ใครหยั่งลึกธรรมะได้ด้วยการตรึก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 16 ตุลาคม 2018.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอพูดด้วยความเป็นกลางในเรื่อง ของวิชามโนยิทธิ
    หน่อยนะครับ..........

    ขอย้ำว่า ให้ฟังด้วยเหตุด้วยผล อย่าพึ่งรีบด่วนตัดสินอะไร
    ด้วยส่วนตัว ได้มีโอกาสข้องเกี่ยว กับบุคคลทางสายวิชานี้
    มาหลายท่าน ทั้งที่เป็นพระสงฆ์ที่มีชีวิตอยู่ เป็นระดับเจ้า
    อาวาสชื่อดัง และเหล่าบรรดาลูกศิษย์ต่างๆของท่าน
    ตลอดจนผู้ที่ชื่นชอบในวิชานี้ ด้วยเหตุเพราะ ศรัทธา
    ในองค์ หลวงพ่อ มีชื่อ ที่ล่วงลับไปแล้วที่ จ.อุทัยธานี


    จะบอกว่า หลวงพ่อ มีชื่อท่านนี้ มีความสามารถเข้าถึง
    ระดับสมาธิได้ในระดับ ฌาน ๔ จริงๆ(ไม่ใช่อุปจารสมาธิ
    ที่เห็นกิริยาต่างๆที่เกิดไปแล้ว หรือ ประเภทสร้างภาพ
    แบบตาเปล่า ในเวลาปกติแล้วเข้าใจว่าเป็นฌาน ๔
    แต่ทั้ง ๒ แบบที่ว่ามานี้ กลับไรกำลังจิต และไม่มี
    ความสามารถแสดงและทำให้ปรากฏกลับบุคคลอื่นๆ
    ได้ที่มักจะหลงตัวเอง คุยฟุ้งกันเป็นต่อยหอยกันนะครับ)
    และหลังจากที่บวช ก็มีความสามารถต่างๆนาๆ
    อย่างชนิดที่ว่า ถ้าคุณ ไม่มีเชื้อทางด้านนี้บ้าง
    หรือพอที่จะทำอะไรได้บ้าง คุณจะไม่มีวันเข้าใจ
    เลยว่า ท่านมีความสามารถมากแค่ไหน.....

    และถ้าคุณเป็นประเภทไม่ใช่พวกที่มีพันธมิตรทางภพภูมิ
    ในส่วนของกลุ่มที่ยอมฟังประเภทเฉพาะท่านที่ต้องมีภูมิ
    ธรรมสูง คุณจะไม่เข้าใจเลยว่า ท่านมากบารมีขนาดไหน
    ดังนั้น การที่จะคิด ไปปรามาส ตรงต่อตัวท่านเลย
    ขอบอกให้ทราบว่า เลิกซะตอนนี้ยังทันนะครับ
    ไม่งั้น เราจะติดอยู่กับความสามารถ บารมีกิ๊กก๊อก
    แต่จะคิดว่า ตนเอง มากบารมีและเก่งกว่าใคร
    ได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ........

    ''พระจูฬปันถก เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา) ปัญญาในการตรัสรู้คือภาวนามยปัญญา กล่าวคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจากใช้ปัญญาภายในพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงของโลกได้ด้วยตนเอง การท่องจำหรือเรียนหนังสือไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม''

    อ้างอิง

    https://th.m.wikipedia.org/wiki/พระจูฬปันถกเถระ



    จะพูดเป็นเชิงคำถาม. ให้แง่คิดเฉยๆนะครับ

    ๑.สังเกตุออกไหม พวกที่เก่งมโนยิทธิจริงๆ
    มักจะมาพร้อมความสามารถทางด้าน เจโตฯ
    ๒.เคยเห็น บุคคลที่เก่งมโนยิทธิ ที่สามารถเนรมิต
    อีกกาย แล้วแหวกอากาศออกมาปรากฏให้เรา
    เห็นได้ แบบตาเปล่าๆแล้วหรือยัง ?

    ไม่ใช่แบบพวกที่ชอบโชว์ทักใช้มุขว่ามีเทพโน้นนี่นั้น
    หรือพวกที่เอาไปดูดวง ทำนายทายทัก ทั้งๆที่
    ไม่มีเหตุอะไรนะครับ...รวมทั้งสายครึ่งกำลังทั้งหลาย
    แหล่ที่เห็นเอง เอ่อเอง รู้เอง หรือ สายที่ไม่เห็นแบบตัวเอง
    แล้วยกตนเองว่ามีบารมี บอกว่าคนที่เห็นไม่เหมือนตน
    ไม่มีบารมีอะไรนะครับ....กลุ่มนี้ กระโหลกกระลา
    ตัดออกจากสารระบบไปได้เลยครับ

    ๓.ส่วนตัวรู้จักท่านหนึ่ง ที่อยู่ในเหตุการณ์
    อยู่ใกล้ๆท่าน ตอนที่กำลังละสังขาร
    ดังนั้น โปรดระมัดระวังให้ดีๆในการวิพากย์
    วิจารณ์ โดยเอาไปเปรียบกับท่านต่างๆ

    ๔. เรื่องเกี่ยวกับพระเกจิท่านๆอื่นๆหากว่า
    มีการยืนยันว่า ท่านบอก ให้ท่านระมัดระวังให้ดีๆ
    ว่าสมัยท่านมีชีวิต ท่านได้กล่าวจริงๆ
    หรือ บางกลุ่มนำมาเสริมเติมเข้าไปแล้ว
    เอาท่านไปอ้างครับ....

    ๕.พอรู้ใช่ไหม ส่วนมาก ทำไมสายนี้ ถึงได้หลงตัวเองกันจัง
    ชอบเอาท่านมาอ้างกันจัง บางกลุ่มตั้งตัว ตั้งตนเอาท่าน
    มาอ้างกันจัง

    ๖.พอรู้ใช่ไหม จากความสามารถทางด้านมโนฯควบกับเจโตฯ
    สังเกตุได้ไหมว่า ทำไป กลุ่มเหล่านี้ แต่ละคน ถึงมีอดีตที่
    โครตหล่อ โครตเท่ห์ โครตสวย โครตสูงส่ง
    แล้วก็ยึด ประหนึ่งว่า ปัจจุบันตนเองเป็นแบบในอดีตมาก่อน
    แต่ตอน เป็นกบ เป็นเขียด เป็นไส้เดือน กลับหาคน
    บอกว่าตนเคยเป็นได้น้อยมาก

    ๗. รู้ไหมว่า การใช้งานทางด้านทิพย์จักขุ หรือ ความสามารถ
    พิเศษทางตา ของบรรดาพระเกจิต
    ส่วนหนึ่งมีฐานมาจากวิชามโมยิทธินั่นหละครับ

    ๘. พอรู้ใช่ไหม ว่าท่านที่สอนมโนฯท่านเน้นวิปัสสนา
    เพื่อตัดร่างกาย
    แต่ส่วนมาก. เอามาโม้คุยกัน ว่าเคยเป็นโน้นนี่นั้น
    คุยฟุ้งว่าไปโน้นนั่นนี่มา เห็นโน้นนี่นั้นกัน

    ๙.รู้ไหมว่า กรรมฐานพิเศษบางกอง การจะไปต่อได้นั้น
    ต้องผ่านครูบาร์อาจารย์ทางด้านนี้มาก่อน (ส่วนมาก
    จะไม่ผ่าน เพราะติดไปดูดวง โชว์หล่อ โชว์เทห์ เอา
    ไว้อวดสาวๆ โดยเฉพาะถ้า ขาวๆหุ่นดีหน่อย
    เด่วก็มีมุข ย้อนอดีตชาติ เพื่อเจตนาแอบแฝงอะไรบ้างอย่าง)
    แล้วมีการส่งต่อไปยังท่านๆอื่นๆ
    ๑๐.รู้ไหม ว่าครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิท่านไม่ได้แบ่งแยก
    กันอย่างที่เราเข้าใจนะครับ
    รู้ใช่ไหม ว่าพระสงฆ์สอนถึงระดับการฝึกกรรมฐานให้สำเร็จ
    รู้ใช่ไหม ว่าพระมหาฤาษี สอนเรื่องเทคนิคในการนำไปใช้งาน
    รู้ใช่ไหม ว่าพรหมมีชื่อเสียงทั้งหลาย
    อยู่เบื้องหลังการนำไปใช้งานได้จริง
    รู้ใช่ไหม ระดับพระพุทธฯสอนแต่ธรรมะ
    รู้ใช่ไหม การสร้างบารมีทางภพภูมิ
    ช่วยหนุนให้เข้าถึงผลสำเร็จของกรรมฐาน
    ในระดับที่ใช้งานได้จริง.......




    ปล. ลองพิจารณาดูนะครับ....
    อย่าพึ่งตัดสิน สรุปอะไร
    มันจะตัด การเข้าสู่สากลของจิตเราได้เองครับ

    ยกตัวอย่าง เราอาจคิดว่า หายใจครั้งเดียว
    ไปดึงกำลังสมาธิและสามารถใช้งานได้เลยนั้นดีแล้ว
    แต่เหล่าบรรดาเกจิ อาจารย์เหล่านั้น หายใจรอบเดียว
    ท่านเข้าออกได้เป็นสิบๆรอบนะครับ
    รู้ไหม การสร้างทิพย์จักขุได้ นั้น
    การส่งต่อพลังงานกลับไปกลับมา
    อย่างเราๆให้จับจำนวนรอบยังนับได้ไม่กี่รอบ
    ระดับนั้น ไปกลับเป็นรอยๆรอบ ภายในวินาทีเดียวนะครับ
    รู้ใช่ไหม ว่าท่านที่หายใจพรวดเดียวถึงระดับสูงสุดนั้น
    ท่านฝึกเอาไม่ได้นะครับ ท่านทิ้งเอา เป็นความสามารถ
    ระดับปฏิสัมภิทาญานขึ้นไปนะครับ คือต้องมีความสามารถ
    ทางจิตและใช้งานได้มาก่อนเป็นทุน และมาต่อด้านปัญญา
    ถึงจะมีสามารถทำได้นะครับ ไม่ใช่ฝึกเอา มโนเอาได้
    อย่างที่พวกติดหล่อเข้าใจกันนะครับ....

    หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ
     
  2. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,363
    ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำ สำหรับผมแล้ว มโนมยิทธิ(ของจริง) ผมไม่ขัดข้องแต่อย่างใด

    แต่สำหรับครึ่งกำลังอันนี้ "ไม่ใช่ของจริง" แน่นอนครับ ซึ่งเป็นวิชา"ฝากจิตไว้ในนิพพาน" ซึ่งหากมีจริงๆ คงไม่ต้องปฏิบัติกันแล้ว ซึ่งอาจจะเหมือนแบบที่ท่านบอกนั่นแหละครับ เขาอาจจะนำไปอ้างเองก็ได้ ซึ่งอันนี้ท่านนพพูดถูกแล้วเพราะทั้งบทความพวกนี้มันโดนแต่งกันได้

    แต่ถ้า มโน ครึ่งกำลัง อันนี้ไม่ใช่ "เจโต" แน่นอนครับไปทดสอบมาแล้วด้วย เพราะ ทั้ง "ความเข้าใจ" และ "สภาพเสียง" อยู่ในอัตตาจิต ซึ่งตัวของมัน ก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ออกไปไหน ผู้ฝึกอื่นๆ ตัวอัตตาจิต มันก็อยู่ที่เดิมเช่นกัน ถึงได้มั่นใจครับ (กรณีของครึ่งกำลังนะครับ)
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    พอเข้าใจ จากประสบการณ์ที่พบส่วนตัวเลยนะ
    โดยเฉพาะถ้า สาย ครึ่งกำลังและไร้กำลังจิตทั้งหลายเนี่ย
    ๙ ใน ๑๐ คนคือ หลงสภาวะ ติดนามธรรม
    และ หลงตัวเอง ยิ่งๆ เวลาไปวัดดังๆเห็นเค้าเดิน
    ประหนึ่งว่า เป็นเทพลงมาเดินบนดิน
    เห็นแล้วบางที บอกตรงๆว่า อยากเตะปากอยู่(คิดเล่นๆนะ)
    แต่ไม่ได้เกี่ยวกับว่า เป็นคนดีหรือคนไม่ดีนะ
    คนละส่วนกัน


    แต่ถ้าแบบฟูลออฟชั่นได้
    มีน้อยท่าน แต่ไม่สามารถพูดออกสื่อได้....
    ประกันได้ว่า. กลุ่มบุคคลที่มี
    ความสามารถแบบฟูลออฟชั่น
    ยังมีอยู่แน่ๆ...
    ที่พูดไม่ได้หมายถึง ตัวเองนะ..หมายถึงท่านอื่นๆ
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    มีแน่ๆ แต่มันคงไม่จำเป็นมากที่จะต้องสาธยาย..เชื่อว่าคนเราถ้าเปลี่ยนตนเองได้ก็คงเปลี่ยนโลกนี้ได้...ทุกอย่างที่พูดมา...ไม่ว่าจะเล่นแร่แปรธาตุหรือความสามารถในกสินหรืออะไรที่ดูบิดเบือนธรรมชาติตามแต่ตาหรืออายตนะทั่วไปที่จะรู้ที่จะเห็นมีจริงแน่...แต่ถ้าพบผู้เมตตาก็ดีไปแต่ถ้าไม่ก็ตัวใครตัวมัน...โลกียวิสัย...แต่เหตุเกิดจากกรรมคือการกระทำทั้งสิ้น....ไขว่คว้าด้วยความศรัทธากับไขว่คว้าเพราะความอยากรู่อยากลองก็ให้ผลแตกต่างกัน
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    สำหรับครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นบุพการีทั้งหมดนั้น...สิ่งแรกคือ...ท่านสอนใครย่อมมีเจตนาแน่ๆ...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ...หลายเรื่องถูกนำมาเสนอตามกาล...ตามยุคแต่...ก็ไใม่ช่ว่าเราคนฟังจะเข้าใจความหมายจริงที่ท่านสื่อ...เพราะเรายังไม่อยู่ในข่ายที่จะรู้ได้...จึงเกิดการมโนหรือคิดไปเองหรือเทียบตนเสมอท่าน...มันบาป...แต่ว่าบาปสำหรับคนไม่รู้ก็คงไร้ความหมาย...ต่อให้พูดว่าปิดกั้นทางตนเอง...เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี...เพราะมีอุปกิเลสเต็มดวงจิตนั้น...
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ คำว่า อภิญญา บางทีก็ใช้ว่า "ญาณ หรือ วิชชา" ได้เหมือนกัน สามารถเจอได้ในหลายๆ แห่ง

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=2516&w=

    +++ 1. ทั้งหมดจะเริ่มต้นที่ "ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว"

    +++ พระพุทธองค์ทรง "ชี้ไปที่" จิตบริสุทธิ์ (สภาวะรู้) ที่เป็นสมาธิ (สัมโภชฌงค์)
    +++ มีคุณลักษณะ "ผ่องแผ้ว" "ไม่มีกิเลส" "ปราศจากอุปกิเลส" (ตรงนี้ เป็นอาการ "ไร้มโน" โดยสิ้นเชิง)
    +++ มีคุณสมบัติ "อ่อน" "ควรแก่ การงาน (เดินจิต)" "ตั้งมั่น ไม่หวันไหว (เสถียรภาพมั่นคง)"

    +++ 2. จากนั้น ตามมาด้วย "ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อ" (เมื่อทำได้แล้ว จึงทำ "โอปนยิโก" ไปยังอาการต่าง ๆ)

    มโนมยิทธิญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + มโนมัย
    อิทธิวิธญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + อิทธิ
    ทิพยโสตญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + โสตะ
    เจโตปริยญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + จิตตะ (สังขาร)
    ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + ปุพเพนิวาส + อนุสติ
    จุตูปปาตญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + จุตูปปาตะ
    อาสวักขยญาณ = สภาวะรู้ (ญาณ) + อาสวักขยะ

    +++ หลัก ๆ ก็ให้ "สังเกตุเอาว่า ตรง ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้" หรือไม่

    +++ ญาณ = สภาวะรู้ คือ "มหาสติ ที่พ้นแล้วจาก ฐานทั้ง 4 ไม่ติดข้องกับ ฐานทั้ง 4" บริสุทธิ์ และ ตั้งมั่น อยู่ได้ด้วยตัวมันเอง
    +++ จึงมีคุณลักษณะ "ผ่องแผ้ว" "ไม่มีกิเลส" "ปราศจากอุปกิเลส" (บริสุทธิ์จน "มโน" เกิดไม่ได้ โดยสิ้นเชิง)
    +++ มีคุณสมบัติ "อ่อน (ตรงนี้ คือ ว่าง)" "ควรแก่ การงาน (โอปนยิโก)" "ตั้งมั่น ไม่หวันไหว (เสถียรภาพมั่นคง)"

    +++ ข้อแตกต่างระหว่าง "ฌานฤษี กับ พุทธญาณทัศนะ" คือ

    +++ "ฌานฤษี" ใช้การเดินจิต (โอปนยิโก) ด้วย "อัตตาจิต/ตัวดู/วิญญาณขันธ์" ซึ่งเป็น "ฌาน" จึงไม่สามารถพ้น "อาสวักขยะ" ได้ รวมทั้ง "ไม่สามารถใช้ ญาณ (ยาน) ได้"

    +++ ส่วน "พุทธญาณทัศนะ" ใช้การเดินจิต (โอปนยิโก) ด้วย "มหาสติ/สภาวะรู้" ซึ่งเป็น "ญาณ" จึงพ้นจาก "อาสวักขยะ" ได้ และ สามารถใช้ "ฌาน (ชาน)" ได้อีกด้วย

    +++ ข้อแตกต่างในอานิสสงค์ ระหว่าง ฤษี กับ พุทธะ คือ "สภาวะฌาน จะเล็งแบบ จำกัดจุด" จึงรอบรู้ แคบกว่า "ญาณ ซึ่ง ไม่จำกัดขอบเขต"

    +++ ให้สังเกตุในเรื่อง "หลักการสอน" กันเอา ว่า ใครอยู่ในทางไหน รวมถึง "อาการเสื่อม" ว่ามี "อัตราเสี่ยง" เท่าไร

    +++ ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ดูได้จาก ลิ้งค์ข้างล่าง ให้ scroll ไปจนถึง "ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4"

    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=2516&w=

    +++ ให้ "สังเกตุให้รอบคอบ" ว่า "ของจริง ต่างจาก ของปลอม" อย่างไร นะครับ
     
  7. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    ญาณ = สภาวะรู้ คือ "มหาสติ ที่พ้นแล้วจาก ฐานทั้ง 4 ไม่ติดข้องกับ ฐานทั้ง 4" บริสุทธิ์ และ ตั้งมั่น อยู่ได้ด้วยตัวมันเอง

    ฐานทั้ง4 คืออะไรครับ
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ฐานทั้ง 4 ตามที่ระบุไว้ในตำรา คือ "กาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์"
    +++ แต่การปฏิบัติ นับที่ "กาย และ จิต" จึงเป็น "กาย เวทนากาย จิต เวทนาจิต"

    +++ กาย = รูปหยาบ
    +++ เวทนากาย = นามหยาบ
    +++ จิต = รูปละเอียด
    +++ เวทนาจิต = นามละเอียด

    +++ มหาสติที่พ้นจากฐานทั้ง 4 ในที่นี้ คือ "มหาสติที่พ้นจาก รูป/นาม หยาบ/ละเอียด" แล้วนั่นเอง
    +++ ตรงนี้จึงเป็น "ญาณ/อภิญญา/วิชชา" ตามพระไตรปิฏก นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...