อยากรู้วาละจิตต้องทำเช่นใดคับสำหลับคนมีอญิญา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย LucianoDion, 17 กันยายน 2018.

  1. LucianoDion

    LucianoDion สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +4
    อญิณญา คืออะไรคับ การฝึกนั้ง สมาธิ
    และข้อดีข้อเสีย ของมันเป็นเช่นใดคับ
    เช่นคนที่มี อญิณญาในฤทย์ ที่ 514
    ต้องทำเช่นใดบ้างคับ อยากรู้ ขอเชิญ
    ผู้รู้มาช่วยตอบเรื่องนี้ทีคับ
     
  2. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ไม่ใช่ผู้รู้น่ะ
    แต่อยากร่วมพูดคุยในประเด็นนี้ด้วย
    ..
    อภิญญาคืออารมณ์ประมาณรายการแถม จากสิ่งที่เราไปซื้อมาน่ะ
    พูดง่ายๆ น่าจะอย่างนี้
    พระพุทธเจ้า ผู้พบทางพ้นทุกข์
    บอกทางไปยังสิ่งนั้นว่า ต้องใช้ เครื่องมืออาวุธในการกำจัดได้แก่ สมาธิ
    ดังนั้น สมาธิก็เหมือน อาวุธดาบวิเศษ ดาบเจได ฟาดฟัน ทำลาย ศัตรูที่คือ กิเลส = โลภ โกรธ หลง
    แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อใครก็ตามได้อาวุธดาบเจไดมาแล้ว ยามว่างเมื่อไม่ได้ใช้ดาบฆ่าศัตรู สามารถใช้ดาบนั้นปลอกผลไม้ทานได้หรือทำอื่นๆ อย่างของมีคมตามใจปรารถนา นี่คือของแถม (อภิญญา)
    นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ครูบาอาจารย์เราจะสอนลูกศิษย์ให้ได้สมาธิ
    ..
    ข้อเสีย ธรรมดาของปุถุชน มักลืมเป้าหมายหลัก
    เมื่อได้สมาธิแล้ว
    ได้ดาบเจได มาแล้ว มักลืมเอาดาบนั้นไปทำลายศัตรู โลภ โกรธ หลง กิเลสทั้งให้สื้นไปจนนิพพาน
    แต่มักจะลืมตัว มัวเอาดาบวิเศษเจได ไปปลอกผลไม้กินเล่นเสีย เพลิดเพลินในสิ่งนี้ ดูดวง ของขลัง ท่องสวรรค์ นรก อภินิหาร นี่คือข้อเสีย
    ..
    ตอบให้ได้แค่นี้น่ะ ภูมิรู้น้อย
    ..
    คำตอบเป๊ะๆ รอท่านอื่นมาอธิบาย
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    ถามเป็นภาษาบาลีไปเลย จะอ่านง่าย
    กว่ามังฮับ
     
  4. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    อภิญญา คือ การใช้ขันธ์

    เจโต คือ การใช้งาน สัญญา+สังขาร ขันธ์ เป็นเครื่องกระจายสัญญาณและรับสัญญาณ ผ่านทาง อัตตาเป็นตัวรับรู้ข้อมูล เป็นเบื้องต้นของ ปฏิสัมภิทาญาณ

    ปฏิสัมภิทาญาณ คือ การใช้ สัญญา+สังขาร ขันธ์ จนชำนาณนั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2018
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ความสามารถมี ๒ แบบ
    พูดว่า อภิญญามันดูหล่อไป
    ส่วนมากตะเป็นพวกหลงตัวเอง
    ความสามารถต่ำขอบใช้ยกตัวเองกัน

    ขอเรียกว่าความสามารถแล้วกัน
    คือ ๑ แบบภายใน คือรู้เองเห็นเอง
    ทั้งเรื่องภายนอกและภายในแต่
    เน้นรู้ใจตัวเองเป็นสำคัญที่สุด
    ไม่ใช่ดูดวง หรือโชว์มุขเทพ
    พวกนี้คนอื่นๆไม่สามารถเห็นหรือรู้ได้แบบตนดังนั้นโอกาสที่จะหลงตัวเองจึงสูง
    ถ้าทิ้งไม่เป็น หรือไปยึดนามธรรมต่างๆ
    และข้อเสียคือภูมิต้านทางจิตจะน้อย
    เพราะขาดกำลังจิต

    ๒ แบบภายนอก คือตัวเองทำได้ และทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้เหมือนกัน แต่มีจ้อเสียถ้าทิ้งไม่เป็น โอกาสที่ตะใช้ในทางที่ไปทำร้าย
    ทำลายสรรพสัตว์สูง

    ทั้งสองแบบ ถ้าเกิดมี และถ้ายึดแล้วไม่มาเน้นด้านปัญญาต่อ. ความสามารถจะเสื่อมถอย ไม่มีการพัฒนาทางด้านสภาวะสมาธิ
    ไปในขั้นที่สูงกว่า แบบเป็นไปตามธรรมชาติ
    จองเนื้อหาเดิมแท้ของจิตนั้นๆ

    ความสามารถมันมีขั้นมีตอนในการพัฒนา
    มันขึ้นอยู่กับปฏิปทา. ถ้าอยากมีเพื่อความหล่อ เพื่อเท่ห์ นอกจากความสามารถทำได้
    จะต่ำแล้ว ยังจะหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ


    แนะนำ ถ้าจะฝึกเพื่อให้เกิดพวกนี้
    ควรมาหลังจากที่จิตแยกรูปแยกนามได้
    และเดินปัญญามาซักระยะหนึ่ง
    พูดง่ายๆว่า ความสามารถ ควรเกิด
    หลังจากที่จิตคลายตัวเองได้บ้างแล้ว
    มันถึงจะฝึกสำเร็จ และไม่หลงตัวเอง



    ไม่งั้นเสียเวลาฝึกเฉยๆ
    ฝึกไปมีแต่สัมผัส เห็นโน้นนี่นั่น
    แต่ใช้งานไม่ได้ซักอย่าง
    และจะหลงตัวเองแบบเอาตัวเองเป็น
    ศูนย์กลางจักรวาล
    และหลงยึดในนามธรรมเอาง่ายๆ


    ความสามารถต่างๆตามตำรา
    มันอยู่มีาเนื้อหาเดิมแท้ของจิตเรา
    ถ้าไม่เคยมีมาฝึกเท่าไรก็ไม่ได้

    วิธีการง่ายสุดคือเน้นเดินปัญญา
    จนจิตคลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
    เด่วความาสามารถต่างๆ
    ที่เคยทำได้ในอดีตมันจะขึ้นมาเองได้
    จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลา นั่งเกร็งกล้ามตรูด
    และเสียเวลากับเรื่องสัมผัส นามธรรมกิ๊กก๊อก จากการเห็นโน่นนี่นั่น
    แล้วเผลอเอามาเล่าด้วยความภูมิใจ
    ประหนึ่งตนเป็นผู้วิเศษ
    ให้คนขำเล่นกัน ประหนึ่งว่าตอนเด็กๆ
    แถวบ้านไม่มีใครอุ้มเพราะน่าเกลียด

    กิริยาต่างๆมันเป็นนามธรรม
    เครื่องมือที่จะใช้ทำความเข้าใจคือ
    สติทางธรรม เรามีเราสร้างหรือยัง

    ถ้ายังก็เปรียบได้กับการคว้าลมในอากาศ
    แต่ทำเป็นรู้ดีเรื่องลมนั่นหละครับ
    ทั้งๆที่ตาตัวเองก็มองไม่เห็น


    ปล. แค่เล่าสู่กันฟังครับ
     
  6. เส้นทางยาวไกล

    เส้นทางยาวไกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +206
    อภิญญา คือ อำนาจวิเศษที่เป็นผลจากสมาธิ
    เมื่อฝึกสมาธิจนจิตสงบนิ่งมีกำลัง ก็จะเป็นพื้นฐานนำไปสู่ความสามารถพิเศษ ที่สำคัญที่สุด คือ ปัญญาครับ ปัญญา คือ ความตระหนักแจ้งในสภาวะอันแท้จริงของธรรมชาติ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสรรพสิ่งซึ่งเป้าหมายของพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ส่วนอภิญญา คือ อำนาจพิเศษที่เป็นผลที่ได้จากสมาธิเช่นกัน เหล่าฤาษี โยคี สมัยก่อนท่านก็ทำกันจนได้ อภิญญาเป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่ได้จากสมาธิและการฝึกฝนทางจิตที่มีเทคนิคเฉพาะ
    อภิญญามีหลายประการครับ เช่น อิทธิวิธี(การสำแดงฤทธิ์เดชในรูปแบบต่างๆ เจโตปริญาณ(การหยั่งรู้ความคิดของผู้อื่น) ทิพยโสต(หูทิพย์) ทิพยจักษุ(ตาทิพย์) เป็นต้น
    แนะนำหนังสือทิพยอำนาจครับ จะมีเนื้อหาเรื่องนี้ละเอียด หรือหนังสือที่หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ(ฤาษีลิงดำ) ท่านเขียนไว้ก็มากครับ แนะนำให้ศึกษาแต่อย่าหลงใหลมากครับ สังคมปัจจุบันไม่เอื้อนัก ครูบาอาจารย์ของแท้สำเร็จจริงมีไม่มาก สำนักอวดอ้างมีเยอะ ถ้าชอบแล้วนำไปสู่ความเพียรก็สาธุครับ แต่กลัวจะนำไปสู่ความเพี้ยน ต้องระวังให้มากครับ เราไม่จำต้องเป็นผู้วิเศษก็ได้ เป็นผู้ไม่มีกิเลสก็พอครับ ผิดพลาดอย่างไรท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ ผมนี่สุตมยปัญญาล้วนๆ ความรู้สู้ท่านที่ได้ภาวนามยปัญญาไม่ได้หรอกครับ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เรื่องทางปัญญาที่ส่งผล
    ต่อความสามารถพิเศษที่เกิดขึ้นชัดเจน
    ที่สุด. ดูท่านพระสารีบุตร
    เป็นตัวอย่างครับ. เพียงฟัง
    พระพุทธเจ้าตรัสเพียง
    แค่ไม่กี่คำ ก็บรรลุธรรม
    พร้อมทั้งมีวิชา ๓ และ
    ปฎิสัมภิทาญาน ๔ ครับ


    ที่ส่วนตัวพูด จะสื่อว่า
    คุณหรือใคร
    อย่าได้เผลอไปคาดหวังว่า
    คุณจะไปนั่ง เกรงกล้ามดาก ฝึกตบะ
    ฝึกกรรมฐานพิเศษ กองโน้นนี่นั่น
    เพราะตำราเขียนไว้ว่าจะทำ
    โน้นนั่นนี่ได้
    และมัวไปบ้าพลังกับ
    มันเพียงอย่างเดียว
    แล้วไม่สนใจเรื่อง
    เดินปัญญาเลยนั้น
    มันเป็นการกระทำ
    ที่ไม่ฉลาดมากๆครับ
    เพราะคุณจะยิ่งห่างไกล
    เรื่องความสามารถ
    ที่จิตจะทำงานแบบพิเศษได้


    เพราะกิริยาต่างๆที่เราเจอระหว่างทาง
    เราจะเข้าใจมันได้เพราะกำลังสติทางธรรม
    ไม่ใช่เห็นแล้ว เอะมันคืออะไร ฉันเห็นนะ
    ผมเห็นนะ แล้วก็หลงว่าตัวเองได้เห็น
    สุดท้ายก็หลงยึดสิ่งที่เห็น
    และ ไม่ยึดไม่หลงมันนั้น
    เพราะตัวปัญญา ที่เราได้จากการเดิน
    ปัญญานี่หละครับ



    เพราะฉนั้น ถ้าประเภท ฝึกเพื่อความหล่อ
    อยากเท่ห์ สาวๆกรี๊ดกร็าด อยากให้คนเห็น
    ว่าตนเองไม่ธรรมดา อยากเป็นอาจารย์
    อยากเป็นปรมาจารย์ อยากได้รับการเสริญ
    มุ่งหวังในเรื่องทรัพย์ เพื่อลาภเพื่อความสุข
    ให้กลับตัวกลับใจใหม่ซะ
    เพราะนิสัยพวกนี้ ไม่ใช่วิสัย
    ของดวงจิตที่จะมีอะไรพิเศษหรอกครับ
    มันเป็นแค่มายาลวงจิตตนเองให้หลง
    ไปกับสิ่งเหล่านี้

    พุทธศาสนาเรียนเพื่อเอาออก
    ไม่ใช่เอาเข้ามาแล้วสร้างให้มี


    ความสามารถ ถ้ามันจะมีก็ปล่อยไป
    อย่าไปยึดมัน อย่าได้เผลอไปหลงกับมัน
    จนลืมหลักสำคัญทางพุทธศาสนาครับ
     
  8. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    อยากรู้วาระจิตอื่น
    ต้องเรียนรู้จิตตัวเองก่อนครับ
    ก็คือต้องฝึก สติปัฏฐาน 4 ทั้งหมดเลย
    เพราะทุกหมวดจะ เกื้อหนุนกัน
     
  9. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เหมือนเคยได้ยินว่าเข้าใจวาระจิตตนดีแล้วจึงจะเข้าใจจิตใจผู้อื่น...อาศัยเพียงความเข้าใจ
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    การรู้นั้น จะเป็นการรู้จากภายในไปภายนอกครับ
    จะรู้ได้ จะเกิดหลังจากที่จิตคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    ของมันเอง ซึ่งกรรมฐานต่างๆเป็นเพียงอุบาย
    และก็การเดินปัญญาก็เป็นอุบายที่ทำให้จิต
    มันสามารถคลายตัวเองได้ตามธรรมชาติ
    การรู้มันถึงจะเกิดขึ้นได้ของมันเอง
    ตามแต่ ระยะเวลาที่จิต คลายตัวเองได้ ณ ช่วงเวลานั้นๆ
    ส่วนความละเอียด ขึ้นอยู่กับ การขยายตัวของจิต
    ณ เวลาที่จิตคลายตัวเอง....

    เด่วเปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ คือ ยกตัวอย่างเฉยๆนะ
    เช่น นาย ก จิตคลายตัวได้ จากกรรมฐานและเดินปัญญา
    ออกไปได้กว้าง ๑ เมตร นาย ก อาจจะสามารถย้อนอดีตได้ ๕ ชาติ
    แต่วันหนึ่งนาย ก ปล่อยวางได้ดี มีปัญญาตัดกิเลสมากขึ้น
    วันนั้น จิตขยายตัวออกไปได้ กว้าง ๓ เมตร ณ เวลานั้น
    นาย ก อาจจะย้อนอดีตได้ ๕๐ ชาติ ภายในเวลาไม่กี่วินาที
    เปรียบให้พอเห็นภาพเฉยๆ ความสามารถทีเกิดแบบนี้ถึงจะไม่เสื่อมถอย.....


    แต่ ถ้า นาย ก คนเดิม เกรงกล้ามฝึกสมาธิ แต่ไม่สนใจเรื่องปัญญา
    บังเอิญว่า กำลังของกรรมฐานกองนั้น ไปกดให้จิตมีสภาวะคลายตัวได้
    นาย ก คนเดิม อาจจะย้อนอดีตได้ ๓ ชาติ แต่ก็จะรู้เหนื่อย
    และ นาย ก ก็กรรมกรฝึกต่อไป อาจจะย้อนได้ อีกเป็น ๕ ชาติ
    แต่ก็จะรู้สึกว่า ทำได้ยาก ให้แรงงานเยอะเหลือเกิน
    ที่สำคัญพอ นาย ก ไม่ได้ฝึกสมาธิช่วงระยะเวลาหนึ่ง
    กลับพบว่า อยู่ดีๆตัวเองกลับทำแบบเดิมไม่ได้อีก
    และกว่าจะทำได้แบบเดิมอีก ก็เหนื่อย ใช้เวลานาน.....

    นี่คือ ผลที่จะเกิด จากการปฏิบัติ ของนาย ก


    แต่ถ้า นาย ก ไม่เคยฝึกอะไรเลย ยังไม่เคยฝึกเจริญสติ
    และเดินปัญญา ดันเกิดความสามารถนี้ขึ้นมาได้เอง
    โอกาสที่คนจะมองนาย ก ว่าเพี้ยนๆจะสูง
    และโอกาศที่นาย ก จะทำให้คนอื่นๆเห็นว่าตนเพี้ยนก็จะสูง
    เพราะจะแยกไม่ได้ ระหว่างนามธรรมกับรูปธรรม
    คือ พูดง่ายๆ คือแยกไม่ออกว่า ใครเป็นผีหรือคน
    บางทีเดินผ่านที่อดีตเคยรบกัน ก็เดินหลบไปหลบมา
    คือ เห็นคนเดียว แต่คนอื่นๆไม่เห็น เค้าเลยมองว่าเพี้ยน
    ทางปฏิบัติ เรียกว่า หายตัวในวิถีญานไม่เป็นนั่นเอง
    กรณีแบบนี้ นาย ก ต้องมาเจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆ
    ตลอดจนเดินปัญญาให้ต่อเนื่อง ความสามารถอะไร
    ที่ไม่ได้ใช้ก็จะถูกปิด บางทีจะจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
    ว่าตนเองเคยทำอะไรได้.....ที่เล่าเรื่องปกติ
    ส่วนมากที่เกิดเหตุแบบนี้ จะเป็นกลุ่มผู้โปรด
    ถ้าไม่สุดๆท้างด้านปัญญาไปเลย
    ก็จะดูแปลกๆไปเลยนั่นหละ
    คนกลุ่มนี้ อยู่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นเรื่องปกติได้ครับ
    ไม่ไช่ว่า เป็นคนบ้าหรือไม่ดีนะครับ
    แต่ว่า วิถีญานหรือญานวิถี มาตอนที่ ร่างกายและจิตยังไม่พร้อม
    การไปรับรู้อะไร ก็จะดึงมาเป็นตัวเองทุกเรื่อง
    มีส่วนร่วมทุกเรื่อง เหตุนี่หละ ที่คนภายนอกเลยมองว่าเค้าแปลกๆ
    ดูเพี้ยนๆครับ
    กลุ่มนี้ ความสามารถ รับรู้ทางนามธรรมจะดีและ มีกันเป็นปกติ
    เปรียบเหมือนเราหายใจได้นี่หละครับ
     
  11. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    อภิญญาคือความดีที่สั่งสมมานับชาติไม่ถ้วนคะ

    ข้อเสียคือใช้ผิดศิลก็ต้องตายไปใช้กรรมคะ
     
  12. LucianoDion

    LucianoDion สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +4
    ขอบคุณมากคับได้ผลดีมากเรยคับและ
    ได้ความรู้ งดคับ
     
  13. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    เพราะเหตุนี้มี สิ่งนั้นจึงมี

    เวลานักเสนาธรรมกัน ปฏิบัติมาคุยกัน เราจะรับรู้ได้ทางจิตใจ มีความจริงใจ มีความมั่นคง ไปตามเหตุโจทย์หรือข้อสงสัย รู้แค่กิริยา ก็พอ แต่ไม่มีความสำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้น เป็นไปตามสมควรแก่เหตุของตนและผู้อื่น
     
  14. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    การเสนาธรรมกัน การรู้มากรู้เยอะ ขณะที่รู้ มันจะปรุงทันทีความคิด ทำให้ผิดเพี้ยนได้ขณะปัจจับัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมควรแก่เหตุ แล้ว เกิดโทษ มีลักษณะ อนัตตา

    ผมเคยโดนมาแล้วไปทะเลาะพวกรู้มาก มันจะเอาเรื่องอดีตเก่าๆมาประจาน เป็นเรื่องที่หลงตัวเองจริงๆ
    สติปัฏฐาน 4 แจ่มสุดแล้ว ปฏิบัติให้ดีที่สุด และรู้จักตัวเองด้วยเป็นคนมีคุณธรรมสูงไหม คนที่มีวิชาเหนือธรรมชาติเกินมนุษย์ มีคุณธรรม จิตใจมั่นคง
    เป็นบุคคลที่น่านับถือ ครับ
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    ใช่ฮับ...แค่มีสติเข้าใจชัดเจนถึงสภาวะ
    ธรรม
    ที่กำลังปรากฎขณะปัจจุบัน
    นั่นแหล่ะใกล้หลุดพ้นจากกิเลส
    ทั้งหลาย
     
  16. รัศมีสุริยา

    รัศมีสุริยา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +53
    อภิญญาเป็นของเก่า ที่เคยสั่งสมมาในอดีตหลายชาติ
    ผมเคยเจอคนที่มีความสามารถพิเศษอภิญญาที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้เป็นพระด้วยซ้ำ

    คนแรกเป็นผู้หญิงมีร้านเล็กๆ อยู่ในกทม.แต่งงานมีลูกมี
    สามารถมองเห็นคน,วิญญาณ,เจ้าที่, สภาพในบ้าน ห่างไปหลายร้อยกม.โดยที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย ปัจจุบันปัญหากับทางบ้าน

    อีกคนเป็นหมอดูรู้วาระจิตคนที่คุยได้ ต่อรองคุยกับเจ้ากรรมนายเวรได้ รู้ว่าคนป่วยจะหายหรือตาย ถ้าตายอีกกี่วันตายคนนี้ก็เหมือนคนปกติ มีรัก มีชัง มีเมตตา แต่ที่แน่ๆมีความผูกโกรธกับคนสนิทรู้จักกัน

    อีกคนเป็นฆราวาสปฏิบัติสายโพธิสัตว์ช่วยคนร่วมแสน ช่วยผีอีกนับหมื่น สามารถดำน้ำได้โดยไม่ขึ้นหายใจครั้งละหลายๆ ชั่วโมงเพื่อจารตะกรุด ช่วยให้ทหารตำรวจ ภาคใต้รอดตายหลายราย เล่าว่าเรื่องการรู้วาระจิตนี่เป็นเรื่องธรรมดามาใช้แค่กำลังณานเท่านั้นเอง

    ในสมัยพุทธกาล พระที่ได้ อภิญญา 5 สมาบัติ 8 ระดับเหาะได้ การทำเรื่องอื่นนี่ธรรมดาไปเลย ตอนนี้ยังลงนรกอยู่เลย

    นับประสาอะไรกับบางคนกับการใช้ของเก่ามาทำร้ายผู้คนรอบข้าง ควายอยู่ในคอกของมันดีอยู่แล้วก็ยังจะต้อนออกมา คนป่วยอยู่รพ.ก็จะเข็นเตียงออกมาเล่น ดูหนังเก่าฉายซ้ำ
    หลายรอบมันน่าดูตรงไหน แปลกดีที่จิตใต้สำนึกชอบเสพย์เรื่องแบบนี้ คนมีสติปัญญาทางธรรมควรรู้สึกตัว
    ดังนั้นเรื่องการได้อภิญญานี้จึงไม่ใช่สาระสำคัญครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ทั้งหมดทั้งมวล เห็นด้วยแค่บรรทัดสุดท้ายครับ
    ไม่เอาเรื่อง ที่ว่ารู้จักคนโน้นนี่นั้นอะไรนะ
    เพราะส่วนตัวถือว่า ไร้สาระ...
    พูดไปแค่นั้นหละครับ เพราะทำไม่ได้เหมือนเค้าอยู่ดี
    พูดอย่างไรก็หมดหละครับ
    แต่ไม่ใช่ เอามาพูดเพื่อที่ประกอบการที่จะสรุปความคิดตนเอง.....

    ถือว่าเล่าสูกันฟังนะ...
    การที่เราแนะนำได้ พูดได้ และทำได้แล้ว
    และค่อยมาวิพากษ์ วิเคราะห์ วิจารณ์
    แสดงความเห็นต่างๆนาๆนั้น

    มันจะมีความแตกต่างจากที่ ยังไม่เคยทำได้
    ใช้งานได้ แนะนำได้ แล้วมา วิพากษ์ วิจารณ์
    แสดงความเห็นนะครับ

    คำว่า knowledge แปลว่า ความรู้ มันยังรวมความเข้าใจด้วย
    คำว่า skill แปลว่า ความสามารถหรือความชำนาญ


    คือ นักปฏิบัติ เนี่ย จะประกอบด้วย ๒ สิ่งนี้หละครับ
    ความรู้ เนี่ย มันมาจากทางด้านการอ่านก็ได้ การได้ยิน ได้ฟัง การคิดวิเคราะห์
    แยกแยะได้หมดหละครับ ส่วนมาก ในทางโลกเราก็ใช้กันอยู่
    คำว่า ความชำนาญ ความสามารถ เรามักเรียกว่า ประสบการณ์
    ทั่วไปเราจะต้องการ คนที่มีทั้ง knowledge และ skill
    ทั้งในด้านการประกอบอาชีพ และด้านการปฏิบัติทางด้านพุทธศาสนา..ถ้าได้
    จะดีที่สุด แต่เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ
    ถึงต้องได้มีการ ศึกษาและทดลองลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงนั่นเอง


    แต่เราควรพิจารณาตัวเราเองว่า เรามี องค์ความรู้แค่ไหน
    มีความรู้เพียงพอ ที่จะวิพากษ์ วิจารณ์ หรือ สรุปเลยได้หรือไม่???
    และความพิจารณาว่า เรามีความชำนาญแค่ไหน ????

    เพียงพอที่จะทำให้เราสรุปเอาเอง ตามที่เราคิดโดยที่
    ไม่มีเหตุผลประกอบอะไร ที่เชื่อให้ว่า มันเป็นอย่างที่เราคิดไหม
    มีหลักฐานไหม เอาอะไรมาพิสูจน์

    ปล. เข้าใจที่พูดนะครับ มีประโยค ๒ ประโยคให้พิจารณา

    ๑.'' โถ่เอ่ย แค่ขับเบนส์ กระจอกวะ. พูดได้แค่นี้เพราะไม่ได้ลองสัมผัสและตัวเองไม่เคยขับ
    ๒.'' อ่อ รถเบนส์ ข้อดี ข้อเสีย เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ครับ.......

    จะเป็นนักปฏิบัติ ประเภทไหน เชิญพิจารณาเอาเองได้ด้วยตัวเองครับ
    การเลือก ข้อใดข้อหนึ่ง พฤติกรรมทางกายและจิต ของเราก็แตกต่างกัน
    อย่างเห็นได้ชัดแล้วครับ ลองพิจารณาดูเองนะครับ
     
  18. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    เท่าที่ทราบ

    อภิญญา คือ ความรู้อย่างยิ่ง หรือ ความรู้ชั้นสูง
    ซึ่งความรู้นี้จะได้มาก็ต่อเมื่อ ผู้นั้นสามารถทำจิตเข้าถึงฌาน 4 ขึ้นไปได้
    หลังจากนั้นก็เอาสมาธินั้นไปฝึกในกสิณทั้ง 10 กอง
    เมื่อฝึกได้แล้วอภิญญาจึงจะเกิดขึ้นได้เต็มที่
    สามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไปได้
    เช่น พระโมคคัลลานะ ที่ท่านสามารเหาะเหินเดินอากาศได้ แปลงกายได้ และอีกมากมาย
    (ผมยังทำไม่ได้นะ แต่เท่าที่รู้มาคือแบบนี้)

    ส่วนข้อดีข้อเสีย
    ก็อยู่ที่คนทำได้ ว่าเขาจะเอาไปทำอะไรครับ
    ถ้าเอาไปใช้ช่วยในการพิจารณาปัญญา ก็จะช่วยให้บรรลุธรรมได้สะดวกขึ้น
    ถ้าเอาไปทำร้ายคนอื่นก็ลงนรกได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
    ขึ้นอยู่กับวิธีใช้
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ประเด็นแรก จิตปกติ มันจะซื่อบื้อมากๆครับ
    เพราะถ้าฉลาด มันจะไม่ส่งกระแส
    หรือตัววิญญาณไปกระภายนอกแล้วดึง
    มาเก็บจนสุดท้าย ต้องสร้างช่องทาง
    ส่งกะแสจนเป็นกายเรานี้ครับ
    และมันชอบท่องเที่ยว. นี่เป็น
    เหตุที่มำให้เราๆ ต้องมาข้องเกี่ยวกับ
    เรื่องสติและปัญญาครับ

    ประเด็นต่อมา จิตมีนิสัยส่งออกครับ
    คือทั้ง สองประเด็นมันเป็นเรื่องปกติครับ


    แม้ว่า ใครจะเกรงกล้ามตรูด
    นั่งจนถึงถึง ฌาน ๔ ได้จริงๆ
    ไม่ใช่แบบพวกที่ทำได้ระดับอุปจารสมาธิ
    แล้วหลงตัวเองทั้งหลายเป็นกันนั้น
    และสามารถควบคุมให้จิตอยู่นิ่งๆ
    แยกขาดกับกาย และอยู่ในกายได้แล้ว

    ต้องมาดูว่าจิตจะไปทางด้านไหน
    ตามแต่ที่ดวงจิตมันเคยสะสมมาด้วยครับ
    ซึ่งการจะมีความสามารถขึ้นมา
    แบบใช้งานได้เลยในชีวิตจริง
    ตัวจิตมันจะต้องวิ่งซ้อนเข้าไปในตัวมันเอง
    ระเบิดไปเรื่อยๆ เป็นการเข้าไปค้นข้อมูล
    ต่างๆที่มันเคยสะสมไว้ให้ขึ้นมาครับ

    ส่วนตัวบุคคลที่พอจะเรียกว่า
    มีอภิญญา คือ บุคคลที่สามารถ
    หายตัวได้ ย่นย่อระยะทางได้
    เล่นแร่แปรธาตุได้ เพราะอะไร
    เด่วจะบอกเหตุผลต่อไป


    ส่วนความสามารถอื่นๆ
    จะขอเรียกว่า
    การทำงานได้ของจิต
    ไม่ใช่คำว่าอภิญญา
    เพราะคำนี้ ทำให้มนุษย์
    หลงตัวเองมามากมาย
    ทำให้คนติด ในลาภ ยศ
    สุข สรรเสริญ มานับไม่ถ้วน
    ซึ่งมันสามารถฝึกกันได้ปกติ
    ว่าแต่เป็นคน ฝึกกันได้หมดครับ


    และการทำงานได้ของจิตยัง
    แบ่งเป็น ๒ ประเภท
    ๑. แบบภายใน คือความสามารถ
    ทุกอย่างที่รู้เองเห็นเอง
    แต่ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆรับรู้
    และปรากฎเหมือนตนเองได้ครับ
    ๒. แบบภายนอก คือตัวเองทำได้
    คนอื่นๆรับรู้ได้ เหมือนตนเอง


    ทั้งสองแบบเป็นจุดเริ่มต้นคลาน
    ของการเข้าสู่วงการครับ
    พูดง่ายๆว่าพึ่งคลอดนั่นหละ


    และความสามารถ
    ถ้าแบบพระโมคคัลลานะ
    เรามีคำอุปโลกน์ได้คำหนึ่ง
    เรียกว่าระดับจิตธาตุ
    ความสามารถของดวงจิตกลุ่มนี้
    ก็คือ เป็นไปตามใจนึกทุกอย่าง
    จึงเป็นไปได้อยาก ที่จะเข้าไป
    รู้ในวิถีของกลุ่มดวงจิตเหล่านี้



    เพราะความสามารถแบบนี้
    มันเป็นการสร้างสะสมมาเฉพาะดวงจิต
    นั้นๆครับ

    และที่สำคัญคือมันฝึกเอาไม่ได้ครับ
    มันต้องทิ้งเอาครับ


    เพราะมันกิริยาที่เหนือ
    กายเหนือจิตแล้วครับ

    แต่การที่ดวงจิตใดก็ตาม
    จะพ้นสภาวะนี้ได้ ทั่วไป
    ต้องผ่านการใช้กายใช้จิต
    มาพอสมควรแล้ว
    และมาต่อทางด้านปัญญา
    มันถึงจะพอระลึกที่จะทิ้งความสามารถ
    ต่างๆที่เคยทำได้


    การทิ้งความสามารถทางจิต
    มันไม่เหมือนเราโยนสิ่งของทิ้งครับ


    เพราะยิ่งทิ้งมันยิ่งพัฒนา
    การใช้งานยิ่งอัตโนมัติขึ้น


    เพราะว่าเมื่อทิ้งแล้ว
    มันจะเป็นกุศโลบาย
    ให้จิตไร้ตัวกระทำ ไร้อะไรมาเกาะ
    จนจิตมันค่อยๆคลายตัวเองได้
    ตามธรรมชาติของมัน

    เมื่อมันคลายตัว ทางกิริยาก็คือ
    มันไร้การมีอะไรทำให้เกิด
    และระยะเวลาที่คลายตัวนั้น
    จิตมันจะค่อยๆกลับคืนสู่เนื้อหา
    เดิมแท้ของตัวจิต เนื้อหาเดิมแท้
    คือ สิ่งที่จิตเคยสะสมมา ทำมา
    ความสามารถต่างๆ
    มันก็จะค่อยๆขึ้นมาได้เองตามลำดับ

    ถ้าจิตไม่เคยสะสมมา
    การที่จะมาฝึกให้เกิดเป็นไปได้ยากมาก
    แม้แต่จะเคยมีมา การจะให้ค่อยๆ
    กลับมาก็ยากครับ

    ดีงนั้นจึงเป็นที่มาส่วนหนึ่ง
    ของการขอบารมีครับ


    บทคาถาต่างๆที่เป็นการดึง
    การเรียกของเก่า
    ถ้าเราแยกคำแปลดีๆ
    จะพบว่า คำแปลจะเป็น
    การปล่อย การส่งคืน
    สู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    ทั้งนั้นหละครับ


    ถ้าเราเข้าถึง ไม่ได้ใช้งานเป็นสากลมา
    ได้ยิน ได้ฟังมา
    เราจะเข้าใจว่า
    ความสามารถถ้าที่ระดับโปรซีรีย์
    ต่างๆที่ท่านทำได้ มาจากการทำเอาครับ


    ความจริง การฝึก ตามหลักวิธี
    มันเป็นแค่กุสโลบาย
    เพื่อเป็นฐานในการทิ้งทั้งนั้น


    ถ้าเราหัดสังเกตุบ้าง
    เราจะพบว่า ในระดับเกจิทั้งหลาย
    ในอดีตที่ผ่านมา แม้ภายนอก
    บุคคลจะเห็นว่าท่านเหล่านั้น
    มีความสามารถมาก
    แต่เกือบทุกท่าน กลับเน้น
    ทางด้านปัญญาเป็นหลัก
    ความสามารถเป็นเรื่องรอง
    เป็นของแถม. เพราะท่านเหล่านั้นเข้าใจดี


    สรุป อันดับแรก

    โน้นนนน ดูตัวเองก่อนว่าจิตตนเอง
    มีความสามารถทำได้
    แบบภายในหรือภายนอก
    ถ้าภายนอก กสิณค้องเป็นเรื่องสิวๆ
    คือใช้งานได้ปกติ
    มีทั้งสองอย่าง คือ พึ่งเริ่มคลาน

    ต้องมาทิ้ง โดยอาศัยปัญญาเป็นตัวนำ
    จนจิตคลายตัวเองได้นานขึ้น
    แล้วค่อยดูว่าความสามารถอะไรจะกลับ
    ขึ้นมาเองครับ

    ที่ครูบาร์อาจารย์ในอดีต
    ท่านบอกว่าฝึกโน้นนี่นั้น
    จะทำโน้นนั่นนี่ได้
    เป็นแค่อุบาย และทริควิธีแบบ
    หยาบๆ เราอ่านตาม เรา
    ก็ได้ก็ได้แต่เชื่อว่า น่าจะใช่

    แล้วก็เอามาแนะนำ เอามาถ่ายทอด
    ทั้งๆที่ มันแฝงรายละเอียดต่างๆ
    หลักการไว้อีกมากมาย
    มันจะกลายเป็นวิบากตัวเราเอง

    นี่หละเป็นเหตุให้ชาตินี้ แม้เราจะศรัทธา
    แม้เราจะกรรมกรฝึกแทบตาย
    สร้างบุญบารมี ร้อยแปดพันเก้า
    เราก็เข้าไม่ถึงซักที
    แทบยังจะหลงตัวเอง
    กับความสามารถแบบภายในกระโหลก
    กะลาพิสูจน์อะไรไม่ได้ พอได้สัมผัสภายนอก
    เล็กน้อยก็หลงตัวเอง ทั้งที่ยังใช้งาน
    อะไรเป็นทางการไม่ได้


    เพราะเราไม่ทิ้งทิฐิ โง่ไม่เป็น ความรู้เยอะ
    แล้วไม่ได้พยายามปฎิบัติจริงเพื่อให้รู้
    ให้เข้าถึงด้วยตนเองจริงๆ ติดแต่สัมผัส
    กิ๊กก๊อก กิริยากิ๊กก็อก ระหว่างทาง
    แล้วหลงว่า ที่ตนสัมผัสได้ เป็นสิ่งพิเศษ
    หรือมีแต่เค้าเล่าว่า.
    ฟังมาว่า ท่านนี้บอกว่า


    แล้วไปเอา ระดับโลก มาเล่า มาเปรียบ
    ให้คนฟัง ไม่มีทางที่จะเข้าใจกิริยาได้หรอก
    ได้แต่เชื่อว่าเท่านั้นหละครับ

    ไม่ได้อยู่ในวิถีการใช้งานทางจิตได้ทั่วไป
    ไม่มีพื้นฐานใช้งานทั้งภายนอกภายใน
    ไม่ได้มาเน้นเรื่องปัญญา
    เพื่อละคลาย การไปดึงภายนอก รวมทั้งตำรา ทั้งที่ฟังมา ไม่ใช่เฉพาะดึงมาแล้วเกิด
    โลภ โกรธ หลงจน
    เข้ามาเป็นตัวตน
    จนยึดว่าต้องเป็นต้องใช่

    วิถีจิตแห่งการเริ่มเข้าถึง เข้าใจเหตุแห่ง
    ความสามารถต่างเหล่านั้นมันย่อมห่างไกล
    ตัวเราออกไปไกลครับ


    ปล บุคคลมีสมบัติเก่าเช่น อย่าง ลพ.
    มีชื่อที่อุทัยธานี ที่ล่วงลับไปแล้ว
    นั่นเข้าฌาน ๔ ได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
    มีสัมผัสต่างๆมากมาย ตั้งแต่ยัง
    ไม่บวชโน้นนนนน
    ท่าน เพียงแค่รอเวลาที่กายพร้อมใจพร้อม
    ที่จะนำสมบัตินั้นมาใช้ ให้เกิดประโยชน์
    บรรดาพระเกจิทั้งหลายก็ไม่ต่างกัน
    อย่างพระสาวกมีขื่อก็เปรียบได้ว่า
    มีสมบัติด้านนั้นมากกว่าใครในโลก

    อย่าได้เที่ยวเอาคนเหล่านี้มาอ้าง มาเสริม
    ว่าทำแบบนี้ แบบนั้นเลยมีสมบัติ
    เก่าเยอะเหมือนกับท่าน
    ถ้าเรามีแค่ คารมย์ และทรงผม
    และไม่ได้พอมีสมบัติที่จะพอ
    คะเนสมบัติของท่านเหล่านั้นได้
    เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ทั้งหมด
    หรอกว่าท่านเหล่านั้นได้สะสมมาอย่างไร


    ปล ฝึกเอาไม่ได้หรอก มันต้องทิ้งเอาครับ
    เป็นนัยยะ. จิตที่ยังมีตัวกระทำให้เกิด
    ยังไงก็เป็นมิจฉาทิฐิหมดนั่นหละครับ
    เพียงแต่มันพอใช้งานได้บางอย่าง

    โน้นมันต้องพ้นกายพ้นจิต
    แล้วมาดูว่าติตนั่นสะสมด้านไหนมาบ้าง
    ก็จะชำนาญในด้านนั้นๆ
    คามแต่ที่ได้เคยสะสมมาครับ

    สมัยนี้ มีคลื่นมากมายจากเครื่องใช้ไฟฟ้า
    ต่างๆ ซึ่งมันเหนี่ยวรั้งกันในระดับอนุภาค
    ในระยะสั้นๆเหมือนเราดึงยางให้ยืดมันจะกลับมา ซึ่งมันไม่เอื้อ ต่อการเปลี่ยน
    แปลงอนุภาคให้หายไปและเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกอนุภาค ซึ่งเป็นพื้นฐานของท่านที่จะไปสู่ระดับจิตธาตุเป็นกัน

    ดังนั้นปัจจุบันเราจะพบเห็นท่านที่
    เหาะได้ หายตัวได้ เล่นแร่แปรธาตุ
    (หยิบของในอากาศ คิดได้ดังใจ)
    เป็นไปได้ยากกกกก มากครับ

    ยกเว้นว่าท่านเหล่านั้น
    จะทำได้ก่อน ในป่าลึก
    บริเวณที่ไม่มีแรงเหนี่ยวรั้งกัน
    ( ทางวิทยาศาสตร์เรียกนิวเคลียร์แบบเข้ม)
    แล้วท่านออกมาอยู่ในเขตมีแรง
    เหนี่ยวนำ(คือมีการใช้ระบบไฟฟ้า)
    ก็อาจจะมีให้เราได้พบเห็นได้
    ถ้ายังมีเหลืออยู่

    ไอ้ความสามารถแบบภายในและภายนอก
    มันแค่พื้นฐานเด็กๆ ยังห่างไกล
    ความจริงที่จะไปถึงคำว่า
    อภิญญาที่ส่วนตัวเข้าใจ ที่เกจิในอดีต
    ท่าน มีกันเป็นปกติครับ
    ดังนั้น อย่าไปสนใจกับคำนี้ให้มาก

    มันจะทำให้เราติดกับดัก หลงตัวเอง
    ในกิริยาระหว่างทางของแบบภายในภายนอก ได้อย่างไม่รู้ตัว ทั้งๆที่จิตเรา
    ทำอะไรแบบพิสูจน์ไม่ได้
    ก็จะหลงตัวเอง กับสัมผัสกิ๊กก๊อกที่มี
    เที่ยวปรามาสทั้งเกจิในอดีต และอื่นๆ
    เพราะเข้าใจว่าตนเองเก่ง มีดีกว่า
    ได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ


    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  20. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ขออนุโมทนาในธรรมของทุกท่านครับ

    ขออนุญาตบอกกล่าวเรื่องการรู้วาระจิตผู้อื่นสักเล็กน้อยครับ

    การจะรู้วาระจิตผู้อื่นคือการส่งจิตออกไปสัมผัสจิตของผู้นั้น หรือกระแสจิตผู้นั้นแผ่มากระทบจิตของเรา

    เราจะรู้ได้ ต้องรู้จักทำให้จิตสงบเสียก่อน จิตที่สงบจากอารมณ์ต่างๆ (สงบจากกายไม่จำเป็นต้องสนใจ หากรู้จักจิตแล้ว)

    รู้ลักษณะของจิตที่มีอารมณ์ต่างๆ เช่น เมื่อโกรธ จิตจะมีความพลุ้งพล่าน มีความร้อน มีความแน่นเหมือนกับเป็นก้อนพลังงานมารวมอัดกันแน่นอยู่

    รู้จักการเคลื่อนไปของจิต รู้ว่าในขณะนี้จิตเราวางไว้ที่ใด ในขณะที่เราไปสนใจในสิ่งใด จิตเคลื่อนไปหาสิ่งนั้นหรือไม่ และเคลื่อนไปอย่างไร


    นี้เอง ถ้าเรามีสติรู้อยู่ว่าจิตเราวางไว้ที่ใดในกาย ว่างจากอารมณ์แล้ว เมื่อเราสนใจคนข้างๆที่กำลังมีความสุขอยู่ เราหันไปมองคนๆนั้นด้วยความสนใจ จิตเราเคลื่อนออกไปหาคนๆนั้น ความสุขก็จะบังเกิดแก่ตนทันที นี่คือการที่จิตเคลื่อนออกไปหาแล้วรับเอากระแสจิตของผู้นั้นมา

    หรือหากเรามีสติรู้อยู่ว่าวางจิตไว้ที่ใดในกาย ว่างจากอารมณ์อยู่ มีคนที่รักเรากำลังคิดถึงเราอยู่ด้วยความรัก เราได้รับกระแสจิตของเขา เราก็จะบังเกิดความรักและคิดถึงเขาโดยทันที นี่คือการถูกกระทบจากกระแสภายนอกแล้วรับเอาไว้

    แต่ถ้าหาก เรามีสติรู้อยู่ว่าวางจิตไว้ที่ใดในกาย ว่างจากอารมณ์ และมีสัมปชัญญะรับรู้โดยรอบ เมื่อเราไปสนใจโดยหันไปมองที่คนๆนั้น จิตจะไม่เคลื่อนไป แต่จะรู้ลักษณะจิตของคนๆนั้นที่แผ่ออกมา โดยที่เราไม่ได้รับมา (แต่เราจะต้องมีความมั่นคงของจิตด้วย)

    อนึ่ง การมีสติรู้อยู่ ในความหมายของข้าพเจ้า คือ การรู้อยู่ที่เพียงสิ่งๆเดียว
    การมีสติรู้อยู่และมีสัมปชัญญะ คือ การมีจุดศูนย์กลางของการรู้แล้วแผ่ออกไปโดยรอบ

    นี่เป็นเพียงขั้นตอนการฝึกเล็กๆน้อยๆ ในเบื้องต้น

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...