พระโสดาบันประเสริฐกว่าคนถือศีล5ที่เป็นปุถุชนมั้ยคะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 9 มีนาคม 2018.

  1. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ไม่ค่อยชินเลยกับความเงียบ...
     
  2. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เวลาเรายกสมมุติก็ขอให้ถือเป็นสมมุติ
     
  3. pisces2018

    pisces2018 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +37
    ถ้าจะให้อธิบายตามแบบชาวบ้าน (จะอธิบายตามความเข้าใจและจากที่เคยอ่าน อาจจะไม่ได้อิงตำราเป๊ะๆ ลองพิจารณาดูจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อีกเรื่องหนึ่ง) ที่เคยดูหนังดูละครหรืออ่านนิยายแนวธรรมะหรือแนวผีๆ ที่พอจะเข้าใจได้ก็คือ ร่างกายของแต่ละคนจะประกอบด้วยกายภายนอกที่ตาเราเห็นเรียกว่ากายเนื้อ และกายภายใน (จิต, วิญญาณ, กายทิพย์, กายลม) ถ้ายังนึกสภาพกายในกายทิพย์ไม่ออกก็ให้นึกถึงตอนที่เราฝันเป็นอาการที่กายทิพย์เราออกไปท่องเที่ยว อารมณ์โลภ-โกรธ-หลง อารมณ์หยาบและละเอียดต่างๆ ที่แสดงออกในฝัน เป็นคุณธรรมและกิเลสที่สั่งสมในจิตของเราที่พอจะทำให้รู้ได้ว่าเรามีกิเลสตัวไหนอยู่บ้าง ในแต่ละวันที่เรามีอารมณ์รักโลภ-โกรธ-หลง ทำดีหรือไม่ดี เวลาที่เราดีใจ เสียใจ เศร้าใจ โกรธ ฆ่าสัตว์ ลักขโมย พูดโกหกประจำ ประพฤติผิดในกาม ดื่มของมึนเมา ทำบุญทำทานรักษาศีล นั่งสมาธิ ฯลฯ ที่ทำไปทั้งหมดบางทีเราก็อาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ตัวจิตหรือกายทิพย์ของเราจะเก็บสะสมพฤติกรรมทั้งหลายของเราไว้ที่จิตและแสดงออกทางกายทิพย์ของเราเอง {จิตของทุกคนมีความเป็นพุทธะ (ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน) ในตัว แต่เนื่องจากจิตมีสภาพที่ถูกกิเลสห่อหุ้มคลุมจิตอยู่ เรา (เราในที่นี้หมายถึงตัวสติที่คอยกำหนดรู้หรือคอยระลึกรู้อาการต่างๆ ของกายและจิต หรือจะเรียกว่าสติเจตสิกอะไรก็แล้วแต่ เหมือนบางท่านจะสอนให้แยกความรู้สึกออกมาเหมือนเป็นอีกคนหนึ่งที่คอยตามเฝ้าดูอาการของกายใจอีกที ก็คือแยกตัวสติออกมาตามดูตามรู้กายใจ) จึงยังไม่สามารถเข้าถึงจิตผู้รู้ได้ ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต สมาธิก็เป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ช่วยให้กิเลสสงบระงับชั่วคราวไม่ฟุ้งเหมือนฝุ่นควันที่คลุมจิตอยู่ ทำให้เราสังเกตเห็นความสว่างและสงบของจิตได้เป็นครั้งคราว} เช่น ถ้าเราชอบลักขโมยบ่อยๆ กายทิพย์ซึ่งแรกๆ ก็อาจจะเหมือนกายภายนอกก็จะค่อยๆ สั่งสมสภาพกายทิพย์ของเปรตทีละน้อย เรียกว่าเกิดภูมิเปรตหรือใจเป็นเปรต คนที่มีอารมณ์โกรธบ่อยๆ ก็จะสั่งสมกายทิพย์ของสัตว์นรก คนที่ชอบเพลิดเพลินมัวเมาอยู่กับเรื่องกามและการดื่มกินก็จะสั่งสมกายทิพย์ของสัตว์เดรัจฉาน คนที่ทำบุญทำทานบ่อยๆ ก็จะสั่งสมกายทิพย์ของเทวดานางฟ้า คนที่รักษาศีล 5 ประจำ ก็จะสั่งสมกายทิพย์ของมนุษย์ไปเรื่อยๆ และคนที่ชอบนั่งสมาธิก็จะสั่งสมกายทิพย์ที่เป็นพรหมชั้นต่างๆ หยาบหรือละเอียดตามกำลังสมาธิ ถ้าคนที่ทำสมาธิและวิปัสสนาจนได้คุณธรรมของพระโสดาบันกายทิพย์ก็เป็นกายพระโสดาบัน

    ถ้าได้กายพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย กายทิพย์ของสัตว์นรก-เปรต-อสุรกาย-สัตว์เดรัจฉาน ที่เคยสั่งสมไว้จะตามให้ผลไม่ทัน บางท่านก็ว่ากายทิพย์ของพระโสดาบันละเอียดเสียจนนายนิรยบาลตามหากายทิพย์หรือจิตของพระโสดาบันไม่เจอ ท่านจึงไม่ต้องไปเวียนเกิดในภพภูมิของสัตว์นรก-เปรต-อสุรกาย-สัตว์เดรัจฉานอีก แต่ท่านเหล่านั้นจะท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์และเทวโลก (เทวดา-พรหม) จนเข้าถึงพระอรห้ันต์ ถ้าเราสั่งสมกายทิพย์ตัวไหนไว้มากกายทิพย์แบบนั้นก็จะเด่นขึ้นมา เช่น กายทิพย์ของเปรตเด่นขึ้นมาก็ถือว่าตอนนั้นตัวเป็นคนแต่ใจเป็นเปรตถ้าตายในขณะก็เกิดเป็นเปรตโดยสมบูรณ์ ถ้ากายทิพย์เป็นสัตว์เดรัจฉานตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรฉาน ถ้ากายทิพย์เป็นมนุษย์ตายไปก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ากายทิพย์เป็นเทวดาแล้วตายในขณะนั้นก็เป็นเทวดาโดยสมบูรณ์ ถ้ากายทิพย์เป็นพรหมตายในขณะนั้นก็เป็นพรหมโดยสมบูรณ์ ก็ให้สังเกตอารมณ์ขณะจะตายจะเกิดภาพนิมิตสิ่งที่เคยทำสลับกันขึ้นถ้าระลึกอารมณ์ไหนเด่นขึ้นมาในช่วงสุดท้ายก็จะไปเกิดตามนั้น แต่ส่วนใหญ่ถ้าสั่งสมกายทิพย์แบบไหนไว้มากก็จะระลึกถึงและปรากฏอารมณ์นั้นได้ง่าย อาการที่กายทิพย์ออกจากร่างก็ใกล้เคียงกับที่ดูในหนังในละครนั่นแหละ วิญญาณหรือกายทิพย์อาจจะค่อยๆ เคลื่อนออกจากกายเนื้อหรือออกโดยทันทีก็แล้วแต่สติหรือจิตก่อนจะตายว่าตามดูอาการที่ออกทันหรือเปล่า พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเรื่องทาน-ศีล-ภาวนา (สมาธิและวิปัสสนา) ให้ทำบุญทำทานเพื่อรักษาความเป็นเทวดา, รักษาศีล 5 เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์, สมาธิเพื่อรักษาความเป็นพรหม, ทำสมาธิและวิปัสสนาเพื่อถึงความหลุดพ้นจากโลกทั้ง 3 {โลกนรก-โลกมนุษย์-เทวโลก (เทวดาและพรหม)} อย่างน้อยถ้าคุณธรรมได้ถึงพระโสดาบันก็จะตัดการเวียนว่ายตายเกิดให้เหลือน้อยและไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (นรก-เปรต-อสุรกาย-สัตว์เดรัจฉาน) อีกเลยและจะเข้าถึงพระอรหันต์ได้อัตโนมัติในอนาคต

    ในทางพุทธผู้ได้คุณธรรมพระโสดาบันแม้จะเป็นเพียงขั้นต้นของพระอริยบุคคลก็ถือว่าเอาตัวรอดจากวัฏสงสารได้แล้วเป็นผู้แรกถึงกระแสแห่งการหลุดพ้นหรือเป็นผู้แรกถึงกระแสพระนิพพาน เพียงแต่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดท่องเที่ยวอีกระยะหนึ่งเนื่องจากความรู้ในการหลุดพ้นยังไม่สมบูรณ์ยังต้องศึกษาต่อ มีคำเปรียบเทียบให้ฟังถึงคุณค่าของผู้เข้าถึงคุณธรรมระดับพระโสดาบัน ท่านว่าแม้เอาสมบัติของพระจักรพรรดิทั้งหมดในโลกมากองรวมๆ กันก็ยังไม่มีค่าเท่ากับการได้พระโสดาบัน ในโลกมนุษย์พระโสดาบันและพระสกิทาคามียังตัดเรื่องกามไม่ขาดแต่กิเลสบางเบา วางความยึดถือในร่างกายลงได้ระดับหนึ่ง (สักกายทิฏฐิ-ดูในสังโยชน์ 3 และสังโยชน์ 10 ประกอบ) ถ้ายังต้องเกิดใหม่ก็เป็นเพียงสภาพที่จิตหาที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมตามเหตุปัจจัย คุณธรรมของพระโสดาบันจึงเกิดกับพระภิกษุและฆราวาสที่ยังครองเรือนได้ ส่วนพระอนาคามีและพระอรหันต์ท่านตัดเรื่องกามได้เด็ดขาดไม่รู้สึกถึงความเป็นเพศชายเพศหญิงแล้วจะเกิดกับพระภิกษุและนักบวชและฆราวาสชายหญิงที่ตัดเรื่องกามได้ แต่เท่าที่ได้ฟังมาฆราวาสที่ได้คุณธรรมของพระอรหันต์มักจะต้องออกบวชไม่อย่างนั้นก็ต้องละสังขารไปเลย บางท่านก็กล่าวว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่วางได้ทั้งบุญและบาป จิตจึงพ้นจากโลกนรก-โลกมนุษย์-เทวโลก ได้โดยสมบูรณ์...
     
  4. โอปะนะยิโก

    โอปะนะยิโก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    เทียบกันไม่ได้เลยครับ ศีลของปุถุชนถือว่าเป็นศีลที่ลูบคลำ ขาด ทะลุ ด่าง พร้อยได้ง่าย
    แต่ศีลของพระโสดาบัน พระอริยะเป็นอริยกันตศีลปลอดโปร่งโล่งสบายไม่หนัก พยายามถือควบกรรมบท 10 ด้วยครับ ...สาธุ
     
  5. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    ถ้าปุถุชนถือศีล 5แล้วประเสริฐกว่าพระโสดาบันได้เราก็ไม่จำเป็นต้องพยายามทำโสดาปัตติมรรคให้เกิดขึ้นกันครับ
    อยู่เป็นปุถุชนถือศีล 5 กันไปสบายง่ายกว่าเยอะ
     
  6. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    มนุษย์เอย...ไม่รู้ไม่เห็นไม่รู้จักอย่าไปนำมาคิด...เทวดาหรืออะไร...ก็ไม่ใช่ข้อชี้วัด...ศีลมีไว้ใช้เพื่อมนุษย์เป็นหลัก...เทวดาเขาไม่เรียกว่าศีล เพราะเขาใช้ชีวิตปกติ...พระอริยะเจ้าเกิดขึ้นเพราะมีพระศาสดา..ซึ่งดำรงไว้และตรัสรู้ชอบทุกสิ่งที่สอนให้ทั้งมนุษย์และเทวดา...ดังนั้นการเอาเทวดามากล่าวก็เป็นการเพ้อเจ้อ...คือ...ไม่รู้ว่าอะไรคือเทวดา...อะไรคือพระอริยะเจ้า...อะไรคือมนุษย์ปุถุชน....ควรอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาถ้ากระทำตนเพื่อความหลุดพ้นจริงจะเป็นประโยชน์แต่ถ้าทำเพื่อสร้างสำนักคงเห็นแค่นรกรำไรก็เท่านั้น
     
  7. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    กติกาการเป็นพระโสดาบัน

    ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าเรารู้จากกระดาษ จากหนังสือมันดีแล้ว อันนี้ไม่มีประโยชน์นะครับ มันเป็นมานะ ถือตัวถือตน เป็นนักธรรมเอก เป็นเปรียญ ๙ ประโยค หรือว่าเป็นปริญญาอะไรต่ออะไรก็ตาม อันนี้ถ้าหากขาดการปฏิบัติ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์เสียอย่างเดียวลงนรก มีศีลบริสุทธิ์ยังไม่ได้ฌานโลกีย์ก็ยังไม่พ้นนรก ได้ฌานโลกีย์ก็ยังไม่พ้นนรก อย่างเลวที่สุดก็ทำตนให้เป็นพระโสดาบัน

    เราจะเป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ รักษาอารมณ์พระโสดาบันไว้


    ประการที่ ๑ คิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย
    ประการที่ ๒ มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    ประการที่ ๓ ทรงศีลตามสภาวะของตนให้บริสุทธิ์
    ประการที่ ๔ การกระทำทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน


    อย่างนี้ถือว่าเป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ถ้ารักษาไว้ได้ กำลังใจขั้นสุดท้าย คือพระอรหันต์เป็นของไม่ยาก (รักษาอารมณ์พระโสดาบันไว้ให้ไปเป็นฌานไปเลย)

    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
     
  8. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    กติการการเป็นพระโสดาบันคือ
    ประการที่ ๑ คิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย
    ประการที่ ๒ มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    ประการที่ ๓ ทรงศีลตามสภาวะของตนให้บริสุทธิ์
    ประการที่ ๔ การกระทำทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน


    ฆราวาส มีกติกาการเป็นพระโสดาบันไม่ครบ
    บางเวลามี 2 ข้อ บางเวลามี 3 ข้อ
    มีไม่พร้อมกันสักที
    บางทีมีพร้อมแต่ก็ไม่ได้ทรงไว้ตลอดเวลา
    เลยได้แค่ถือศีลเท่านั้น

    ส่วนพระโสดาบันท่านมีครบทั้ง 4 ข้อตลอดเวลา
    คือ ทรงเป็นฌานอย่างน้อยก็ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป

    ดังนั้น พระโสดาบันจึงแตกต่างกับคนที่ถือศีล 5 ธรรมดามาก
    เหมือนเอามดไปเทียบกับช้างสาร เทียบกันไม่ได้ครับ
     
  9. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    พระโสดาบันจะมีจิตใจปรอดโปร่ง พระโสดาบันมีศรัทธา พระโสดาบันชอบนั่งสมาธิ พระโสดาบันชอบเข้าวัด
     

แชร์หน้านี้

Loading...