การเดินญาณสู่การรู้การเห็นในจิตอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แนน จันทบุรี, 22 มิถุนายน 2018.

  1. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ...เรียนถามท่านที่ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ใช้วิธี อย่างไรกันบ้าง ในการปฏิบัติธรรมเพื่อการเดินญาณรู้จิตรู้ใจตน กรุณาจำแนกให้ด้วย ว่าใช้วิธีอย่างไร เช่น กสิณ บริกรรมภาวนา รึวิธีต่างๆ อย่างไร ได้ผลเป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไรบ้าง ใครปฏิบัติ เช่นไรอย่างไร กรุณาแนะนำสั่งสอน มาด้วยเพราะ ส่วนตัวยังทุกข์อยู่ แต่ให้ทุกข์เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ ใครมีวิธีลัด วิธี อย่างไรกรุณาบอกกล่าวอธิบายให้เข้าใจด้วย...ยิ่งท่านใดเดินญาณสู่ผู้รู้บังคับผู้รู้ได้นี่ยิ่งดี เพราะส่วนตัวผู้รู้นี่บังคับได้บางครั้งบางคราว อธิบายวิธีมาพอให้เข้าใจ ต่างๆนา โมทนา...
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ถ้ามี ทิฏฐิว่า ผู้รู้บังคับได้เนี่ยะ เกรงว่า พอบอกวิธีไปแล้ว
    จขกท จะวิ่งขึ้น สน. ไปจดบันทึกประจำวัน จับ ผม อะซี่

    เพราะ เวลาบอกแล้ว มันจะต้องไป ค้าน กับ ความสามารถ ที่ จขกท
    สำคัญอยู่ว่า เอ้ย ku ทำได้ นะเว้ยเฮ้ย อย่ามา เกทับ กัน

    นะ

    เกริ่นไปงั้นแหละ เพราะ ยังไง ธรรม ก็เป็นของกลาง เมื่อมีการ
    ถามมา ก็ต้องมี การตอบไป แล้ว เรื่องของการจะเป็นยังไงก็
    ต้องปล่อยไปตาม อำนาจเมตตา ของผู้ รับสาร

    อนึ่ง พึง ทราบนัยยะของคำว่า " นมสิการ " เข้ามาก่อน คำว่า
    นมสิการ นั้น หากพิจารณาให้ ลึกซึ้ง นุ่มนวล ควรแก่การงาน
    จะไม่มีรสไปทาง บังคับได้ แต่จะมี ลักษณะ อ่อน น้อมรับ หน่อยๆ

    เหมือน สนามแรงดึงดูด gravity field การที่ เทหะวัตถุ ใหญ่ขนาด
    โลก แล ดวงดาว รวมทั้ง ดาราจักร แล กาแลคซี่ ตกอยู่ใต้อำนาจ
    การเวียนวน ล้อมรอบ ไม่ใช่เพราะว่า มีอะไร บังคับอะไร แต่
    มันจะมี ลักษณะ น้อมลง บุ๋มลงหน่อยๆ ทำให้เกิด สนามแรงโน้ม
    ถ่วงดึงดูดธาตุ สรรพธาตุ ให้วนล้อม เหมือนอยู่ใน อำนาจ

    นมสิการ จึงไม่ใช่ รส ทาง บังคับเอาได้

    นมสิการ อุปมา จะต้อง ไม่กระด้าง มีความนุ่มนวล แต่ไม่หน่อมแน้ม

    ถ้า จขกท พอจะโน้มน้อม ใคร่ครวญให้แยบดาย ใน นมสิการ ดังกล่าวได้

    ก็ ทำความเข้าใจต่อยอด จากที่ ปรารภว่า ......

    " เพราะ ส่วนตัวยังทุกข์อยู่ แต่ให้ทุกข์เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ " ( คำพูดของ จขกท )

    จาก คำปรารภข้างบน จะถูก หรือ ผิด จขกท รู้เข้ามาซื่อๆ รวมว่า เนี่ยะ "ญาณ"

    เน้นนะว่า ให้กำหนดรู้ว่า ญาณ มีอย่างนี้ๆ มีแล้ว ในจิต ไม่ใช่ ไม่มี

    ทีนี้ เราจะอาศัย "ญาณ" ที่ปรากฏตรงนี้แหละ แสดงสภาวะ เกิด ดับ

    เพื่อเห็น ความไม่เที่ยง ของ ญาณ ที่ปรากฏ ( หาก มี ญาณเลิศกว่านั้น เช่น
    เหาะได้ หายตัวได้ ดำดิน แตกกายเป็นพัน ฯลฯ ) ก็ว่ากันไป ตามนั้น แต่ให้
    ยกเห็น ความเกิด ความดับ ของ ญาณ นั้นๆ

    เห็น ญาณดับ แล้วได้อะไร

    ญาณ มันมีเหตุเกิด และ พอหมดเหตุ ญาณ มันต้องดับ...................( 1 )

    ญาณ มันเกิดลอยๆ ไม่ได้ มันต้องอาศัย ภาชนะ อย่างหนึ่ง ในการตั้งขึ้น.........( 2 )

    ญาณ นั้นโดยธรรมชาติ เมื่อมันตั้งขึ้น มันก็ควรจะ คงอยู่ แต่ ร้อยละร้อย ยังไงก็ต้องดับ .....(3)

    ที่ ทุกอย่างๆ ดับ ไม่ใช่ เพราะ เราไม่รู้เหตุ ของการฝึกให้มี แต่ ที่มันมี แต่แล้ว
    มันดับ1000% ก็เพราะว่า ไอ้ ตัว ภาชนะ ที่ใช้ อาศัยตั้งขึ้น นั่นแหละ มันเป็น มหาเหตุ
    ของความไม่เที่ยง

    นะ

    ถ้า จขกท อาศัย ญาณทัศนะ จะวิเศษขนาดไหน ตะเอาไว้ เพราะ เราจะเอา
    มาพิจารณา กายคตาสติ การอาศัย " ประชุมตั้งขึ้น(บาลี เรียกว่า กาย)" แล้ว
    ก็เป็น สังขตธรรม ยังไงมันก็ต้องดับ ........เพื่อ ทวนกระแส ไปเห็น มหาเหตุ
    ตัว ภาชนะ ตัวร้าย ที่หลอกเรา มานานแสนนาน ว่ามัน บังคับได้ มันเป็นเรา
    มีเราในมัน ..........ผั๊วะ มันดับ อะไรดับ ภาชนะดับเรื่องของมัน หน้าที่
    ของมันคือ ดับ เห็น ภาชนะดับ ใช่ว่าจะแจ้งธรรม เพราะ ธรรมจริงๆนั้น
    เขาเห็น อุปทานขันธ์ ดับ หรือ ไม่ดับ เป็นไหม ถ้าไม่เป็น ก็ไร้สามัญผล
    ไม่ว่าจะเหาะเหินได้ คล่องแค่ไหนก็ตาม ( กาฬเทวินดาบษ เหาะไป นอนใน
    สวรรคิ์ได้ด้วยกายเนื้อ มี พันธมิตรเป็นเทวดา และ พรหม แต่ ไร้สามัญผล )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2018
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    เห็นทุกข์แล้ว ต้องเห็นความตายด้วย มรณานุสติไปเลย คิดได้เมื่อไร ทุกข์หายไปเยอะ

    ปล่อยวางเมื่อไร ลองคิดว่า ไม่อยากกลับมาเกิดอีก ขอยึดพระรัตนตรัยนำทางไปตลอดชีวิต
     
  4. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ไม่ยึดมั่นอุปทานจิต ไม่เกาะเกี่ยวตันหา ก้จะเห็นจิตเกิดดับ แบบไม่ทุขทนครับ ท่าเห็นจิต+ยึดอุปทาน ก้ติดอยู่กับทุขจนกว่าจะปล่อยแล้วจางคลาย ท่าเห็นแล้วรู้ทันมันวางเลยไม่ติดเพลินไม่จมครับ
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ตรงเนี่ยะ ยกเห็น ทุกขาปฏิปทา กับ สุขขาปฏิปทา เข้ามา

    รู้ช้า รู้เร็ว จะเป็น ตรงรู้ " ความเพลินใน อุปทาน "
    อีกที ไม่ใช่แค่ "รู้อุปทานขันธ์" แล้วนะ

    พระสารีบุตร จะได้มา ยิ้ม ....... ( หลวงปู่ดูลย์ บอกว่า ให้ .....ทิ้งเสีย )
     
  6. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ...ท่านคงจะหมายถึงพิจารณาจิต กับกาย หรือใช้พิจารณากาย...
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    แป่ว แหว่ว แหว่ว แหว่ว ...

    มาแนว พระป่า ยัด พระไตรปิฏกใส่ตู้ลั่นกุญแจ อีกแระ

    การ ถอยจิตจากสมาธิอัปปนานง อัปปานา ที่ พระท่านชอบสอน ม้างกายๆ

    หากไป ไขลิ้นชักเอา พระไตรปิฏกมาอ่าน จะเห็นว่า การพิจารณากาย
    นั้นเป็นเรื่อง " สมาธิเพื่อการขัดเกลา อัสสมิมานะ " พูดในแง่ ภาษา
    ปัจจุบัน คือ การแก้การยึดถือจิตเที่ยงไม่เกิดไม่ดับ ที่ปรารภกันผิดๆ

    นะ พอแก้ ทิฏฐิที่เห็นผิด ปรารภผิด ( ด้วย การภาวนามัยยปัญญา สุตตมัยย
    กระทืบเหยียบไว้ ) มันก็พอกล้อมแกล้ม .....เสร็จแล้วก็ไป ปรารภกันว่า
    " จิตนิ่ง จิตว่างไม่มีเหตุไม่มีผล " ( ก็ แน่หละ มันเป็นแค่ สมาธิเพื่อละอัสสมิมานะ
    ไม่ใช่ สมาธิเพื่อ ละอาสวะ )

    ดังนั้น

    จขกท ก็ พิจารณาเอาว่า ตนเป็น พวก "กายสักขี " มี อภิญญาคล่อง บ้างสัก
    อย่างสองอย่างไหม คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก ทำ อภิญญานั้นนี้ได้

    ถ้าได้ ก็ไม่ว่ากัน ที่จะ มะงุมมะงาหรา ด้วย ภาวนามัยยะ จน ช้างรอดรูเข็ม ฮืดจับ อ้อมโลก

    แต่ถ้าไม่มี อภิญญาอะไร อันนี้ให้รู้ซื่อๆ จิตไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เข้ามาเลย
    อย่าไป เอา NGO ดะดันภาวนายัดแหม่ แบบนั้น
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    นะ

    ถ้า มีอภิญญา แจ่ม แบบคู้แขนเข้า เหยียดแขน ออกคล่องตัว ไม่อุปทาน ไม่ฮืดจับ

    ก็ ห้ามหน่าคร้าบ ในการ ฟาดเข้า " จิตไม่เที่ยง " เพราะ มันจะไม่ได้

    NGO แล้ว ก็ต้อง NGO ต่อให้สุดทาง ทางใครทางมัน

    อันนี้ ก็ต้อง ทำความเข้าใจด้วย
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    อย่ายึดในสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็นผู้รู้(พลาดยกแรก)
    ยิ่งเข้าใจว่า เดินญานหรือฌานอะไรนี่ก็พลาดซ้ำสองอีก
    ซึ่งมันยังไม่ใช่หรอกครับ มันมโนทั้งนั้นหละ
    เพราะ มันเป็น
    แค่กระบวณการที่มันเกิดไปแล้ว ไปบังคับมัน
    ก็เสร็จมันซิครับ เรียกว่า ตายคาที่...ที่เข้าใจอย่างนี้
    มันฟ้องว่าเราอ่อนสมถะและหนักวิปัสสนามากไป
    แต่หลังๆจะเริ่มเป็นวิปัสสนึกแระ...ดังนั้น
    หาความสมดุลย์ตรงนี้ให้เจอ
    ไอ้เครื่องระลึกสติ โดยเอาทุกข์มาเป็นนั้น
    มันเป็นเพียงแค่การสร้างแนวทางเดินให้จิตเฉยๆ
    มันไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโสอะไร อย่าไปยึดเอาคำสอนตรงนี้
    มากไป แล้วเอามาเป็นแนวทางของตนเองโดยไม่วาง
    ด้วยตัวเอง เอาไว้เป็นแค่อุบายไว้เตือนจิตตนเองก็พอ จบ

    และฝึกไปเรื่อยๆ อย่ายึดในนามธรรม และวิธีการของตนเอง
    จนกระทั่ง สามารถ ที่จะเห็น
    กระบวณการ ทั้ง ผู้ดู จิต และผู้รู้ ให้ได้ก่อน
    ถ้าอ่านแล้วยังงงๆ แสดงว่า ยังฝึกไม่ถึง...

    และก็ถอยมาสังเกตุเหตุที่มันเกิดให้ทัน
    และสังเกตุเวลาที่มันดับและเหตุที่มันดับให้ทัน

    ก็จะเริ่มเห็นได้ ว่า ทั้ง ผู้ดู จิต และ ผู้รู้
    แท้จริงแล้วมันคนละตัวกันเลย ย้ำว่าคนละตัวไม่เกี่ยวกันเลย
    และมันก็ยังเป็นกระบวณการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่
    แสดงว่า ไปยึดมันไม่ได้เลยซักตัว....


    การที่เข้าใจว่า จะไปบังคับ ทั้งผู้ดู จิต. หรือ ผู้รู้
    ตัวใดตัวหนึ่ง. นั่นหมายความว่า
    เราติดกับดักมันแล้ว และก็ยึดมันเข้าไปแล้วเข้าใจไหม

    เพราะไม่ว่า คุณ จะเห็น ได้ ทั้งผู้ดู จิต ผู้รู้ ได้ทั้ง ๓ ตัว
    ไอ้ทั้ง ๓ ตัวนี้ มันก็เป็นแค่กระบวณการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่
    และอย่าไปเผลอเข้าใจว่า เป็นคุณวิเศษ เป็นฌาน ญานอะไร
    เพราะมันไม่ใช่ครับ...มันเอาไว้หลอกเด็กๆ
    ที่ยึดติดกับ ความสามารถทางด้านนามธรรม...


    เพราะในกระบวณการ
    ของไอ้ ๓ ตัวนี้ ไม่ว่า ผู้ดู จิต ผู้รู้ มันสร้างให้เหมือนว่า
    เรามีความพิเศษทางด้านนามธรรมได้ปกติ
    ....
    แต่มันสร้าง มาจาก ตัวสัญญาลึกๆในจิตใจเราเองนั่นหละครับ
    ไม่ใช่แบบสากล ดังนั้น การที่เราเข้าใจว่าเรารู้ มีอะไรพิเศษ
    ในระดับนี้นั้น มันจึงเป็นตัวขวาง การไปเห็น
    กระบวณการทั้งหมดได้. เวลาจะใช้งานแต่ละที
    มันเลยต้องทำให้เรา มีลีลา ท่าทางประกอบการใช้งาน
    ที่เยอะแยะมากมาย ตามแต่สัญญาลึกๆในจิตเรา
    ที่จะดึง สัญญาอีกตัวออกมา แสดงให้เห็นว่าใช้งานได้นั่นเอง
    เรียกว่า ติดกับดักรอบ ๒ ซ้ำลงไปอีก
    จากการที่ ติด ๑ ใน ๓ ในระหว่างกระบวณการนี้......

    ดังนั้น อย่ายึดในรูปธรรมใดๆ
    และอย่ายึดในนามธรรมใดๆเป็นอันขาด
    แม้จะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ยึดไม่ได้
    แบบเห็นในสมาธิหรือหลับตาเห็น ยิ่งอย่าเอามาพูด
    มันคือยังห่างไกล โลกแห่งความจริง...

    ถ้าจิต ยังไม่เห็นทั้ง ๓ ตัวไม่ว่า ผู้ดู จิต ผู้รู้
    มันเป็นแค่กระบวณการปรุงแต่งปกติ(ย้ำว่าปกติ)อย่างหนึ่ง
    และมันเป็นคนละตัวกันเลย..
    จะปลอดภัยทั้งกายและใจตนเอง จบ...

    วิธีการฝึกมีเยอะแยะ อ่านมาก็เยอะ
    แต่อย่าไป ตีความ วิเคราะห์เอา..
    ไปปรับและฝึกเอาเอง
    ควรรู้และ...เอาประเด็นสำคัญหลักๆ
    ให้เข้าใจพอ..
    ไม่งั้นเด่ว ปริยัติจะอาพาธ
    ปฏิบัติจะอาเพธ
    ปฎิเวธจะอาภัพเหมือนในอดีตอีก..... จบ

    ยังดีที่ไม่ใชว์โง่ เหมือน ไอ้คนที่มัน
    ไปตั้งกระทู้แล้วล๊อกกระทู้ว่า ปริยัติ ปฎิบัติ ปฏิเวธ
    เป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งๆที่ วิเคราะห์เอา
    จากการปฏิบัติ....ที่ ใช้ชื่อ poon-pan
    กำลังรอมันมาแย้งอยู่...

     
  10. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ....อย่างนั้นได้ก็ดีนะครับ...
     
  11. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ...ขออภัยท่านผู้รู้ด้วยเนื่องด้วยการปฏิบัตินั้นๆมีแต่ พุท โธ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ทีนี้ การรวมระหว่าง ศีล สมาธิ ปัญญา เราไปนึกเอาไม่ได้หรอก เค้ารวมของเค้าเอง นี่ไม่ใช่ข้อโต้แย้งนะครับ แต่เมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญารวมพร้อมลงที่จิตเค้าจะเป็นของเค้าเอง ที่บอกว่า มีแต่พุทโธ นั้น เพราะ มีเพียงลมหายใจ กับ คำบริกรรมภาวนา แค่นี้ แล้วเรื่องอื่นจะไปนึกคิดยังไงเล่า ทีนี้จะกล่าวทางปฏิบัติจะตรงข้ามปริยัติซะทีเดียวก็คงไม่ได้ จะยึดปริยัติโดยไม่ปฏิบัติเลยมาถูกทางแล้วหรือ คิดเอาว่าละน่ะ ใครไปตรวจศีล ล่ะ เอาล่ะ ถ้าละได้จริงขอโมทนา และขอย้ำไว้ว่า ยังไงก็ใช้วิธี สมถะ และ วิปัสนากรรมฐาน จึงจะเห็นสัจธรรม..อันนี้ไม่ใช่รับไม่ได้ ขออภัย และฝากไปพิจารณา...
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ เอาเฉพาะ "ปฏิบัติ" นะ พวก "ทฤษฏี+ความเชื่อ" ไม่เอา ตามนี้นะ
    +++ ท่อนนี้ "ขอแก้คำศัพท์ภาษา" ก่อนนะ

    +++ "ญาณ (รู้/สภาวะรู้)" เป็นสิ่งที่ "เดินจิต" ไม่ได้ แต่ "การเดินจิตทั้งหมด ถูกรู้ ได้ด้วย ญาณ"

    +++ อาจแปลกใจอยู่บ้าง ที่ความเป็นจริงออกมา "กลับทิศ" กับความเข้าใจ

    +++ อ่านซ้ำอีกที ก็จะ "รู้" ได้ทันทีว่า "คำตอบตามความเป็นจริง" มันอยู่ที่ "การเดินจิตทั้งหมด ถูกรู้ ได้ด้วย ญาณ" ไม่มีการ "เดินญาณเพื่อรู้จิต" แต่อย่างใดทั้งสิ้น
    +++ จริง ๆ แล้ว "ไม่จำกัดวิธี" เพราะ "ทุกวิธีล้วนเป็น การเดินจิต" ที่ รู้ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่มัวไป "เพ่ง" เสียก่อน
    +++ ทุกวิธี เป็น "การเดินจิต" ทั้งสิ้น
    +++ แล้วแต่ "การเดินจิตเข้าสู่ ล้วน ๆ" สุข/ทุกข์

    +++ ชะลอหรือหยุด การเดินจิต มักจะได้ผลเป็น "สุข"

    +++ เคร่งเครียด กับการเดินจิต มักจะได้ผลเป็น "ทุกข์"

    +++ แผ่ขยาย "จางคลาย" ตัวจิต ได้ผลเป็น "สุข"

    +++ รวมศูนย์ตัวจิต เพ่งจุด ได้ผลเป็น "ทุกข์"

    +++ ตรงนี้เป็น "เบสิกหยาบ ๆ เฉย ๆ" แต่เป็น "ความจริง" ทั้งหมด

    +++ อยากทราบว่า "จริง/เท็จ" ก็ต้อง "ลองทำดู" ด้วยตนเอง
    +++ ผมเริ่มที่ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" ที่เรียกว่า "สัมปชัญญะเต็มกาย" นั่นแหละ

    +++ อยู่กับมันไปเรื่อย ๆ ไม่กี่วัน ก็จะได้ "โพชฌงค์ ทั้ง 7" มาเอง

    +++ ถึงตรงนี้แล้วค่อย "ว่ากันใหม่" ก็แล้วกันนะ
    +++ เส้นตั้งฉากเป็นเส้นที่สั้นที่สุดฉันใด การทำให้ "ตรงทาง" ก็ย่อมเป็น "วิธีลัด" ที่สุดฉันนั้น

    +++ การให้ทุกข์เป็นเครื่องรู้ของจิตนั้น ก็ทำได้ แต่ "อย่าให้อิทธิพลของทุกข์ ครอบงำจิต"

    +++ ให้ "รู้" ทุกข์+อิทธิพลของมัน ณ ขณะที่ "รู้รอบอิทธิพลของมัน" ก็จะ "รู้" ได้เองว่า "รู้ นั่นแหละคือ ญาณ"
    +++ ผู้รู้ของคุณ ยังมีอาการ "เป็นตัวเป็นตน" อยู่

    +++ สำหรับผมแล้ว ถือว่า "นี่เป็นอาการ ผู้รู้จอมปลอม"

    +++ ผมเรียกมันว่า "ตัวดู" ซึ่งชอบมี "สันดาน" มองหากิเลส เป็นประจำ

    +++ จากนั้นก็ทำการ "ดู/เพ่ง แล้ว จุติ" ไปยังสิ่งที่ "ชอบดู"

    +++ ดังนั้น ผู้รู้ในภาษาของคุณ (ไม่ใช่ในภาษาของผม) เป็นสิ่งที่ "ควรทำลายทิ้งให้สิ้นซาก"

    +++ หลังจากที่มัน "เกิดมาใหม่แล้ว" จึงค่อย อบรมสั่งสอนมัน ทีหลัง

    +++ ให้รู้จัก "กระบวนการเกิด ของตัวมันเอง"
    +++ "ผู้รู้ ในการใช้คำศัพท์ของคุณ" สามารถ "บังคับได้" หากมี "สติรู้ (สภาวะรู้/ญาณ)" เป็นพี่เลี้ยงอยู่

    ====================================

    +++ การฝึก "สติรู้/สภาวะรู้/ญาณ" ทำได้ดังนี้

    +++ หากจะเอาเฉพาะ "สติรู้" ก็ให้ทำการ "รู้รวมทั้งตัวไว้เฉย ๆ" ให้รักษาระดับ "รู้ทั้งตัว ตลอดเวลาที่ฝึก"

    +++ สิ่งที่ถูกรู้จะเป็น "กายคตาสติ" ที่ตรงกันกับ ลิ้งค์ข้างล่างนี้

    https://th.wikisource.org/wiki/กายคตาสติ

    +++ การฝึกให้ทำการ "รู้รวมทั้งตัวไว้เฉย ๆ" ให้รักษาระดับ "รู้ทั้งตัว ตลอดเวลาที่ฝึก" ไว้ให้ได้

    +++ จะสังเกตุได้เองว่า "สติรู้" จะเป็นอาการ "ตั้งกายไว้ในจิต" โดยตรง


    +++ การฝึก "รู้สึกทั้งตัว/สัมปชัญญะ/โภชฌงค์" ทำได้ดังนี้

    +++ ให้ "รู้สึกรวมทั้งตัวไว้เฉย ๆ" ให้รักษาระดับ "รู้สึกทั้งตัว ตลอดเวลาที่ฝึก"

    +++ สภาวะที่จะเกิดขึ้น คือ "สติรู้" จะเป็นอาการ "ตั้งจิตไว้ในกาย" โดยตรง

    +++ ตรงนี้จะ "กลับกันกับ กายคตาสติ" และเป็น "สติในภาคของ สัมโภชฌงค์"

    +++ ซึ่งจะเป็นการ เอา "สติรู้สึก เป็น สังขาร" "โพชฌังโค สะติสังขาโต"


    +++ ให้ "รู้สึกทั้งตัว ตลอดเวลาที่ฝึก" และใช้ "ระดับของความรู้สึก" เป็น "อุปกรณ์ในการฝึก"

    +++ ใช้การ "รูัสึก-รู้ ระดับการเปลี่ยนแปลง ของความรู้สึก" เช่น "เข้มข้น/เจือจาง ต่าง ๆ" เป็นการวัด "ค่าตัวแปร".

    +++ ใช้ "รู้สึกรู้" สังเกตุถึง อาการที่เป็น "บ่อเกิดของ ความแปรปรวน ของความรู้สึกตัว"

    +++ ก็จะ "รู้สึกรู้" ได้ว่ามันเป็นอาการที่เรียกว่า "กิริยาจิต" นั่นเอง

    +++ ถึงท่อนนี้ ก็จะได้เต็มบทสวดในท่อน "โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา"


    +++ ทำการ "รักษาระดับ ความรู้สึกทั้งตัวเอาไว้" จนอาการ "อยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้" แล้วอาการของ "กิริยาจิต" จะสงบคลายตัวไปเอง

    +++ การรักษาระดับเป็น "วิริยะ" อาการอยู่ได้จนพอใจอยู่เป็น "ปิติ" อาการกิริยาจิตสงบลงตัวเป็น "ปัสสัทธิ"

    +++ ถึงท่อนนี้ ก็จะได้เต็มบทสวดในท่อน "วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร"


    +++ ให้ "แช่อยู่อย่างนั้น" อาการ "ตั้งมั่น" จะปรากฏมาเอง ตรงนี้ คือ "สมาธิของโภชฌงค์"

    +++ ถึงท่อนนี้ ก็จะได้ ถึง บทสวดในท่อน "สะมาธุเปกขะโพชฌังคา" ตรงนี้เป็น ตัวที่ 7 ของโภชฌงค์


    +++ เริ่มจาก 1. รู้สึกทั้งตัว 2. รู้เหตุแปรปรวนของความรู้สึก 3. รู้กิริยาจิตต้นเหตุการแปรปรวน 4. รักษาระดับความรู้สึก 5. จนอาการ "อยู่" อย่างนี้ก็อยู่ได้ 6. อาการ "สงบจิตสงบกาย" ปรากฏ 7. อยู่จนอาการ "ตั้งมั่น" ปรากฏ

    +++ ส่วนอานิสสงค์ของ "โภชฌงค์ 7" ก็ให้ไป กูเกิ้ล อ่านเอานะ
    +++ คงเพียงพอต่อการ "อธิบายวิธีมาพอให้เข้าใจ" ตามที่คุณขอมา นะครับ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ผมไม่รับพิจารณาอะไรกับคนที่
    สมองด้านซ้ายเสื่อมหรอกครับ
    สมนะน้ำ อ้างแต่ระดับโปรซีรีย์มาก
    แล้วไม่เจียมการปฏิบัติตนเอง
    เอามาเสริมความคิดตนเอง สม มะ มา คุณ เด้อ

    ถามจริงๆอ่านไม่รู้เรื่องใช่ไหม ๕๕๕
    พูดเรื่องอะไรครับ เฟ้อเจ้อ ฟุ้งไปเรื่อย สติเริ่มไม่
    ดีแล้วใช่ไหม ไปทำอะไรมาอีกหรือเปล่า คริคริ
    มันเลยส่งผลต่อสมองฝั่งซ้าย
    อิอิอิอิ(ปกติส่วนตัวแค่สองอินะ)
    เคสคุณเนี่ย วิบากส่งผลเร็วเนาะ ...


    คุยเรื่องมะพร้าว แต่ตอบเรื่องทุเรียน
    คุยเรื่องรถยนต์ แต่ตอบเรื่องเครื่องบิน เห้ย!!!


    พูดดีๆด้วยแต่ไม่เข้าใจเนาะ คุณเนี่ยต้องใช้วิธีตรงๆเนาะ
    เด่วจัดให้นะ ในฐานะ ที่โง่ซ้ำซ้อน

    ส่วนตัวนึกว่า ไอ้คนที่ตอนแรกมันเปิดตัวทางด้านวิปัสสนา
    แล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งมาโชว์ความสามารถระดับหางอึ่งอ่าง
    เพื่อหมายที่จะให้คนเข้าใจว่า มันมีอะไรเหนือกว่าใคร
    ด้วยการดูพระเครื่องด้วยรูปภาพ แล้วปากมันชอบอ้าง
    ลพ. ล มีชื่อในอดีตและท่านอื่นๆ มันจะเก่งกว่านี้

    ไม่นึกว่า
    นอกจากจะกระจอกแล้ว ยังเจือกโชว์โง่ได้เรื่อยๆ...
    แนะนำว่า ไปย้อนอ่านให้รู้เรื่องก่อน ว่าผมพูดเรื่องอะไรนะ
    .ถามจริงๆว่าโง่จริงๆหรือแกล้งโง่ครับ
    คิดว่า คนอื่นๆที่สอนคุณเค้าคิดเอาหรือครับ
    เค้าพยายามสื่อในมุมแคบๆที่คุณเห็น
    แต่คุณมันเป็นพวกปัญญาอ่อนเอง


    ไปคิดเรื่องการเดินญานรู้แบบโง่ๆ
    การบังคับตัวรู้แบบโง่ๆ
    สติ สเตอะแบบโง่ๆ พูดอยู่แค่นี้
    เป็นเครื่องรู้ เครื่องอยู่ ก๊อบปี๊คำพูดมาทั้งนั้นหละ...

    เอาไปตอบได้ทุกคำถาม ทุกกระทู้
    เดินฌาน เดินญาน ควบคุมตัวรู้ บ้านญาติคุณหรือ
    มันเป็นเพียงแค่ การเกิดไปแล้วของจิตอย่างหนึ่ง
    แต่คุณมันปฏิบัติแบบกระโหลกกระลา ไม่รู้เรื่อง
    นอกจากไม่รู้เรื่อง ยังเจือกมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเห็น
    ทั้งๆที่ ความสามารถในทางนามธรรม
    ก็แค่ระดับหางอึ่งอ่าง
    หรือจะเถียง....
    ..
    แสดงว่าตัวเองคงมั่นใจ
    ว่าไอ้สัมผัส กระโหลกกระลา
    การปฏิบัติระดับสเปริม์
    ที่กำลังวิ่งแข่งกันมาเกิดที่คุณรู้เนี่ย
    มันดีกว่าใครเค้าหรือครับ

    ย้ำว่า
    ที่คุณเห็น มันเป็นแค่กระบวณการปรุงแต่งอยู่
    แต่ด้วยความโง่ ที่ยึดในนามธรรมแบบโง่ๆของคุณ
    ทำให้คุณคิดว่า สิ่งที่คุณรู้มันวิเศษ ทั้งๆที่บอกเตือนไปแล้ว
    ในทางปฏิบัติ คุณถึงไม่รู้อะไรเลย

    แต่เข้าไปสะเร่อ ได้ทุกกรรมฐาน
    ในกรรมฐานที่ต้นไม่มีความสามารถ
    และไม่เคยฝึกสำเร็จซักอย่าง
    แล้วก็ยำรวมเป็น นามธรรมทางการปฏิบัติที่ตนยึดแบบโง่ๆ
    พูดง่ายๆ นอกจากยึดนามธรรมโง่ๆอะไรแล้ว
    ก็มั่วยำสอนไปเรื่อยนั่นหละครับ
    จะแยกความโง่ให้เห็นเป็นข้อๆนะ


    ๑.ผมพูดเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาหรือเปล่า พูดไปเรื่องวิปัสสนาแล้ว
    อย่ามาโชว์โง่ ทำเป็นอวดภูมิ...

    ๒.คิดว่าตัวเองเก่งใช่ไหม รู้สึกว่า จะจำคำพูดมาจากหลายอาจารย์
    แล้วก็เอามามั่วยำรวมเนาะ ที่พลาดคือ กะว่าจะโชว์ฉลาดๆ
    แต่เจือก ก๊อบคำของครูบาร์อาจารย์มาพูดเหมือนเป็นคำตัวเอง
    นี่คือ โง่ระดับ ๒ เรียกว่า โง่แบบไม่เฉลียว

    ๓.ศีล สมาธิ ปัญญา รวมที่จิตแล้วจบแค่นั้น
    นี่คือ ความโง่อีกระดับ ถึงได้บอกว่า คุณมันอ่อนสมถะ
    ถ้าไม่พูด คนเค้าไม่รู้หรอกว่า คุณอ่อนสมถะจริงๆ
    เค้าอาจจะคิดแค่ว่า ผมไปกล่าวหาคุณลอยๆ ๕๕


    ๔.ไม้ต้องเอา ศีลมาอ้างเกี่ยวกับการปฏิบัติหรอกนะ
    ชาตินี้ คุณฝึกกรรมฐานให้ถึงระดับใช้งานได้จริงซักกองก่อนเหอะ
    ไม่ต้อง เสร่อ มาเตือนคนอื่นๆหรอก ความสามารถในระดับ
    ฝึกอะไรก็ไม่สำเร็จ เจือกเอาเรื่องศีลมาอ้าง...
    บ้านญาติ มะรึง คิดว่า คนที่เค้าฝึกสำเร็จ เค้าคิดเอาหรือ..ฟายยย
    เพียงแต่เค้าไม่มาอวดฉลาดโง่ๆแบบคุณหรอก

    ๕.โง่ต่อ มาเนื่องจากพูดโชว์ ให้ชาวโลกรู้ว่า ตนอ่อนสมถะแล้ว
    ยังไม่พอ ยังมาอวดฉลาดโชว์โง่ พูดว่า สมถะและวิปัสสนาถึงจะเห็น
    สัจธรรม แนะนำไปฝึกสมถะมาใหม่ก่อนดีกว่าไหม
    แนะนะเดินปัญญาให้มากกว่านี้ก่อนดีกว่าไหม
    ก่อน จะมาพูดให้หล่อเกี่ยวกับคำว่า สัจธรรม
    สัจธรรม มันเป็นคำพูดระดับ ผู้โปรด ที่มีความ
    สามารถทางจิตสูงท่านใช้กัน
    ไม่ใช่ความสามารถ ระดับเสปิร์ม ที่แข่งวิ่งมาเกิด
    จะเอามาพูดให้ตัวเองดูหล่อหรอกนะ

    ทำเป็นมีฟอร์มเยอะ ไอ้กระโหลกกระลา
    ไอ้ปลาตายน้ำตื่น เอ้ย......

    ถามจริงๆนะ ไปทำอะไรมาอีก
    สมองฝั่งซ้ายถึงมีปัญหาครับ....
    ถ้าคุณตอบไม่ได้ทำ
    ผมจะตอบกลับ ว่า เหรอออออ
     
  14. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ......อนุโมทนา เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นเพียงสิ่งระลึกของสติ...
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เลิกเอาคำพูดของ ครูบาร์อาจารย์มาพูดทำว่าให้ตัวเองดูดีเหอะ
    คิดว่า ไม่รู้หรือว่า เป็นวลีคำพูดของ ลต. ท่านใด...

    อ่านอะไรก็ไม่รู้เรื่อง พูดอะไรก็คนละเรื่อง
    เขียนก็คนละเรื่อง ทำมา แสดงกล้าม
    มาคุยทับ ยกคำสอนสูงๆมาทับถมคืน
    ถ้าคิดจะเกทับ หรือคุยทับด้วยคำสอน
    ..ควรจะเก่งกว่านี้และทำได้จริงๆ
    และกล้าพิสูจน์หน่อยนะ
    ถ้าอนาคตถ้าจะยังปากดีอยู่นะ...



    และเพราะคุณมันปฏิบัติไม่ได้เศษของเศษเสี้ยว
    ของแต่ละท่านที่มักเอามาอ้าง
    และไม่ได้อยู่ในปฏิปทา ของแต่ละ
    ท่านที่คุณ ก๊อบปี๊คำมาพูด มาอ้างหรอก
    อย่ามา ทำดัดจริต

    และไม่มีหรอกนะ เดินญานรู้จิตใจตน
    โดยเฉพาะด้วยกสิณ ข้อร้อง อย่ามั่ว.....
    ญานบ้านญาติมะรึงเดินได้หรือ ไอ้ปัญญาอ่อน..
    มีคนอธิบายไว้ข้างบนแล้ว ไปอ่านซะขี้เกียจคุยด้วย


    แนะนำ ไปรักษาสมองซีกซ้ายก่อนนะ ไปเปิด Google ดูนะ
    ว่าหน้าที่สมองส่วนซ้ายมีอะไรบ้าง แล้วจะเข้าใจ...
    ว่าทำไมถึง และใช้ศัพท์วนไปวนมา
    และความเข้าใจตัวเองถึงไม่เหมือนชาวโลกทั่วไป
    คุณมันยังไม่ถึงระดับวิปลาสทางจิตหรอก
    แค่สมองซีกซ้ายเสื่อม......

    ปฏิบัติได้ในระดับขี้ดิน กระแดะใช้ศัพท์ สัจธรรม
    ดัดจริตเล่นคำ ที่พวกมีบารมีด้านปัญญา
    และความสามารถทางจิตสูงท่านใช้กัน...
    หัดตักน้ำ ชะโงกดูหนังหน้าซื่อบื่อตัวเองบ้าง....


    ตัวใครตัวมันเด้อ
    ไอ้ขี้อ้างของสูง
    เชิญรับวิบากตรงนี้ไปคนเดียวเถอะ...Bye
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เดินญาณ...ไม่เคยรู้มาก่อน...แต่จิตถูกรู้โดยสติแล้วข้ามโอฆะในแต่ละขั้นเหมือนพอจะเคยได้ยินจึงเกิดเป็นลำดับญาณทางวิปัสสนา รายละเอียดจริงที่พอจะทำมีเต็มไปหมดที่หลายท่านแสดวแนวทางไว้...อย่าข้ามขั้นจะทำให้ไม่ทุกข์ซ้ำซ้อนคับ
     
  17. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อยากรู้แล้วล่ะว่าอาการที่ว่านั้นทำไม...อะไร...สามรอบ...อาการสิบสอง...อะไรไม่รู้ รู้แต่ว่ามี...หลายคนนำมาพูดแต่ไม่ถูกเพราะพูดตามเขามาโดยที่มองไม่เห็นโอฆะ...เลยไม่ใช่วิปัสสนาคับ...แท้จริงคืแท้จริงคือควรฝึกจิตอบรมจิตก่อนจะคิดข้ามโอฆะ...
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    พระอริยะบุคคลทุกระดับอธิบายได้ทั้งที่อยู่ในสมณะเพศหรือฆราวาสเพศ
     
  19. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    ....ก็เป็นเพียงสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ...ก็ลองปฏิบัติ ถ้าได้ก็ขอโมทนา ....
     
  20. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ผมว่า คุณแนน จันทบุรี คงจะยังไม่เข้าใจ คำว่า "เครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ"

    เพราะถ้าคุณแนน เข้าใจ มันครอบคลุมหมดแล้วครับ ในสิ่งที่คุณถามมา

    ลองกลับไปฟังหลวงปู่ พุธ บ่อยๆครับ จะให้ดี
    ฟังไป นั่งจดคำพูดท่านออกมาเลยครับ จะเข้าใจได้เร็ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...