เวลานั่งสมาธิจะมีอาการดิ้นตึงตัง เหมือนผีเข้าแสดงออกมาทางร่างกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แผ่บุญ, 20 มิถุนายน 2018.

  1. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เวลานั่งสมาธิจะมีอาการดิ้นตึงตัง เหมือนผีเข้าแสดงออกมาทางร่างกายทุกครั้งครับ บางทีตัวโยก หัวหมุน ยกไม้ยกมือ ทำท่าทางเหมือนทหารนักรบ สัตว์ต่างๆ ฯลฯ โดยที่มีแรงกระทำมาจากร่างกายเองโดยจิตไม่ได้เป็นผู้สั่งให้ทำกริยาท่าทางเหล่านั้น จิตยังภาวนาในคำบริกรรมอยู่ ไม่ลืมไม่เผลอ ผมมีอาการนี้มาเกือบจะ 5 ปี ของการทำสมาธิแล้วครับ เรียกได้ว่าติดตรงนี้แหละ ท่านที่เคยติดตรงนี้มามีวิธีที่แก้ไขให้ผ่านได้หรือเปล่า คุณ nopphakan ผู้ชำนาญทางจิตมีข้อแนะนำหรือไม่ครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปล่อยให้สุด อย่าไปสนใจ ยิ่ง จขกท ไปฝืนมากเท่าไหร่ อาการก็จะออกมากขึ้นเท่านั้น

    มีสติจดจ่ออยู่กับคำบริกรรม อย่าไปฟุ้งซ่านสนอาการทางกายครัรบ

    เมื่อจิตสงบเข้าสมาธิเมื่อไหร่ จะหายเอง

    มันไม่หายเพราะจิตยังไม่เป็นสมาธิ

    ถ้ากลัวคนอื่นมาเห็น ก็ปิดประตู lock ให้เรียบร้อยเวลาปฏิบัติ ครับ
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เริ่มต้นในการปฏิบัติธรรม ถาม: อยากทราบหลักในการปฏิบัติ เพื่อเริ่มต้นในการฝึก... ?
    ตอบ: เริ่มฝึก...อันดับแรกศีล ๕ ข้อ ต้องรักษาให้ได้ เมื่อศีลทรงตัวแล้วก็อย่ายุให้ผู้อื่นเขาล่วงศีล เมื่อเห็นคนอื่นทำศีลขาดก็ไม่ยินดีด้วย

    หลังจากนั้นก็เริ่มหัดภาวนาจับลมหายใจเข้าออก ถ้าหากว่าศีลทรงตัว การจับลมหายใจภาวนาจะง่าย ถ้าจับลมหายใจภาวนาได้ อันดับแรกก็จะเกิดอาการต่าง ๆ ขึ้นกับร่างกาย เขาเรียกว่า “ปีติ” มีอยู่ ๕ อย่าง
    บางครั้งก็ขนลุกเป็นพัก ๆ
    บางครั้งก็น้ำตาไหล
    บางครั้งก็ตัวโยกไปโยกมา
    บางครั้งรู้สึกว่าลอยขึ้นทั้งตัว
    บางครั้งก็รู้สึกตัวพองตัวใหญ่
    บางครั้งรู้สึกว่าตัวแตกระเบิดกลายเป็นชิ้น ๆ หายวับไปเลยก็มี

    แบบนั้นเป็นแค่อาการทางร่างกายกับจิตประสาทกำลังปรับสภาพใหม่ ๆ เขาเรียกว่าเป็นอาการของปีติ คือการที่ใกล้จะเข้าถึงองค์ฌานระดับหนึ่ง อย่าไปใส่ใจและอย่ากลัว ให้ตั้งใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออกเท่านั้น ลมหายใจเข้า-ออกถ้าแรงให้รู้ว่าแรง ถ้าเบาให้รู้ว่าเบา ถ้ายาวให้รู้ว่ายาว ถ้าสั้นให้รู้ว่าสั้น ขณะเดียวกันถ้าไม่มีเลยก็ให้รู้ว่าไม่มี ไม่ต้องไปดิ้นรนขวนขวายหายใจ เพราะตอนที่เราไม่มีลมหายใจนั้น เราก็ยังอยู่ได้สบายอยู่แล้ว ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ได้ ก็จะทรงเป็นฌานได้อย่างรวดเร็ว

    เมื่ออารมณ์ใจทรงฌานได้ เราก็ตั้งใจที่จะละกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าเราไม่คลายอารมณ์ฌานออกมา กิเลสเหล่านั้นก็จะโดนกดนิ่งไป ถ้าสามารถกดอยู่ระยะยาวนานเพียงพอ ก็จะขาดจะดับไปเอง

    เพราะฉะนั้น..เริ่มต้นได้เลย นึกถึงลมหายใจเข้า-ออก พร้อม ๆ กับในระหว่างนั้นก็รักษาศีลให้ทรงตัวไปด้วย ถ้ากำลังใจทรงตัว สติสมาธิอยู่เฉพาะหน้า ความทุกข์ก็น้อย การงานอะไรทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะว่าเมื่อมีสติสมาธิอยู่เฉพาะหน้า การแก้ไขปัญหาและการทำงานทุกอย่างก็จะมีคุณภาพ จะมีปัญญาเห็นทะลุไปตลอดสายงานเลย
    https://watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3256
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    น้ำตาไหลกลางบ้านสายลม..!
    ถาม
    : ฝึกสมาธิมาถึงตอนนี้แล้วตัวโยกไปมา สงสัยว่าทำไมถึงติดอยู่แบบนี้ ?
    ตอบ : ต่อไปให้ลืมไปเลย ไม่ต้องไปสนใจ ตามรู้อย่างเดียวว่าตอนนี้เป็นแบบนี้

    จะโยกก็โยกไป จะเป็นจะตาย หัวโขกพื้นท่าไหน หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ช่าง ของอาตมาเองนี่เฉพาะโยก เจอไปเดือนกว่าเกือบสองเดือน

    แต่ว่าน้ำตาไหลนี่แค่เช้าจนถึงเย็น เช็ดหน้าจนแสบไปหมด เพราะดันผ่าไปไหลที่บ้านสายลมพอดี ผู้ชายตัวเท่าควายนั่งร้องไห้ตรงหน้าพระ ตอนแรกว่าจะกลั้นไว้ พอคิดจะกลั้นก็หยุดเลยนะ

    แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ไม่ได้นะลูก..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลยทีเดียว ให้เป็นจนเลิกไปเลย ถ้าเราไปกลั้นเอาไว้ เมื่ออารมณ์ใจมาถึงที่ตรงนี้ น้ำตาก็จะไหลอีก.." จึงต้องปล่อยเต็มที่ เช็ดไปเรื่อย คนโน้นมาก็ส่งกระดาษให้ คนนี้มาก็ส่งกระดาษให้ เช็ดไปเช็ดมาจนหน้าแสบไปหมด กว่าจะเลิกก็โน่น..๕ - ๖ โมงเย็น..!

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2350
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : นั่งสมาธิสักพักหนึ่ง พิจารณาผม ขน ฟัน หนังแล้ว ตัวโยกแต่ก็กำหนดรู้ว่าตัวโยกหนอ พอสักพักหนึ่งโยกมากขึ้น ก็หลุดแล้วออก ?

    ตอบ : ปล่อยให้โยกเต็มที่ ตึงตังโครมครามไปเลย พอเต็มที่แล้วสมาธิจะทรงตัวแนบแน่น ก้าวพ้นตรงนั้นไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราไปห้ามให้หยุด ถึงเวลาอารมณ์ใจทรงตัวระดับนั้นก็จะโยกอีก ปล่อยให้เป็นเต็มที่ทีเดียวแล้วจะเลิก

    ถาม : โยกแล้วล้มเลยนะครับ

    ตอบ : ถ้ามัวแต่กลัวล้มอยู่ก็อย่าไปปฏิบัติ การปฏิบัตินี่แม้แต่ตายเขาก็ยอม

    ถาม : บางครั้งถ้านั่งสมาธิแล้วไม่สงบ เปลี่ยนไปสวดมนต์ให้จิตสงบขึ้นได้ไหมครับ ?

    ตอบ : ได้..ถ้าสภาพจิตไม่สงบ เราภาวนาอย่างไรก็ไม่ยอมลง มีวิธีไหนที่ทำให้สงบลงได้ให้ทำวิธีนั้น ไม่ได้จำกัดตายตัว

    ถาม : ก็คือปล่อยให้ไปตามกิริยาอย่างนั้น ?

    ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้ามีคนรอบข้างบอกเขาด้วยว่า ถ้ามีเสียงตึงตังโครมครามไม่ต้องตกใจ เป็นอาการปกติ ถ้าเรารู้จักสังเกตจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วจิตจะนิ่งสงบมาก เป็นแค่อาการของร่างกายที่ดิ้น


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3864&page=6
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    โอกกันติกาปีติ

    ๓. โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นพักๆ
    มีลักษณะดังนี้ คือ


    ๑. ตัวไหวเอน โยก โคลง

    ๒. สะบัดหน้า สะบัดมือ สะบัดเท้า

    ๓. มีอาการสั่นๆ และบางทีมีอาการสูงๆต่ำๆ

    ๔. คลื่นไส้ดุจอาเจียน และบางทีอาเจียนออกมาจริงก็มี

    ๕. บางทีเป็นดุจระลอกซัด

    ๖. สั่นระรัวดุจไม้ปักในน้ำไหล

    ๗. มีสีเหลืองอ่อน สีดอกผักตบชวา

    ๘. กายโยกไป โยกมา

    ๙. มีอาการสะบัดร้อน สะบัดหนาว

    ๑๐. บางครั้งมีอาการวูบวาบมาจากข้างล่าง บางครั้งวูบวาบจากข้างบน

    ๑๑. บางทีคล้ายๆแล่นโต่คลื่นอยู่ในน้ำ

    ๑๒. บางทีจะรู้สึกร่างกายผิดปกติ หรือ กล้ามเนื้อบางส่วนกระตุกดิ๊กๆ



    https://walailoo2010.wordpress.com/2010/09/08/โอกกันติกาปีติ/
     
  7. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ผมมีอาการจะ 5 ปีแล้ว ถ้าไม่ทนจริงๆเลิกทำสมาธิไปนานล่ะ นอกจากคำว่าทำไปเรื่อยๆ มีทริคอะไรส่วนตัวที่เคยผ่านมาแล้วจริงๆไหมครับ มันอาจเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรวิบากเก่าด้วยหรือเปล่า ถึงได้เป็นนานกว่าชาวบ้านเขามากครับ พวกปีติอย่างเช่นน้ำตาไหล ผมก็เคยมีไหลแค่ไม่กี่นาทีหายจ้อย แต่นี่...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2018
  8. ใจแก้วนะ

    ใจแก้วนะ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +38
    **อย่าถอย อย่าถอนสมาธิ ใจมองพระพุทธรูปไว้ ภาพก็ได้ จับลมหายใจเข้าออกให้มั่น สู้กับมันจริงๆๆจังๆๆ กำหนดสมาธิให้แน่สนิท ไม่เกิน 3 วันน่าจะพ้น ใจที่ไขว้เขว วิตก ยิ่งทำให้ติดอารมณ์ปิตินี้ ก่อนนั่งอธิษฐาน จะทำสมาธิบูชา พระรัตนตรัย แล้วแผ่เมตตา หลังทำ ก็ให้แผ่เมตตาด้วย ** ไม่หนี ไม่กลัว ถวายบูชาไปเลย**
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เมื่อจิตสงบจนจิตเข้าสมาธิเมื่อไหร่ จะหายเอง จขกท.

    หรือ ทรงปฐมฌาน ก็เหมือนกัน จะไม่มีอาการ ครับ
     
  10. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    .......อาการทางกาย ถ้าเรารู้เราก็มีสติ กำหนดรู้กาย ส่วนทางจิต เรามีสติกำหนดรู้ ก็มีสติ เป็นจิตตานุปัสนาสติปัฐฐาน ให้สิ่งต่างๆ ที่เกิดกับ กาย ใจ เป็น สิ่งรู้ของจิต เป็นเพียงสิ่งระลึกของสติ ถ้าอาการประมาณนึง ก็คือปีติ แต่ ส่วนใหญ่อาการแบบนี้จะมีของ(คนมีของ) วิธีแก้ก็ง่ายๆ ใช้บทสวด "กรณียเมตตสูตร"ทางนี้กับท่านน่าจะแก้ได้..ส่วนตัว ภาวนาได้ยินได้เห็นอะไรก็เป็นเครื่องรู้ของจิตเครื่องระลึกของสติ ลองกำหนดดูนะครับ ไม่ให้มีอันตรายจากการขับขี่ยานพาหนะ ระวัง สำรวมจิตเอาไว้ น่าสงสารอยู่ แต่ถ้ามีสติกำหนดปั๊ป จิตเค้าจะสำรวมอยู่ สติก็ประคองไม่ให้ประมาท และถ้า ผ่านได้ ก็ขอให้ปฏิบัติ บูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อุทิศส่วนกุศลตามระเบียบ โมทนาล่วงหน้า...
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    คนปกติ ไม่ได้ชำนง ชำนาญอะไรหรอก พอแนะนำได้
    และมีข้อแก้ไข แต่ว่า ก่อนแนะนำขอบ่น ได้ไหม
    พ่อเจ้าประคุณลุนช่อง
    ปล่อยไปได้ไงตั้ง ๕ ปี น่าจะมาถามตั้งแต่สัปดาห์
    หรือเดือนแรกแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่ว่า เป็นดวงจิต
    ที่มีกระครูบาร์อาจารย์ทั้งสายธรรมสายพลังงาน
    เป็นทุน ป่านนี้ถ้าเป็นคนอื่น วิกลจริตไปนานแล้วพ่อคู้ณณณณณ

    จะบอกว่า อาการที่เราเป็น ไม่ใช่พวกกิริยาระหว่างทางของสมาธิ
    ตามตำรานะ...ดังนั้นอย่าไปแก้ปัญหาด้วยการปล่อยให้สุด
    เพราะยังไงก็แก้ไม่ได้ ถ้าเป็นพวกปิติ ปล่อยสุดครั้งเดียวมันก็
    หายแล้ว...บอกไว้ก่อนนะ....
    สาเหตุคือ ภูมิต้านท้านทางจิตของเราตอนนี้
    และกำลังสติของเรา
    มันไม่เพียงพอ ต่อการที่จะรับพลังงานจากจิตที่ส่ง
    ออกไปเชื่อมภายนอกข้างบน
    (ไม่เพียงพอที่จะรับ ไม่ใช่ไม่เพียงพอที่จะต้านทานนะ
    อ่านดีๆ เพราะต้านคือหลักๆมาจากภายนอก แต่รับ
    หมายถึงมันเกิดขึ้นจากภายใน เกทนะ. คล้ายๆช่วงล่าง
    ไม่สมดุลย์กับความแรงของเครื่องยนต์ นั่นๆหละ )
    เพราะจิตเรามันมีกระแสพลังงานวิ่งออกไปเชื่อมภายนอก
    ข้างบนตรงนี้เป็นปกติและมีกระแสไปเชื่อมกระแสครูข้าง
    บนอีกด้วย จริงอยู่แม้ว่าเหมือนเราจะมีสัมผัสอะไรทางนามธรรม
    ที่ค่อนข้างดีกว่าชาวบ้านชาวช่อง . แต่เนื่องด้วยว่าไอ้
    กระแสพลังงานที่มันเกิดขึ้นตรงนี้นี่หละ
    มันดันเป็นวิบากอย่างหนึ่งของดวงจิตนี้
    ที่ไปสัญยงสัญญาเอาไว้ก่อนในอดีตบางอย่าง
    แล้วไม่ได้กระทำตามที่สัญญาไว้กับภพภูมิมีฤิทธ์
    ในระดับที่สูงมาก่อน ที่เค้าค่อนข้างมีบารมีมาก.....
    เวลานั่งสมาธิ มันเลยมีกระแสตัวหนึ่ง

    *** ที่หมุมวนจากศรีษะเราเอง
    ผ่านวนเฉียดท้ายทอย ฟาดลงผ่านหน้าอก เลยผ่านลิ้นปี่
    มาเหวี่ยงใส่ดวงจิตกินไปครึ่งหนึ่ง(สมมุติว่ามันเป็นวงกลม
    เหมือนกระแสนี้มันเบียดให้เหลือครึ่งหนึ่ง ตรงนี้หละ
    ที่ยังพอทำให้เรารู้ตัว)แล้วเลย
    ผ่านด้านหน้าตัวออกไปทางต่ำแหน่งใต้ลิ้นปี่
    ด้านหน้าเล็กน้อยคือมาเกี่ยวกับกระแสสัมผัสภายในที่หน้าท้อง
    ที่เหลือจากข้อความ *** คือเหตุที่ทำให้เราแปลงร่างนั่นหละ....


    วิธีแก้ เอาตามวิธีพลังงานงานก่อน

    ให้ไปทำการ ขอขมากรรม
    ให้ขึ้นด้วย นะโมฯ สามจบ แล้ว่าตามข้างล่างนี้

    ''ข้าพเจ้าขอขมากรรมต่อองค์คุณ ผู้มากบารมีทั้งหลาย
    รวมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย(สำคัญ ย้ำว่าสำคัญแต่อย่าซื่อท่องตามคำในวงเล็บนะ) หากว่าข้าพเจ้าเคยล่วงเกิน
    ด้วยวาจาใดๆต่อท่านมาแล้วในอดีต ในทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทั้งที่ตังใจและไม่ได้ตั้งใจ ขอให้ท่านได้โปรดงด
    โทษให้ข้าพเจ้าด้วย...และข้าพเจ้าขอ ประกาศ สละประกาศถอน
    การใช้อำนาจ ตบะ ฌาน ญานใดๆ ในการที่เคยใช้ทำร้ายทำลาย เบียดเบียน ผู้คน ภพภูมิทั้งหลาย
    และตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลาย
    เหล่านั้นได้โปรดงดโทษ และอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วย
    ...และข้าพเจ้า
    ขอประกาศสละประถอน คำมั่นสัญญาใดๆ ทั้งที่ได้ตั้งใจ
    และไม่ได้ตั้งใจ ต่อ องค์คุณ ผุ้มากบารมีทั้งหลาย ตลอดจน
    ทั้งพระโพธ์สัตว์ทั้งหลาย ขอให้โปรดจงยุติลงนับตั้งแต่บัดนี้
    เป็นต้นไปเถิด ''
    ให้ทำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย จนกว่าจะหาย.....

    และทางด้านสมาธิ ตอนนี้อย่าพึ่งไปนั่งสมาธิ
    ให้เปลี่ยนมาเป็นการ เจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ให้ต่อเนื่องแทน เวลาทำงานให้ตั้งใจทำเต็มที่
    ถ้านิ่งๆว่างๆ ให้ระลึกรู้ลมเข้าออกหยุดที่ปลายจมูกพอ
    จะภาวนาหรือไม่ภาวนาก็ได้ และหายใจเข้าออกให้ลึกถึงท้อง
    แต่ห้ามตามลม. ถ้าต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ให้นับจำนวนก้าว
    ที่เดินไปไหนมาไหนในใจด้วยทุกครั้ง ให้ทำสลับกันไป
    แบบนี้ให้ได้ทั้งวัน..และไม่จำเป็นอย่าไปวิพากษ์ วิจารณ์อะไรใคร
    โดยเฉพาะสายการปฏิบัติต่างๆที่เราไม่ได้เคยเข้าไปสัมผัส
    ใครจะปฏิบัติ ทำตัวอย่างไร เรื่องของเค้าอย่าไปยุ่ง
    และถ้าจะพูดอะไรก็ตาม ให้พูดแต่ในสิ่งที่เป็นกุศลเท่านั้น จำไว้
    และก็ให้เปลี่ยนมาเดินจงกลมแทน
    ถ้าเป็นไปได้ ให้เดินเป็นวงกลม จนสามารถ
    เดินเหยียบร้อยเท้าที่เคยเดินผ่านมาแล้วได้

    และที่สำคัญที่ต้องทำให้ได้คือ
    และก่อนจะนอน ให้พิจารณาว่า วันนี้เราทำอะไรมาบ้างแล้ว
    แรกๆเอาแค่ตอนเย็นก็ได้ วันหลังค่อยเริ่มจากตอนกลางวัน
    วันต่อมาค่อยเริ่มจากตอนเช้า และก่อนจะตื่นอย่าพึ่งลืมตา
    ให้พิจาณาซ้ำอีกรอบหนึ่ง. นอกจากจะระลึกว่า เราทำอะไร
    ไปที่ไหน พูดกับใคร มาบ้างแล้ว ให้พิจารณาด้วยว่า
    เราพลาดอะไรตรงไหนในเรื่องที่เป็นอกุศลในวันนี้....



    ทำอย่างนี้ไปซักระยะหนึ่งก่อน. ๒ สัปดาห์จะเริ่มเห็นผล
    คือ ทำไปก่อน ๒ สัปดาห์ พอมาลองนั่งสมาธิอาการจะเริ่มน้อยลง
    พอสัปดาห์ที่ ๙ ขึ้นไปจะพบว่าอาการจะเริ่มหายไป
    แต่ว่า จิตใจก็ยังไม่สงบเหมือนเดิมเรื่องปกติ
    ประมาณ ๑๔ ถึง ๑๕ สัปดาห์ จะเริ่มเห็นความสงบได้
    ทั้งกายและใจ.... ถ้าทำได้ ต่อเนื่องทุกวัน
    อย่างที่แนะนำ
    ก็จะกลับมาเป็นเหมือนชาวโลกปกติ
    ที่ไม่ต้องแปลงร่างเวลานั่งสมาธิ

    เพราะเราไม่ใช่ นายแผ่บุญ 4G อย่าไปแข่งกับเค้า
    เรื่องแนวๆนี้.....
    จบ........
    ปล. เป็นกรณีเฉพาะบุคคล ไม่ใช่สากล
    ไม่สามารถใช้ได้ทั่วไปกับทุกคน....
     
  12. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ขอบคุณสำหรับสิ่งนี้ครับ นี่อาจเป็นทางออกที่ดีในอนาคต

    ''ข้าพเจ้าขอขมากรรมต่อองค์คุณ ผู้มากบารมีทั้งหลาย
    รวมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หากว่าข้าพเจ้าเคยล่วงเกิน
    ด้วยวาจาใดๆต่อท่านมาแล้วในอดีต ในทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ทั้งที่ตังใจและไม่ได้ตั้งใจ ขอให้ท่านได้โปรดงด
    โทษให้ข้าพเจ้าด้วย...และข้าพเจ้าขอ ประกาศ สละประกาศถอน
    การใช้อำนาจ ตบะ ฌาน ญานใดๆ ในการที่เคยใช้ทำร้ายทำลาย เบียดเบียน ผู้คน ภพภูมิทั้งหลาย
    และตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลาย
    เหล่านั้นได้โปรดงดโทษ และอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วย
    ...และข้าพเจ้า
    ขอประกาศสละประถอน คำมั่นสัญญาใดๆ ทั้งที่ได้ตั้งใจ
    และไม่ได้ตั้งใจ ต่อ องค์คุณ ผุ้มากบารมีทั้งหลาย ตลอดจน
    ทั้งพระโพธ์สัตว์ทั้งหลาย ขอให้โปรดจงยุติลงนับตั้งแต่บัดนี้
    เป็นต้นไปเถิด ''

    ภาวนาบทนี้ในใจแล้วจะรู้สึกสมองมึนๆครับ หวังว่าภพภูมิเจ้าของเงื่อนจะอโหสิให้เร็ววัน อีก 5 เดือนมาเจอใหม่ครับดูว่าจะดีขึ้นไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2018
  13. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ว่างๆก็ลองทำดูครับ

    1.สวดมนต์ อารถนาศีล สวดบท พาหุง มหากา
    2.ขอขมา
    การกระทำอันหลงผิดอันใด ที่ลูกเคยล่วงเกินแล้วต่อ เจ้าเวรนายกรรม ทั้งหลายทั้งปวง
    โดยรู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ไม่ว่าทาง กาย วาจา ใจ ไม่ว่า อดีต ปัจจุบัน
    บัดนี้ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกขอขมา ขอเจ้าเวรนายกรรมทั้งหลายจงอโหสิให้แก่ลูกด้วยเถอด

    บุญกุศลใด ที่เกิดจากลูกถือศีลปฎิบัติธรรม ขอให้เจ้าเวรนายกรรมทั้งหลาย จงโมทนาบุญกุศลนั้น
    ได้ตลอดเวลา

    3 แผ่เมตตา
    4 ปฎิบัติ กรรมฐาน
    5 จบแล้ว กรวดน้ำ แผ่เมตตาอีกครั้ง
    ----------------------------------------------------
    เรียงลำดับคำให้ถูกนะครับ
     
  14. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    เคยบวชหรือป่าวครับ ถ้าไม่เคยผมแนะนำให้ไปบวชเลย

    อาการแบบนี้ปกติมีอยู่2อย่าง 1.เจ้ากรรม 2.ร่างแฝง(รวมทั้งหมด เช่นมีตั้งแต่เราเกิด หรือผี หรือองค์เทพ ... บรา บรา บรา อะไรก็แล้วแต่)

    ถ้านั่งให้กำหนดรู้กายซะ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    แรกๆจะแน่นหน้าอกร่วมด้วย
    นอกจากอาการที่เป็น
    ควรฝึกแผ่เมตตาออกจากกลาง
    หน้าอกร่วมด้วย

    ปล เรื่องปกติ ไม่ต้องห่วงหรอก
    เคสนี้ ไม่ใช่กรณีที่ถูกพวกสายพลังงาน
    ภูมิอสูรกายมาแทรก ไม่งั้นป่านนี้
    เพี้ยนๆหลงตัวเองไปนานแล้ว
    แต่มันเป็นวิบากเฉพาะนั่นหละ


    กรวดน้ำร่วมด้วยแบบที่มีคนแนะนำ
    จะดีมาก
     
  16. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    "เป็นดวงจิต
    ที่มีกระครูบาร์อาจารย์ทั้งสายธรรมสายพลังงาน
    เป็นทุน"

    ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ถามต่อ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ การที่บอกว่าจิตผมเชื่อมต่อกับครูบาร์อาจารย์ ทั้งสายธรรม สายพลังงาน คืออะไรครับ รบกวนช่วยขยายความตรงนี้อีกหน่อย

    ถ้าเป็นจริงดังที่บอก ผมสามารถขอบารมีหรือใช้ประโยชน์จากการที่จิตเชื่อมต่อกับตรงนี้ได้ในส่วนใดบ้าง ด้านการสร้างบารมีโพธิสัตว์ หรือด้านการหลุดพ้นครับ อธิบายในส่วนประโยชน์ที่สามารถนำไปต่อยอดด้วยครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019

    ถามมาก็จัดไปให้หายสงสัย ถึงแม้ว่าตอนนี้
    อ่านแล้วจะยังไม่เข้าใจก็ตาม เด่วพ้นวิบากตรงนี้ก่อน
    ก็จะเริ่มค่อยๆเข้าใจได้ด้วยตัวเราเอง....
    และก็ทนๆฟังความรู้เชิงโม้และประชดประชัน
    หน่อยแล้วกัน ถือว่าหยวนๆ....


    ข้อโม้ไว้ก่อนล่วงหน้าในอนาคต จะได้ไม่สงสัยอีก.....
    ที่ใช้คำว่า ดวงจิต เพราะไม่ได้เน้นที่ร่างกาย...ประเด็นนี้จบ
    ปกติดวงจิตใดๆก็ตาม ที่จะมีความสามารถใช้งานทางจิต
    จะประกอบด้วยองค์ประกอบการหนุนด้านพลังงาน ๒ ส่วน
    คือ ๑. กระแสครูบาร์อาจารย์ข้างบน ที่วิ่งตามแนวจักระ
    ด้านหน้า วิ่งขึ้นผ่านศรีษะไปเชื่อม กระแสครูด้านบน ครูอาจารย์
    ในส่วนนี้ คือ ส่วนที่อยู่เบื้องหลังทางธรรม.....ก็คือ หลายๆท่าน
    ที่นักปฏิบัติ สามารถเห็นได้ในระหว่างที่นั่งสมาธินั่นหละ...
    แต่ปกติไม่ว่าจะเจอท่านใด เราจะไม่ยึดติด เพราะอาจจะ
    โดนผีหลอกในสมาธิได้ ถ้ายังไม่ชัว ให้เฉยๆไว้ก่อนจะปลอดภัย
    และคนที่มีจะมีสัมผัสภายใน แบบไม่ใช่มโน โม้เอา โดยปกติ
    จะมีเส้นพลังงานส่วนนี้เชื่อมขึ้นบนเป็นปกติ.....
    (พวกที่ไม่เชื่อม แล้วกระแสวิ่งวนในศรีษะนั่นหละเราเรียกว่า
    มโน ส่วนมากมักจะหลงว่า ตนวิเศษกว่าใคร แต่สังเกตุง่ายๆ
    ถ้าให้แสดงความสามารถ เป็นเสร็จทุกราย และที่เหมือนกัน
    ไม่มีกำลังจิตในการเข้าถึง เรื่องพลังงาน พูดง่ายๆ ปากดี
    แต่ภูมิต้านทานทางจิตต่ำ)...
    ตามท้องตลาดวงการใช้งาน
    จะเรียกว่า จะเรียกกระแสพลังงานแบบนี้ว่า
    ความสามารถภายในบ้าน...แต่พวกดวงจิต
    ขี้โม้ ติดหล่อ ติดเท่ห์ที่ชอบพูดเอาไว้ให้ตนเองดูดีทั้งหลาย
    จะชอบใช้คำว่า อภิญญาจิตภายใน...หรือเข้าใจว่า
    ตัวเองมีอภิญญา ๕๕๕ ฮาก๊าก...
    แต่ถึงแม้ว่า มีสิ่งนี้ แต่จะขาดอย่างหนึ่งก็คือ กำลังจิต
    กำลังจิตนะไม่ใช่กำลังสมาธิ......
    มีให้เห็นได้ มากในกลุ่ม ลพ. มีชื่อ ในอดีต จ.อุทัยฯนั่นหละ
    คือ เป็นลักษณะความสามารถที่ รู้เอง เห็นเอง แต่ยาก
    ในการทำให้คนอื่นๆรับรู้และเห็นได้เหมือนตนเอง.....
    ไม่ค่อยอยากพูดมากเท่าไร...เพราะเท่าที่เจอ
    มักจะไม่ค่อยทำตามปธิทาน ที่ ลพ.ท่านตั้งไว้
    คือ ให้มาเน้นวิปัสสนา ตัดร่างกาย....
    แต่กลับพบว่า เอามาโชว์กล้าม เพื่อให้คนอื่นๆ
    มองว่าตนดูดี มีน้อยดวงจิต ที่จะทำเพื่อประโยชน์
    สาธารณะ

    และ ๒.กระแสสายพลังงานที่จะวิ่งตามแนวกระดูกสันหลัง
    ของเราผ่านขึ้นไปเชื่อมข้างบน โดยที่พลังงานเหล่านี้
    จะแยกเป็น ๒ สาย คือสาย ๒.๑ อาจจะเป็นพลังงานสายพระพุทธฯ ซึ่งถ้าใครมีเรามักจะเรียกว่าสายบารมีหรือบุญฤิทธิ์...โดยลักษณะพลังงาน จะเบา เร็ว นิ่ม เป็นเอกลักษณ์
    พบได้มาก ทางดวงจิต สายหลวงปู่ ชื่อ ย่อ ด ในอดีต
    ที่ปัจจุบัน มี ลต. ชื่อย่อ ม เป็นศิษย์เอกนั่นหละ ทางเหนือๆ...
    กลุ่มนี้ มักจะรับรู้ เรื่องพลังงานภายนอกต่างๆได้ดี....
    คือ พวกมองเห็นเส้นสาย หรือเห็นการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
    ได้นั่นหละ.....
    และ ๒.๒ คือแนวๆกระแสพลังงานที่น้องมี
    ซึ่งเป็นกระแสพลังงานในลักษณะแนวทาง พระโพธิ์ฯ
    มีเอกลักษณ์ ที่เด่นคือ เร็ว แรง หนัก. มีในครูบาร์อาจารย์
    ได้ตั้งแต่ท่านพระมหาฤษี. ฤษีต่างๆ เทพพรหมมีชื่อต่างๆ
    ห่มเหลืองบางท่าน
    หรือ ท่านที่แต่งชุดคล้ายคนจีน แต่งขาวทั้งชุด เรียกว่า
    ท่านที่มีปธิทาน ในการเสียสละมักจะ
    ชอบช่วยเหลือคนอื่นๆนั่นหละ

    ที่ชัดเจนสุด เช่น ลป.ต ที่สร้างพระเครื่อง
    ปัจจุบันองค์เป็นล้านนั่นหละ หรือเทพมีชื่อ ทางจีนทั้งหลาย....
    แต่ท่านพระมหาฤษีจะมาหนุนในเชิงเทคนิคคอลเทอม
    ในการใช้งาน...สนับกำลังเป็นระดับเทพพรหมมีชื่อ
    ซึ่งไปคิดเอาเองว่า ต้องมีนิสัยอย่างไรนะ ถึงจะเข้าถึงได้


    ซึ่งโดยปกติ ดวงจิตที่เคยผ่านการปฏิบัติอรูปฌาน
    แบบขึ้นรูปมาก่อน(ไม่ใช่อรูปฌานแบบไม่ผ่านรูป
    ที่คนไม่เคยฝึกก็เข้าได้นะ หรือนอนอยู่ก็เข้าได้คนละแบบนะ)
    หรือพวกที่ผ่านทางด้านกสิณ...
    จะต้องรู้และเข้าใจในเรื่องนี้เป็นปกติ
    เพราะมันเกี่ยวกับความสามารถในการเล่นกับพลังงาน
    ทั้งภายในและภายนอก. ภายใน มีจากกสิณ ๑๐ กอง
    หรือการไปเชื่อมต้นกระแสเพื่อกระทำบางอย่าง..
    ภายนอกมีทั้งพลังงานร้อนและพลังงานเย็น (จะเรียกปราณ
    เรียกจักรวาล เรียกหยินหยางก็แล้วแต่..)
    แต่ความสามารถที่จะเกิดปกติคือ จะสามารถ ดึง ดูด อัด
    คลาย ส่งพลังงานพวกนี้ได้เป็นเรื่องปกติ
    รวมทั้ง การเข้าถึงพลังงานในโหมดอรูป
    ไม่ว่า ความว่าง อากาศ หรือวิญญาน
    (ซึ่งปกติแล้วเวลาใช้งานมันไม่ได้แยกกัน)
    ดังนั้น ถ้าใครมาโม้ว่า เข้าฌานได้ระดับฌานแปดสิบ
    หรือโม้ว่าเข้าสมาธิระดับสุดยอดได้
    แต่ไม่เข้าใจหรือไม่มีความสามารถเรื่องพลังงาน
    อย่างที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า
    ให้ฟังธงไว้เลย ว่าเป็นระดับอุปจารสมาธิเท่านั้น
    แต่เข้าใจคลาดเคลื่อนหลงสภาวะหลงตัวเองอย่างแรง...
    คุยด้วยยากพวกนี้ ข้ออ้างมันเยอะ..
    เวลาให้แสดงความสามารถหละเงียบกริ๊บ เป็นเป่าสาก.....
    แต่เวลาคุยเนี่ยเก่งป่านระดับโลก.....
    แต่อย่าไปเบรคเค้าหละ
    เด่วเค้าจะเกลียดเอานะ ๕๕๕๕๕๕๕

    เมื่อก่อนถ้าย้อนไปประมาณ ๓ ไม่เกิน ๔ ปี
    การทำงานของ กระแสพลังงาน ๒ สายจะแยกกัน
    แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง(อย่าพึ่งรู้เลยตอนนี้)
    ทำให้กระแสพลังงานทั้ง ๒ ส่วนนี้ทำงานร่วมกัน
    ข้อดี...พวกที่เคยใช้งานทางจิต ก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น
    เบาขึ้น ใช้เวลาน้อยลงกว่าสมัยก่อนเยอะ....
    ตรงนี้จะเป็นที่รู้ๆกันเอง ในพวกที่ใช้งานทางจิต
    ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงาน....

    และคำว่า ขอบารมี มักจะใช้ตอนที่เราจะใช้ในการอุทิศ
    ส่วนกุศลเพื่อตั้งไว้ แล้วเอาบุญของเราที่เคยทำมาตั้งแต่
    ชาติต้นยันชาติปัจจุบันของเราไปรวมกับท่าน
    แล้วค่อยอุทิศส่วนกุศล....หรือไม่ก็ใช้ในกรณี
    ที่เราขอให้เข้าถึงบารมีธรรมของท่าน........
    จะไม่ใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองเพราะมันบาป
    แต่ให้ไปขอกับระดับที่ต่ำลงมา หรือระดับ
    ที่ท่านกำลังสร้างบารมีเรื่อยๆ
    แทนจะปลอดภัย.....ตรงนี้ต้องสังเกตุเอาเอง.....


    แต่ถ้าจะใช้ให้ก่อนเกิดประโยชน์กับตนเองแล้วนั้น
    ก็คือ การเข้าถึงต้นพลังงาน ทั้ง ๒ สายด้วยความปกติ
    ของจิตเราเอง ทุกครั้งในเวลาจะใช้งานทางจิต
    ทางด้านต่างๆที่มีประโยชน์แก่ผู้อื่นๆ
    หรือมีประโยชน์ทางธรรม
    หรือฝึกเข้าถึงเวลาใดก็ได้ ที่เราระลึกขึ้นได้
    เพื่อเป็นอุบายในการยกระดับภูมิจิตขึ้นชั่วคราว
    (ย้ำว่าชั่วคราว คล้ายๆพอได้ชิม แต่ไม่ให้ทานหมด
    อยากทาน ต้องเก็บตังค์ซื้อกินเอง การเก็บตังค์ซื้อกิน
    อุปมาได้กับการปฏิบัติ ให้เป็นไปเองโดยธรรมชาติ)

    เพียงแต่สิ่งสำคัญ
    ก็คือห้ามยึดติดเป็นอันขาด..เนื่องด้วยทางด้านพลังงาน
    เพียงฝ่ายเดียวไม่ถือว่าเป็นพุทธศาสนาโดยตรง

    เราจึงต้องโน้มเอากำลังทางด้านนี้
    มาต่อยอดทางด้านปัญญา
    เพราะจะได้เปรียบทางด้าน
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรม
    ถ้ารู้จักสังเกตุเพิ่มเติม
    ก็จะทำให้เข้าถึง สาเหตุของกระบวณการเกิด
    และสาเหตุของกระบวณการดับ ของจิต
    ได้ง่ายๆกว่า ดวงจิตทั่วไป และจะสามารถ
    เห็นได้ทั้งกระบวณการ ไม่ใช่ด้านใดด้านหนึ่ง
    เหมือนดวงจิตที่หนักไปทางสมถะฝ่ายเดียว
    หรือหนักไปทางวิปัสสนาฝ่ายเดียว
    หรือใช้เป็นกุศโลบาย ให้จิต
    สามารถเข้าสู่สภาวะในระดับสูง
    ที่ไม่สามารถฝึกเอาได้ทั้งหลาย
    เช่น อรูปฌาน ๔ หรือ สภาวะดับ
    พูดให้หล่อคือนิโรธฯนั่นหละ


    ประเด็นสุดท้าย ในประโยคสุดท้าย
    มันไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรหรอก...
    ประเด็นตอนนี้ แก้วิบาก
    และสร้างภูมิต้านทานให้มันดีเสียก่อน
    แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ในอนาคต.....
    ส่วนเรื่องที่เล่าให้ฟัง ก็ควรสนใจในประโยค
    รองสุดท้ายแทน เรื่องอื่นๆให้อ่านแบบงงๆไปก่อน
    อนาคตจะเข้าใจได้เองนั่นหละ......

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง......จบ

     
  18. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    .......อันนี้ขอกล่าวเรื่องสัจธรรม ย่อมอยู่เหนือโลก...เรามาอภิปรายมันก็ไม่ใช่สัจธรรม ทีนี้ ติดต่อกับพ่อแม่ครูอาจารย์สายกรรมฐานได้อย่างไร ขอตอบ กำลังใจ มีให้เห็นทั่วไปมีบันทึกไว้ในอดีต ทีนี้ ส่วนตัวก็เจริญสติ ครูอาจารย์สอนเช่นไร อย่างไร ก็เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ เพียงรู้ ทีนี้ระวังไว้ เพราะตัวรู้นั่นไม่ได้รวมกับวิญญาณตนเอง ส่วนตัวเพ่งมองแล้ว คือเงามืด วิญญาณเราไม่ได้อยู่รวมกับจิตพระอริยเจ้า(เรายังมีกิเลส) {อันนี้ขออธิบายนิดนึง ที่ครอบครู เป่ากระหม่อมขอเป็นครูเป็นศิษย์กันก็คล้ายกัน} ที่นี้ ทำไมกลายเป็นเงามืด ก็เรา สะอาด แต่ไม่บริสุทธิ์ ดังพระอริยเจ้า พ่อแม่ครูอาจารย์ท่าน ..วิญญาณ ก็เที่ยวออกไป ส่วนตัวในคือ ผู้รู้ ก็รวมอยู่ ที่กาย ฉะนั้น ต้องทำใจให้สะอาด ถึงจะเกิดการสื่อสารกันได้ เพียงนี้แล้ว ก็พิจารณาต่อไป วิญญาณมืดเนี่ย จริงแท้แล้วมันไม่ใช่เรา แต่ เที่ยวออกไป แต่จิต สะอาดอยู่ที่ตน กับ พระอริยสงฆเจ้า เมื่อวิปัสสนาถึงขั้นนี้ ก็เท่ากับว่าพิจารณาวิญญาณต่อไป ขอให้มีสติ สิ่งใดเกิดขึ้นก็ให้เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ ปล.หลวงตามหาบัวท่านเคยเทศน์ไว้ ถ้าเปรียบตัวรับกับตัวส่งคลื่นวิทยุตรงกัน ก็พอรับส่งกันเข้าใจกันได้ เข้าใจให้ดี ...ยังย้ำอยู่เสมอ ให้มีสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ อยู่ตลอดๆ. .จะเป็นอะไรก็ได้
     
  19. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    โห... ถูกใจ ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง......จบ มากเลยครับ 555
    ถึงจะงงๆ แต่ก็เห็นแววได้ว่าอนาคตจะได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง(ทั้งคนทั้งภพภูมิ)ไม่มากก็น้อย ตามแบบสายหลวงพ่อ ด. โพธิอยุธยา ที่ผมนึกภาวนาถึงเป็นประจำละครับ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ปล. คุยกับ จขกท
    จิตและกายนี้ไม่ใช่ของเรา
    เพราะถ้ากายเป็นของเรา
    ต้องบังคับไม่ให้มันแก่ได้
    ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยได้
    พูดถึงมนุษย์ทั่วไป

    ส่วนจิตก็ไม่ใช่เพราะถ้าใช่
    มันต้องทำตามเราได้ทุกอย่าง
    เช่น เราบอกว่าจะกินคะรี่
    มันต้องกินได้เลย แต่ที่มันไม่กิน
    เพราะมันมีตัวหนึ่งคือสัญญาในจิต
    ที่มันรู้ว่าคะระรี่ มันกินไม่ได้
    เปรียบให้พอฉุกคิดเห็นภาพชัดๆ

    หรือเห็นโต๊ะ การทำงานคือ
    ตัววิญญาณส่งจากจิต ผ่านตาไปกระทบ
    เก้าอี้เรียกถูก เพราะมีสัญญาเนื่องจากเคยเห็นเคยได้ยินมาในอดีต นี่ก็ไม่ใช่
    เครื่องรู้อะไร เป็นธรรมชาติการปรุง
    ร่วมกับสัญญาของมัน

    ยากมาหน่อย ทางนามธรรม
    เราเห็นเทวดา การทำงานคือ
    ตัวจิตส่งตัววิญญาณไปเชื่อมกับ
    สัญญาที่ส่งเป็นกะแสมาจากภายนอก
    มาเชื่อมกับสัญญาที่เกิดจากในจิตเรา
    แล้วสร้างเป็นรูปร่างแบบนี้
    ตามสัญญาในจิตเรา
    ก็เพื่อทำให้เราเรียกถูกว่าอะไร
    นี่ก็ไม่ใช่เครื่องรู้อะไร
    เป็นการทำงานปรุ่งแต่งปกติของมัน

    ยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจ
    ๑.ให้ผู้ดูเป็นคล้ายๆฝ่ามือ
    ๒.ให้จิตเป็นดวงกลมๆ
    ๓. ให้ผู้รู้เป็น กะแสหรือตัววิญญาณ
    ที่เป็นเส้นๆส่งออกจากจิตนะ

    ถ้าเราหนักทางสมถะ
    เราจะเห็น๑.คล้ายฝ่ามือ
    มันกำลังมอง๒.ดวงจิตได้
    แต่จะไม่เห็น ๓.

    ถ้าเราหนักทางวิปัสสนา
    เราจะไม่เห็น๑.คล้ายฝ่ามือ
    แต่จะเห็น ๓.ที่ส่งออกจากจิต

    เห็นมุมในการเห็นไหม

    และถ้าหนักสมถะ ก็จะเข้าใจว่า
    ๒.ดวงจิตนั้นเป็น ๓ และจะเข้าใจว่า
    สิ่งที่ แท้จริงเป็น ๓ ออกไปกระทบนั้น
    เรียกถูกนั้น เป็นเครื่องรู้ ผู้รู้ การรู้
    สิ่งรู้ไปเรื่อยเปื่อย พูดง่ายๆเข้าใจ
    การรู่สิ่งที่กระทบเป็นการรู้จากจิตซะงั้น
    และกลายเป็นผู้วิเศษ มีความสามารถซะงั้น

    และถ้าหนักวิปัสสนาอีก
    เนื่องจากไม่เห็น ๑.คล้ายๆฝ่ามือ
    ก็จะมาเข้าใจอีกว่า ๑ฝ่ามือ กับ ๒ ดวงจิต
    เป็นตัวเดียวกันอีก และเข้าใจว่า
    ๒ที่รวมกับ ๑ เป็นผู้รู้ เครื่องรู้ การรู้วิเศษ
    ไปเรื่อยเปื่อยอีกเพราะ เข้าใจไปอีกว่า
    ไอ้กระแส ๓ ที่มันไปกระสิ่งต่างๆ ไม่ว่าทางรูป ไม่ว่าทางนามนั้นเป็น ผู้รู้จริง เข้าใจว่าตน
    บรรลุอีก ปวดกะบาลแทน

    เรียกว่า ถ้ามีสองคนที่หนักไปคนละด้าน
    ให้มาคุยกัน ชาตินี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่อง
    เพราะเห็นคนละมุม ต่างคนก็ต่างยึด
    ในมุมที่ตนเห็น ถามว่าผิดไหม
    ไม่มีใครผิดถูกหรอก แต่จะพลาดทันที
    ถ้ายึดว่าเป็นที่สุด ไม่ว่าจะหนักทางด้านไหน


    เพราะอะไรรู้ไหม เพราะต่อให้เราเห็นทั้ง
    ๑ ๒ และ ๓ แท้แล้ว มันก็ยังเป็นกระบวนการ
    ปรุ่งแต่งอย่างหนึ่งธรรมดาของจิตอยู่นั่นอยู่

    สังเกตุไหมว่า เรายังไม่รู้เลยว่า
    ว่าสาเหตุอะไร ที่มันทำให้เกิด
    กระบวนการ ๑ ๒ และ๓ ขึ้นมา
    เพราะ มันเกิดไปแล้ว การไปเสร่อ
    เห็นได้ในกระบวนการที่เกิดอยู่
    มันจะเป็นการรอบรู้ได้ไง มันยังอยู่
    ภายใต้ตัววิญญาณที่ทำให้เรียกถูก
    อยู่ภายใต้ตัววิญญาณที่สร้างมาให้เราเห็น
    มันแค่รู้ เห็นในมุมที่เกิดไปแล้ว
    แต่ยังพากันเข้าใจอีก ว่าเป็นเครื่องรู้
    เครื่องรู้ การรู้วิเศษ พูดไปเรื่อยเปื่อย


    แต่ดันมี นาย แนน จันทบุรี
    ดันจะมาแนะมาสอน ในเรื่อง
    การพิจารณาตัววิญญานห้าเหว
    ที่เป็นเหตุในกระบวนการเกิด
    ที่เห็นต่างมุมมอง เถียงกันแทบตาย
    ในดวงจิตที่หนักทางสมถะและวิปัสสนาอีก
    มันเกิดไปแล้วจะไปพิจารณาทำมะเขืออะไร
    โน้นมันต้องไปค้นเหตุที่มันเกิด
    และเหตุที่มันดับ ถึงจะมีประโยชน์
    ในการละคลายตัวยึดเกาะต่างๆที่ทำ
    ให้จิตมันเกิด


    ที่สำคัญดันไปอ้าง อดีต ลต มีชื่อ
    ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศทางการสอนทางด้าน
    ปัญญามาเสริมในมุม ที่ตนเองเห็นเพียงแค่เสี้ยวให้ท่านเสื่อมเสีย เพื่อเสริม
    สภาวะที่ตนเองเข้าใจ ณ ปัจจุบันอีก
    กลัวคนอ่านไม่เชื่อถือหรือไงครับ


    ปล พูดแต่ในมุมที่ตนรู้ก็พอ
    เอาพองาม และก็อย่าเนียนวิธีที่ตนรู้
    นำรวมได้ทุกเรื่อง แยกเป็นเรื่องหน่อยครับ
    ที่ส่วนตัวพูดข้างบนแค่การเห็นในมุมหยาบๆ
    ยังไม่ได้เศษของเศษเสี้ยว ลพ ตาเลย
    ไม่กล้าเอาท่านมาอ้างให้เสื่อมเสียหรอกครับ
    ถ้าจะอ้าง ก็ยกธรรมท่านมาทั้งบริษทเลยครับ

    ไอ้นี่เห็นแค่เศษเสี้ยว แต่ดันอ้างระดับ
    โปรซีรีย์ ที่ได้รับการยกย่องทั้งวงการผู้มีคุณวิเศษและปัญญาญานทั้งหลาย
    ดันเอามาเพื่อยกความคิดตนเอง
    ที่เห็นแค่เศษเสี้ยวของท่าน
    สกด คำว่าละอายใจบ้างนะครับ


     

แชร์หน้านี้

Loading...