อนัตตา เปรียบดั่งยาขมของผู้ปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 11 สิงหาคม 2018.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    สาระธรรมวันละสูตร

    สัทธัมมัปปฏิรูปกสูตร

    ว่าด้วยสัทธรรมปฏิรูป

    [๑๕๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
    อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น
    ท่านพระมหากัสสปะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ เมื่อก่อนสิกขาบทมีน้อย
    ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผลมีมาก และอะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้
    บัดนี้สิกขาบทมีมาก แต่ภิกษุตั้งอยู่ในอรหัตตผลมีน้อย”

    “กัสสปะ ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ คือ
    เมื่อหมู่สัตว์เสื่อมลง สัทธรรมก็เสื่อมสูญไป
    สิกขาบทจึงมีมาก และภิกษุตั้งอยู่ในอรหัตตผลจึงมีน้อย
    สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด
    ตราบนั้นสัทธรรมก็ยังไม่เสื่อมสูญไป
    แต่เมื่อใดสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลก
    เมื่อนั้นสัทธรรมย่อมเสื่อมสูญไป

    ทองคำปลอมยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นทองคำแท้ก็ยังไม่หายไป
    และเมื่อใดทองคำปลอมเกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้นทองคำแท้จึงหายไปฉันใด
    สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นสัทธรรมก็ยังไม่เสื่อมสูญไป

    แต่เมื่อใดสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลก เมื่อนั้นสัทธรรมย่อมเสื่อมสูญไป
    ฉันนั้นเหมือนกันปฐวีธาตุ(ธาตุดิน)ทำสัทธรรมให้เสื่อมสูญไปไม่ได้
    อาโปธาตุ(ธาตุน้ำ) เตโชธาตุ(ธาตุไฟ) วาโยธาตุ(ธาตุลม) ก็ทำสัทธรรมให้เสื่อมสูญไปไม่ได้
    ที่แท้โมฆบุรุษในโลกนี้ต่างหากเกิดขึ้นมาย่อมทำให้สัทธรรมเสื่อมสูญไป
    เปรียบเหมือนเรือจะอับปางก็เพราะต้นหนเท่านั้น
    สัทธรรมย่อมไม่เสื่อมสูญไป ด้วยประการฉะนี้”

    สาเหตุที่ทำให้สัทธรรมเสื่อมสูญ
    เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความเลือนหาย
    เพื่อความเสื่อมสูญไปแห่งสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการอะไรบ้าง คือ
    ๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
    ๒. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม
    ๓. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์
    ๔. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา
    ๕. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ

    เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความเลือนหาย เพื่อความเสื่อมสูญไปแห่งสัทธรรม


    สาเหตุที่ทำให้สัทธรรมตั้งมั่น

    กัสสปะ เหตุ ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่เลือนหาย
    เพื่อความไม่เสื่อมสูญไปแห่งสัทธรรม เหตุ ๕ ประการอะไรบ้าง คือ
    ๑. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา
    ๒. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพยำเกรงในพระธรรม
    ๓. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพยำเกรงในพระสงฆ์
    ๔. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพยำเกรงในสิกขา
    ๕. ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพยำเกรงในสมาธิ

    เหตุ ๕ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่เลือนหายเพื่อความไม่เสื่อมสูญไปแห่งสัทธรรม

    http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=16&siri=151
    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ย่อมชัดเจนโดยไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น

    ข้อ๑ ถึงข้อ ๓ ย่อมเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่า

    ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้

    ที่ทุศีลมักผิดในพระวินัย แต่กลับมีวาทะศิลป์และภาพที่ดีในทางโลก

    มักแอบอ้างนำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย

    นำมาปลอมปนและดัดแปลง ใส่ลงไปไว้ในคำสอนของตนเอง โดยไร้สำนึก

    อย่างนี่ได้ชื่อ ไม่เคารพยำเกรงใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(อริยสงฆ์)

    มาพิจารณาในข้อที่ ๔ ให้ดีๆ สำคัญมากสำหรับในปัจจุบันนี้ สิกขา ๓ มีอะไรบาง

    อธิสีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑

    หรือก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์๘ ทางเดินของจิตนำไปสู่ความเป็นอริยะ

    "ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘อยู่ เมื่อนั้นโลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์"

    พระพุทธองค์ยังได้ทรงเน้นอย่างชัดเจนลงไปในข้อที่ ๕ ว่า

    ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไม่เคารพ ยำเกรงใน"สมาธิ" เพราะทรงได้เล็งเห็นไปว่า

    ในอนาคตข้างหน้าที่จะถึงนี้ ว่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

    มักง่าย เอาแต่ความสะดวกสบาย คลายความเพียรเพ่ง เวียนไปสู่ความเกียจคร้าน(ลัดสั้น)

    เมื่อ "สมาธิ" เป็นความงามที่อยู่ในท่ามกลาง ย่อมเปรียบเหมือนเสาค้ำ

    ย่อมต้องเป็นธรรมที่อุปถัมน์ ความงามในเบื้องต้น และ ความงามในเบื้องปลาย

    เหตุผลง่ายๆโดยไม่ต้องตีความใดๆเลย บุคคลใดที่มีจิตใจสงบมีสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวนั้น

    ย่อมเป็นบุคคลสังวรอยู่ในศีลในสัจจ์ ไม่มักมากในกามคุณ(อธิสีลสิกขา)

    ย่อมเป็นบุคคลที่ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔ด้วยปัญญาอันชอบว่า

    นั่นเป็นที่ตั้งมั่นในความสงบ นั่นเป็นที่แห่งความสับสนวุ่นวายเวียนอยู่ในวัฏฏะ


    ปัญญาในทางโลก(สัญญา)ย่อมแตกต่างไปจากปัญญาในทางธรรมอย่างสิ้นเชิง

    ปัญญา(สัญญา)ในทางโลกนั้น ต้องมีความทรงจำไว้เยอะ ปริญญาหลายใบ เป็นด๊อกเตอร์

    แต่เชื่อหรือไม่ว่า กลับปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกไม่เป็น เห็นในข่าวเยอะแยะ

    บ้างมีความทรงจำแยกรูปแยกนามตามตำราได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ

    เผลอแผบเดียว เอาไม้กอลฟ์ตีภรรเมียแรงไปหน่อยถึงขั้นเสียชีวิตด้วยโทสะ ก็มีหรือว่าไม่จริง?

    ส่วนปัญญาในทางธรรมนั้น เป็นความสามารถในการปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด

    ที่เข้ามากระทบจิตผ่านทางอายตนะภายในได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับพลังจิตของแต่ละบุคคล

    ฉะนั้น อย่าไปคาดหวังกับปัญญาที่เกิดจากความคิดที่คิดแล้วคิดเล่าเฝ้าแต่คิดจนความคิดนั้นตกผลึก

    นั่นมันสัญญาอารมณ์ชัดๆ ยังไม่ใช่ปัญญาที่จะนำไปใช้งานอะไรได้เลย เอาไว้คุยกันเท่านั้น

    ส่วนปัญญาในทางธรรมนั้น ต้องเกิดจากการประกอบภาวนานุโยคเท่านั้น

    มีพระพุทธพจน์ทรงตรัสรับรองไว้ในพระสูตร

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน





     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    555+
    เหมือนมีอะไรมาดลใจ
    นี่มรึงยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่า
    กำลังทำลายตัวมรึงเองด้วย"สัจจะ"
    กรูก็ว่าแล้ว
    ปรกติโพสเสร็จไปเลย
    แต่กลับมาเห็น
    คนอะไรว่ะ แม้คำว่าสัจจะที่เป็นคุณธรรมพื้นฐาน
    มรึงยังไม่มี
    แต่กับปากพูดพล่อยๆไปได้เป็นตุเป็นตะ

    นี่หลักฐานของมรึงนะไอ้ถ่อยนพเอ๊ย


    "ลาก่อนนะ...... ^_^
    กะจอก ธรรมภูติ กราบตีนกรู. ๕๕๕
    ขี้เกียจคุยด้วยแระ บายยยยย"


    ถ้าทำไม่ได้อย่าพยายามคุยโม้
    สัจจะแค่นี้มรึงยังรักษาไม่ได้ เอาพลังอะไรมาโม้ เฮ้อ!!!!
    อย่าต้องให้พูดอะไรไปมากกว่านี้ น่าสังเวชเลยจริงๆนะ
    มรึงจำไว้นะ อะไรที่ให้มาเ มื่อเค้าไม่รับ
    เวลามันหีบห่อตัวมันเองคืนกลับมรึงก็จะรู้เองเช่นกัน

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035


    ลาก่อนนะ กระจอก ธรรมภูติ กราบตีนกรู
    ท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วหละ...ตรรกะไปแล้ว....
    ไม่กล้ารับคำท้า แสดงความสามารถ ก็เงียบไป อย่า
    แสดงอาการ สติ ทิฐิ สัญญา วิปลาสอีกเลย แก่แล้วนะ
    ก็ถ้าคิดว่าข้าพเจ้า ปากพล่อย ก็แล้วแต่นะ อิอิ แล้วแต่จะคิด
    บอกแล้ว ถ้าชื่อนี้ ได้พูดอะไรว่าใครจะเป็นอย่างไร
    ในอดีตยังไม่เคยมีผิด อิอิ

    คนเราถ้าโง่ กระโหลกหนา แต่พอรู้ตัว ก็หายโง่ได้
    แต่ถ้ายังงมงาม. จนกระโหลกทึบ
    ก็จะ ดำดิ่ง จมปลัก และดักดานอยู่อย่างนั้น

    ตำนาน ไม่ได้มาจากครกและสากหรอกนะ
    แต่มาจาก ฝีมือ เข้าใจไว้นะ... พูดเปรียบ เข้าใจได้นะ


    ก็บอกแล้วจะปากพล่อยกับใคร หัดดูความสามารถ
    และกำลังจิตตนเองบ้าง สติ ทิฐิ วิปลาสไปแล้ว
    ยังไม่รู้ตัว ^_^ คงจำไม่ได้ ว่าตนเองได้พูดอะไรออกไป
    ว่างๆย้อนอ่านดูที่ตนเองเคยพูดไปนะ
    หรือให้ภรรยา ช่วยอ่านดูก็ได้นะ
    จะได้มีคนช่วยๆเตือนกันได้....

    อย่าดัดจริตทำตัวสูงส่ง
    ถ้ายังใช้เท้าเดิน
    อย่าดัดจริตทางจิต
    มองคนอื่นๆต่ำต้อย
    ถ้ายังลอยไม่ได้ พวกนี้เป็นนัยยะนะ

    ก่อนจะว่า เขาโง่!
    เราฉลาด อะไร ?
    ก่อนจะว่า เขาต่ำ ?
    เรามี. อะไรสูง!
    ก่อนจะว่า เขาไร้ค่า !
    เรามี ค่าแค่ไหน?
    ก่อนจะว่า เขาไม่ดี !
    เรามีดี อะไร?
    ก่อนจะว่า เขาไม่รู้เรื่องสมาธิ!
    เราเก่ง. สมาธิแค่ไหน. !
    ก่อนจะว่า เขาไร้ปัญญา?
    เรามี. ปัญญาอะไร !
    ก่อนจะว่า เขาปถุชนกิเลสหนา?
    จิตเรา. มีดีอะไร !

    ก่อนจะว่า ใคร
    หัดสำเหนียก ดูตัวเองบ้าง
    ไม่มีใคร ช่วย ธรรมภูติ ได้หรอก
    เลือกวิถีตนเอง ตอนวัยเกษียณ
    คิดว่า พวกหนอกตำรา ที่ชอบดูถูกคนเหล่านั้น
    หรือการเที่ยวอ้างยกตน อ้างตำรา มาข่ม
    จะกลายเป็น
    บารมี ทำให้มี
    ความสามารถเพียงพอ
    ที่จะช่วยคุณได้หรือ ?


    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    บอกแล้ว ว่าลาก่อน... ^_^
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    55555+

    เฮ้อ !!! กรูล่ะเชื่อเลย คนอะไรว่ะอย่างหนาตราช้างจริงๆ

    แถมลื่นเหลือล้น ทนเหลือหลาย อายไม่เป็นอีกต่างหาก

    ถึงมรึงบอกลาอีกซะกี่ครั้ง หมาที่ไหนใครจะไปเชื่อมรึงลงคอ

    พูดเองเออเองอยู่แหมบๆ สันดานปลิ้นปล้อนกะล่อนก็โชว์ออกมาทันที

    คนจริงที่เค้ามีทั้ง สัจจะวาจา สัตย์ซื่อต่อตนเอง และศักดิ์สิทธิ์นั้น

    ต้องพยายามรักษาคุณธรรมขั้นพิ้นฐานนั้นไว้อย่างยิ่งยวด

    ไม่มาอวดโง่โชว์อะไรที่ไม่เข้าท่าออกมาหรอก ตามความสะใจของตนเอง

    ปรกติแล้วไม่เคยที่จะว่าใคร "โง่" แบบง่ายๆเลย

    ส่วนใหญ่แล้วโดนคนอื่นเค้าที่หัวหูร้อนวูบให้มาก่อนทั้งนั้น

    เมื่อไม่รับของนั้น ก็มักต้องหีบห่อเอาส่งคืนกลับไปให้บ้างนั้นเป็นของธรรมดา

    แต่ที่ยังมีของแถมคำนี้อยู่เรื่อยๆนั้น ก็เพราะยังเห็นอาการแกว่งชอบโชว์แบบนั้นนั่นเอง

    เพราะอะไรลองถามใจมรึงเอง หรือเอาส้นตรีนไปก่ายหน้าผากแล้วคิดดูก็จะเข้าใจ

    มรึงก็เหมือนกับพวกที่แอบเนียนชอบโชว์ความเก๋าทั้งหลาย

    เพื่อต้องการแค่คนอวย หรือกระพือให้ว่าเองเก่งเท่านั้น เออเก่งจริงๆด้วย ในเรื่องโง่ๆ

    พอโดนจับได้ไล่ทันเท่านั้นล่ะ เหมือนกันหมด อาการแก่วงหัวหูร้อนวูบ สมองบวมทันที

    กล่าวหาว่าร้ายคนอื่นเค้าไว้ก่อนว่านั่นบ้างละ นี่บ้างละ

    นั่นมรึงคิดเองเออเองคนเดียวโว้ย หรือเพียงแค่ต้องการความเห็นใจจากหางเตรื่อง

    จำเป็นด้วยหรือที่ต้องไปว่าอะไรใคร ว่าสูง ว่าต่ำ

    "สำเนียงมันส่อภาษา กิริยามันส่อสกุล" เป็นภาษิตที่มีมาแต่โบราณแล้ว

    สำหรับ ไอ้พวกถ่อยต่ำสถุลหาสกุลรุนชาติไม่ได้นั้น

    มันก็แสดงของมันออกมาเองทั้งนั้นจร้า เพียงโดนเสียดแทงใจนิดหน่อยเท่านั้น

    พอคนอื่นเค้าไม่รับของหยาบๆลามกที่ถูกส่งมาให้ก่อน

    ด้วยการหีบห่อเอาคืนกลับไปให้ อย่างบรรจงสร้าง อย่าทำเป็นรับไม่ได้สิ

    ก็บอกไปแล้วไม่คิดจะขย้ำใครจริงๆ ที่ทำก็แค่ชี้ให้เห็นอาการพล่อยๆแบบชัดๆตรงๆ

    ก็เผือกเข้ามาเอง โดยไม่เคยจุดธูปเรียกเลย แถมโชว์แบบจัดเต็มเพราะกลัวเสียหน้า

    โดยไม่คิดจะรักษาสัจจะวาจา และซื่อสัตย์ต่อตนเองเลยก็แบบนี้ล่ะ


    ส่วนเรื่องสมาธินั้นไม่เคยคุยโม้ไว้ที่ไหนเลยว่าเก่ง

    ไม่ว่าที่ไหนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

    แต่ถ้าใครสงสัยเรื่องสมาธิขั้นหยาบๆ หรือขั้นพื้นฐานนั้น

    ก็พอตอบให้คนที่ไม่เข้าใจให้เข้าใจได้ตามสมควร ตามอัตภาพ

    โดยการนำเสนอทุกครั้งมักต้องตรวจสอบ สอบสวน เที่ยบเคียง

    กับพระพุทธพจน์ที่มาจากพระสูตรไว้ก่อนว่า

    เราไม่ได้มีคำบิดเบือนอะไรไปจากคำพร่ำสอนของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นบรมครูของเรา

    รู้สึกว่าจะสมองบวมอีกแล้ว หยุดดีกว่า "หยุดเป็นก็เย็นได้ หยุดไม่เป็นก็เย็นไม่ได้"

    ลาแล้วอย่าลับ ให้กลับมา แต่ขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าโชว์อะไรที่ไม่มีจริงโดยไม่จำเป็น

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    สาระธรรมวันละสูตร

    ๙. นาวาสูตร

    ...(ว่าด้วยการสิ้นและไม่สิ้นไปแห่งอาสวะ)

    [๒๖๐] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะของผู้รู้อยู่ เห็นอยู่
    เราไม่กล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะของผู้ไม่รู้ ไม่เห็น.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลรู้อยู่เห็นอยู่อย่างไร จึงมีความสิ้นแห่งอาสวะ.
    เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ว่า รูปดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปดังนี้ ความดับแห่งรูปดังนี้
    เวทนาดังนี้ ... สัญญาดังนี้ ... สังขารดังนี้ ... วิญญาณดังนี้
    ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณดังนี้ จึงมีความสิ้นไปแห่งอาสวะ.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงมีความสิ้นไปแห่งอาสวะ.

    [๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่ประกอบภาวนานุโยคอยู่
    จะพึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า
    ไฉนหนอขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
    ก็จริงอยู่ถึงอย่างนั้น จิตของเธอย่อมไม่พ้นไปจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นได้เลย.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า เพราะเธอไม่อบรม เพราะไม่อบรมอะไร
    เพราะไม่อบรมสติปัฏฐาน ๔ เพราะ ไม่อบรมสัมมัปปธาน ๔
    เพราะไม่อบรมอิทธิบาท ๔ เพราะไม่อบรมอินทรีย์ ๕ เพราะไม่อบรมพละ ๕
    เพราะไม่อบรมโพชฌงค์ ๗ เพราะไม่อบรมอริยมรรคมีองค์ ๘.ฯลฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบภาวนานุโยคอยู่
    ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ถึงจะไม่เกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า
    ไฉนหนอ ขอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้
    ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น จิตของเธอย่อมพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น.
    ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ข้อนั้นพึงกล่าวได้ว่า
    เพราะว่าเธออบรม เพราะอบรมอะไร เพราะอบรมสติปัฏฐาน ๔ เพราะอบรมสัมมัปปธาน ๔ เพราะอบรมอิทธิบาท ๔ เพราะอบรมอินทรีย์ ๕ เพราะอบรมพละ ๕
    เพราะอบรมโพชฌงค์ ๗ เพราะอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘.

    [๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย รอยนิ้วมือย่อมปรากฏ
    หรือรอยนิ้วหัวแม่มือย่อมปรากฏที่ด้ามมีดของนายช่างไม้ หรือลูกมือของนายช่างไม้
    แต่นายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้นั้นหารู้ไม่ว่า
    วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปประมาณเท่านี้
    วานนี้สึกไปประมาณเท่านี้ วันก่อนๆ สึกไปประมาณเท่านี้
    นายช่างไม้หรือลูกมือของนายช่างไม้นั้น มีความรู้แต่ว่า สึกไปแล้ว โดยแท้แลแม้ฉันใด.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบภาวนานุโยคอยู่ หารู้ไม่ว่า
    วันนี้อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้
    วานนี้สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ หรือวันก่อนๆ สิ้นไปแล้วประมาณเท่านี้ก็จริง
    อย่างไรนั้น เมื่ออาสวะสิ้นไปแล้ว เธอก็มีความรู้แต่ว่าสิ้นไปแล้วๆ ฉันนั้นเหมือนกันแล.


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรือที่เขาผูกด้วยพรวน แล่นไปในสมุทร จมลงในน้ำสิ้น ๖ เดือน
    โดยเหมันตสมัย เขาเข็นขึ้นบก พรวนเหล่านั้นถูกลมและแดดกระทบแล้ว
    ถูกฝนตกรดแล้วย่อมผุ และเปื่อย โดยไม่ยากเลย ฉันนั้นเหมือนกันแล.

    http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=17&A=3354&Z=3406
    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว โดยไม่ต้องตีความใดๆเลย
    ว่าด้วยความสิ้นไปแห่งอาสวะของผู้รู้อยู่ เห็นอยู่
    เราไม่กล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะของผู้ไม่รู้ ไม่เห็น
    ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรจึงได้ชื่อว่า เป็นผู้สิ้นไปแห่งอาสวะ

    โดยต้องอาศัยการภาวนานุโยคเท่านั้น
    จิตของเธอย่อมพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่นได้
    การภาวนานุโยค ก็คือสัมมาสมาธิที่เป็นทั้ง"สมถะและวิปัสสนา"ในตัวอยู่แล้ว
    และมีกล่าวไว้ในสติปัฏฐาน ๔ สูตร

    บุคคลที่จะเข้าถึงภาวนานุโยคให้ได้นั้น
    ต้องมีคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้เลย
    ต้องมีสัจจะ มีทมะ ที่สำคัญต้องรู้จักซื่อสัตย์ต่อตนเอง

    บุคคลผู้นั้นจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ทั้งกาย วาจา และใจ
    โดยไม่ต้องให้ใครมายกยอปอปั้นให้ หรือยกตนเองให้สูงเลย
    แต่ถ้าขาดแม้สักข้อเดียว อย่าหวังเลยว่าจะมีเป็นชิ้นเป็นอัน
    โม้ให้ตายไปข้างก็ไม่มีทางเห็นได้หรอกจะบอกให้ เฮ้อ !!!

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035



    อิอิ ท้าก็ไม่กล้ารับ
    แต่ยังปากดี ทำเป็นยกตน กล่าวหา
    ขนาดมีหลักฐานเห็นๆ
    ทิ้งไว้ให้อ่านเล่นๆในหลายโพสต์
    (ย้ำว่าหลายโพสต์แล้วนะ
    ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสติคงอ่านรู้เรื่อง)
    ยังสร้างภาพ กล่าวหา มโนได้
    พูดไปเรื่อยเปื่อยพลาดพิงไปเรื่อย
    พวกนี้ถ้าถ่ายวีดีโอได้
    คงบอกว่าในวีดีโอเป็นตัวปลอม

    นี่หละที่เค้าเรียก นักปฎิบัติ
    ที่ สติ ทิฐิ วิปลาส
    พูดและกล่าวอะไรลงไปถึงจำไม่ได้
    ว่าตนเคยพูด และด้วยนิสัย
    จอมสร้างภาพยกตน
    แต่ไร้ความสมารถจึง
    แสดงสันดานหยาบ
    ออกมาแบบไม่รู้ตัว. ^_^
    มีให้เห็นเรื่อยๆในห้องนี้. อิอิ
    เกษียณดีๆไม่ชอบเอง
    เตือนแล้วนะ

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ^_^
     
  7. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    พูดถึงอาสวะต่างๆที่ทำงานบนดวงจิตเจ้าของ
    ตัวที่จะทำลายมันได้คืออาสวักขยญาณ


    อาสวักขยญาณ
    [๑๓๘] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

    เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อม หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและ ก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำ เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่า สระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น

    ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น แล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา

    เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

    ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็น ประจักษ์ข้อก่อนๆ ดูกรมหาบพิตร ก็สามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่า สามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อนี้ ย่อมไม่มี.
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    5555+

    วันนี้ขอสั้นๆนะ คนอะไรไร้ซึ่งยางอาย ไร้ซึ่งสัจจะวาจาหาสัตย์ไม่ได้แล้ว

    ท่านเปรียบเหมือน "คนที่ชอบถ่มน้ำลายรดฟ้า" ผลที่ออกมาก็รู้กันอยู่แล้วนะ

    อยู่ๆนึกถึงยี่เกหน้าโรงขึ้นมาทันที่เลย ชอบนักท้ารบหน้าโรงให้คนชม

    เพียงเพื่อเอาใจคนดูเท่านั้น สาระความจริงไม่ได้มีเลยจริงๆ

    แต่ก็ชอบท้านะ เพราะคนดูชอบใจ ผู้รู้ได้แต่อนาถแกมสังเวชใจยังไงก็ไม่รู้

    ไปลงสาระธรรมดีกว่า คุยกับพวกลิ้นกระดาษทราย น้ำลายชแล็ค ปลงว่ะ

    ปล.ก็บอกแล้วอย่าชอบมโนโชว์อวดเก่งไปเอง แค่เอ็งไม่รักษาคำพูด บอกจะไปๆ

    อะไรที่ทำซ้ำๆลงไปด้วยความเขลาเบาปัญญา มันจะกลายเป็นวิบากกลับไปหาตัว

    กรูไม่ได้เกษียณโว้ย อยู่ๆกรูก็รู้สึกเบื้อเรื่องทำมาหาแดก(รับประทาน)ไปเอง

    เป็น 10 กว่าปีขึ้นไปแล้ว และไม่ต้องกลัวกรูจะไม่มีรับประทานนะ

    ขนาดปีที่แล้ว ลืมตัวไปหน่อยชายมรดกเก่าได้ บริจาคไปแค่๓.๕ล้าน

    ส่วนที่มี++ มีคนร่วมด้วยเป็นหลักแสน เพื่อเอาไว้สร้างโบสถ์ที่วัดเขาถ้ำภูคา

    ที่ต้องพูดให้รู้ไว้ เพราะเห็นเอ็งย้ำจังเลยเหมือนๆจะเป็นห่วงกรูหลังเกษียณนะ555+

    จะหยุดๆๆ แต่ก็อดถามกลับไม่ได้จริงๆ เอ็งไม่รู้สึกอายคนอ่านเค้าหรือ

    แม้ขนาดคำพูดที่ถ่มถุยออกไปแล้ว เอ็งยังรักษามันไว้ไม่ได้ แค่นี้ก็หมดราคาแล้ว

    จำไวนะๆๆ ถ้าขนาดคุณธรรมขั้นพิ้นฐานที่สำคัญต่อ "กรรมฐาน" เอ็งยังไม่มี

    อย่าเที่ยวหาเรื่องท้าใครเค้าเด็ดขาดมันจะกลับเขาหาตัว ให้ได้อายยังที่เห็น

    ว่าจะแค่๔-๕บรรทัดเท่าสั้น สมองชักบวมจริงๆแล้วว่ะเรา

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    สาระธรรมวันละสูตร

    ราคสูตรที่ ๑

    (ได้กล่าวบุคคลผู้สำรอกราคะ โทสะ โมหะ และอวิชชาได้แล้ว ผู้มี"ตน"อันอบรมแล้ว)

    [๒๔๖] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
    พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น

    ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งยังไม่ละได้แล้ว
    บุคคลผู้นี้เรากล่าวว่า เป็นผู้อันมารผูกไว้แล้ว สวมบ่วงแล้ว
    และถูกมารผู้มีบาปพึงกระทำได้ตามความพอใจ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งละได้แล้ว
    บุคคลผู้นี้เรากล่าวว่า มารผูกไม่ได้ สวมบ่วงไม่ได้
    และมารผู้มีบาปกระทำตามความพอใจไม่ได้ ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
    ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

    พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
    ได้กล่าวบุคคลผู้สำรอกราคะ โทสะ โมหะ และอวิชชาได้แล้ว ผู้มีตนอันอบรมแล้ว
    ผู้ใดผู้หนึ่ง ว่าเป็นผู้ประเสริฐ ผู้ไปแล้วอย่างนั้น
    ผู้ตรัสรู้แล้วผู้ล่วงเวรและภัย ผู้ละกิเลสทั้งปวงเสียได้ ฯ

    เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว

    http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=25&A=5703&Z=5720&pagebreak=0

    ^
    ^
    พระสูตรก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า
    บุคคลผู้สำรอกราคะ โทสะ โมหะ และอวิชชาได้แล้ว
    ได้ชื่อว่า เป็นผู้มี"ตน"อบรมดีแล้ว เป็นที่พึ่งที่อาศัยแก่บุคคลอื่นได้

    อะไรของบุคคลที่ได้ชื่อว่า "มีตนอบรมดีแล้ว"? ถ้าไม่ใช่"จิต"
    กายนั้นอันเป็นเพียงที่อยู่อาศัย ที่เสื่อมสลายตายเน่าเข้าโลงได้? ไม่ใช่"ตน"
    หรือตนคือจิตที่สละคืนอุปธิ สำรอกราคะ โทสะ โมหะและอวิชชาได้?
    ที่ชื่อว่าเป็นผู้มีตนอบรมดีแล้ว

    พระพุทธศาสนานั้นยืนอยู่บนหลักเหตุผลที่ตริตรองตามความเป็นจริงได้
    ไม่ใช่ต้องมามโนไปเอง โดยขาดหลักเหตุผลมารองรับ หรือตริตรองตามไม่ได้
    การกล่าวว่า "พระนิพพาน" อยู่เหนือเหตุผลใดๆนั้น
    เหตุเพราะจิตหลุดพ้นแล้วจากวัฏฏะสงสาร และ เรื่องราวใดๆในโลก
    แต่ต้องอาศัยเหตุและผลที่ตริตรองตามความเป็นจริงได้ จึงเข้าถึง"พระนิพพาน"ได้

    เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    BC4D3CF8-FAAA-4009-88B4-8D9AA9ED8883.png
    โอโห. ชาย(เข้าใจว่าขาย)มรดก ๓.๕ ล้านสุดยอดจริงๆ
    จะคุยว่าเป็นคนทำบุญทำทาน
    เทียบได้กับความสามารถทางสมาธิ
    และปัญญาจริงๆ เวลาคุยโม้ ๕๕๕


    สุดยอดจริงๆครับเล่นมากี่ปีแล้ว
    สมมุติเศษขายมรดก มี
    ๑ ล้านบาท บริจาค ๑๐๐ จะเท่ากับ
    ๐.๐๑ % ของรายรับ สุดยอดเลยครับ
    ขอบคุณที่เอามาเล่าให้ฟังนะครับ
    รวยก็ดีครับ เพราะ ภรรยาต้อง
    ใช้เงินเยอะอยู่ครับ ตอนที่ดูแล อิอิ
    สมมุติ นาย ก มีรายรับ ๑๐๐ บาท
    แต่บริจาค ๒๕ บาท แสดงว่าเท่ากับ
    ๒๕ % ของรายรับ. เขียนให้ดูเฉยๆ
    อิอิ



    สั้นๆนะ
    ^_^ ^_^ ^_^
    ที่บอกว่าวัยเกษียณ
    หมายถึงอายุนะ ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้
    #rep 156 บรรทัดแรก ใส่วงเล็บด้วย
    กลัวอ่านไม่รู้เรื่อง ^_^
    และ ธรรมภูตอ้างอิงอีก # 162 หรือจะเถียง
    แต่ด้วยสัญญา สติ วิปลาส เลยไม่รู้ตัว
    เอามาเขียนอีก ซึ่งเป็นปกติไปแล้ว ^_^

    ปล อิอิ ไม่อายหรอก พอดี
    สติ ทิฐิ สัญญา ปกติอยู่ครับ ^_^
    ผลของการดูจิตแบบ ธรรมภูต ๕๕๕
     
  11. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,493
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ผมชอบตรงโอ้โห ชายครับ มุกนี้ให้ผ่านครับขออนุญาตเอาไปใช้บ้างนะครับ
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เริ่มมั่วแล้วครับ แต่ไม่เป็นไร เข้ามาทักเฉยๆ

    คนที่ฝึกฌานต้องระวัง จิตมันจะล๊อคตัวมันเอง
    ทีนี้เวลาเราเดินปัญญาหรือพิจารณาสภาวะธรรม
    มันก็ก็เข้าใจหมด แต่จิตมันไม่ขยับตาม
    ก็จะกลายเป็นวิปัสนึกไป

    เพราะจิตมันโดนล๊อคด้วยอำนาจของฌาน

    เป็นธรรมดาทุกคนที่ฝึกต้องติดตรงนี้ก่อน
    ถ้าแก้ไม่ได้ตายไปก็จะเข้านิพพานพรหม
    แล้วจะเข้าใจว่าตัวเองอยู่แดนนิพพาน

    ดูอย่างดาบสทั้งสองผู้เคยเป็นอาจารย์พระศาสดา
    เล่นฌานจนชำนาญ

    ถ้าไม่ตายเสียก่อน พระพุทธไปโปรดทัน
    ท่านทั้งสอง. จะบรรลุธรรมโดยพลัน

    ผมเล่นฌานมาก่อนทำให้ทราบดี
    ถึงประโยชน์และโทษของมัน..
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    5555++

    เมื่อทักเฉยๆ ก็ถามเฉยๆเหนือนกัน เพราะเห็นว่าเริ่มมั่วไปเรื่อย

    ฌานที่พระอาจารย์ทั้งสองเป็นฌานอะไร?

    มีอะไรเป็นอารมณ์ฌาน?คิดว่ารู้กันอยู่แล้ว

    แล้วเป็นฌานในพระพุทธศาสนา หรือ ฌานนอกพระพุทธศาสนา

    ไหนๆก็บอกว่าระวัง "จิตมันโดนล๊อคด้วยอำนาจของฌาน"

    เมื่อมันล็อกๆยังไง อย่าตีขุมซะลุ่มลึกแบบรู้เองเออเองคนเดียว

    ฌานสัมมาสมาธิในพระพุทธศาสนาจะเสียหายได้

    เมื่อบอกว่าเดินปัญญาพิจารณาธรรมพิจารณายังไง เอาละเอียดหน่อย

    อย่าบอกนะว่า หมายถึงคิดแล้วพิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วคิดแล้ว

    จนธรรมนั้นๆตกผลึก แลัวบอกว่าวิปัสสนา นั่นมันสัญญา

    ที่พูดตรงนี้คิดเองหรือเอาของใครมาพูด

    กล่องไม้ขีดไฟ
    "ทีนี้เวลาเราเดินปัญญาหรือพิจารณาสภาวะธรรม
    มันก็ก็เข้าใจหมด แต่จิตมันไม่ขยับตาม"


    "มันเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อมันคือจิตที่เข้าใจหมด
    แต่จิตไม่ขยับตาม ถ้าจิตไม่ขยับตามมันจะเข้าใจได้หรือ? เป็นไปไม่ได้
    ยืนอยู่บนหลักเหตุผลหน่อยนะ แบบนี้พุทธศาสนาเสียหายหมด"

    การที่จิตไม่ขยับในอารมณ์ฌานนอกพระพุทธศาสนานั้น
    เพราะมันเกาะอยู่กับอารมณ์ฌานอย่างเหนียวแน่นใช่หรือไม่? หรือว่าไม่จริง
    ตอนนั้นมันจะรู้จะเข้าใจอะไรได้ ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้

    ปล. บอกกันไว้ก่อน อย่ายาว อย่าเยอะ แบบกลัวผิดกลัวเอาแบบชัดๆ ตรงๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    5555+

    40565361_2075145115910721_2929199422795415552_n.jpg

    เฮ้อ!!!

    คนอะไรด้านได้อายอด(โชว์) คิดเข้าข้างตัวเองก็ได้

    บอกตรงๆเลยนะ คนที่ไร้ค่า ยิ่งพูดยิ่งหมดราคาต่อรอง

    ย่อมรับว่าเสียดายเวลาหายใจทิ้งกับคนแบบนี้ กรูอายว่ะ

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    สาระธรรมวันละสูตร

    มหาสติปัฏฐานสูตร

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อ
    ความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ
    แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
    หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการ เป็นไฉน
    ฯลฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า?
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี
    นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
    เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
    เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
    เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
    เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน
    เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
    เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น
    แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน


    http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=6257&Z=6764
    ***************************************
    ^
    ^
    ใช่จิตมั้ยที่ดำรง(มี)สติไว้เฉพาะหน้าของตนเอง(จิต)
    หายใจเข้าก็รู้ ออกก็รู้ ยาว-สั้นก็รู้ ใครที่รู้ ถ้าไม่ใช่จิตเป็นผู้รู้ ใครที่รู้?

    เมื่อจิตเป็นผู้รู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกในขณะนั้น ใช่จิตของตนหรือไม่?
    เท่ากับเรากำลังดูจิตให้รู้อยู่ที่ลมหายใจใช่หรือไม่?
    เมื่อจิตแลบหนีออกจากลมหายใจที่เข้าออก เราก็ระลึกรู้อยู่ใช่หรือไม่? จิตส่งออก

    ฉะนั้นการดูจิตที่ถูกต้องให้เข้าถึงจิตได้นั้น
    ต้องเริ่มต้นที่ "กายคตาสติ" หรือ "กายในกายที่เป็นภายใน"นั่นเอง
    จึงจะดูจิตเห็นอาการของจิตได้ ว่าขณะนี้จิตสงบ หรือจิตแส่ส่ายใช่หรือไม่
    และรู้จักจิตที่แท้จริงมีสติลงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวว่าเป็นเช่นใด....

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มีแต่ยาวๆครับ แบบสั้นๆไม่มี ยินดีได้คุยด้วยครับ
    (ทิฐิคนแก่ก็อย่างนี้แหละฟังแต่กิเลสตัวเอง)

    โชคดีครับ
     
  17. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ของยากเลยที่จะรู้แจ้งอริยสัจ 4
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    เฮ้อ!!!

    หลายวันนี้ทำไมถึงได้มีรู้สึกแปลกว่า
    เราต้องมาเสียเวลาหายใจทิ้ง กับคนที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา
    แต่มักชอบโชว์และแอบอ้างตนเองว่า
    เป็นสาวกพุทธบุตรที่เข้าใจพระพุทธศาสนา


    จำไว้ใส่หัวให้ดีๆนะ "ใครที่ฟังกิเลสเป็น เห็นกิเลสได้ชัดๆนั้น"
    ขอบอกเลยว่าบุคคลเช่นนั้น นั่นแหล่ะเจอทางเดินแล้ว(มรรคจิต)



    ขอระบายสักนิดตามภาษาคนขี้บ่น
    เมื่อเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง อาจจะยาวไปหน่อย
    เมื่อเห็นใคร ที่แอบเนียน สบประมาท ลบหลู่ ดูถูกคำสั่งสอนของพระองค์
    หรือเนื้อความในพระสูตรที่เรียกว่าพระพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
    มักอดไม่ได้จริงๆที่จำต้องโดนสวนกลับด้วยคำถาม ถึงธรรมะของพระพุทธองค์

    ส่วนใหญ่เหมือนกันหมด(ตะเภาเดียวกัน)เท่าที่เคยผ่านมาในบร์อดนี้
    พอถูกถามไปตอบกลับไม่ได้ ออกอาการแกว่ง มักรัวๆ มั่วๆ เพราะประจักษ์ใจตนเองว่า
    ขืนตอบกลับไปก็จะโชว์ความเขลาเบาปัญญาที่ตนเองได้กระทำลงไป(กลัวเสียหน้า)
    คือการกล่าวลบหลู่ ดูหมิ่น พระพุทธพจน์ที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

    จากนั้นอะไรหรือที่จะตามมา การแก้ขวยด้วยวิธีการต่างๆเท่าที่ตนเองคิดได้
    เช่น ท้าทายไปแบบทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ กล่าวหาว่าร้ายด้วยคำพูดต่างๆ
    ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คำหยาบๆที่คิดว่าเจ็บจี๊ดแน่ คำสบประมาทเท่าที่จะสรรหาได้
    แปลกแต่จริงเชื่อมั้ย? เชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ พอคนที่โดนสารพัดที่จัดสรรมานั้น

    เมื่อเค้าไม่รับ เค้าจัดสรรพร้อมกับมีหีบห่อแบบสวยงามส่งคืนกลับไปให้เท่านั้นแหละ
    โดนเสียดแทงกลับไปเท่านั้นล่ะ ออกอาการสารพัดเลย
    กล่าวหากลับมาทันที่ว่าเป็นคนอื่นเริ่มก่อน ไม่เคยคิดที่จะดูตนเองเลย

    ที่พันทิปก็โดนเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่พอเค้าระลึกได้ เค้ารู้จักละอาย
    ต่างกับที่นี่มากจริงๆ ที่"ลื่นเหลือล้น ทนเหลือหลาย ห้าห่วงทนหายห่วง"555+

    เมื่อมาถึงตรงนี้ ระลึกได้ว่ามีใครนะที่เตือนไว้โดยไม่ได้ตั้งใจว่า "กำลังหายใจทิ้ง"
    ก็จริงนะ เพราะเท่าที่เคยผ่านๆมานั้น ได้วนเวียนเป็นสัมภเวสีไปตามเว็บบอร์ดต่างๆ
    เมื่อโดนกระหน่ำด้วยคำถามทางธรรมะแล้ว มักไม่เคยเล่นลิ้น หรือเยอะๆ รัวๆ มั่วๆเลย
    มักจะตอบตรงๆเท่าที่คิดว่าตนเองรู้ ส่วนที่เกินรู้ไปนั้นมักนำเอาพระพุทธพจน์วางแทน

    ให้คนที่ถามมานำกลับไปพิจารณาเอาเอง ในช่วงแรกที่วนเวียนอยู่ตามเว็บนั้น
    รู้สึกสนุกไปด้วยจริงๆ เพราะได้ทั้งสาระ ทั้งความรู้ธรรมทางเพิ่มมาไม่น้อยเลย
    แต่เชื่อมั้ยว่า ระยะหลังที่ค่อยๆดาวน์ลงเริ่มหายไปจากบอร์ดต่างๆไปบ้าง
    เพราะรู้สึกได้ว่า มีแต่พวกแอบเนียนเรียนแบบแอบอ้างคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์

    เพียงเพราะอยากตั้งตัวเป็นครูบาอาจารย์บ้าง โดยการพูดอะไรก็ได้
    แบบที่รู้เองเออเองคนเดียว เพราะรู้อยู่ว่าคนอื่นที่ยังใหม่คงฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน
    จากนั้นก็มีการอวยกันเอง(อริยะนาโน) แถมแอบรับสมอ้างนั้นแบบไม่อายฟ้าดินเลย
    รู้มั้ยว่า การที่ทำไปแบบนั้นหนะ มันทำให้คำสั่งสอนของพระพุทธองค์เสียหายหมด

    อย่างที่เห็นๆผ่านมาเมื่อโดนถามกลับก็อย่างที่เห็นๆ ไม่เอาล่ะสมองชักเริ่มบวมอีกแล้ว
    ก่อนไป(ไปแล้วไม่ไปลับอย่างแน่นนอน) ฝากพระธรรมบทและสาระธรรมวันละสูตรไว้


    "ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
    อุปสนฺโต สุขํ เสติ หิตฺวา ชยปราชยํ.

    ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์,
    ผู้สงบระงับ ละความชนะและความแพ้ได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข."


    เจริญในธรรมทุกๆท่าน (ไปล่ะ)
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,622
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,194
    สาระธรรมวันละสูตร

    ๕. พันธนสูตร
    ว่าด้วยเครื่องจองจำคือขันธ์ ๕....
    (ไม่เป็นผู้ถูกเครื่องจำทั้งภายในภายนอกจำไว้)

    พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้
    ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ได้รับคำแนะนำในสัปปุริสธรรม
    ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน เห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน หรือเห็นตนในรูป
    ย่อมตามเห็นเวทนา ...
    ย่อมตามเห็นสัญญา
    ย่อมตามเห็นสังขาร ...
    ย่อมตามเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน เห็นตนมีวิญญาณ
    เห็นวิญญาณในตนหรือเห็นตนในวิญญาณ.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้ว เป็นผู้ถูกเครื่องจำ
    คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จำไว้แล้ว เป็นผู้ถูกเครื่องจำทั้งภายในทั้งภายนอกจำไว้แล้ว เป็นผู้มองไม่เห็นฝั่งนี้ เป็นผู้มองไม่เห็นฝั่งโน้น ย่อมแก่ทั้งๆ
    ที่ถูกจำ ย่อมตายทั้งๆ ที่ถูกจำ ย่อมไปจากโลกนี้สู่โลกหน้าทั้งๆ ที่ถูกจำ.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
    ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลายฯลฯ ได้รับแนะนำดีแล้วในสัปปุริสธรรม
    ย่อมไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีรูป ไม่เห็นรูปในตน หรือไม่เห็นตนในรูป. ย่อมไม่พิจารณาเห็นเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ...วิญญาณโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนมีวิญญาณ ไม่เห็นวิญญาณในตน หรือไม่เห็นตนในวิญญาณ.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ไม่เป็นผู้ถูกเครื่องจำ
    คือ รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ จำไว้
    ไม่เป็นผู้ถูกเครื่องจำทั้งภายในภายนอกจำไว้
    เป็นผู้มองเห็นฝั่งนี้เป็นผู้มองเห็นฝั่งโน้น เรากล่าวว่า ภิกษุนั้นพ้นแล้วจากทุกข์.


    http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=17&A=3667&Z=3684
    ......................................
    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ชัดเจน ปุถุชนที่ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้
    ย่อมหมายรวมเอาพราหมณ์ ฤาษีชีไพร นักบวชนอกศาสนา
    ที่ติดสุขอยู่ในฌานสมาบัติ๘ อันมีรูปฌาน-อรูปฌานด้วย

    บุคคลเหล่านั้น เข้าใจไปเองว่า ฌานที่ตนเองมีอยู่นั้น เป็นตนเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้
    แต่ใน"อนัตลักขณสูตร" พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนพระปัญจวัคคีย์ไว้ชัดเจนว่า
    นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็น นั่นไม่ใช่ตนของเรา เมื่อมีไม่ใช่ ที่ใช่ต้องมี

    ส่วนพระอริยสาวกนั้น ย่อมรู้เห็นตรงข้ามกับปุถุชนที่ไม่ได้สดับแล้วว่า
    จิตที่หลุดพ้นจากอุปทานขันธ์ ๕ ดีแล้ว
    ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องจองจำนี้ มีตนที่อบรมดีแล้ว
    มีพระบาลีจากพระสูตรว่า "อตฺมนา" คือมีใจเป็นตน

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. สงบใจ

    สงบใจ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2018
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ถูกต้อง ที่ใช่ต้องมี
     

แชร์หน้านี้

Loading...