อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ทำบุญแล้วอธิษฐานหวังผล…ผิดหรือไม่?

    ถาม :
    มีคนกล่าวกันว่า การทำบุญโดยอธิษฐานหวังผล ขอให้ร่ำรวย หรือขอให้มีโชคลาภ อย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี จริง ๆ แล้วผิดหรือไม่ ? แล้วทำได้หรือไม่ ? เพราะมีคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนร้องขอ ?

    ตอบ : ถูกของเขา แต่ผิดของพระพุทธเจ้า อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ใช้อธิษฐานบารมี

    การทำบุญนั้น เราจะต้องการผลตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ผลนั้นก็เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะว่าการกระทำทุกอย่างที่เรียกว่ากรรมนั้น จะเป็นกุศลกรรมคือความดี หรืออกุศลกรรมคือความชั่วก็ตาม ผลต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ

    คราวนี้ผู้ที่จะใช้อธิษฐานบารมีนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา เขาจึงกำหนดไปเลยว่า สิ่งที่เขาทำนี้ซึ่งจะต้องเกิดผลอยู่แล้ว ต้องการให้เกิดผลในลักษณะไหน ? จะให้เกิดผลเมื่อไร ? เมื่อถึงวาระนั้น เวลานั้น ผลที่ต้องการก็จะมาสนองเอง แต่ถ้าไม่ได้อธิษฐานเอาไว้ ก็หมายความว่า เขาไม่ได้กำหนดไว้ เมื่อถึงวาระ เหมือนกับว่าเราหิวน้ำอยู่ แต่ไม่มีน้ำ กว่าน้ำจะมาอีก ๒ – ๓ วัน เราก็แย่หรืออาจจะตายไปเลยก็ได้..!

    การใช้อธิษฐานบารมี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจึงเปรียบเหมือนกับยิงปืนต้องเล็งเป้า โอกาสถูกเป้าก็จะมีมากกว่า ถ้าหากยิงเปะปะไป กว่าจะถูกเป้าบางทีอาจจะหลายชาติ

    ฉะนั้น..ถึงได้กล่าวไว้ว่า อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องของบุคคลที่เข้าถึงอุปบารมีขั้นปลายไปจนถึงปรมัตถบารมีเท่านั้น ถึงจะใช้อธิษฐานบารมีเป็น

    ถ้าหากว่าต่ำกว่านั้นยังใช้ไม่เป็นหรอก เขาก็จะคิดแบบนี้…คิดว่า..เออ..เป็นการเรียกร้อง ยังเป็นกิเลสตัณหาอยู่ เป็นอะไรให้ยุ่งไปหมด

    ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้ว ท่านที่คิดอย่างนี้ไม่ได้ศึกษาให้ครบเท่านั้น

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ในเรื่องของการปฏิบัติภาวนานั้น พวกเราส่วนหนึ่งยังขาดความจริงจังเป็นอย่างมาก การที่เราขาดความจริงจัง จริงใจในการปฏิบัติ ทำแล้วไม่สม่ำเสมอ มีลักษณะทำ ๆ ทิ้ง ๆ นอกจากจะทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังอาจจะถอยหลังเสียด้วยซ้ำไป เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการทวนกระแสโลก เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ เมื่อว่ายไประยะหนึ่งแล้วเราก็รามือ ปล่อยให้กระแสโลกพาเราไหลตามไป เมื่อได้เวลาที่กำหนดไว้ก็ตั้งหน้าตั้งตาว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นก็รามือปล่อยให้กระแสน้ำพัดกลับไปอีก

    กลายเป็นว่าทุกวันเราทำงานด้วยความขยัน แต่ไม่ได้มีผลงานเลย ยิ่งถ้าวันใดเหนื่อยมาก เพลียมาก ไม่สามารถจะภาวนาได้ในระยะเวลาเท่าเดิม ก็เท่ากับว่าเราว่ายทวนกระแสขึ้นมาได้ไม่เท่าเดิม กลายเป็นขาดทุนไปอีก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจึงต้องสังวรเอาไว้ ว่าการปฏิบัตินั้นควรจะทำให้เห็นผลจริง ๆ

    การที่เราจะทำให้เห็นผลจริงนั้น เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็แล้วแต่ อยู่ที่เราถนัดและชอบใจ ไม่ต้องเปลี่ยนคำภาวนา ให้ใช้ตามของเดิมที่เราเคยมาก่อน สภาพจิตมีความเคยชิน จะได้ทำให้เข้าสู่สมาธิได้ง่าย และโดยเฉพาะตัวที่ขวางการเข้าสู่สมาธิของเราก็คือ การอยากให้เกิดผลดีไว ๆ ตัวที่อยากให้เกิดผลดีนั่นแหละ แสดงออกซึ่งความฟุ้งซ่าน แสดงออกซึ่งความที่จิตของเราไม่รวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วผลของสมาธิจะเกิดได้อย่างไร ?

    ถ้าเราต้องการให้ผลการปฏิบัติของเราปรากฏขึ้นโดยไว เราต้องวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดอย่างไรก็ช่างเถิด ถ้าสามารถปล่อยวางกำลังใจอย่างนี้ได้ จิตจะกลายเป็นทรงสมาธิภาวนาได้เร็ว เนื่องจากว่าอัปปนาสมาธิทุกขั้น ตั้งแต่ปฐมฌานหยาบขึ้นไป จะมีตัวเอกัคคตารมณ์ คืออารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอยู่ด้วยทุกระดับ ตัวอารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวเป็นตัวอุเบกขาในแต่ละฌาน

    เมื่อต้องมีตัวอุเบกขา ถ้าเราไปอยากได้ใคร่ดี จิตย่อมไม่สามารถจะเข้าถึงฌานสมาบัติได้ การที่เราปล่อยว่าเรามีหน้าภาวนา ส่วนจะเป็นสมาธิหรือไม่เป็นก็ช่างเถอะ ลักษณะนั้นแหละคือการวางอุเบกขา

    เมื่อรู้เคล็ดลับแล้วเราก็จะปฏิบัติให้สมาธิทรงตัวได้เร็ว แต่หลายท่านก็เป็นที่น่าเสียดายว่าเคยทำ เคยปฏิบัติ จนสมาธิทรงตัวแล้วก็ทิ้งไปเสียนาน บุคคลที่เคยภาวนาจนสมาธิทรงตัวแล้วทิ้งไปนาน ๆ จะโดนท่วมทับด้วยกระแสกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ต่างเจริญงอกงามมากกว่าปกติ เพราะเคยโดนกดด้วยอำนาจของสมาธิเจียนตายมาแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง กลัวว่าจะต้องตายไป จึงต้องงอกงามให้มากกว่าปกติ เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่าตัวเองไม่ตายแน่

    เมื่อเป็นดังนั้น บุคคลที่เคยทรงสมาธิภาวนาได้แล้วทิ้งไปนาน ๆ จะตีอารมณ์กลับคืนมาได้ยากมาก ๆ เท่าที่เคยมีประสบการณ์มานั้น บุคคลที่ทิ้งการปฏิบัติภาวนาไปนาน ๆ แล้วจะกลับมาให้มีอารมณ์ใจทรงตัวเหมือนเดิมดังแต่ก่อนนั้น จะต้องมีเหตุฉุกเฉินขึ้นในชีวิต และเหตุฉุกเฉินนั้นต้องหนักหนาสาหัสถึงระดับถึงแก่ชีวิตเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นสมาธิจะทรงตัวเร็วมาก เพราะถ้าสมาธิไม่ทรงตัวคติของตนก็ไม่แน่นอน สภาพจิตที่มีความเคยชิน ถึงวาระรู้ว่าการเข้าสู่สมาธิระดับนั้นจะปลอดภัยที่สุด ก็จะวิ่งกลับเข้าสู่สมาธิภาวนานั่นเองโดยอัตโนมัติ

    แต่ถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉินหนัก ๆ เป็นต้นว่าเกิดอุบัติเหตุหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยปางตาย กำลังใจยากนักที่จะรวมตัวกลับคืนมาได้ เพราะรัก โลภ โกรธ หลงย่อมต้องต่อต้านสุดชีวิต พวกเราทั้งหลายเมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่เราเคยพลาดพลั้ง เคยบกพร่องไปอย่างไร ก็ให้รีบแก้ไขโดยด่วน

    สิ่งที่เราจำเป็นต้องศึกษาและปฏิบัติประกอบไปด้วยศีล ถ้าศีลของเราบกพร่อง ด่างพร้อย ขาด ทะลุ อย่างไรก็ตาม ให้ตั้งใจเดี๋ยวนั้นว่า ศีลของเราทุกสิกขาบทบัดนี้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งใจระมัดระวังรักษาของเราต่อไป ในแต่ละวันพยายามทบทวนดูว่า วันนี้ศีลของเรามีข้อใดที่บกพร่องบ้าง ถ้ามีข้อบกพร่องก็พยายามแก้ไขให้ดีขึ้น ถ้าหากว่าดีอยู่แล้วก็รักษาความดีนั้นให้ทรงตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ในส่วนของสมาธิภาวนานั้น เมื่อท่านทั้งหลายภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว อย่าปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ ส่วนใหญ่แล้วเราปฏิบัติภาวนาเสร็จ เมื่อเลิกแล้วเราก็ทิ้งเลย ทำให้อารมณ์ใจของเราไม่ทรงตัว ไม่ก้าวหน้า ถ้าปฏิบัติภาวนาจนสมาธิทรงตัวแล้ว ให้ใช้สติสัมปชัญญะของเรา ประคับประคองอารมณ์สมาธินั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าสภาพจิตเคยชิน กระทำอย่างนี้บ่อย ๆ ต่อไปก็สามารถที่จะทรงสมาธิต่อเนื่องได้เป็นวัน ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๑๐ วัน ครึ่งเดือน ๑ เดือน เป็นต้น

    ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้สภาพจิตที่เคยชินกับการที่อำนาจของรัก โลภ โกรธ หลงไม่สามารถที่จะครอบงำได้ ก็จะมีความผ่องใสเป็นพิเศษ เราก็สามารถใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

    ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เราไม่พึงปรารถนาอัตภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีกแล้ว ร่างกายของคนอื่นเราก็ไม่ต้องการ โลกนี้เราก็ไม่ต้องการ เราปรารถนาแห่งเดียวคือพระนิพพาน หลังจากนั้นก็ให้ส่งกำลังใจขึ้นไปเกาะพระนิพพาน หรือเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบเอาไว้ จากนั้นก็ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวมั่นคง แล้วประคับประคองความมั่นคงในอารมณ์นั้นเอาไว้

    ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้บ่อย ๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีขึ้นจนถึงระดับที่น่าพอใจ ลำดับต่อไปนี้ ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ทำง่าย-เลิก.jpg

    ความชั่วนั้น ทำง่าย เลิกยาก ตราบใดความชั่วยังไม่ให้ผล คนชั่วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่หอมหวาน ให้ผลเมื่อไร เดือดร้อนขึ้นมาก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว

    ส่วนความดีทำยาก คนไม่มีกำลังใจจะทำก็เลิกง่าย แต่ความดีให้ผลด้านดีเพียงส่วนเดียว ถึงเวลาให้ผลก็ส่งผลให้แก่ผู้คนในด้านของความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2250&page=5

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ
    #ทำดีเพราะอยากทำ #อย่าทำเพราะอยากดี

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    พระอาจารย์ตอบปัญหาชาวต่างชาติ

    ถาม :
    สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคืออะไร ?
    ตอบ : แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตไม่เหมือนกัน สำหรับพระคือการพ้นทุกข์ แล้วสำหรับคุณคืออะไร ?

    แต่ละคนเหมือนกำลังเดินอยู่บนทางที่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเป้าหมายของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

    ในโลกนี้มีความดีขั้นพื้นฐานซึ่งไม่ว่าชาติไหนหรือภาษาไหนก็ยอมรับ อย่างเช่นว่า ความกตัญญู ความเป็นคนมีศีลมีธรรม เป็นต้น แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็เป็นเพียงความดีขั้นต้นเท่านั้น ยังมีความดีที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีก

    ถาม : ความดีทั้งหลายเหล่านี้ก็เพื่อความสุขในเบื้องต้น ?
    ตอบ : ใช่..ความดีทั้งหลายเหล่านี้ก็เพื่อความสุขในเบื้องต้นเท่านั้น ถ้ายังต้องการความสุขที่มากกว่านั้นอีกก็มี แต่ต้องค่อย ๆ ศึกษาและปฏิบัติไป แล้วเราก็จะรู้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร

    พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักอยู่ ๓ ประการ ขั้นแรกก็คือ ถ้าทำตามท่านจะมีประโยชน์สุขในปัจจุบัน การมีความสุขในปัจจุบันคือ คนอื่นเขาเห็นว่าเราเป็นคนดี ยินดีคบค้าสมาคมด้วย ขณะเดียวกันเราที่ปฏิบัติในศีลในธรรม เราก็ไม่ต้องไปให้เบียดเบียนคนอื่น ถ้าความดีมีมากพอ คนอื่นก็ไม่เบียดเบียนเราด้วย นี่เป็นความสุขในปัจจุบันที่จะได้รับ

    พระองค์ท่านยังสอนถึงความสุขในอนาคตเบื้องหน้า ก็คือ ถ้ากำลังใจทรงตัวมั่นคง เราก็ไปดี อย่างเช่นไปสวรรค์ ขณะเดียวกัน ถ้าต้องการความสุขสูงสุดก็มี คือ การหลุดพ้นไปนิพพาน เพราะฉะนั้น..จึงเป็นทั้งความสุขในปัจจุบัน ความสุขในอนาคต และความสุขสูงสุด

    หลักการขั้นต้นทั่ว ๆ ไป ก็คือ ไม่มีใครอยากให้เขามาฆ่าเรา ถ้าเราตั้งใจว่าเราจะไม่ฆ่าใคร ไม่เบียดเบียนใคร โลกทั้งโลกไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีการเบียดเบียนกัน ก็จะมีความสุข

    ไม่มีใครต้องการให้ผู้อื่นมาลักขโมยของของเรา ถ้าเราไม่ลักขโมยของของใคร คนอื่นไม่ลักขโมยซึ่งกันและกัน โลกทั้งโลกนี้ก็จะมีความสุข

    ของที่เรารัก คนที่เรารัก ไม่มีใครอยากให้ใครมาแย่งไป ถ้าเราไม่คิดจะแย่งชิงคนอื่นเขา คนอื่นไม่คิดจะแย่งชิงของเรา ทุกคนก็มีความสุข

    เรื่องของความจริงใคร ๆ ก็ปรารถนา ถ้าทุกคนพูดจริงต่อกัน มีความปรารถนาที่จริงจังจริงใจต่อกัน ไม่มีการโกหกหลอกลวงกัน ไม่มีการฉ้อโกงกันด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากวจีกรรม ทุกคนก็จะมีแต่ความสุข

    และท้ายสุดถ้าไม่มีใครเบียดเบียนตัวเองด้วยสุรายาเสพติดต่าง ๆ ตัวเองตลอดจนครอบครัวและคนรอบข้างก็จะมีความสุข

    อันนี้เป็นความต้องการของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเลย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราทำเพื่อตัวเราเอง แต่เมื่อทำแล้ว คนรอบข้างจะได้รับผลนั้นไปด้วย ในเมื่อพื้นฐานขั้นต้นเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องตั้งเป้าไว้เลยว่า เราต้องทำให้ได้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    หมายเหตุ :
    เจ้าของคำถามนี้เป็นชาวต่างชาติ มีล่ามแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่งค่ะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    วางกำลังใจในการทำบุญกฐิน

    ญาติโยมทั้งหลายที่เดินทางมาทั้งใกล้และไกล ตั้งใจมาเพื่อทำบุญกฐิน แสดงว่าพวกเรามีบารมี ก็คือ กำลังใจที่เข้มแข็งมาก โดยเฉพาะท่านเจ้าภาพ ก็คือครอบครัวของนายแพทย์ประสิทธิ์ จงเสริมศิริสกุล ท่านเป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่นี่มาตั้งแต่ปีแรก ๆ จนบัดนี้ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นเจ้าภาพตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ลูกเรียนปริญญาตรี เรียนปริญญาโทแล้ว

    การที่ท่านทั้งหลายเดินทางมา ถ้านับตั้งแต่กรุงเทพฯ ก็ไม่ใช่ระยะทางที่ใกล้ ๆ แล้ว เนื่องจากว่าระยะทางกรุงเทพฯ – กาญจนบุรี ๑๒๙ กิโลเมตร , กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร นอกจากระยะทางจะยาวแล้วยังขับรถยาก ตอนช่วงเช้ามีหมอกมาก ทางขึ้นเขาก็คดเคี้ยวด้วย แต่ว่าท่านทั้งหลายก็มาได้ทุกปี แสดงออกซึ่งกำลังใจอันแน่วแน่ ถ้าหากว่าเป็นกำลังใจในภาษาบาลีเขาเรียกว่า บารมี บารมีถ้าหากว่าไม่เข้มข้นพอจะทำอย่างนี้ไม่ได้

    หลายต่อหลายท่านด้วยกัน มาไกลชนิดสุดเหนือสุดใต้ โดยเฉพาะญาติโยมจากปักษ์ใต้ ตั้งแต่สุไหงโกลกขึ้นมา ยะลา หาดใหญ่ ตรัง ภูเก็ต ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มักจะมาก่อนเวลาด้วย คือ มาค้างก่อนสัก ๑ – ๒ วัน เป็นปรกติ ถ้ากำลังใจไม่เป็นปรมัตถบารมี คือ เข้มข้นสูงสุดพอเพียงจะทำเช่นนี้ไม่ได้

    ตอนนี้กำลังใจในเรื่องทานบารมีของพวกเราเข้มข้นพอ ไม่ว่าไปอยู่ในสถานที่ใดเราก็พร้อมที่จะเสียสละ การสละออกนี้ที่เห็น ๆ อยู่ คือสละทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทองที่เราหามาได้โดยยาก สละออกเป็นการตัดความโลภในจิตในใจเราได้ ถ้าหากเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์จะสละได้แม้แต่อวัยวะหรือชีวิต ของเราก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ต้องเดินทางมาไกล ไม่แน่ว่าอุบัติเหตุใด ๆ จะเกิดขึ้นหรือเปล่า ? จะมีการบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ ? แต่เราก็ตัดใจมา ก็แปลว่ากำลังใจของเราเข้มข้นแล้ว เหมือนพระโพธิสัตว์ คือสามารถสละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้

    ถ้ากำลังใจของเราถ้าเข้มข้นอยู่ในระดับนี้ ไม่ห่วงใย ไม่กังวลในชีวิตบั้นปลายของพวกเราแล้ว ถ้าหากว่าเรามีปัญญาเพิ่มเข้าไปนิดหนึ่ง เห็นว่าร่างกายนี้มีความทุกข์อยู่เป็นปกติ แม้การทำบุญของเราก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ เรามีความปีติรื่นเริงอิ่มใจ อยากทำบุญไม่รู้จักเหนื่อยจักเบื่อก็ตาม แต่ว่าการเดินทางไปไกลทั้งกลางวันกลางคืนก็ต้องเหนื่อยต้องเพลียเป็นปกติ เราก็จะเห็นได้ว่าร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์

    แต่ท่านทั้งหลายล่วงความทุกข์นั้นได้ คือ ลำบากแค่ไหนก็ขอให้ได้ทำบุญ กำลังใจอย่างนี้ถ้าหากตั้งใจไว้ว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้เราไม่ต้องการอีก ถ้าหากสิ้นชีวิตลงเมื่อใดก็ตาม เราปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน ถ้ากำลังใจของเราปักแน่วแน่มั่นคง ตอนที่เราจะตายสามารถยึดเกาะอย่างนี้ได้ สามารถคิดแบบนี้ได้ ถึงวาระเราก็จะไปนิพพานได้ง่าย

    ที่มา https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1267

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ๆ-ที่เข้ามาถ.jpg

    บททดสอบต่าง ๆ ที่เข้ามาถ้าเราก้าวผ่านได้
    จะไม่สามารถสร้างความกระเทือนใจให้เราได้อีกเลย

    แต่ถ้าเราก้าวผ่านไม่ได้มันจะมาซ้ำแล้วซ้ำอีก
    ข้อสอบเดิมนั่นแหละเพียงแต่เปลี่ยนแง่เปลี่ยนมุมไปเท่านั้นเอง
    รัก โลภ โกรธ หลง แค่ ๔ หัวข้อ แต่มาได้เป็นหมื่นเป็นแสนแบบเลย
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ไป่มี.jpg

    สามโลกจักหาใคร………ไป่มี
    พ่อดังพระสุริยศรี………คู่ฟ้า
    สว่างหล้าธาตรี………ใครเปรียบ…เทียบฤๅ
    นามพ่ออยู่คู่หล้า………ตราบฟ้า…ดินสลาย
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ปิดทองหลังพระ

    ถาม :
    ถ้าคนเอาแผ่นทองไปปิดไว้ด้านหลังพระ แล้วเวลาทำความดี คนอื่นไม่เห็น หรือมองข้ามความสำคัญอย่างนี้ จริงหรือไม่ครับ ?
    ตอบ : ไม่จริง ปิดทองส่วนไหนขององค์พระก็ตาม อานิสงส์เป็นพุทธบูชาทั้งนั้น

    อานิสงส์ที่เป็นพุทธบูชานี่ท่านบอกว่า “พุทโธ อัปปมาโณ” คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้

    เรื่องคนจะไม่เห็นนั้นไม่มี ถึงเวลาถึงวาระบุญจะส่งให้เด่นขึ้นไปเอง ดีไม่ดีพวกปิดทองข้างหลังพระนั้นจะเด่นเป็นพิเศษ ถูกคนเขาถีบออกไปข้างหน้า …(หัวเราะ)…

    ในหลวงท่านสร้างพระอยู่รุ่นหนึ่ง เรียกว่า “สมเด็จจิตรลดา” เวลาท่านมอบให้บุคคลที่ทำคุณความดีและรับใช้ใกล้ชิด ท่านจะบอกว่าให้ปิดทองข้างหลัง

    คุณวสิษฐ์ เดชกุญชร ตอนนั้นเป็นนายตำรวจประจำราชสำนักอยู่ ก็กราบทูลในหลวงว่า “ปิดทองหลังพระ ทำแล้วคนอื่นไม่เห็น ทำให้หมดกำลังใจครับ” ในหลวงทรงตรัสว่า “คุณปิดให้เยอะเข้าไว้เถอะ เดี๋ยวก็ล้นออกไปข้างหน้าเอง” ….(หัวเราะ)… จริงไหม ? ปิดให้เยอะเข้าไว้เดี๋ยวก็ล้นออกไปข้างหน้าเอง

    ถาม : อย่างนี้ก็เป็นความเชื่อที่ผิด ?
    ตอบ : เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้วเรื่องอานิสงส์การเป็นพุทธบูชา อย่างเมณฑกเศรษฐีนี่ไม่ใช่หลังพระนะ ก้นส้วมด้วย โอ้โฮ..รวยจนนับไม่ได้เลย

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

    ขอบพระคุณภาพจาก www.kapook.com

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ดูแลรักษาร่างกายไปตามสภาพ ร่างกายนี้เรายืมโลกมาใช้ มารยาทในการยืมก็คือต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด ทำจนเต็มความสามารถแล้วถ้าไม่สามารถรักษาได้ถึงตายก็ค่อยปล่อยมัน ถ้ามีช่องทางแม้แต่ ๑ เปอร์เซ็นต์ก็ต้องดูแลมันก่อน ไม่ใช่ทิ้งให้พัง
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    รุกอำพรางถอย

    ค่อย ๆ ไป ถอยอย่าให้คนรู้ เขาเรียกว่า รุกอำพรางถอย ลักษณะเหมือนอย่างกับบุกไปข้างหน้าตลอดเวลา แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกที่ให้คนอื่นรู้ ตัวเราเองค่อย ๆ ถอยมาตามจังหวะ ตามวาระ ต้องเตรียมการอย่างไรค่อย ๆ ทำไป ไม่ต้องไปกระโตกกระตากให้ใครรู้ อยู่ ๆ ก็หายวับไปกับตา

    สมัยที่อาตมาบวชก็ทำอย่างนี้แหละ คนอื่นเขาก็ยังคิดว่าอาตมาไม่รอดแน่เลย ไปไหนก็มีน้องมีนุ่งตามไปเป็นกระตั้ก ๘ คน ๑๐ คนอย่างนี้ จะบวชกันได้อย่างไร แต่อาตมาก็ทำได้

    ภาระทางโลกรังแต่จะดึงเราให้จมอยู่ ภาระทางใจก็เลยไม่รู้จักจบสิ้นสักที เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าไปถึงจุด ๆ หนึ่ง รู้สึกว่าพอแล้วก็ไปได้เลย ตอนช่วงที่อาตมาเป็นฆราวาสอยู่ อาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ทำถือว่าประสบความสำเร็จ จังหวะทุกอย่างลงตัวพอดี พ่อก็ได้ดูแล แม่ก็ได้ดูแล น้องก็ได้ส่งให้เรียน หลานก็ได้ส่งให้เรียน หน้าที่การงานก็ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว ขณะที่คนอื่นเขาตะเกียกตะกายแทบตาย เขายังทำตรงจุดนั้นไม่ได้ แต่อาตมาได้มาแล้ว เอ้า..พอ…เข้าวัดดีกว่า

    แต่ถ้าหากอยู่ ๆ เลี้ยวเข้าไปเฉย ๆ ก็อาจจะอยู่ลักษณะโลกช้ำธรรมเสีย ในเมื่ออยู่ลักษณะนั้นเราก็ต้องรอระยะ รอจังหวะเวลาเหมือนกัน จิตใจมุ่งมั่นต่อเป้าหมายอย่าให้เบี่ยงเบนไปเพราะว่ากระแสโลกแรง บางครั้งดึงเราอยู่กับที่ยังไม่พอ ยังดึงเราลอยตามไปอีกด้วย ฉะนั้น…ต้องหาจังหวะ หาเวลาที่ดีที่สุด ช่วงนั้นจังหวะและเวลาที่ดีที่สุดก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่าจะบวชให้ท่านได้ไหม ? ก็พอเหมาะพอดี อ้างกับเขาได้เต็มปากเต็มคำ ….ไปดีกว่า ไหน ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ชวนแล้ว โอกาสอย่างนี้ทั้งชาติไม่รู้ว่าจะมีอีกหรือเปล่า ? รอจังหวะ รอเวลา รอเหมือนอย่างกับนกที่รอจังหวะบินออกจากกรง เมื่อไรจะได้ช่องเสียที ได้จังหวะ ได้ช่องเมื่อไรก็สบายเมื่อนั้น

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

    ที่มา www.watthakhanun.com
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg


    คลิปวีดีโอ

    คลิปวีดีโอทำบุญถวายพระราชกุศล รัชกาลที่ ๙
    ในวันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๑

    เวลา ๐๖.๓๐ น. พระสงฆ์วัดท่าขนุนออกบิณฑบาตที่ตลาดทองผาภูมิ
    เวลา ๐๗.๓๐ น. พิธีทำบุญบริเวณที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ
    เวลา ๐๘.๓๐ น. ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนและเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ ๙

    โมทนากับทุกท่านด้วยนะคะ

    ขอบพระคุณคลิปวีดีโอจากชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตค่ะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ให้เราใช้ศีลเป็นกรอบของเรา ถ้าหากว่าเราจำเป็นต้องไปกับโลก ไปแค่กรอบของศีลห้า ถ้าไม่พ้นจากกรอบของศีลเรายังอยู่ในสัมมาทิฏฐิ
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com


    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    เนื่องจากทางสำนักพุทธฯ ประกาศให้ทางวัดนำเงินกฐินเข้าบัญชีเป็นยอดเดียวเพื่อความโปร่งใส ทางทีมงานจึงเปิดรับร่วมบุญ ผ่านทางบัญชีด้านล่างนี้ แล้วจะนำเงินสดไปถวายพระอาจารย์วันทอดกฐินนะคะ

    ท่านใดประสงค์ร่วมบุญทอดกฐินกับทางวัดท่าขนุน สามารถโอนเงินได้ที่

    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสยามพารากอน
    บัญชีออมทรัพย์
    เลขที่บัญชี 218-243-752-3
    นางสาวพัชรีภรณ์ หยกอุบล

    ปิดรับโอน วันที่ ๒๔ ต.ค. ๒๕๖๑ เวลา ๑๗.๐๐ น. แล้วจะถอนจนหมดบัญชีนี้นะคะ

    ท่านใดโอนมาหลังจากนั้น จะถือวาให้เงินเจ้าของบัญชีใช้ฟรีนะคะ
    กรุณารักษาเวลานะคะ โมทนาค่ะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น อาตมภาพเคยกล่าวหลายครั้งแล้วว่า จำเป็นต้องรักษาอารมณ์ตัวเองไปให้ต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องนั้น ถ้านักปฏิบัติทำแล้วหวังผล ก็คือต้องรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ทุกขณะ รู้คำภาวนาอยู่ทุกขณะ การรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนานั้น จะเลิกก็ต่อเมื่อสภาพจิตดิ่งลึกเข้าไป จนกระทั่งไม่สามารถที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สามารถที่จะนึกถึงคำบริกรรมได้ เพราะสภาพจิตละเอียด จนพ้นจากการปรุงแต่งไปแล้ว ในลักษณะอย่างนั้น ก็ให้เรากำหนดดูกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้สภาพจิตเป็นอย่างนี้ ไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา

    แต่ถ้าสภาพจิตทรงตัวจนถึงที่สุดแล้ว เริ่มคลายออกมา เราต้องรีบนึกถึงลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้ว สภาพจิตก็จะวิ่งไปหารัก โลภ โกรธ หลง ตามความเคยชินของตนเอง และจะเอากำลังที่เราภาวนาได้นั้น ไปปรุงแต่งในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลงจนเจริญงอกงามมาก เพราะมีกำลังของสมาธิไปหนุนเสริม

    แต่ถ้าเราควบคุมจิตให้อยู่กับการภาวนาต่อ ทันทีที่สภาพจิตคลายออกมาจากจุดลึกที่ตนเองเข้าถึงนั้น ก็จะทำให้เราไม่เปิดช่องให้กิเลสกินใจของเราได้ เท่ากับว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเราอยู่กับคำภาวนา ถ้ารักษาสภาพจิตอย่างนี้ได้ การปฏิบัติของเราก็จะเจริญก้าวหน้ามาก

    ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ต้องพึงระวังก็คือ การปฏิบัตินั้นจริง ๆ เราต้องหวังผล คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่เรามักจะลืมเป้าหมายในการปฏิบัติของเรา จะเป็นเพราะอำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ชักนำไปก็ดี หรือว่าสภาพปัญญาของเราไม่ถึง ทำให้เราลืมไปก็ดี ว่าเราเองเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อหวังการหลุดพ้น

    บุคคลที่หวังการหลุดพ้นนั้น จะลืมไม่ได้เลยว่าเราจะต้องตาย ถ้ารู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ก็ทำให้เราไม่ประมาท บุคคลที่รู้ตัวว่าจะตาย ก็ต้องเร่งทำหน้าที่ของเราในวันนี้ให้ดีที่สุด ดังในบาลีที่ว่า อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว มีการงานอะไรพึงรีบทำให้สำเร็จลงเสียในวันนี้ เพราะความตายอาจจะเข้ามาถึงเราในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ตรงจุดนี้เป็นตัวปัญญา ก็คือเห็นความตายเป็นเรื่องปกติ มีความไม่ประมาทเป็นปกติ ทำหน้าที่ของเราทั้งทางโลกทางธรรมอย่างเต็มที่ เต็มสติกำลังของเรา เมื่อถึงเวลาก็จากไปอย่างสง่างามที่สุด อยู่คนเขาก็อาลัย ไปคนเขาก็คิดถึง

    บุคคลที่รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ก็จะขวนขวายในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากที่สุด เพื่อความมั่นคงของคติ คือที่ไปในเบื้องหน้าของแต่ละคน ถ้าเราปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ ก็ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย เมื่อจะต้องตายแน่ เราก็ต้องพยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    ถ้าท่านสามารถรักษาอารมณ์ใจเหล่านี้เอาไว้ได้ ก็จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติของเราที่ระลึกถึงความตายเพื่อความไม่ประมาทนั้น แท้จริงแล้วก็คือหนทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้โดยง่าย

    การเห็นความตายเป็นปกติ เป็นเรื่องของบุคคลที่มีปัญญา เป็นบุคคลที่เห็นความไม่มีสาระแก่นสารในร่างกายของเรา ความไม่มีสาระแก่นสารในร่างกายของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะกายเขากายเราก็ตาม เป็นเพียงส่วนประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนกับคนขับรถ เมื่อถึงเวลาก็ขับรถไป ทำหน้าที่การงานของตน ถ้ารถพัง ก็ทิ้งรถไปหารถคันใหม่

    ดังนั้น..ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว เป็นการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น ก็คือเปลี่ยนผ่านจากสภาพร่างกายนี้ ไปสู่สภาพร่างกายอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นขันธ์ทิพย์ของเทวดา ของนางฟ้า ของพรหม ก็ถือว่าไม่ขาดทุน ถ้าเป็นขันธ์ของวิสุทธิเทพ คือบุคคลผู้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว ก็ถือว่าได้กำไรอย่างใหญ่หลวง แต่ถ้าเป็นขันธ์ของมนุษย์ ก็ต้องถือว่าเกิดมาเสียชาติไปชาติหนึ่ง เพราะว่าไม่สามารถที่จะไปดีกว่าเดิมได้ ถ้าหลุดไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกาย เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ก็ขาดทุนย่อยยับลงไปตามลำดับ

    เมื่อเราเห็นแล้วว่า การปฏิบัติของเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ยกเว้นบุคคลที่ภาวนาจนสภาพจิตละเอียดดิ่งลึกเป็นสมาธิขั้นสูง การภาวนาจะหายไปโดยอัตโนมัติ เราก็แค่รับรู้อยู่ เมื่อจิตถอนออกมา เราก็ตั้งหน้าภาวนาใหม่ และต้องไม่ลืมความตาย เพราะจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเราต่อไป

    ลำดับนี้ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ฉบับ.jpg

    กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๖
    เดือนตุลาคม ๒๕๖๑

    โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    เล่มอื่น ๆ ตามไปอ่านได้ที่ http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=60 และ http://www.grathonbook.net/book/ นะคะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ตุลาคม 2018
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    การปฏิบัติทุกอย่างต้องมีตัวอุเบกขา เมตตาคือรัก กรุณาคือสงสาร ในเมื่อรักสงสารช่วยเขาเต็มที่แล้ว ผลจะเกิดอย่างไรก็ตามเราต้องยอมรับได้ ตัวยอมรับได้ ตัวปล่อยวางได้นี่เป็นตัวอุเบกขาในอารมณ์ ถ้าเราไม่เบรคเราจะทุกข์อยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ทุกข์กับเราด้วยหรอก
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -คนเกิดสมัยนี้บุญดี.jpg

    ถาม : คนเกิดสมัยนี้บุญดีกว่าสมัยก่อนหรือเปล่า เพราะมีเทคโนโลยี ?
    ตอบ : คนเกิดสมัยนี้จะบอกว่าบุญดีก็ได้ เพราะทุกอย่างทันสมัย ใช้งานง่าย อำนวยความสะดวกให้ก็จริง แต่ว่าทั้งหมดก็จะทำให้คนเรายึดติดกับความสุขต่าง ๆ ที่ได้รับมาง่ายขึ้น

    แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ให้ความสุขที่ตอบสนองทางกายเท่านั้น ทางกายได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ทางใจก็ยังต้องเสาะแสวงหาเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น..เกิดยุคไหนสมัยไหนก็เกิดอยู่ในกองทุกข์เหมือนกัน ธรรมะเป็นอกาลิโกจริง ๆ ไม่ติดขัดด้วยยุคสมัยเลย เกิดยุคไหนสมัยไหนก็ใช้ได้

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ยิ่งทำเหมือนยิ่งโง่

    ถาม :

    ตอบ : ต้องใช้คำว่าเป็นกติกาอย่างหนี่ง ถ้าหากต้องการหลุดพ้นจริง ๆ ก็ต้องเจอข้อทดสอบที่ค่อนข้างโหดร้ายในสายคนอื่น แต่ว่าถ้ายิ่งทดสอบไป ก็เหมือนกับเรายิ่งทำแล้วยิ่งโง่ เพราะเราจะเห็นความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องในส่วนที่ละเอียดของตัวเราเองมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

    สังเกตไหมว่า…ถ้าเมื่อก่อนเวลาเราโกรธใคร อาจจะประเภทด่าเลย กระทืบเท้า ชี้หน้า กัดฟัน ฯลฯ นั่นเป็นส่วนหยาบและเราละได้ง่ายมาก แต่พอนานไป ๆ ถึงตอนท้าย ๆ เป็นส่วนละเอียดแล้ว อาการทางกายไม่ออก อาการทางวาจาไม่ออก แต่อกจะแตกตาย เพราะเป็นการขังความโกรธไว้ในอก กลายเป็นว่ากายหยุดแล้ว วาจาหยุดแล้ว แต่ใจยังหยุดไม่ได้ เพราะว่าไม่สามารถดับที่ต้นเหตุได้อย่างแท้จริง

    จึงเหมือนกับว่า ยิ่งทำเหมือนตัวเองยิ่งโง่ไปเรื่อย ๆ แต่ว่าความจริงไม่ใช่ เรากำลังฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถขุดคุ้ยตัวเองได้ละเอียดมากขึ้นทุกที ถึงเวลานั้นก็ต้องใช้สติสัมปชัญญะ และ ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรา มีเท่าไรต้องขนเอาออกมาใช้งานทั้งหมด เมื่อระดมผลได้ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ก็จะพอเหมาะพอสมกับคู่ต่อสู้ในช่วงนั้น ถ้าเราก้าวผ่านตรงจุดนั้นได้ เราจะไม่แพ้อีก เขาก็จะเอาสิ่งที่ละเอียดกว่านั้นมาสู้กับเราต่อไป

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg
    20181021_160231.jpg 20181021_165629.jpg 20181021_165954.jpg 20181021_170300.jpg .jpg .jpg .jpg
    .jpg

    .jpg

    พระอาจารย์เตรียมเข้ากรรมฐานแล้วครับ ที่เห็นในลังคือแผ่นยันต์เกราะเพชร
    พระพุทธรูป ๓ องค์เข้ากรรมฐานเป็นปีที่ ๓ แล้ว
    อย่างอื่นมีอะไรบ้างลองเดาดูครับ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg


    คลิปวีดีโอ

    คลิปพิธีทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ ๙
    วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑
    ณ วัดท่าขนุน อ.ทองปาภูมิ จ.กาญจนบุรี
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 ตุลาคม 2018
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...