ขอความรู้ เรื่องแสงสีขาวที่ปรกกฏตอนนั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิทย์ วรุณี, 5 สิงหาคม 2018.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ถ้าจะเริ่มจากบริเวณแถวท้อง
    ที่จุดเหนือสะดือ การไปกำหนด
    อะไรขึ้นมาแล้วไปต่อ
    มันจะได้ไปทางของสัมผัสภายใน
    แต่ว่าไม่ได้ทางด้านกำลังจิตนะครับ...
    ซึ่งมันต้องมาวิปัสสนาต่อ
    ถึงจะพอเกิดการพัฒนาคุณภาพของจิตได้....

    ถ้าอยากจะได้กำลังจิต ต้องไปกำหนดอะไรก็ได้
    ตามถนัด บางคนลูกแก้ว บางคนก็นิมิตกสิณ
    บนอากาศภายนอกก่อน
    และจะดึงเข้ามาตั้งต้นที่กาย ณ จุดไหน
    ต้องใช้จุดนั้นบนกายในการบังคับนิมิตนั้นๆเข้ามา
    ในร่างกายที่สามารถทำได้ และฝึกได้
    จะมีจุดเหนือนสะดือ หน้าอก และเหนือระหว่างคิ้ว...
    ซึ่งถ้าทำได้ กำลังจิตที่ได้ มันจะได้เปรียบถ้าเรา
    จะไปต่อทางด้านปัญญาญาน มันจะทำให้เราเห็น
    ภาพกิริยาต่างๆได้ละเอียดกว่า
    การที่อยู่ดีๆกำเนิดจากในกายขึ้นมาเลย...
    และถ้าทำได้ จะซ้อนกายในกายกี่กายก็ได้
    แบบชิวๆ และสามารถทำให้เกิดกับคนอื่นๆ
    ก็ได้เป็นเรื่องปกติธรรมดา และจะไม่หลงตัวเอง
    หลงสภาวะเหมือนกรณีที่ กำหนดจุดในกาย
    แล้วทำเลยทั่วๆไปที่มักจะเป็นกัน....

    ปล. เล่าให้ฟังเฉยๆ จบ...
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ไม่ใช่ครับ

    +++ หากใช้ภาษาแบบที่คุณพูดมา มันจะเป็น "สมมุติ (มโน)" ทันที เพราะวัตถุทั้งหลาย มีอยู่ "ตามความเป็นจริง" และไม่ใช่อากาศ

    +++ ขืนไปแปลงมันให้เป็นอากาศ ก็จะกลายเป็น "กรรมฐานหลอกตนเอง" ทันที เพราะมัน "ไม่ตรงตามความเป็นจริง" นั่นเอง

    +++ ตรงนี้ "ต้องระวังให้มาก ๆ"


    +++ เพราะภาษาที่ผมใช้ "ไม่มีสมมุติ" ผมใช้ภาษาแบบ "ตรงไปตรงมา" ตามนั้น

    +++ ระหว่าง "ผู้มอง (ตัวคุณ)" มีอยู่ ตามความเป็นจริง รวมทั้ง "สิ่งที่ถูกมอง (สัพสิ่ง)" ก็ปรากฏอยู่จริง เช่นกัน

    +++ ระหว่าง "ผู้มอง VS สัพสิ่ง" ล้วนบันจุอยู่ใน "อากาศ (ที่คุณหายใจอยู่)" เป็น "สภาวะล้อมรอบ" ตรงนี้ "เป็นสัจจธรรม" ทั้งหมด

    +++ อากาศ "มีอยู่จริง ตามความเป็นจริง" แล้วคั่นอยู่ ระหว่างกลาง "ระหว่าง ตัวผู้มอง กับ สัพสิ่งที่ถูกมอง" ซึ่งทั้งหมด "เป็นความจริง ทั้งสิ้น"


    +++ อากาศ เป็นของ "โปร่งใส" คนทั่วไปล้วน "ไม่สำเหนียก" ความ "มีอยู่" ของมัน

    +++ มันเป็น "สภาวะธรรม" ที่สิ่งมีชีวิต "ต้องใช้ ในภพนี้" ตลอดเวลา

    +++ ผู้ใด "สำเหนียก" ถึงสภาวะที่ "ตนเอง ตามความเป็นจริง ล้วนอาศัยอยู่ในอากาศ กว่า 90%" ก็จะรู้ถึง "สัพคุณ" ของมันได้เอง

    +++ มีเพียง "ส่วนเท้าเท่านั้น ที่ แตะพื้นและรับรู้ถึง น้ำหนัก" ยกเว้น อิริยาบท นั่งกับนอน ที่อยู่บน "พื้น" และสำเหนียกถึงน้ำหนัก มากกว่า

    +++ การมองอะไรก็ตาม "ล้วนต้องมองฝ่าอากาศออกไปทั้งสิ้น" ตรงนี้เป็น "สัจจธรรมเต็มใบ ไม่มี สมมุติ (มโน)" ทั้งสิ้น

    +++ นี่ "ไม่ใช่กสิณอากาศ" แต่นี่เป็น "มหาสติปัฏฐาน ที่ใช้อากาศเป็นเครื่องมือ ตามความเป็นจริง"

    +++ ซึ่งจะทำให้ได้มาซึ่ง "กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" โดยที่มีอาการตรงกับ "เราตั้งกาย ไว้ใน จิต" (จิต ในวรรคนี้ คือ "รู้")


    +++ หากฝึกเล่นได้ ใน 3-10 วัน ก็จะ "รู้" ได้ว่า "จิต/กระแสจิต ส่งออก" มีอากับกิริยาอาการ (กิริยาจิต) เป็นอย่างไร

    +++ ก็จะก้าวขึ้นสู่ "จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" ทันที รวมทั้งจะ "รู้วิธี" ในการทำ "ลหุกาย+ลหุจิต" อีกด้วย


    +++ คนส่วนใหญ่ "คุ้นกับคำว่า" หมายความว่าอย่างไร หรือ แปลว่าอย่างไร

    +++ นั่นก็คือ "อาการที่ ท่องจำ (ปริยัติ)" แต่ไม่ได้ "ทำ (ปฏิบัติ)"

    +++ ดังนั้น จึงแปลถึง "การมอง ฝ่า อากาศ" ไปเป็น "สมมุติ ให้เป็น อากาศ"

    +++ ตรงนี้เป็น "นิวรณ์ ของความฟุ้งซ่าน แบบไม่รู้ตัว" และนี่คือ "ปริยัติ ขวาง ธรรมปฏิบัติ"

    +++ ตรงนี้คุณ กำลังเดินทาง ต้องระวังให้มาก และนี่คือ ข้อแตกต่างระหว่าง "ผู้ที่ ทำให้มาก กับ ผู้ที่ ท่องจำมามาก"

    +++ และทั้งหมดนี้ คือ "ข้อแตกต่าง ระหว่าง ปริยัติ กับ ปฏิบัติ" ตรงนี้ "คุณ กำลังเดินทาง" ควรเลือก "วิถีทาง" ของคุณเอานะ


    +++ ระหว่างที่ "คุณอ่านอยู่นี้" คุณ กำลัง "สมมุติ" ให้การอ่านของคุณ "แปลสภาพเป็น อากาศ" หรือป่าว...

    +++ หรือว่า คุณกำลัง มองฝ่าอากาศ "ตามความเป็นจริง" แล้ว "รู้ทั้งตัวดีอยู่" บันยากาศ มันต่างกันหรือไม่ นะครับ
    +++ ความปรุงแต่ง เป็น "สมมุติที่ลวงตน" จะนำมาใช้เป็น "มาตรฐาน ของการปฏิบัติธรรม ในศาสนาพุทธ" ไม่ได้

    +++ หนทางสุดท้าย "มันจะส่งผลไปไหนกันแน่"

    +++ การปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ ล้วน "ขึ้นต้นที่ รู้ ธรรมตามความเป็นจริง" ไม่ได้สอนให้ "สมมุติธรรมขึ้นมา แล้ว มโน เอาเอง ไปตามนั้น รวมทั้ง ลูกแก้ว ด้วย" ต้องระวังให้มาก ๆ

    +++ ดำรงค์ สติมั่น รู้ ธรรมเฉพาะหน้า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "ตั้งมโนมั่น รู้ สมมุตินิมิตเฉพาะหน้า" ไม่ว่าจะเป็น "ลูกแก้ว ขวดแก้ว" อะไรทั้งสิ้น ต้องระวังให้ดี

    +++ การ "มองสัพสิ่ง ฝ่า อากาศ" นั้นเป็นการ "ดำรงค์สติมั่น รู้ สภาวะแวดล้อม แห่ง อากาศธาตุ เฉพาะหน้า"

    +++ หากลองเล่นดูสัก 3-10 วัน ก็ควรจะได้ "วิชชา" อะไรบางประการ ติดไม้ติดมือ มาบ้าง

    +++ ให้ระวังในเรื่อง "กรรมฐานหลอกตนเอง" เพราะมัน "ไม่ตรงตามความเป็นจริง" นั่นเอง

    +++ คงคร่าว ๆ แค่นี้ก่อน นะครับ
     
  3. กบอ้วนในกะลา

    กบอ้วนในกะลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +11
    อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ที่มีความก้าวหน้าครับ
     
  4. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    อจ ธรรม-ชาติ
    ไว้จะมาอัพเดทความก้าวหน้าน่ะครับ
    ตอนนี้
    เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงบ้าง
    แต่ยังไม่ชัวร์ว่า เป็นผลของการ
    ที่มองฝ่าอากาศหรือเปล่า
    เดียวถ้านิ่งอีกสักนิด ในอาการที่พบเห็นตอนนี้
    จะมาอัพเดทการฝึกหัดครับ
    ..
    ขอบคุณมากน่ะครับ
    กับสิ่งที่ชี้แนะเพื่อการเดินทาง
    ทำให้ผมอบอุ่นใจและมั่นใจ
    ในเส้นทางนี้
    :)
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    อานิสสงค์ (สิ่งที่จะได้รับ) จากการฝึก "มองฝ่าอากาศ" (จากประสพการณ์ ไม่มีในตำรา)

    +++ วิธีทำ
    1. หลับตา/ลืมตา "ตามปกติ" ให้ทำ remark ไว้ว่า "รู้สึก อย่างไร" (ภายใน)
    2. เปิด/ปิด เปลือกตาธรรมดาเฉย ๆ ให้ทำ remark ไว้ว่า "แตกต่าง อย่างไร" ระหว่าง "หลับตา/ลืมตา VS เปิด/ปิด เปลือกตา"

    +++ ในข้อ 1. จะพบว่า มี "หลับ/ตื่น" เล็กน้อย ประกอบอยู่ด้วย นิดหน่อย จะรู้ได้เองว่า "มี"
    +++ ในข้อ 2. จะพบว่า มี "แตกต่าง" จากข้อแรก คือ "ไม่มีองค์ประกอบชอง หลับ/ตื่น" อย่างข้อแรก

    +++ ให้ใช้ "วิธีในข้อ 2" คือ "เปิด/ปิด เปลือกตาเฉย ๆ"

    อานิสสงค์ (สิ่งที่จะได้รับ)

    +++ 1. จะได้ "พ้น" ความหมายมั่น ที่เรียกว่า อาการ "เล็ง/จิตส่งออก"
    +++ 2. จะ "รู้/รู้สึก ตัว" ตามปกติ ที่ควรจะเป็น
    +++ 3. จะ "รู้จัก" อาการที่เรียกว่า "สติ" ที่พระพุทธองค์ กล่าวไว้ คือ "อาการ รู้"

    +++ จาก 1-3 นี้ เป็นอาการของ "สมถะเบื้องต้น" ก่อนที่ "สติ จะเริ่ม ปัฏฐาน"

    +++ 4. ในยาม "เปิด" เปลือกตาเฉย ๆ มันก็จะ "เห็น" ตามธรรมชาติของ "อายตนะ ตา" ไม่เจือปนอย่างอื่น
    +++ 5. ในยาม "มโน" เข้ามาบดบัง "อายตนะ ตา" จะเกิดอาการ "บดบัง ทัศนะวิสัย" จะสำเหนียก รู้ ได้ด้วย ตน
    +++ 6. ไม่นาน อาการที่ "เกิดขึ้น/ตั้งอยู่/ดับไป" ของอาการที่เข้ามา "บดบัง" ก็จะ สำเหนียก รู้ ได้ด้วย ตน

    +++ จาก 4-6 นี้ เป็นอาการของ "วิปัสสนาเบื้องต้น" ที่ไม่เกี่ยวกับ "ฟุ้งซ่านพิจารณา" จนมั่วไปหมด

    +++ เมื่อได้ "รู้/รู้สึก ตัว" ตามปกติแล้ว (สมถะ) ก็ให้อยู่อย่างนั้นจนเป็นนิสัย (วสี) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ สามารถอยู่อย่างนั้นได้ (ปัฏฐาน)
    +++ เมื่อได้ "ลืมตาเฉย ๆ ก็เห็นเอง" แล้ว (วิปัสสนา) ก็ให้อยู่อย่างนั้นจนเป็นนิสัย (วสี) ก็จะ สำเหนียก รู้ ได้ด้วย ตน ว่า "ตน เป็นคนละส่วนกับ สัพสิ่ง"
    +++ ก็จะ สำเหนียก รู้ ได้ด้วย ตน ว่า "ตน ที่เป็นคนละส่วนกับ สัพสิ่ง" นั้นมี "อากาศ" เป็นตัวกลาง "คั่นอยู่ ระหว่าง ตน กับ สัพสิ่ง"

    +++ เพียงแค่ "เบื้องต้น" นี้ อานิสสงค์ที่จะตามมา คือ

    1. สมถะแห่ง "สติปัฏฐาน"
    2. วิปัสสนาแห่ง "สติปัฏฐาน"
    3. รู้จักว่า "กิเลส คือ สิ่งบดบังจิต"
    4. สามารถจัดการกับ "จิตส่งออกเป็นสมุทัย" ได้โดยไม่ยาก


    +++ ที่สำคัญ คือ จะได้ถึงซึ่ง คำพูดที่ พระพุทธองค์ ทรงกล่าวไว้ว่า "พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน นอแรด ฉะนั้น"
    +++ ข้อความเต็ม อยู่ใน "ขัคควิสาณสูตรที่ ๓" ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้

    http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=6971&Z=7101

    +++ เมื่อสามารถทำได้ถึง "พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือน นอแรด ฉะนั้น" เรียบร้อยแล้ว

    +++ ก็จะสามารถ "รู้" ได้ถึง "การมอง 3 ระดับ ดูโลกที่กำลังเคลื่อนตัว การมองรังสีของบุคคล" ได้ไม่ยาก

    +++ หากปรารถนาที่จะ "ฝึกต่อ" ก็ให้ ทดลองทำได้ "ตามโพสท์ข้างล่างนี้" นะครับ

    http://board.palungjit.org/8614093-post62.html
     
  6. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณครับ อจ. ธรรมชาติ
    กับแนวทางฝึกปฏิบัติที่แนะนำมา
    ทั้งในโพสและลิงก์ที่แปะไว้
    ได้ข้อมูลและรับรู้ประสบการณ์ของ
    ผู้รับการฝึกตามรูปแบบมาก
    ตอนนี้ผมเรียนรู้จากที่แนะนำให้
    ก็ได้รับความพึงพอใจมาก
    ขอบคุณอจ อีกครั้งที่ให้โอกาสคนยุค 4.0 ฝึกปฏิบัติธรรม
    ได้สะดวก
    ส่วนตัวข้อมูลผมนั้น
    ผมจะเช็คลิสต์ในประเด็นที่ตนเองยังไม่ปรากฎมี
    หรือเช็คว่าสิ่งที่มีปรากฎแล้วนั้น ได้มีคำเรียกในมหาปัญฐานสูตรว่าอย่างไร
    ข้อมูลจากลิงก์ที่แปะมาเยอะมาก 68 หน้า
    แทบไม่ได้นอนเลยครับ
    แต่สนุกมันดี
    คร่าว ๆ ครับ พอโอเคอยู่ครับ
    เนื่องจากหลายอย่างเหมือนบังเอิญพบเจอและบ่มเพาะเป็นนิสัยจากอดีตตอนเด็กที่มักพบปัญหาทุกข์และก็พยายามแสวงหาทางออกการแก้ไขปัญหาให้ตนเอง และบังเอิญมาแนวทางที่อจ ได้สอนอยู่พอดี
    ก็เลยพอถูๆไถๆ ไปได้แล้วครับ
    ก็เลยมารายงานความก้าวหน้าให้ อจ ทราบ
    และขอแบบฝึกคำแนะนำ
    เพื่อการปฏิบัติต่อไป
    ....
    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...