดขึ้นคือตัวขันธ์ คืออาการจิตเท่านั้นที่เกิดขึ้นและดับลงตันหาไม่เกิดขึ้นครับ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ขออภัย ขออนุญาติ โยนผ้า ขึ้นเวที นิดนึง....

    ช่วงแรกๆ ของการ ชำแรกกิเลส จะไม่ใช่เรื่องไปเห็นชัดๆ กับ " ตัณหาดับ "

    มันจะกลายเป็น มวยคนละรุ่น แต่ ก็ใช่ว่า ห้ามไป แย๊บใส่หน้ามัน

    ช่วงแรกๆ ต้อง วกกลับมา มองภาพรวมๆ เอา ญาณทัศนะ แหวกจอกแหน ว่ามีอยู่
    และ เกิดดับ(ด้วย) ไม่งั้นไม่ชื่อว่า แหวกจอกแหน

    พอเห็นว่า เอ้ย จิตที่มันเป็นธาตุ มัน อบรมได้เหมือนกัน เว้ยเฮ้ย พระมหานามะที่
    เมาปลิ้นโดดน้ำตาย แต่ได้ สิกขา จะมา ยิ้ม เลย
     
  13. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สวัสดีตอนบ่ายทุกท่าน
    ครับเสวนากันไปแหละครับ
    เพราะเปิดกระทู้ไว้เสวนา


    คุณงูๆปลาๆ ยกพระสูตรมาก็สาธุ

    ส่วนที่ผมเขียน
    เขียนจากการสังเกตุเอาครับตอนภาวนา
    หรือตอนว่างๆก็นนั้งสังเกตุความรู้สึกตัวเอง
    ไม่อิงตำรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2018
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ผมเคยได้ยิน "เพราะถอนตัณหาได้จึงพ้นทุกข์"
    ในตำรามีหลายที่ที่กล่าวอย่างนี้

    สำหรับผมมองว่าตัณหาเป็นแค่กิเลสอย่างกลาง
    เพราะยังมีอาสวะกิเลสที่ผัวพันกับจิต
    อย่างลึกลับ
     
  15. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ครับตันหามีหลายละดับ ดังนั้นกามตันหาจึงดับลงได้ก่อนครับ ทำให้ละ โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ได้ครับ ส่วนที่ละเอียดกว่านั้นก้ต้องว่ากันไปครับ
    เชิญท่านแสดงทัศนะต่อครับ กามาสวะ ภาวาสวะ อวิชาสวะ ครับ
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ท่านงูๆปลาๆ สังเกตุไหมในตำรานะ
    มีหลายตอนนะ
    ที่บอกว่าละสมุทัยคือละตัณหาก็จบกิจ
    หรือตัดตัณหาได้แล้วเหมือนตาลยอดด้วน

    ผมมองตำราบางบทโดนแก้ให้เพี้ยนไป
     
  17. tonyja2499

    tonyja2499 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2018
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณครับเข้าใจเรื่องกิเลสตัณหามากขึ้นเลยครับ
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ทำไมผมถึงรักและเคารพพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งๆที่ ก็ไม่รู้ว่าเคยพบกันหรือไม่...ผมมองว่า...สิ่งที่เรารับรู้ก็เริ่มต้นแบบเดียวกับสิ่งที่เราเห็นในตำรา เกิดปิติ เกิดสติ เกิดปัญญา ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเราอาจจะรู้ว่าเขาคิดและรู้สึกเช่นไร...หมายถึงถ้าเอาพระพุทธเจ้ามาไว้กับใจเราและเรียนรู้ไปพร้อมกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าเจอคงมีและเห็นอย่างแท้จริงที่จะทราบวัตถุประสงค์...
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เก่งเค้นหนี้ ไม่ใช่ โพดำโพแดงสัตต หลอก

    โพสนี้ชัดเลย ออกแนว ยะโหแว ยะเยชู
    รับสมอ้าง สาดสะด่าพยากรณ์

    เฮีย!!!! ส่งมาเกิด
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ไม่เชื่อ ลอง เชิญเข้ามาประทับ สักองค์ สององค์

    ระวัง เมื่อยหน้า นะเว้ย เฮ้ย


    ป่านนี้แล้ว มัคคญาน หา ไม่เจอ

    ธรรมที่พ้นการสดับจากผู้อื่น อันมี ตั้งแต่เกิด
    ไม่เคยระลึกได้ มี แต่หู แต่ตา .. และ ใจ
    เปิดอ้าซ่า รอประทับ ประดับตน ....

    ลาไปเถอะ ไม่ได้เปน หลอก เผารนตัวเองเปล่าๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...