ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดลงถมมหาสนองเป่าแล่นฟ้าคล้อยยอมตาม(บัญชาฟ้าสอพลอ) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ติดบุญ-บาปพัวพัน (พระสูตรของท่านเว่ยหลาง)
    ***อ่านให้เป็นอุทาหรณ์

    ความหลงได้ทำให้มนุษย์เข้าใจผิดคิดว่าการสร้างบุญเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นเวียนว่ายตายเกิด แท้ที่จริงกลับเป็นการถากถางทางการเวียนเกิด-ตายแบบไม่สิ้นสุดนั่นเอง....

    วันหนึ่งเมื่อข้าหลวงอุ๋ยได้ถวายภัตตาหารเจแด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว ข้าหลวงอุ๋ยได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "หลักธรรมต่างๆ ที่พระคุณเจ้าแสดงไปแล้วนั้นเป็นหลักธรรมเดียวกันกับที่พระโพธิธรรมได้วางหลักธรรมสำคัญนี้ไว้มิใช่หรือ"
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบ "ถูกแล้ว"
    ข้าหลวงอุ๋ย "แต่กระผมได้สดับมาว่า เมื่อพระโพธิธรรมได้พบปะและสนทนากันเป็นครั้งแรกกับฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ พระองค์จึงถามพระโพธิธรรมว่าพระองค์จักได้รับกุศลอะไรบ้างจากการที่พระองค์ได้ก่อสร้างพระวิหาร การอนุญาตให้คนบวช การโปรยทาน การถวายภัตตาหารเจแด่พระภิกษุสงฆ์ ในครั้งนั้นพระสังฆปริณายกโพธิธรรมถวายพระพรว่า การกระทำเช่นนั้น ไม่เป็นทางนำมาซึ่งกุศลแต่อย่างใดเลย บรรดาข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนพระโพธิธรรมจึงตอบดังนั้น"
    พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "ถูกแล้วการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นทางนำมาซึ่งกุศลแต่อย่างใดเลย ขออย่าได้มีความสงสัยในคำตอบนี้ของพระโพธิธรรมเลย พระเจ้าเหลียงอู่ตี้เองต่างหากที่มีความเข้าใจผิดและพระองค์ไม่ได้ททรงทราบถึงคำสอนอันถูกต้องตามแบบแผนการกระทำ เช่น การสร้างวิหาร การอนุญาตให้คนบวช การโปรยทาน การถวายภัตตาหารเจ จะนำมาให้ได้ก็แต่เพียงความปิติอิ่มใจต่างๆเท่านั้นจึงไม่ถือว่าเป็นกุศล กุศลมีได้ก็แต่ในธรรมซึ่งไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการทำเพื่อความปิติอิ่มใจเลย"

    คำกล่าวของพระธรรมมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยืนยันให้เห็นความจริงว่าคำกล่าวของพระโพธิธรรมเมื่อครั้งกระนั้นถูกต้องเพียงแต่มิได้อธิบายหรือมีโอกาสชี้แจงแสดงเหตุผลให้พระเจ้าเหลียงอู่ตี้สดับได้ เพราะเพียงได้ยินคำกล่าวว่าไม่เป็นบุญกุศลโทสะจริตก็ครอบงำพระหฤทัยจึงขับไล่พระโพธิธรรมออกไปจากพระราชวัง

    ดังนั้นถ้าพิจารณาประวัติความเป็นมาของพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ย่อมประจักษ์ถึงสัจธรรมแห่งการทำบุญว่ามิใช่หนทางแห่งการพ้นไปจากการเวียนว่ายเกิด-ตายเลย แต่กลับกลายเป็นการเวียนเกิดมารับผลบุญของตนเองไม่มีที่สิ้นสุด....

    ...สมัยหนึ่งมีวัดแห่งหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็นสองคณะและต่างก็แข่งขันกันในอันที่จะตื่นขึ้นมาสวดมนต์ก่อนนั้น พระคณะเหนือตื่นก่อนและสวดมนต์ได้ทันเวลา แต่พระคณะใต้ตื่นสายไม่ทันการณ์ เณรองงค์หนึ่งแห่งคณะใต้มีความสงสัยจึงมาแอบดูว่าเป็นเพราะเหตุใดพระคณะนี้จึงตื่นได้ทันเวลาเสมอ จึงเห็นไส้เดือนตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นมาจากใต้ดินส่งเสียงร้องปลุกพระคณะเหนือ เณรจึงไปต้มน้ำร้อนมาราดฆ่าไส้เดือนตัวนั้นเสีย

    แต่เป็นเพราะจิตญาณของไส้เดือนเต็มไปด้วยบุญจึงได้ไปถือกำเนิดเป็นชายตัดฟืนและความใจบุญยังคงติดอยู่ในกมลสันดาน ชอบซ่อมแซมสาธารณะสมบัติไม่ว่าจะเป็นสะพานที่ชำรุดหรือศาลาพักร้อนก็ซ่อมแซมให้พ้นจากสภาพทรุดโทรมและชนทั่วไปสามารถใช้การได้เสมอ วันหนึ่งชายตัดฟืนเดินเข้าไปในป่าตามปกติ พบพระพุทธรูปองค์หนึ่งตั้งตากแดดตากฝนอยู่เพราะเพิงได้พังทลายลงไปเสียแล้ว ชายตัดฟืนจึงบูรณะให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและไปเก็บดอกไม้มากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปเสมอมา แต่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ชายตัดฟืนแปลกใจเป็นยิ่งนัก เพราะผลไม้หรือดอกไม้นั้นหายไปเสมอ วันหนึ่งหลังจากนำผลไม้มาถวายพระพุทธรูปแล้วก็แอบดู จึงเห็นลิงตัวหนึ่งมาขโมยผลไม้แลละดอกไม้ไป ชายตัดฟืนเกิดโทสะ ไล่จับลิงแต่ลิงก็วิ่งหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ชายตัดฟืนจึงขนหินมาปิดปากถ้ำขังลิงไว้เจ็ดวันก็ถึงแก่ความตาย

    ลิงซึ่งเคยเป็นเณรที่ฆ่าไส้เดือน พอตายจากลิงแล้วจึงไปเกิดเป็นโหวจิ่งแม่ทัพแคว้นเว่ย ส่วนชายตัดฟืนเมื่อสิ้นอายุขัยได้ไปถือกำเนิดเป็นพระเจ้าเหลียงอู่ตี้เพราะผลบุญของการสร้างสาธารณะสมบัติเป็นแรงส่งให้ได้เสวยผลบุญของตน และจิตที่เต็มอิ่มไปด้วยบุญในชาติที่เป็นพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ซึ่งใจบุญสนับสนุนให้มีการสร้างวัดมากมาย โดยเฉพาะพระองค์เองได้สร้างวัดไว้อย่างประมาณมิได้เรียกว่าเดินทางไปห้าสิบลี้ก็สร้างวัดเล็กๆขึ้นวัดหนึ่ง ครั้นถึงร้อยลี้ก็สร้างวัดใหญ่ๆทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ

    การสร้างบุญจึงเป็นเสมือนหนึ่งการสะสมเงินตราเอาไว้เป็นธนาคารของตนเอง โดยที่สามารถเบิกจ่ายมาใช้สอยให้ชีวิตมีความสุข ดังนั้นคนใจบุญจึงต้องเวียนว่ายไปเกิดเพื่อรับผลบุญของตนเอง เมื่อติดอยู่ในบุญแต่เพียงอย่างเดียว ในจิตจึงมีอกุศลตามมาเสมอเพราะบาปเวรกรรมมิได้กำจัดไป เพราะฉะนั้นจึงต้องเผชิญต่อบาปที่ตนเองก่อเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ พระเจ้าเหลียงอู่ตี้จึงถูกโหวจิ่งแม่ทัพของเมืองเว่ยปิดล้อมพระราชวัง จนอดอาหารตายเช่นเดียวกับสมัยที่เป็นชายตัดฟืนแล้วขังลิงเอาไว้ในถ้ำนั่นเอง การสร้างบุญจึงทำให้จิตใจอิ่มเอิบ แต่มิได้มีกุศลอันเป็นเครื่องตัดกิเลสทั้งปวงในจิต สร้างบุญมากเท่าไหร่แต่อารมณ์ทั้งปวงมิได้ถูกกำจัด ฉะนั้นคนใจบุญจึงยังพัวพันกับบาปไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตจึงยังคงเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับบาปและบุญตลอดไปนั่นเอง


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2018
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    มีถามๆแซวๆว่าเมื่อไหร่จะลงรายการพระผงที่เกริ่นๆไว้ อันนี้ก็รอหน่อยเพราะช่วงนี้ธุระเยอะจริงๆ ก่อนลงจะไๆด้ถือโอกาสพูดคุยกันเรื่อยๆด้วยเพราะพระผงรอบนี้เกี่ยวกับองค์ต้นธาตุ ต้นธรรม รอกันหน่อยครับ
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    พรุ่งนี้เดี๋ยวคุยกันต่อเรื่องพระผงรอบนี้เกี่ยวกับองค์ต้นธาตุ ต้นธรรม เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับเทพน้อยด้วยชุดนี้พิเศษจริงๆ เอาใจคนที่รอขอพระเนื้อผงราคาเบาๆ ;)
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ต้นโพธิ์กับกระจกเงา

    ความรู้แจ้ง "ธรรมญาณ" แห่งตนไม่อาจใช้ภาษาคนอธิบายให้เข้าใจได้ชัดเจน เพราะสื่อภาษามีขอบเขตจำกัดเท่าที่มนุษย์ได้กำหนดไว้เท่านั้น แต่ภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อยู่นอกเหนือขอบเขตการกำหนดของมนุษย์ เพราะเป็นภาวะที่ปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง ภาษาจึงเป็นเพียงรอยทางให้ผู้ใฝ่ใจศึกษาได้เดินตาม ส่วนรสชาติเป็นเรื่องที่แต่ละคนสัมผัสรับรู้ได้เอง

    แม้ใช้ภาษาอธิบายจนหมดสิ้นก็ไม่มีใครสามารถรับรสชาตินั้นได้เลย จึงเปรียบเหมือนน้ำ คนไหนดื่มคนนั้นรับรู้รสชาติได้ด้วยตนเอง ท่านเสินซิ่วหัวหน้าศิษย์จึงใช้การศึกษาสะท้อนให้เห็นเป็นเพียงความรู้แต่มิได้ไหลออกมาจาก "ธรรมญาณ" เพราะฉะนั้นจึงจับจ้องว้าวุ่นใจในการเขียนโศลกถวายต่อพระอาจารย์หงเหยิ่น ด้วยไม่แน่ใจในความรู้ของตนเอง เมื่อเขียนโศลกเสร็จแล้วไม่มั่นใจจึงไม่กล้านำไปถวาย พระอาจารย์ได้แต่เดินกลับไปกลับมาเสียเวลาไป 4 วันเดินเสีย 13 เที่ยว ในที่สุดก็ตัดสินใจเขียนเอาไว้บนฝาผนังช่องทางเดินทางทิศใต้ซึ่งพระอาจารย์เดินผ่านไปมาจะได้หยั่งทราบถึงปัญญาญาณที่ตนเองได้บรรลุ ข้อความแห่งโศลกนั้นมีว่า "กายคือต้นโพธิ์ จิตคือกระจกเงาใส หมั่นเช็ดอยู่ทุกโมงยาม จึงไม่มีฝุ่นละอองลงจับ"

    เมื่อเขียนเสร็จแล้ว เสินซิ่วก็หามีความสุขแต่ประการใดไม่ มีแต่ความปริวิตกด้วยหวั่นเกรงว่าได้สะท้อนความไม่รู้แจ้งให้ปรากฎออกไป แต่พระอาจารย์หงเหยิ่นรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เสินซิ่วยังไม่ได้รับรสชาติแห่งธรรมญาณของตน จึงกล่าวแก่ หลูเจิน จิตกรเอกแห่งราชสำนักซึ่งเขียนภาพต่างๆ จากลังกาวตารสูตรและชาติวงศ์ของพระสังฆปริณายกทั้ง 5 องค์ว่า "เสียใจที่รบกวนท่าน บัดนี้ผนังเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเขียนภาพเพราะสูตรนี้ได้กล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งอันมีรูป หรือปรากฎกริยาอาการล้วนเป็นอนิจจังและมายา จึงควรปล่อยโศลกนี้ไว้บนฝาผนังเพื่อให้มหาชนได้ท่องบ่น และถ้าปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อความที่สอนไว้ เขาก็จะพ้นทุกข์ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อานิสงส์ของผู้ปฏิบัติตามได้รับนั้นมีมากนัก"

    ความหมายแห่งคำพูดของพระอาจารย์หงเหยิ่นพิจารณาโศลกบทนี้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า สภาวะที่ปรากฎ "ความมี" ย่อมจะ "ไม่มี" ในที่สุด ต้นโพธิ์ย่อมเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา หรือแม้แต่จิตก็เกิดดับไม่แน่นอน การหมั่นเช็ดกระจกจึงเปรียบเสมือนการทำความดีและขจัดอาสวะกิเลส ดังนั้นทั้งกายและจิต จึงเป็นสภาวะแห่งอนิจจัง ย่อมไม่ใช่ภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อันแท้จริง ในเที่ยงคืนนั้นเอง พระสังฆปริณายกหงเหยิ่น จึงเรียกเสินซิ่วเข้าไปรับทราบถึงผลแห่งการเขียนโศลกนั้นว่า "โศลกนี้แสดงว่าเจ้ามิได้รู้แจ้งใน "ธรรมญาณ" เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้ว แต่มิได้ก้าวข้ามธรณีประตู การแสวงหาหนทางแห่งการตรัสรู้อันสูงสุดด้วยความเข้าใจที่แสดงออกมานั้น ยากที่จะสำเร็จได้"

    ความหมายอันแท้จริงคือ การติดในรูปลักษณ์ พระอาจารย์หงเหยิ่นได้อธิบายด้วยว่า "การบรรลุ อนุตตรสัมโพธิ์ได้ ต้องรู้แจ้งด้วยใจเองใน "ธรรมญาณ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสร้างขึ้นได้ทำลายก็ไม่ได้ ชั่วขณะจิตเดียวผู้นั้นเห็นธรรมญาณก็เป็นอิสระจากการถูกขังตลอดกาล พ้นจากความหลง และไม่ว่าสภาวะรอบตัวเป็นเช่นไร ใจของตนเองก็อยู่ในสภาพของ "ธรรมญาณ" สถานะเช่นนี้แหละคือตัวสัจธรรมแท้ เป็นการเห็น "ธรรมญาณ" อันเป็นการตรัสรู้นั่นเอง" เสินซิ่วได้ฟังแล้ว จึงถึงแก่อาการงงงวยนอนนั่งไม่เป็นสุข การที่ภาวะจิตยังตกอยู่ในรูปและนามย่อมหวั่นไหว เพราะยังยึดอยู่ในความดีและความชั่ว หรือ "มี" กับ "ไม่มี"

    จึงเห็นได้ทั่วไปในหมู่ของพุทธศาสนิกชนติดอยู่กับการสร้างบุญจึงกลายเป็นเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกันได้เสมอ สร้างบุญต้องได้หน้าตามีชื่อเสียงทำให้เกิดความฟูใจ รื่นเริงใจเมื่อเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของอนิจจัง ความทุกข์จึงปรากฎขึ้นแทนที่ เพราะไม่มีและไม่ได้บุญตามที่ปรารถนา ส่วนท่านฮุ่ยเหนิง เมื่อได้ยินโศลกนี้ก็iรู้ได้ทันทีว่าเป็นเพียงโศลกที่ยังติดข้องอยู่ในรูปลักษณ์ แม้ว่าตำข้าวอยู่ในครัวถึง 8 เดือน โดยไม่ได้รับคำอธิบายใดๆจากพระอาจารย์หงเหยิ่นเลย จึงขอให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งพาไปยังช่องกำแพงนั้นและพบกับเสมียนแห่งตำบลเจียงโจวชื่อว่าจางยื่อย่ง ให้ช่วยอ่านโศลกให้ฟัง

    เพราะท่านฮุ่ยเหนิงไม่รู้จักหนังสือ เมื่อเสมียนผู้นี้ได้ฟังว่าท่านฮุ่ยเหนิงมีโศลกเหมือนกันก็อุทานในเชิงดูถูกภูมิปัญญาว่า "ประหลาดแท้ ท่านก็มาแต่งโศลกกับเขาด้วย" คำตอบของท่านฮุ่ยเหนิงเป็นสัจธรรมจนถึงบัดนี้ว่า "ถ้าเป็นผู้แสวงหาบรรลุธรรม อย่าดูถูกคนที่เริ่มต้น คนที่จัดว่าเป็นคนชั้นต่ำก็อาจมีปฏิภาณสูงได้ ส่วนคนชั้นสูงก็ปรากฎว่าขาดสติปัญญาอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านดูถูกคนจึงจัดว่าทำบาปหนัก" เราจึงไม่อาจแบ่งคนหรือตัดสินใครๆ ได้ที่รูปลักษณ์ซึ่งแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ "ธรรมญาณ" ซึ่งมีศักยภาพเหมือนกันทุกคนและเท่าเทียมกัน


    b475bf7c9427a179e31fda933bba992b.jpg
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ปกรณ์เกียรติ EV 7738 0162 0 TH

    พี่ชัยวัฒน์ EV 7738 0163 3 TH

    พี่พรเทพ EV 7738 0164 7 TH
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    - พูดคุยเล็กน้อย

    เรื่องพระผงเกี่ยวกับองค์ต้นธาตุ ต้นธรรมรอบนี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าไม่ให้เราพิมพ์โปรยหรือบอกอะไรเยอะมาก หนนี้ก็เลยไม่ได้พิมพ์อะไรให้อ่านกันเยอะๆ ทั้งๆที่เป็นพระแบบจี๊ดสุดๆ แค่ชื่อก็จี๊ดแล้วไหนจะมวลสารสารพัดของรุ่นนี้ซึ่งล้วนแต่เป็นของเฉพาะกิจล้วนๆ เอาเฉพาะของฝังหลังก็ยังเคยมีประสบการณ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านไม่ให้เล่าก็ต้องรอลุ้นแล้วจองทีเดียวเลย

    * แต่จะเกริ่นไว้เล็กน้อยว่าพระรุ่นนี้นอกจากขนาดองค์พระจะห้อยคอกำลังสวยแล้ว พ่ออาจารย์ท่านยังทำตามมติครูบาอาจารย์ทั้งพิมพ์ทรงและมวลสาร ที่สำคัญยังให้บูชาราคาถูกกว่ารุ่นปกติ เพื่อให้หลายคนที่รอพระผงมวลสารจัดเต็มได้ใช้กัน กระจายกันไปทั่วได้ใช้กันจริงๆ


    *** ทีเด็ดรุ่นนี้นอกจากผง นอกจากพิมพ์พระซึ่งมีความพิเศษ นอกจากพุทธคุณเฉพาะทาง ของที่ถือว่าเด็ดแบบเน้นๆเลยก็อยู่ด้านหลัง เพราะรุ่นนี้ซ่อนความเผ็ดไว้ด้วยนางอัปสราทาริกาหรือทาริกาเทวี ตำหรับขอมโบราณพันปี ....คำๆนี้คือนางฟ้า สาวสวรรค์ผู้เป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของเรา ทำทุกสิ่งตามที่เราบัญชา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่พราย แต่เป็นข้าทาสบริวาร เป็นทาสในเรือนเบี้ยที่เป็นนางพญา นางฟ้า นางสวรรค์ บอกคร่าวๆได้แค่นี้แหละ รอข้อมูลแบบจัดเต็มไปพร้อมๆกัน เอาว่าพิเศษจริงๆ

    :) รุ่นนี้ไม่พูดเยอะท่านว่าแบบนั้น

    IMG-6749.jpg
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    วันนี้ก็จะมาติดตามพูดคุยกันต่อนะ เนื่องจากเป็นวันปิยมหาราชหลายๆคนก็ออกไปทำบุญกัน สำหรับคนที่โอนไว้แล้วจะส่งของให้พรุ่งนี้นะครับ
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    อุปฆาตกรรม (อ่านให้จบ เชื่อว่าตรงกับชีวิตใครหลายๆคน)

    ช่วงนี้มีหลายคนเล่าเหตุการณ์ต่างๆหลายเรื่องที่ดูตรงกับเรื่องของกรรมชนิดอุปฆาตกรรม ซึ่งวันนี้ก็จะเอาเรื่องนี้มาให้อ่านทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ

    อุปฆาตกรรม เป็นกรรมชนิดหนึ่งซึ่งให้ผลตัดรอนกรรมอื่นๆ เช่นกรรมบางอย่างส่งผลตัดรอนผลของกรรมอื่น อุปมาว่าถ้ามีกรรมอื่นส่งผลให้ชีวิตเราดีขึ้น กำลังได้ดี ชีวิตกำลังไปได้สวย ก็จะมีอีกกรรมอีกตัวหนึ่งมาตัดรอนให้ได้รับผลดีน้อยลงก็มี ให้ผลดีเสมอตัวก็มี หรือจะยังความพินาศฉิบหายจนไม่สามารถรับได้ก็เป็นไปได้เช่นกัน

    ทั้งนี้อุปฆาตกรรม เป็นกรรมชนิดที่มีอำนาจมากเพราะสามารถตัดรอนกรรมอื่นๆได้อย่างเด็ดขาด เรียกว่าเมื่อแสดงตัว แสดงผลของมันแล้วแน่นอนว่าย่อมส่งผลทันตาเห็นแบบฉับพลันทันที เมื่ออุปฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นหรือริดรอนตัดกรรมใดแล้ว กรรมที่เราเสวยอยู่ เช่นมีชีวิตมาดีๆกำลังเสวยผลบุญอยู่นั้น ต่อให้เป็นกรรมดีที่เกิดจากกุศลกรรมของเราก็ตาม(อันนี้ฟังเอาไว้ชัดๆเลย)ย่อมไม่สามารถส่งผลให้เกิดขึ้นได้เลยตลอดไปเรียกว่าอุปฆาตกรรมนั้นเมื่อแสดงผลแล้วย่อมระงับผลของกรรมปัจจุบันได้ฉับพลันทันที และถ้าตัดวิบากของกรรมนั้นแล้ว ย่อมหมายถึงร่างกายหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้นั้นย่อมเสียไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็ตัดชีวิตและวงจรชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคตของผู้นั้นให้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลอาจถึงกาลดับสิ้นไปเลย

    อุปฆาตกกรรม มีหน้าที่ 2 อย่าง คือ
    1. ตัดชนกกรรมที่เป็นตัวนำเกิด ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป
    2. ตัดชีวิต (รูปนาม) ที่เกิดจากชนกกรรมนั้น ให้สิ้นไป

    อุปฆาตกกรรม มีหน้าที่ตัดชนกกรรมอื่น ๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผลนี้ มี 3 ประเภท คือ
    1.1 กุศลอุปฆาตกกรรม ตัด อกุศลชนกกรรม ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป (บุญตัดบาป) ไม่เกิดในอบายภูมิ ยกตัวอย่างเช่น องคุลิมาล ก่อนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้เคยฆ่าคนเป็นจำนวนมาก เมื่อตายแล้วจะต้องตกนรกแน่นอน แต่เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องตกนรก เพราะไม่ต้องเกิดอีก ด้วยอำนาจของ อรหัตตมรรคกุศลกรรม (บุญ) ที่เกิดขึ้นตัด อกุศลชนกกรรม (บาป) ที่ได้ทำในภพนี้และภพก่อนให้หมดไป ไม่ต้องรับผลกรรมที่ทำไว้
    1.2 กุศลอุปฆาตกกรรม ตัด กุศลชนกกรรมอื่น ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป (บุญตัดบุญ)
    1.3 อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัด กุศลชนกกรรมอื่น ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป (บาปตัดบุญ)

    อุปฆาตกกรรมที่มีหน้าที่ตัดรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมอื่นให้สิ้นไป มี 4 ประการ คือ
    2.1 กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เกิดจาก อกุศลชนกกรรม
    2.2 กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เกิดจาก กุศลชนกกรรม
    2.3 อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เกิดจาก กุศลชนกกรรม
    2.4 อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เกิดจาก อกุศลชนกกรรม

    จะเห็นว่าอุปฆาตกรรมนี้มีทั้งดีและร้าย ซึ่งถ้าให้ผลร้ายก็จะพินาศดับสูญและส่วนใหญ่จะร้ายมากกว่าดี พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าด้วยเพราะเป็นวงจรที่ทุกชีวิตต้องพบเจอ ถึงอยากหลีกหนีก็หนีไม่พ้น ทั้งหลายคนยังถามว่าทำไมทำบุญมาหนักหนาชีวิตถึงแย่ลงๆ ยิ่งทำบุญหนักก็ยิ่งไม่ช่วยอะไร ทำจนท้อ จนถอย จนไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมไปแล้ว ท่านว่าตรงนี้ก็เพราะชีวิตไปตกอยู่ในวงจรร้ายแรงของอุปฆาตกรรมนั่นเอง

    *** เช่นนั้น เสด็จพระใหญ่ท่านจึงให้พ่ออาจารย์ทำพระผงเฉพาะกิจชนิดหนึ่งไว้ เอาไว้ใช้เกี่ยวกับเรื่องของอุปฆาตกรรมอันเป็นปัญหาวงจรใหญ่ของชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ...จะสำคัญอย่างไรพรุ่งนี้มาติดตามกันดีๆแต่เช้าๆ พลาดแล้วไม่มีรุ่นสองเพราะผงตำรับนี้ท่านว่าทำยาก จะได้ไม่ต้องมาบ่นกันเรื่องทำดีได้ชั่ว ทำบุญได้บาป

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    เมื่อคืนก็เรียกได้ว่าไลน์เข้ามาคุยกันมากมายหลากหลายทีเดียว เพราะหลายๆคนที่เจอกับสถานการณ์กรรมตัดกรรมหรือที่ผมเรียกว่ากรรมซ้ำซ้อน โดนอำนาจริดรอนของอุปฆาตกรรมแล้วก็พยายามแก้ทุกวิธี แต่ไม่ได้รับผลดีขึ้นเรียกว่าแก้ไม่ตก ก็เล่ากันมาหลายคน วันนี้เดี๋ยวก็ติดตามกันดีๆแล้วกันเพราะพระรุ่นนี้นอกจากใช้ได้หลายทางแล้วยังแก้เรื่องกรรมริดรอนเช่นนี้โดยเฉพาะด้วย
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ร่วมทำบุญบูชา พระผงสมพรปาก(แกขอฉันให้)องค์ต้นธาตุต้นธรรม (บรรเทาอุปฆาตกรรมและอกาลมรณะ)

    ในวาระสังคมในปัจจุบันนั้นหลายคนประสบพบเคราะห์กรรมที่เข้ามาริดรอนก่อนอายุขัย คืออุปฆาตกรรมที่แสดงผลไวกว่าเวลากำหนดและไม่สามารถแก้ไขได้ เรียกว่าไม่ถึงที่จนก็ต้องจน ไม่ถึงที่เจ็บก็ต้องเจ็บ ไม่ถึงที่ตายก็ต้องตาย หลายคนเจอความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่เข้ามาริดรอนก่อนเวลาอันควรและแก้ไม่ตก เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงให้นำพระผงองค์ต้นธาตุต้นธรรมวาระพิเศษที่สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอำนาจกรรมริดรอนทั้งหลายออกมาให้เฉพาะผู้มีบุญอันจะพ้นวาระได้บูชาคลายวิบากเหล่านั้น

    อุปฆาตกรรม เป็นกรรมชนิดหนึ่งซึ่งให้ผลตัดรอนกรรมอื่นๆ เช่นกรรมบางอย่างส่งผลตัดรอนผลของกรรมอื่น อุปมาว่าถ้ามีกรรมอื่นส่งผลให้ชีวิตเราดีขึ้น กำลังได้ดี ชีวิตกำลังไปได้สวย ก็จะมีอีกกรรมอีกตัวหนึ่งมาตัดรอนให้ได้รับผลดีน้อยลงก็มี ให้ผลดีเสมอตัวก็มี หรือจะยังความพินาศฉิบหายจนไม่สามารถรับได้ก็เป็นไปได้เช่นกัน ทั้งนี้อุปฆาตกรรม เป็นกรรมชนิดที่มีอำนาจมากเพราะสามารถตัดรอนกรรมอื่นๆได้อย่างเด็ดขาด เรียกว่าเมื่อแสดงตัว แสดงผลของมันแล้วแน่นอนว่าย่อมส่งผลทันตาเห็นแบบฉับพลันทันที เมื่ออุปฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นหรือริดรอนตัดกรรมใดแล้ว กรรมที่เราเสวยอยู่ เช่นมีชีวิตมาดีๆกำลังเสวยผลบุญอยู่นั้น ต่อให้เป็นกรรมดีที่เกิดจากกุศลกรรมของเราก็ตาม(อันนี้ฟังเอาไว้ชัดๆเลย)ย่อมไม่สามารถส่งผลให้เกิดขึ้นได้เลยตลอดไปเรียกว่าอุปฆาตกรรมนั้นเมื่อแสดงผลแล้วย่อมระงับผลของกรรมปัจจุบันได้ฉับพลันทันที และถ้าตัดวิบากของกรรมนั้นแล้ว ย่อมหมายถึงร่างกายหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้นั้นย่อมเสียไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็ตัดชีวิตและวงจรชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคตของผู้นั้นให้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลอาจถึงกาลดับสิ้นไปเลย
    อุปฆาตกกรรม มีหน้าที่ 2 อย่าง คือ
    1. ตัดชนกกรรมที่เป็นตัวนำเกิด ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป
    2. ตัดชีวิต (รูปนาม) ที่เกิดจากชนกกรรมนั้น ให้สิ้นไป
    อุปฆาตกรรม มีหน้าที่ตัดชนกกรรมอื่น ๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผลนี้ มี 3 ประเภท คือ
    1.1 กุศลอุปฆาตกรรมตัดอกุศลชนกกรรมไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป(บุญตัดบาป) ไม่เกิดในอบายภูมิ ยกตัวอย่างเช่น องคุลิมาลก่อนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้เคยฆ่าคนเป็นจำนวนมาก เมื่อตายแล้วจะต้องตกนรกแน่นอน แต่เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องตกนรกเพราะไม่ต้องเกิดอีก ด้วยอำนาจของอรหัตตมรรคกุศลกรรม(บุญ) ที่เกิดขึ้นตัดอกุศลชนกกรรม(บาป)ที่ได้ทำในภพนี้และภพก่อนให้หมดไปไม่ต้องรับผลกรรมที่ทำไว้
    1.2 กุศลอุปฆาตกรรมตัดกุศลชนกกรรมอื่นไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป (บุญตัดบุญ)
    1.3 อกุศลอุปฆาตกรรมตัดกุศลชนกกรรมอื่นไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป (บาปตัดบุญ)
    อุปฆาตกรรมที่มีหน้าที่ตัดรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมอื่นให้สิ้นไป มี 4 ประการ คือ
    2.1 กุศลอุปฆาตกรรมตัดรูปนามที่เกิดจากอกุศลชนกกรรม
    2.2 กุศลอุปฆาตกรรมตัดรูปนามที่เกิดจากกุศลชนกกรรม
    2.3 อกุศลอุปฆาตกรรมตัดรูปนามที่เกิดจากกุศลชนกกรรม
    2.4 อกุศลอุปฆาตกรรมตัดรูปนามที่เกิดจากอกุศลชนกกรรม
    จะเห็นว่าอุปฆาตกรรมนี้มีทั้งดีและร้าย ซึ่งถ้าให้ผลร้ายก็จะพินาศดับสูญและส่วนใหญ่จะร้ายมากกว่าดี พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าด้วยเพราะเป็นวงจรที่ทุกชีวิตต้องพบเจอ ถึงอยากหลีกหนีก็หนีไม่พ้น ทั้งหลายคนยังถามว่าทำไมทำบุญมาหนักหนาชีวิตถึงแย่ลงๆ ยิ่งทำบุญหนักก็ยิ่งไม่ช่วยอะไร ทำจนท้อ จนถอย จนไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมไปแล้ว ท่านว่าตรงนี้ก็เพราะชีวิตไปตกอยู่ในวงจรร้ายแรงของอุปฆาตกรรมนั่นเอง


    นอกจากนี้ยังมีอกาลมรณะซึ่งเป็นกรรมที่เข้ามาบีบคั้นอย่างกระทันหันอีกประเภทหนึ่ง โดยอกาลมรณะก็คือ การตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีตแต่จะต่อให้พอดีนั้นไม่ได้ ซึ่งพวกที่ตายแบบกาลมรณะเมื่อตายไปแล้วก็จะเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายแบบอกาลมรณะนั้นเมื่อตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสีแสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อนเมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้

    พ่ออาจารย์ท่านว่าเหตุด้วยกรรมทั้งสองนี้มีอานุภาพมาก และเมื่อเกิดขึ้นก็จะเป็นอันตรายร้ายแรงยากที่จะหลีกเลี่ยง ซ้ำยังมีอำนาจใหญ่เหนือระบบเวลาในห้วงหนึ่งของวงจรชีวิตสัตว์โลก เช่นนั้นเสด็จพระใหญ่ท่านได้เคยให้พ่ออาจารย์ลบถมผงวิเศษประเภทหนึ่งเอาไว้ เมื่อท่านพิจารณาแล้วว่าคนเดือดร้อนในกรรมที่ไม่สมควรเกิดก็ดี ยังไม่ถึงเวลาแสดงผลกรรมก็ดี โดยกรรมเหล่านี้เป็นกรรมริดรอนที่แทรกซ้อนระหว่างเราสร้างกรรมหลักขึ้นมา พ่ออาจารย์ท่านจึงได้ขออนุญาติเสด็จพระใหญ่สร้างพระไว้บรรเทาแรงกรรมดังกล่าว ซึ่งครูเสด็จพระใหญ่ท่านก็ได้เมตตาบอกลักษณะและพิมพ์ทรงให้ว่าต้องให้พ่ออาจารย์ท่านทำพระปางวันทาหรือที่ท่านเรียกว่าพระรับไหว้เท่านั้น

    ซึ่งการสร้างพระผงวาระนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าทำได้ยากอย่างมากด้วยขึ้นชื่อพระอันจะบรรเทากรรมซึ่งมาริดรอนชีวิตคนได้ แน่นอนว่าการทำย่อมไม่ง่ายเลย เพราะท่านต้องใช้ผงธาตุธรรมตามที่เสด็จพระใหญ่ระบุไว้มาทำการลบผง อันผงธาตุธรรมนี้ก็คือผงที่เกิดจากกายสังขารซึ่งเคยรองรับอมตะธรรมทั้งหลาย กล่าวง่ายๆคือเถ้ากระดูกบูรพาจารย์ผู้สำเร็จธรรมนั่นเอง เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงใช้ผงเถ้าอัฐิพระผู้บรรลุธรรมและบูรพาจารย์ในสายพระอาจารย์มั่นลงมาและสายล้านนาตั้งแต่ต๋นบุญครูบาเจ้าศรีวิชัยลงมาซึ่งท่านรวบรวมมาตลอดชีวิตโดยเก็บไว้สักการะบูชามาเป็นธาตุธรรมตั้งต้น นำผงอัฐิพระอรหันต์เหล่านั้นมาเข้ากับผงบัวผุดซึ่งเป็นดอกบัวเนรมิตที่เทวดาถวายไม่ได้เกิดขึ้นจากโคลนตมเช่นบัวทั่วไป ก่อนที่จะนำมาปั้นเป็นแท่งผงลบพระยันต์ตามที่เสด็จพระใหญ่ท่านบัญชาตั้งแต่ยันต์ดวงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ยันต์พระพุทธหัตถ์ ยันต์พระพุทธบาท ยันต์นะคาบ ยันต์พระจตุราริย์สัจ ยันต์ธาตุพระกรณี....ยันต์นวโลกุตรธรรม พ่ออาจารย์ท่านว่ากว่าจะทำได้ก็ไม่ง่ายเพราะต้องลบและเก็บผงมาปั้นใหม่แล้วลบยันต์ต่อไปทำไปเรื่อยๆ ท่านว่าต้องทำจนผงทะลุกระดานจึงจะสำเร็จโดยท่านเรียกผงนี้ว่าผงต้นธาตุ ต้นธรรม กลายเป็นผงที่มีอานุภาพบรรเทากรรมอันจะมาริดรอนชะตาคนได้

    เมื่อได้มวลสารหลักแล้ว พ่ออาจารย์ท่านจึงแสวงหามวลสารต่างๆตามที่เสด็จพระใหญ่ท่านแนะนำว่าต้องใช้และต้องมี ทั้งมหาว่าน ผงยันต์108 แป้งปถมังมหาคุณ ผงกอขอ ผงสิบสองนักษัตร ผงเทพนพเคราะห์ ผงดวงเศรษฐี ผงฟื้นชะตา ผงพลิกชะตา ผงกลับชะตา ผงวิชาหนุมานทุกตัว ผงยันต์วิชาวัวธนู ผงยันต์วิชาควายธนู ไคลหลักเมือง ไคลเสมา ไคลประตูโบสถ์ ปูนเพชรมหาธาตุเจดีย์ ไม้รอดคุก รอดโรงพยาบาล รอดพระบรมธาตุ รอดเมรุ ว่านแตกดอกเจ็ดสิ่ง ว่านรู้นอนเจ็ดสิ่ง ว่านไม่รู้นอนเจ็ดสิ่ง ว่านไม่ตกดินเจ็ดสิ่ง น้ำมันกะลาตาเดียว น้ำมันกะลามหาอุตม์ น้ำผึ้งทั้งสาม น้ำทั้งสี่....เรียกว่ามวลสารพันแปดชนิด ท่านว่าต้องหามวลสารตามที่ท่านสั่งไปเรื่อยๆมาสะสมไว้จนครบไม่เช่นนั้นก็กดพิมพ์ไม่ได้

    พ่ออาจารย์ท่านว่าพระรุ่นนี้สำคัญมาก เพราะเสด็จพระใหญ่ท่านให้ทำพระพิมพ์วันทา ท่านว่าเป็นพระรับไหว้โดยเฉพาะ ซึ่งกิริยาเช่นนี้ก็คือการรับไหว้หรือไหว้ตอบเป็นการรับรองความศรัทธาและความเคารพเวลาผู้อาราธนาตั้งจิตยกมือขึ้นไหว้นั่นเอง ทั้งยังเป็นการอวยชัยให้พรทุกวาระการอธิษฐานจิตของเราอีกด้วย พ่ออาจารย์ท่านกดพิมพ์ในฤกษ์และขอเมตตาเสด็จพระใหญ่อธิษฐานจิตเป็นปฐมตั้งแต่กดพิมพ์ทุกองค์ พ่ออาจารย์ท่านว่าองค์พระนี้มีอานุภาพเป็นมหัศจรรย์ยิ่งนักนอกจากบรรเทากรรมหนักต่างๆแล้ว ยังช่วยให้ผู้บูชามีสมาธิสูงจิตรวมตัวไว ทั้งจะเกิดลาภผลมากมาย ไม่ตกต่ำ ไม่รู้ยากรู้จน มิหนำซ้ำเงินทองโภคทรัพย์สมบัติ จะเจริญวัฒนาเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

    องค์พระรุ่นนี้พ่ออาจารย์ท่านเห็นว่าในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองซ้ำคนยังมาโดนกรรมของตนริดรอน เรียกได้ว่ามีปัจจัยรุมเร้าทั้งภายนอกและภายในพร้อมๆกัน ท่านจึงตั้งใจจะสร้างพระรุ่นนี้ให้พิเศษที่สุดจริงๆ ดั่งคำว่าพระบรรเท่ากรรมนั้นไม่ใช่ของที่จะทำได้ง่ายเลยเพราะนอกจากจะใช้บรรเทากรรมแล้ว เวลาอาราธนาขอพรสิ่งใดจะต้องสำเร็จเสมือนมีมือมืดคอยช่วยเหลือด้วย พ่ออาจารย์ท่านจึงได้นำนางอัปสราทาริกาหรือทาริกาเทวี ตำหรับขอมโบราณพันปีฝังลงไปด้วย ....ของสำคัญสิ่งนี้คือนางฟ้าหรือสาวสวรรค์ผู้เป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของเรา ทำทุกสิ่งตามที่เราบัญชา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่พราย แต่เป็นข้าทาสบริวาร เป็นทาสในเรือนเบี้ยที่เป็นนางพญา นางฟ้า นางสวรรค์ นั่นเองพ่ออาจารย์ท่านว่าการสร้างทาริกาเทวีนั้นจะต้องทำด้วยการเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้น ซ้ำยังต้องเสกกำกับให้มีจิตวิญญาณขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาความจำได้หมายรู้ผูกพันธ์อยู่กับสิ่งอื่นใดนอกจากดวงจิตและความต้องการของผู้เป็นนายเท่านั้น ท่านว่าอาจจะฟังดูเหมือนง่าย แต่เอาจริงๆแล้วทำไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อทำได้แล้วเขาจะถือเอาความคิดและความต้องการทั้งหมดของเราเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ดุจเด็กที่เราจะสอนเราจะใช้อะไรเขาก็ว่าง่ายทำง่าย ไม่มีมารยา ไม่มีจริต จะมีนิสัยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้เป็นนายดูแลเช่นนั้น เรียกว่าเป็นข้ารับใช้ที่มีนิสัยเหมือนผู้เป็นนายก็ไม่ผิด เป็นทาสที่ไม่ยอมทิ้งงาน ทั้งยังคอยดูแลเอาใจใส่ในทุกความปลอดภัย พ่ออาจารย์ท่านว่าทาริกาเทวีตำรับนี้เขาจะให้ความรักและถือว่าเป็นผู้ช่วยที่จะทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ท่านว่าเราพูดได้แค่นี้ จะให้เขาช่วยอะไรก็เรื่องของเธอ ไม่ต้องเลี้ยง ไม่ต้องเซ่น เป็นของทิพย์มีอำนาจดุจกายสิทธิ์เพราะเกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุ ตำรับนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าจะดีหน่อยเพราะคนใช้ไม่ต้องเสียเวลาเลี้ยง ท่านจึงนำมาฝังไว้เฉพาะองค์พระรุ่นพิเศษหนนี้

    ทั้งท่านยังทำตะกรุดบรรเทากรรมทั้งปวงฝังลงไปด้วย ท่านว่าตะกรุดตำรับนี้หากไม่ใช่ทำใส่พระสำคัญที่มีอานุภาพบรรเท่ากรรมได้จริงๆแล้วท่านจะไม่ทำเลย แต่หนนี้เห็นว่าตั้งใจทำแล้วและคนก็เดือดร้อนกันมากโดยแท้จริงท่านจึงมีดำริว่าจะทำให้สุดๆไปเลยเช่นกัน ท่านว่าตะกรุดนี้มีผลเฉพาะกับกรรมเพราะท่านต้องลงเคราะห์วันเคราะห์เดือนเคราห์ปีผูกเข้ากับกรรมทุกสถานเป็นพื้นคลุมไว้ด้วยวิชามหาระงับ ท่านว่าเพราะเกี่ยวกับคนเกี่ยวกับกรรมนี่เองก็แล้วไอ้คนที่เกิดๆหายใจกันอยู่ทุกวันนี้มีอะไรไม่เกี่ยวข้องกับกรรมบ้างท่านว่าให้คิดดูเอาเอง ทั้งกรรมอันจะมาริดรอนระหว่างชะตามนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเป็นเคราะห์ก็ดี เป็นวิบากกรรมเก่าก็ดี กรรมทั้งหลายเหล่านี้จะบรรเทาลง เรียกได้ว่าจากหนักหนาจะกลายเป็นเบาอย่างมาก เอาว่าเขาจะไม่ริดรอนก่อนวาระหรือทำให้เราเจ็บเราตายก่อนอายุขัย แม้ถึงกาลถึงวาระแล้วก็จะบรรเทาจากหนักให้เป็นเบา จากเบาให้ไม่ส่งผลกระทบเลย พ่ออาจารย์ท่านว่าตะกรุดนี้ดีนะฉันบอกได้แค่ว่าถ้ากรรมแรงหนักหนาถึงเจ็บตาย ก็จะคลายบรรเทาให้เป็นป่วยไข้เล็กน้อยธรรมดาชั่วคืนชั่ววันก็หายเช่นนี้ บอกได้เท่านี้แหละอย่างอื่นให้คิดเองท่านว่าเช่นนั้น

    ด้วยเป็นพระที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาอำนาจกรรมซึ่งเสด็จพระใหญ่ท่านบอกว่าพ่ออาจารย์นั้นไม่ควรยุ่งเกี่ยวมากและก็ไม่ให้ท่านทำอีก ท่านว่าองค์พระที่ทำมาแล้วนี้มีเทพเทวดาอารักขาทุกอณูผง มีคุณอนันต์ และให้จำไว้ว่าไม่ใช่ของเล่น ***มีข้อห้ามสำหรับคนใช้อยู่อย่างหนึ่ง ท่านว่าห้ามทำตกให้คนเดินข้าม ให้คนใช้อาราธนาห้อยคอให้ดี ด้วยเป็นพระที่มีอานุภาพมากเรียกว่ามีคุณอนันต์ย่อมต้องมีโทษมหันต์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเช่นกัน ท่านว่าถ้าเกิดคนเดินข้ามนี่ทั้งคนใช้และคนข้ามตกนรกหัวแตกเป็นเจ็ดภาคเจ็ดเสี่ยงนะ ดังนั้นข้อห้ามอย่างเดียวก็คือเก็บดีๆ ไม่ห้อยก็เอาไว้ที่สูง เอาไว้ที่หิ้งพระ เพราะการที่จะทำพระที่ห้อยตกจนมีคนเดินข้ามได้นี่ท่านว่าต้องเป็นคนที่มีนิสัยสะเพร่ามากๆเท่านั้น ถ้าบูชาดีๆไว้ที่สูงๆติดคอตนเองชีวิตก้มีแต่เจริญรุ่งเรืองเป็นคติเดียว

    พ่ออาจารย์ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกพระรุ่นนี้นานมากเป็นพิเศษ ท่านว่าเสกให้ครอบคลุมทั้งหมดแล้ว และเสด็จพระใหญ่ท่านก็บอกเอาไว้ว่"แกเดือดร้อนอะไร แกขออะไรก็จะได้ตามที่ขอ" เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงยึดถือเอาคำครูนี้มาตั้งเป็นมงคลนามว่าพระผงสมพรปาก(แกขอฉันให้) นั่นหมายถึงคำของพระท่านว่าแกขออะไรก็จะได้ในสิ่งนั้นนั่นเอง

    คาถาบูชา(ไม่ต้องสวดก็ได้เพียงระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็พอ พ่ออาจารย์ท่านว่าแค่ระลึกถึงแล้วใช้ได้เลย)
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    * พระผงสมพรปากนี้ ท่านว่าเป็นของเฉพาะกาลเฉพาะวาระ เฉพาะใช้สำหรับคนที่มีกรรมหนัก ถ้าไม่เจอกฏแห่งกรรมริดรอนเล่นงานก็อย่าเอาไป จะได้แบ่งๆกันใช้ให้ทั่วถึงกัน

    ร่วมทำบุญบูชา พระผงสมพรปาก(แกขอฉันให้)องค์ต้นธาตุต้นธรรม (บรรเทาอุปฆาตกรรมและอกาลมรณะ) บูชา 2,500 บาท

    44573215-557049181399296-7869852469780545536-n.jpg 44792212-197818197782161-734072900876763136-n.jpg
    44581836-375947279614157-2000131188454326272-n.jpg
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ศิระ EV 7738 8282 7 TH
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่วิชัย EV 7740 1486 2 TH

    พี่อัครพงษ์ EV 7740 1487 6 TH

    พี่วีรพล EV 7740 1488 0 TH
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    มีสอบถามกันเข้ามา ถึงการได้มาและเสื่อมไปของพุทธคุณในวัตถุมงคล บางคนบอกเห็นผลทุกครั้งจนกลัวที่จะอธิษฐาน แต่บางคนบอกว่าเห็นผลแล้วก็เริ่มนิ่ง

    อันนี้ต้องย้ำอีกทีว่าพุทธคุณเหล่านั้นไม่มีวันเสื่อม แต่ที่นิ่งนั้นมันมีวิธีแก้ง่ายๆอยู่ และมันง่ายเพียงขึ้นอยู่ที่อารมณ์เราเท่านั้น


    ***เรื่องนี้น่ายกมาพูดคุยอย่างมาก เดี๋ยวติดตามกันดีๆช่วงเช้าพรุ่งนี้นะ
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ของเสื่อม (ควรอ่าน)

    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ก็ต่อจากเมื่อวาน วันนี้ก็จะหยิบมาพูดรวมกันเลย เพราะมีบางคนมักจะเป็นแบบนี้บ่อยๆ เช่นเวลาห้อยพระไปทำอะไรผิดทำอะไรไม่ดีมาทีหนึ่งก็จะกังวล จิตตก คิดว่าของจะเสื่อมหรือรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้มันไม่ได้ดั่งใจ ก็จะพาลไปหาพระที่ห้อยคอว่าอำนาจพุทธคุณลดลง ต้องเสกใหม่อะไรทำนองนี้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของความคิดแต่ละคน เรียกว่าจิตปรุงแต่งต่างกันออกไป

    รวมไปถึงกรณีใช้ของไม่ขึ้น ใช้ของขึ้นเป็นพักๆ เรื่องนี้พ่ออจารย์ท่านบอกว่ามันไม่มีอยู่หรอก พวกบุคคลพิเศษที่ใช้ของอะไรก็ไม่ขึ้นเลยคนเช่นนี้ไม่มีปรากฏในโลก แต่ถ้าถามถึงสาเหตุที่ทำให้คนใช้ของไม่ขึ้นอันนี้มันมีอยู่ และก็มีหลายสาเหตุมาก ตั้งแต่เรื่องของบุพกรรม ...แตกย่อยลงมาจนถึงเรื่องของอารมณ์

    ท่านว่าตัวอารมณ์นี่แหละที่เป็นเครื่องขวางเครื่องขัด ให้คนกับวัตถุมงคลต่อกันไม่ติด เข้าหากันไม่ได้ ให้คุณกันไม่สนิท สุดท้ายก็พาลเป็นคิดไปว่าตนเองใช้ของไม่ขึ้น

    ทั้งความโลภที่เกินพอดี ความอยากที่เกินพอดี ความใคร่เกินพอดี ความหลงที่เกินพอดี... ทุกอารมณ์อะไรที่มันเกินพอดี สิ่งเล็กๆที่เราคิดไม่ถึงนี่แหละเป็นจุดบอดที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ มันฟังดูเหมือนจะง่ายนะยกตัวอย่างคนใช้ขุนแผน ซึ่งแน่นอนว่าพื้นฐานคนต้องคิดว่าขุนแผนดีทางเสน่ห์อยู่แล้ว จึงเลือกใช้เพราะคิดว่าตนขาดเสน่ห์ ใช้ไปแรกๆก็เห็นคุณบ้าง พอมีอะไรให้เห็นเป็นมหัศจรรย์ แต่พอใช้ไปนานๆกลับเงียบ

    พ่ออาจารย์ท่านจึงยกตัวอย่างเชิงอุปมาว่า บางครั้งอารมณ์และลักษณะนิสัยก็ส่งผลต่อคุณพระ คุณเทวดาเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นขุนแผนเวลาคนที่ห้อยมีอารมณ์เจ้าชู้มากๆคือทำตัวให้ใฝ่ไปทางกามตัณหา ซึ่งสองสิ่งนี้ทั้งอารมณ์คนและลักษณะพุทธคุณพระอันควรจะสอดคล้องกันเพราะพระก็เป็นเสน่ห์ ดังนั้นคนที่ห้อยพระก็เลยยิ่งลุ่มหลง มัวเมา และมีอารมณ์หนักไปทางกามตัณหามากขึ้นๆ เรียกว่าแทนที่จะส่งผลดีกับส่งผลร้าย ยิ่งใช้ของเสน่ห์ก็ยิ่งเงียบ ยิ่งไม่เห็นผล

    ในขณะเดียวกันด้านอื่นๆก็เป็นเช่นนี้ คือห้อยพระทางขอลาภ ทางโชคลาภ แต่คนใส่กลับมีอารมณ์โลภอยากได้ อยากเป็น อยากมีกับของคนอื่น กับความทุกข์ของผู้อื่นมากเกินไป พอนำไปใช้ก็กลายเป็นใช้ของทางโชคลาภไม่ขึ้น

    พ่ออาจารย์ท่านว่า
    กรณีนี้ไม่ใช่พุทธคุณหรืออิทธิคุณในพระจะเสื่อมถอย แต่มันเป็นเพราะอารมณ์ของเรา ตัวนี้คือจิตของเรามันมากเกินไป อารมณ์ทั้งหลาย ความอยาก ความปรารถนามันเกินกว่าขอบเขตที่กายสังขารจะรับได้ ให้สังเกตุดูว่าเวลาเราใฝ่กามคุณมากไป โลภมากไป หลงมากไป..ทุกสิ่งที่มากไปนั้นเวลานั้นใจเราจะหนัก หัวเราจะหนัก ตัวเราจะหนัก เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ร้อนรุ่มจนทำอะไรก็ไม่ดี ทั้งนี้เมื่อความอยาก ความปรารถนามันมากจนควบคุมธาตุของตัวไม่ได้ ควบคุมเรือนธาตุของตัวไม่อยู่ อำนาจพุทธคุณที่ส่งผลโดยตรงกับธาตุกับกายสังขารมันก็แสดงออกมาไม่ได้

    อุปมาเหมือนร่างกายเราคือหม้อ พุทธคุณที่เราใส่ก็คืออาหาร คือสิ่งที่อยู่ในหม้อ เราจะเปิดจะตักกินอย่างไรของที่อยู่ในหม้อก็ย่อมเป็นของเรา แต่อารมณ์ที่มากเกินไปก็เหมือนความร้อน เหมือนความดันที่อยู่ดีๆมันพุ่งขึ้นมาทำให้อุณหภูมิในหม้อผิดปกติ เมื่อความร้อนสูงขึ้น ความดันสูงขึ้น หม้อที่ปิดอยู่มันจะเหลืออะไรเล่า ตรงนี้ใช้สติตรองกันดูให้ดี ไอ้ความร้อน ความดันที่ไม่ควรมีนี่แหละมันก็คืออารมณ์ของเรา ยิ่งมันสูงมากๆเข้ามันก็จะเดือด สิ่งที่อยู่ข้างในก็มีแต่จะล้น ยิ่งล้นก็ยิ่งทะลัก ยิ่งหมด จนสุดท้ายเรือนกายเราควบคุมความดันหรืออารมณ์ไม่ได้ ก็จะกลายเป็นว่าช่วงเวลาในขณะนั้นเราไม่เหลืออะไรเลยให้จำไว้ให้ขึ้นใจว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อารมณ์ความปรารถนามากจนกายสังขารรับไม่ไหว ในจุดนั้นจะใช้อะไรก็ไม่ขึ้นเพราะลำพังตัวเราเองยังควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ไม่เพียงใช้พุทธคุณไม่ออก กายสังขารเวลาอารมณ์ต่างๆครอบงำนี้ยังเกิดผลลำบากตามไปด้วย ทั้งเป็นทุกข์มากขึ้น หรืออาจจะไปก่อเหตุให้ตัวเองสูญเสียมากขึ้น

    เมื่ออารมณ์แรงขึ้นเกินกว่าธาตุทั้งสี่จะรองรับไหว เมื่อคนเราขับเคลื่อนกายสังขารด้วยอารมณ์มิจฉาทิฏฐิ ประโยชน์ทั้งหลายก็ดี ความพยายามทั้งหลายก็ดี ย่อมจะสูญจะเสียแรงเปล่า ดังนั้นวิธีแก้ง่ายๆของคนใช้ของไม่ขึ้น พ่ออาจารย์ท่านว่าให้ปรับความสมดุลย์ของอารมณ์ตัวเองง่ายๆเช่นนี้แหละ ก็ด้วยเหตุผลนี้ท่านจึงมักย้ำให้เจริญสติ หรือนั่งสมาธิวันละเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยมันก็ยังมีประโยชน์ที่จะทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้นว่าวันๆหนึ่งเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง วันนี้อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร แล้วอะไรคือจุดกึ่งกลางที่มันพอดีกับตัวตนของเรา เรื่องนี้สิ่งที่ตอบตัวเองได้ดีที่สุดก็คือจิตสำนึกของตัวเอง

    พ่ออาจารย์ท่านว่าเสน่ห์และโชคลาภทั้งหลายมันจะอยู่กับอารมณ์ที่นุ่มนวล อ่อนโยน อารมณ์เย็น อารมณ์คนปกติ เช่นนี้จะใช้ของเห็นผลไวมาก ให้สังเกตุดูได้ ตราบใดที่วันไหนเราร้อนด้วยตัณหา ร้อนด้วยราคะ ร้อนด้วยสิ่งที่เกินพอดีทั้งหลาย วันนั้นนอกจากอารมณ์จะเสีย จะโมโหง่ายแล้ว หยิบอะไร ใช้อะไร ห้อยอะไรก็ย่อมไม่เกิดผลทั้งสิ้น


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่อนุวัฒน์ EV 7738 0768 4 TH

    พี่ศิระ EV 7738 0769 8 TH

    พี่ภิญโญ EV 7738 0770 7 TH
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ก็มีถามกันเข้ามาว่าพ่ออาจารย์ท่านทำอะไรแนวกันเสื่อมทั้งแก้อาถรรพ์คนที่อารมณ์ขึ้นลงไม่เสถียรหรือติดกรรมเก่าจนใช้ของไม่ขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือไม่ได้เหล่านี้มีมั๊ย ฟังดูตำถามเหมือนจะเรื่องเล็กๆนะ แต่หินจริงๆ โดยเฉพาะคนประเภทที่ติดกรรมเก่าหรืออารมณ์ขึ้นลงง่ายเกินไป ก็เอาไว้ติดตามพูดคุยกันอีกที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2018
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ที่โอนไว้เดี๋ยวจัดส่งรอบวันจันทร์นะครับ แล้วก็ใครที่ใช้ของไม่ขึ้นอันนี้ติดตามกันให้ดีๆ น่าจะมีเซอร์ไพร้ :)
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ของแก้เงียบ

    เรื่องอาถรรพ์ในชีวิตที่หลายๆคนเจอมา คือไม่ว่าจะบูชาของที่ไหน หลวงพ่อไหน วัดอะไรเอามาห้อยคอตั้งแต่หลักร้อยยันหลักล้านก็มักจะเงียบเสมอ จนหลายๆคนบ่นว่ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหลุมดำ ใช้อะไรก็ไม่เจอ สัมผัสอะไรก็ไม่ได้ กลายเป็นปมปัญหาที่ผูกพันธะขึ้นมายาวนาน หลายๆคนจึงเริ่มแสวงหาของแก้ปม แก้ความคับข้องใจเหล่านี้


    อาจจะเรียกได้ว่าเป็นของแก้ปมที่หลายคนติดต่อสอบถามกันเข้ามามากมายในรอบหลายปีก็ว่าได้ หลายคนเริ่มรู้ค่า หลายคนเริ่มรู้สึกตัวว่ามันไม่ง่ายเลย เพราะต่อให้ห้อยพระองค์ละหลายแสน จนถึงหลายล้านก็ยังเงียบ จนหลายๆครั้งที่บางคนขอให้พ่ออาจารย์ท่านทำสงเคราะห์ ซึ่งแน่นอนว่าของเช่นนี้ท่านให้บูชายากนัก

    ด้วยประสบการณ์ที่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือจากคนใช้ของไม่ขึ้น เป็นใช้อะไรก็ขึ้นหมด จากคนที่ห้อยอะไรทุกสำนักก็เงียบ เป็นเห็นสรรพคุณเลอเลิศตามที่โบราณจารย์ได้กล่าวยกย่องไว้ จึงทำให้เรื่องเล็กๆที่คนมองข้ามเหล่านี้ ทั้งปัญหาที่สะสมมาทั้งชีวิตของหลายๆคนเหมือนเห็นทางออกและได้รับการแก้ไขอย่างง่ายๆ

    แต่วิชาตัวนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเป็นสิ่งที่สำเร็จด้วยแรงครูขั้นสูง ซ้ำยังมีวิธีใช้เฉพาะให้ได้ผลดี เช่นนั้นท่านจึงหวงไว้ไม่ค่อยออกให้ใคร เพราะท่านกล่าวว่ามันเหมือนดาบสองคม คนเราใช้ของเป็นตัวช่วยบางทีก็เพียงช่วยได้ตามบุญตามกรรมเขา แต่ของสิ่งนี้มันเหมือนของยกระดับทำให้หลายๆสิ่งเกินงามและข้ามหน้าข้ามตาเรียกง่ายๆว่าจากคนธรรมดากลายเป็นเสือติดปีก มันไม่ได้มีไว้เพียงแก้อาถรรพ์พวกใช้ของไม่ขึ้นอย่างเดียวแต่มันยังทำอะไรได้อีกเยอะกว่านั้น เช่นนั้นพ่ออาจารย์ท่านจึงตั้งชื่อแบบเข้าใจกันง่ายๆและตรงตัวว่า "แก้เงียบ"

    เพราะชีวิตคนที่มีอาถรรพ์จากบุพกรรมและอารมณ์ ตลอดจนวาสนาที่ไม่สัมพันธ์กับครูบาอาจารย์ และเวรกรรมที่มีอานุภาพดับล้างอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนบูชาอยู่... ทำให้เขาใช้อะไรก็ไม่ขึ้น หลายๆเรื่องแน่นอนว่าคนเหล่านี้ชีวิตจะเงียบ คำว่าเงียบของท่านคือแย่และต่ำลงเรื่อยๆ ท่านว่าเข้าใจกันง่ายๆว่าแก้เงียบคืออะไร ก็ไอ้ที่มันเงียบๆไปมันจะกลับมามี กลับมาใช้ได้ทุกอย่างนั่นเอง


    * เรื่องของแก้อาถรรพ์คนใช้วิชาไม่ขึ้นนี้ ติดตามกันให้ดี

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327-d25vj52.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2018
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดหนุนพลังอินฟินิตี้(แก้เงียบ แก้ปม แก้อาถรรพ์ใช้ของไม่ขึ้น)

    *** ของเล็กๆที่ทำได้ยากยิ่ง และหาผู้ทำเสมอเหมือนมิได้ เพราะเป็นของจากข้างใน ....ในยุควัตถุนิยมที่สภาพบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความเจริญและพัฒนาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ความเชื่อความศรัทธาทางด้านเครื่องรางของขลังนั้นลดน้อยลงทั้งมีความเชื่อหรือทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็มีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังเชื่อและศรัทธาในศาสตร์ลี้ลับอยู่ทั้งยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ยังหาของขลังหรือของดีไว้บูชาเพื่อหวังพึ่งทางด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หลายคนได้บูชามาแล้วก็สำเร็จสมหวังหรือที่เรียกว่าเห็นผล หลายคนบูชาแล้วก็ไม่เกิดผลเป็นเพราะเหตุใด

    พ่ออาจารย์ท่านแยกและจำแนกเกี่ยวกับสาเหตุการบูชาของแล้วไม่พบอิทธิคุณไว้ดังนี้
    - จิตไม่เป็นสื่อนำพา ในเรื่องนี้ท่านว่าเป็นที่จิตใจของผู้ใช้เอง ถ้าเขามีจิตใจที่ด้านเกินไปจนไม่อาจสื่อเข้ากับพลังงาน ครูบาอาจารย์ หรือความศักดิ์สิทธิ์ ความลี้ลับใดๆรวมทั้งอำนาจของเครื่องรางต่างๆ ด้วยพื้นฐานที่ขัดแย้งหรือมีความรู้สึกลึกๆว่าไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้ว่านี้มีอยู่จริง ความรู้สึกต่างๆที่ต่อต้านในตนเองนี่แหละจะส่งผลให้พลังงานปิดตัวและปิดตาย ทั้งคนที่มีจิตใจชอบความท้าทาย อยากพิสูจน์ ชอบลองของแบบลบหลู่อันนี้ก็จะหนักหน่อยเพราะเขาจะใช้สิ่งใดไม่ขึ้นทั้งยังไม่ได้ผลและอาจเกิดโทษต่างๆในเวลาอันใกล้อีกเสียด้วย พ่ออาจารย์ท่านว่าปัจจุบันนี้หลายคนต้องการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องการเฉพาะผลลัพธ์โดยปราศจากฐานเริ่มต้นอุปมาเหมือนอยากใช้ของอยากได้ผลแต่ตัวเองไม่ได้ศรัทธาเช่นนั้น เรียกว่าจิตใจทื่อๆเห็นเครื่องรางเหมือนสิ่งอำนวยความสะดวกที่เสียบไฟปุ้ปจะติดปั้ป เช่นนี้ย่อมไม่เข้ากันดุจดังเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่เสียบไฟ ถือเอาไปก็ใช้งานไม่ได้
    - ไม่มีบุญสัมพันธ์ ข้อนี้จะเรียกว่าขาดวาสนาเชื่อมต่อซึ่งกันและกันก็ได้ ทั้งวาสนาจากอดีตและปัจจุบัน เพราะไม่เคยระลึกตรึกถึงครูบาอาจารย์ ไม่เคยนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่เคยทำบุญถวายครูบาอาจารย์และเทพเทวดาที่รักษาของเหล่านั้นเลย เรียกว่าไม่เคยสร้างวาระกรรมให้สัมพันธ์กันทั้งจากอดีตถึงปัจจุบันนั่นเอง
    - เคยปรามาสพระรัตนตรัย ข้อนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ส่งผลให้เทวดาไม่รักษา ใช้ของไม่ขึ้น ซึ่งสาเหตุนี้ไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะพระรัตนตรัยเท่านั้น พ่ออาจารย์ท่านว่ายังหมายรวมไปถึงสิ่งที่มีคุณท่วมหัวเช่นบิดามารดาบังเกิดเกล้า ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผู้มีพระคุณต่อเราทั้งหลายด้วย เคยหลบหลู่เขาไว้อย่างไร ผลของการที่ถูกละเลยเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจก้มีเหตุมาจากเรื่องเช่นนี้
    - จิตมีมิจฉาทิฐิมาก คือมีความเห็นผิด มีทิฐิมานะความถือตัวตนของตนเองมาก เรียกว่าพวกหลงตัวเองก็ได้ ประเภทกูมี กูเก่ง กูสำคัญ กูดีที่สุด ตัวกูของกูคือศูนย์กลางของโลก พ่ออาจารย์ท่านว่าถ้าจิตมีมิจฉาทิฏฐิมาก หลงมาก โลภมาก มีอารมณ์อันไม่ควรจะมีอยู่มากมันก็จะไประงับอำนาจของวัตถุมงคลที่สร้างจากสัมมาทิฏฐิได้เช่นกัน ประดุจว่าคลื่นของคนให้และคนรับไม่ตรงกันจึงเข้ากันไม่ได้เช่นนั้น
    - มีกรรมเป็นเครื่องขัดขวาง สาเหตุนี้นับว่าสำคัญที่สุดและหลายคนลืมนึกถึงไปในเรื่องอำนาจของกรรม ถ้ามีแรงกรรมหนักมากั้นขวางให้ใช้ของไม่ได้ผลเพราะอานุภาพของวัตถุมงคลนั้นจะเป็นเหตุนำออกจากอำนาจกรรมเดิมที่กำหนดไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไปกับผู้ที่บูชาเครื่องรางของขลังเพราะโดยทั่วไปเมื่อมีปัญหาเรื่องใด มักจะหาเครื่องรางของขลังที่แก้ทางด้านนั้นมาช่วยให้ดีขึ้น แต่บางทีก็ลืมไปหรือไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีกรรมและกำลังรับผลกรรมอยู่ เมื่อไปบูชาสิ่งใดมาแรงกรรมนั้นย่อมจะขัดขวางอยู่เช่นนี้ทำให้บูชาสิ่งใดก็ไม่ได้ผลเต็มที่หรือไม่เห็นผลเลยก็มี


    ด้วยหลากหลายเรื่องราวที่เป็นสิ่งปิดกั้นอำนาจพุทธคุณและครูบาอาจารย์ ทำให้ผู้ใช้ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องรับสัญญาณสื่อไม่ถึงกับสถานีส่งอย่างต่อกันไม่ติด พ่ออาจารย์ท่านจึงมีความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าจะทำเครื่องมงคลให้ติดอยู่ในกฏไตรลักษณ์แล้ว เราจะทำขึ้นมาเพื่ออะไร แล้วของทั้งหลายนั้นจะไปช่วยฉุดดึงใครได้ นบางคนถ้าดวงเขาเปิดเขาถือของดีไว้ดวงเขาจะวิ่งพุ่งแรงแซงทะลุวาสนาเดิมของตัวเขาด้วยซ้ำ แต่ของชิ้นเดียวกันอยู่ในมืออีกคนหนึ่งกลับไม่ส่งผลอะไร ท่านพิจารณาเช่นนี้แล้วจึงน้อมจิตถามครูพระสยมว่าจะมีสิ่งใดเป็นเครื่องนำออกจากสถานการณ์ปิดกั้นเหล่านี้ทั้งหมดทั้งมวลบ้างหรือไม่....นี่คือเหตุการณ์เริ่มต้นอันเป็นที่มีของตะกรุดแก้เงียบ

    ด้วยท่านประสงค์จะให้คนมีความหวัง เดินไปได้ตามความหวังและความฝันของตนเอง ไม่ใช่ซ้ายก็ผิด ขวาก็ไม่ดีแม้จะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องระวังทั้งหน้าทั้งหลังมีข้อจำกัดที่ตนเองไม่อาจจะล่วงรู้ได้มาก่อนชนิดที่เรียกว่าตั้งแต่เกิดจนต่อให้ตายไปแล้วก็ยังไม่อาจทราบเลยว่าทำไมตัวเองถึงใช้ของไม่ขึ้น ไม่ได้ดีเหมือนคนอื่นๆที่ใช้ของเหมือนกัน

    ซึ่งครูพระสยมท่านเปี่ยมด้วยมหากรุณาเป็นที่สุดต่อมนุษย์ผู้มีทุกขเวทนาอันแรงกล้า พ่ออาจารย์ท่านว่าครูท่านให้เราทำตะกรุดแก้เงียบดอกนี้โดยใส่ยันต์และวิชาเฉพาะซึ่งเป็นของบังบดหลายชนิดเพื่อให้ผลครอบคลุมทั้งหมด โดยเริ่มต้นท่านให้นำแผ่นตะกั่วที่จะใช้ลงวิชานั้น ไปหนุนรองฐานศิวลึงค์ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านปั้นขึ้นเพื่อบูชาครูพระสยมเป็นปฐม พ่ออาจารย์ท่านว่าต้องมีอาถรรพ์ตั้งแต่ยังเป็นแผ่นตะกั่วกันเลยทีเดียว ครูท่านให้เราเอาตะกั่วเหล่านั้นไปรองฐานนานนับปีเพื่อให้ตะกั่วซึมซับไศวะมนตรามากมาย และถือเคล็ดที่เข้าใจได้ง่ายๆว่าแผ่นตะกั่วนั้นหนุนพ่อ(ครูพระสยม)ให้สูงขึ้นได้ฉันใด เมื่อนำมาทำตะกรุดแล้วไซร้ก็ย่อมหนุนชีวิตลูกให้สูงขึ้นได้ฉันนั้น เป็นการสร้างพันธะความสัมพันธ์กันระหว่างพ่อและลูก ซึ่งแผ่นตะกั่วชุดนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าลำพังยังไม่ต้องทำอะไรเลยตัวมันเองก็จะมีอิทธิคุณแฝดอยู่แล้ว ตรงนี้จะดีไปในทางหนุนชีวิตเรา หนุนดวงชะตาของเรา หนุนหมดทั้งฐานะการเงิน ฐานะการงาน หนุนทรัพย์สมบัติ หนุนกิจการให้เจริญงอกงาม

    มื่อความโลภบังตา ความอยาก ความต้องการ ความปรารถนาทุกสิ่งที่มากเกินพอดี เกินขอบเขต เกินขีดจำกัดย่อมเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งความทรุดโทรมและความเสื่อมในใจมนุษย์ ครูพระสยมท่านจึงให้พ่ออาจารย์สร้างตะกรุดแก้เงียบ หรือที่ท่านเรียกว่าหนุนพลังอินฟินิตี้นี้ขึ้นมา เพื่อต้องการหมุนวนและขับถ่ายพลังงานอันไม่จำเป็นออกไปจากจิตใจและร่างกายของคนใช้เพื่อให้มีจิตเบิกบาน ทั้งยังแจ่มใสในส่วนเดียว พ่ออาจารย์ท่านจึงได้ลงทางแก้กันไว้ครบทุกสิ่งทั้งกันเจ็บไข้ได้ป่วย แก้โรคร้ายต่างๆ แก้โรคเวรโรคกรรมทั้งกันสรรพภัยในทศทิศและท่านยังลงเวทย์ใหญ่ของครูพระสยมให้อธิษฐานใช้ได้ร้อยแปดพันประการ ท่านว่าเมื่อไม่มีโรคจิตใจย่อมแจ่มใส เมื่อไม่ประสบพบเรื่องเลวร้ายอันจะนำออกจากอำนาจคุณพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ ชีวิตย่อมได้ชื่อว่าเป็นปรกติสุข

    ท่านว่าทำยากเพราะต้องแบ่งแผ่นตะกั่วเป็นหัวท้ายลงจารวิชาให้หนุนและผลักดัน ให้หมุนวนถ่ายเทพลังงานทั้งขับเข้าและถ่ายออกแบบไม่จบสิ้น พอนำมาม้วนบรรจบกันเป็นเลขแปดก็เป็นสัญลักษณ์ของพลังอินฟินิตี้ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ครูพระสยมท่านเน้นให้ทำเช่นนี้เพื่อให้ได้ตะกรุดอันมีอานุภาพไม่มีประมาณและสามารถใช้ได้ครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งแก้เงียบ แก้ปม แก้อาถรรพ์ร้ายในชีวิต

    แก้เงียบ แก้ปม แก้อาถรรพ์ สามแก้นี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเป็นสิ่งที่แก้ได้ยากเย็นที่สุดในชีวิตของคน ไม่มีอะไรจะแก้และถอดถอนได้ยากไปมากกว่านี้ เพราะมันเชื่อมโยงกับเวรกรรมและอุปนิสัยตลอดจนเกี่ยวเนื่องกับทุกสิ่งที่เป็นตัวของเราชนิดที่ว่าแยกแยะไม่ออก ดังนั้นเมื่อท่านเชิญครูและอธิษฐานจิตจนสำเร็จแล้วท่านจึงนำตะกรุดฝังดินเอาไว้ด้วยตั้งใจจะฝากไว้กับแม่พระธรณี นานๆหนถึงจะนำมาใช้ทีเวลามีผู้เดือดร้อนซึ่งแก้ไม่ตกจริงๆ ชนิดที่ว่าเป็นปัญหาโลกแตกแก้ไขไม่ได้เช่นนั้น และต้องเป็นเรื่องเป็นปมที่ท่านเห็นว่าผูกพันธ์กับกรรมยุ่งเหยิงเท่านั้นท่านจึงจะให้คนมีเคราะห์เช่นนี้บูชา

    พ่ออาจารย์ท่านไม่ให้พูดถึงตะกรุดตัวนี้มาก ท่านว่าเพราะการทำงานของมันนั้นสัมพันธ์กับร่างกายคนใช้และผูกเป็นฐานรากให้กับชีวิตของคน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสจับต้องอาราธนาแรงครูท่านจะหนุนทั้งหมด พลังงานจะเข้าไปปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ถ่ายเทสิ่งที่ติดขัดอันอยู่ข้างใน สิ่งที่ตาเราไม่เห็น ปัญหาที่เราไม่มีวันรู้หรือสัมผัสได้ตลอดชีวิต พ่ออาจารย์ท่านว่าวิชานี้แต่เดิมมันไม่มีถ่ายทอดให้แก่กัน นี่ถ้าครูพระสยมท่านไม่สอนฉันก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นวิชาของพวกบังบดที่ผุดขึ้นและให้รู้ได้ทางจิตเฉพาะคน มันหมุนเวียนผันเปลี่ยนพลังงานการแสดงออกได้ร้อยแปดพันประการ ฉันจึงไม่รู้ว่าจะพูด จะบอก จะบรรยายให้เข้าใจกันได้อย่างไร

    ท่านว่าเอาเป็นว่าเชื่อเราไอ้ชีวิตที่เงียบ ที่มันต่ำจนไม่รู้ว่าจะต่ำไปมากกว่านี้ได้อย่างไรอีก ทั้งชีวิตที่มีปมยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะจับเจอหรือควานหาปลายเชือกของบ่วงกรรมเส้นไหนมาแก้ไขก่อน ทั้งอาถรรพ์ลึกซึ้งที่พันผูกจิตวิญญาณเป็นเอนกอนันต์ในชาติสงสารทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยพลังงานของแรงครูพระสยมและอาถรรพ์วิชานั้น จะได้ขับเคลื่อนถ่ายเทพลังงานต่างๆ เอาว่าเราพูดอะไรมากไม่ได้แต่พอจะบอกได้คร่าวๆว่าถ่ายเทให้วางอยู่ในจุดที่ถูกที่ถูกทางเช่นนั้นก็แล้วกัน

    ใครที่รู้ตัวว่ากระแสพลังงานผันผวน เวรกรรมไม่สัมพันธ์กับบุญที่ทำไว้ ซ้ำชีวิตยังมีความปรารถนาใหญ่โตจนมองไม่เห็นปลายทางความสำเร็จ พ่ออาจารย์ท่านว่าให้เอาตะกรุดนี้ไปใช้และไหว้คุณครูพระสยมเสีย ขอให้มีศรัทธามั่นคงอย่างแท้จริงแล้วปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นในฉับพลันทันที พ่ออาจารย์ท่านว่าเราพูดมากกว่านี้ไม่ได้เอาว่าแค่เขาฟังภาษาคนรู้เรื่องก็คงเข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไรและเหมาะสมกับเขาหรือไม่

    ให้หมั่นไหว้ หมั่นบูชา หมั่นภาวนา หมั่นขอ ไปเรื่อยๆ ท่านว่ามีแค่นี้แหละ สะดวกและง่ายดายถึงปานนั้นขอไปเรื่อยๆขอจนกว่าจะได้ จนกว่าจะสำเร็จ ท่านว่าเธอเชื่อฉันมั๊ยจากคนที่ดวงซวยๆใช้ของไม่ขึ้นแล้วเขาเคยใช้ตะกรุดรุ่นนี้ เขานั่งบ่นนั่งพล่ามนั่งภาวนาขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอจนเขาถูกรางวัลที่หนึ่งสองใบ เช่นนี้ก็มีปรากฏมาแล้ว ฉันจึงไม่อยากจะพูดว่าดีอย่างไรแต่ให้จำไว้ว่าจงขอและอย่าหยุดขอจนกว่าจะได้ ส่วนข้อห้ามใหญ่เลยของผู้บูชาก็คือควรเลี่ยมกันน้ำไว้และนำติดร่างกายไว้ตลอดอย่าให้ห่าง พ่ออาจารย์ท่านว่าตะกรุดนี้เปรียบเสมือนความโชคดี เหมือนแรงครูที่จะหนุนนำชะตามนุษย์ ควรจะเอาติดตัวไว้ให้ได้ตลอดเพราะเมื่อใดที่ออกห่างแล้วชีวิตก็จะหมุนวนกลับไปตามอำนาจกรรมเช่นเดิมอีกแบบนั้น

    วิชานี้เป็นวิชาของข้างใน พ่ออาจารย์ท่านย้ำอยู่หลายครั้งว่านี่ไม่ใช่ของนอก หากแต่เป็นของข้างใน ทั้งไม่มีให้สืบทอดและก็มอบให้กับสงฆ์ทำไม่ได้ ด้วยเป็นพลังงานอันหมุนวนเปลี่ยนแปลงได้ตลอด หาได้ตายตัวเพราะเขาจะพลิกแพลงตลบแตลงไปมาอยู่เสมอ ดุจว่าพลังงานที่แสดงออกในแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน ดุจว่าเขาเป็นตะกรุดที่มีภูติพระเจ้า เป็นตะกรุดที่มีชีวิต เมื่ออยู่กับตัวเราเขาจะรู้เองว่าอะไรที่เป็นจุดพอดี เป็นพลังงานที่เหมาะสมกับตัวกับร่างกายของเรา พ่ออาจารย์ท่านว่าพวกที่มีตาในทั้งหลาย ตลอดจนคนที่รู้ค่าของคำว่าวิชาจากข้างใน เขาจะรู้และวิ่งหากันให้แทบพลิกแผ่นดิน เพราะวิชาเช่นนี้ยากนักที่จะมีปรากฏในโลก และยากนักที่จะมีคนทำให้แก่ผู้อื่น

    คาถาบูชา
    โยโทโส โมหะจิตเตนะ อาจาริยัสมิง ปะกะโตมะยา ขะมะขะเมกะตัง โทสัง สัพพะปาปัง วินาสสันติ อะตีตังโทสัง ปัจจุบันทังโทสัง อนาคตังโทสังกายกิริยากัมมัง วะจีกัมมัง ผัสสะวัตถุ วัตถาโทสัง อนุเสสะโทสัง ภันเต ขะมามิ (และว่าทุติยัมปิ...ตะติยัมปิ...ต่อด้วยคาถาข้างต้น)
    ข้าแต่พระรัตนตรัยและพ่อแม่ครูอาจารย์ หากมีสิ่งใดที่ตัวข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้ง เคยล่วงเกินครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แลท่านผู้สูงส่งทั้งหลาย จะโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ที่ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ในอดีตชาติก็ดี ในปัจจุบันชาติก็ดี กรรมใดที่ส่งผลให้ใช้วัตถุมงคลแทนครูต่างๆได้ไม่ดีไม่เกิดผล ขอท่านทั้งหลายผู้ทรงพรหมวิหารมีจิตใจเอื้อเฟื้ออย่าได้ถือโทษและจงอดโทษแก่ข้าพเจ้า ขอให้แรงครูนั้นผลักดันและหนุนส่งผลให้กับตัวข้าพเจ้านับแต่กาลบัดนี้เป็นต้นไป


    *** ตะกรุดตัวนี้พ่ออาจารย์ท่านว่าเป็นของเฉพาะวาสนาและบารมีของแต่ละคน รับจองเฉพาะทาง PM เท่านั้น มีเปลือให้บูชาทั้งหมด 5 ดอก รายได้ร่วมสมทบทุนมหากุศลสร้างพระใหญ่ประดิษฐานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

    ร่วมทำบุญบูชา ตะกรุดหนุนพลังอินฟินิตี้(แก้เงียบ แก้ปม แก้อาถรรพ์ใช้ของไม่ขึ้น) บูชา 4,000 บาท

    44873762-312787802870971-5349590060196954112-n.jpg
    44901101-511641939352693-5884929829240832000-n.jpg
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,482
    ค่าพลัง:
    +17,874
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    ตะกรุดแก้เงียบก็มีคนตาดีสอบถามมาตั้งแต่เมื่อคืนว่าทำไมตะกรุดรุ่นนี้พลังงานถึงประหลาด เพราะพี่เค้านั่งดูเค้าว่ามันแปลกและเขาก็ไม่เข้าใจเพราะคุณสมบัติในตะกรุดแก้เงียบที่จะเกิดกับคนใช้นั้น เขาว่าถึงตายไปแล้วชาตินี้พลังเหล่านี้ก็จะตามสถิตย์อยู่ในตัวเราไม่ได้เสื่อมไป ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ซึ่งเรื่องนี้พ่ออาจารย์ท่านก็ได้แต่ยิ้มๆไม่ตอบ แต่เอาว่าแค่ยิ้มก็ยอมรับกลายๆแล้วเพราะท่านไม่ปฏิเสธ เลยถือว่าใครได้นี่ก็โชคดีจริงๆ ;)
     

แชร์หน้านี้

Loading...