คุยกันฉันท์เพื่อน - ( ๔๑) ^_^

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ชนินทร, 17 กันยายน 2009.

  1. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม บารมีของพระอริยะยังมีอยู่ครับ แต่มีไว้เพื่อก้าวไปในยุคกึ่งพุทธกาลหลังครับผม ภัยไม่เลื่อนแล้วนะครับ.
     
  2. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม คำตอบตอบได้ใจจริงๆครับผม.ทุกองค์-ทุกท่านเหนื่อยมากๆครับ.
    และเป็นกาลเวลาของความสามารถ ที่ทุกคนต้องมีความสามารถช่วยเหลือตนเองได้ครับผม.
    ในหลวง ร.9 พระองค์ท่านไม่อยู่แล้ว เทวดาไม่เกรงใจแล้วครับ.ขอบอก.
     
  3. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    หากสังเกต ฟ้ามืดลงมากแล้วนะครับ.ใบไม้พลิกคว่ำพลิกหงายเกือบครบ 100% แล้วครับผม.
     
  4. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ใบไม้พลิกคว่ำพลิกหงาย.... หมายความว่าอย่างไรคะ
     
  5. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับ..ใบไม้พลิกคว่ำพลิกหงาย คือ สัญญาณจากต้นไม้ ว่ามหันตภัยทางธรรมชาติครั้งใหญ่ เริ่มเกิดขึ้นเต็ม 100% ครับ คือใบไม้ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของใบไม้นั่นแหละครับ.ไม่ปกติในอากาศธาตุทั้ง 4 ครับ.
     
  6. ฺBaan Tham

    ฺBaan Tham Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +39
    ภาคใต้ ภาคกลางเรียบใช่ไหมค่ะ ภาคเหนือโดนบางส่วนเหลือบางส่วน อีสานโดนบางส่วนเหลือส่วนน้อย ตอนนี้ก็ใกล้จะสิ้นปี 2561 แล้วนะค่ะ
     
  7. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม เรียบร้อยเลยครับ ภาคเหนือ-ภาคอิสาน เหลือตอนบนของภาคครึ่งเดียวครับ.
    ครับ..2561-2562 เสร็จสิ้น ครบถ้วนสมบูรณ์และบริบูรณ์.เป็นไปตามและตรงตามที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้วครับ.
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    คือ ผิดธรรมชาติ... ขอบคุณค่ะ
     
  9. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม ใช่แล้วครับ..
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ใจเย็น ๆ ค่ะคุณดอกบัวขาว...

    สติ.... จะทำให้เราสามารถก้าวข้ามผ่านปัญหาไปได้ค่ะ...

    นับแต่นี้... ตั้งใจสวดมนต์ ภาวนาพระคาถาที่ชอบ... นึกขอบารมีพระ พรหมเทพเทวดา คุณงามความดีที่เราเคยทำ... คลุมบ้าน คลุมตัวเอง คลุมทุกคนที่เรารักไว้ค่ะ...

    ถ้าคนในครอบครัว... เชื่อในคุณพระรัตนตรัย... ให้พวกเขาทำด้วยค่ะ...

    ถ้าพวกเขาไม่ใช่... อย่าไปเสียเวลาโกรธหรือหงุดหงิด ที่พวกเขาไม่เชื่อ ไม่ทำตาม...

    คุณบัวขาวทำเองเลยค่ะ... ทำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้... เพื่อตัวเรา... เพื่อคนที่เรารัก...

    นึกได้เมื่อไหร่... ทำเมื่อนั้นค่ะ...

    สิ่งที่เราทำ... มีค่ามากกว่าหนังละคร สิ่งบันเทิงเริงใจต่าง ๆ ที่เราเคยชอบใจค่ะ....

    ถึงแม้จะนั่งดูหนัง ดูละครอยู่ข้าง ๆ กัน... ทำอาหารไป อาบน้ำไป... ก็สวดมนต์ภาวนาไปด้วยค่ะ...

    ลองทำดูนะคะ ^__^
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ขออนุญาตนิดนะคะ...

    เป็นไปตามที่กรรมของแต่ละดวงจิตจะกำหนดให้เป็นไป.... ดีไหมคะ...

    ^__^
     
  12. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับ จริงครับ ทำตามที่คุณ.ชนินทร แนะนำครับผม.
     
  13. ดาราแฟร์

    ดาราแฟร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2013
    โพสต์:
    1,660
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ครับผม..กรรมส่งผล แม่นยำ เที่ยงตรง ไม่ผิดตัวครับ.
    - จิตแต่ละดวง ยึดติดอะไร ก็ย่อมตกร่วงลงสู่ภพภูมิที่ยึดติดนั้นครับผม.
     
  14. ฺBaan Tham

    ฺBaan Tham Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +39
    ดิฉันรักษาศีล 5 และสวดมนต์ นั่งสมาธิ วันละครึ่งชั่วโมง บุญทานทำตลอด
    ทั้งวัด คนพิการ สัตว์ ถ้าวันหนึ่งต้องเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ดิฉันก็ตั้งจิต พุทโธ นิพพาน
    แต่ว่า ยังรัก และห่วงครอบครัว ญาติสนิท เพื่อนสนิท หรือคนทั่วไป เราเตือนเขา แต่
    เราบารมีคงน้อย เขาไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไร คนที่ไม่เชื่อเยอะมากกว่าคนจะเชื่อ
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    คือ เห็นว่า.... ตื่นตระหนกไป... ก็ไม่ช่วยอะไรค่ะ...

    เอาโอกาสที่เรามี... มาทำสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับตัวเอง ให้กับคนที่เรารักดีกว่าค่ะ
     
  16. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    กราบโมทนาด้วยค่ะคุณดอกบัวขาว...

    คง.... เหมือน ๆ กับอีกหลาย ๆ ครอบครัวค่ะ...

    อุเบกขา.... เป็นตัวที่วางยากที่สุดสำหรับคนที่มี เมตตา กรุณา มุทิตา.... เต็มล้นปรี่หัวใจค่ะ :)

    แต่... เราต้องหมั่นพิจารณาด้วยค่ะ.... แต่ละดวงจิต.... เกิดมาดวงเดียว (ต่อให้เป็นแฝดใบเดียวกันก็ตาม).... อยู่คนเดียว... รับกรรมของตัวเอง.... เจ็บ.... ป่วย.... ทุกข์.... ทรมาน... ตาย... คนเดียว...

    ทุกคนล้วนมีคนที่รักทั้งสิ้นค่ะ.... ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะวางอุเบกขา...

    แต่นั่นคือสัจธรรมของชีวิต... และวัฏสงสารค่ะ
     
  17. 9อมตะ9

    9อมตะ9 อมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +1,288
    ธรรมมะ จัดสรร เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
     
  18. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ⚜️สัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ⚜️๑/๔
    ความแตกต่างสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ
    เป็นไงบ้าง ทำสมาธิเป็นไงบ้างล่ะ ได้อารมณ์ไหม …
    เธอต้องตอบว่า ได้ทุกอารมณ์ เพราะเก่งมาก ได้หลากหลายอารมณ์
    ใจจริง ฉันก็อยากแนะนำเรื่องการปฏิบัติสมาธิให้มันละเอียด เท่าที่เธอจะเอาไปได้ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ
    แต่ว่าทุกอย่าง ถ้าเราไม่เริ่มต้นจากการมีใจให้ทานเป็น รักษาศีลได้ สมาธิก็คงไม่มีวันเอาไปได้ ไอเรื่องเรียนรู้น่ะ เรียนไม่ยากหรอกนะ แต่เวลาเราจะไปปฏิบัติ สภาพใจของเรามันไม่พร้อมที่จะทรงไว้ซึ่งฌานสมาบัติ ไอนี้มันจะยาก
    สมาธิตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ภาษาบาลีเขาว่าไว้ว่า…
    “มิจฉาสมาธิ กับ สัมมาสมาธิ” มันมีสมาธิอยู่ ๒ แบบ
    แบบ”มิจฉาสมาธิ”
    มันเป็นสมาธิที่ไม่สามารถปฏิบัติแล้ว มันจะเกิดญาณเป็นเครื่องรู้ โดยเฉพาะปัญญา มันเกิดไม่ได้ มันเกิดได้แต่สัญญา
    เหมือนเวลาเธอภาวนา ปฏิบัติ พอเป็นสมาธิ จิตของเธอหวนคิดเรื่องวิปัสสนาญาณ แล้วก็ใคร่ครวญพิจารณาจิตใจของเธอ รู้สึกมันสงบเป็นสุข อย่างนี้เขาเรียกว่า “สัญญา”
    มันเกิดแต่สัญญา มันได้แต่ทบทวนในสิ่งที่เธอได้ยิน ได้ฟังมา
    แต่คำว่า “ญาณอันเป็นเครื่องรู้” มันไม่ได้เกิดแบบนั้น มันคนละอย่าง มันเกิดในสิ่งที่เธอไม่เคยคิดมาก่อน มันเป็นความเข้าใจ ที่มันผุดขึ้นมาในใจของเธอ โดยที่เธอไม่ทันจะคิดหรือไม่ทันจะตั้งตัว อันนั้นมันเกิดเฉพาะสัมมาสมาธิเท่านั้น มันถึงจะเกิด
    คำว่า “มิจฉาสมาธิ” คือว่า เราขึ้นต้น เราไม่ได้มีจิตใจชำระสะสางจิต ให้เรามันห่างจากความโลภ ความโกรธแล้วก็ความหลง หมายถึงว่าวัตรปฏิบัติของเธอไม่ได้เป็นผู้ให้เป็นปกติ ไม่ได้ทรงจาคะ คือ การให้
    ไม่ทรงได้ทรงในสีลานุสสติ คือ ทรงในศีลเป็นปกติ จนศีลมันครองใจเธออยู่ รักษาใจเธอไม่ให้มีจิตใจหวั่นไหว เวลามีทุกข์ เธอก็ไม่ไปโทษหรือไปตำหนิกับใครเขา มีแต่ว่าเรายอมรับ มันเป็นความผิดของเรา กรรมที่เราเคยทำมา มันตามมาทัน เราก็ยอมรับ
    ส่วนคนที่เขาทำร้ายเรา เราก็ให้อภัยเขา สงสาร เพราะเขาก็ต้องรับกรรมที่เขาทำกับเรา เพราะเราจะไม่ได้ประทุษร้ายเขาตอบ มันก็สงสารเขาแทน แทนที่จะคิดว่าเขาเป็นคนทำร้ายเรา หรือทำให้เราต้องโกรธ ทำให้เรารู้สึกไม่สบายเป็นเพราะเขา เราก็จะไม่โทษ เป็นเพราะใคร
    ถ้าศีลมันครองใจเธอได้นะ มันจะมีญาณเป็นเครื่องรู้ อย่างนี้ขึ้นมา หมายความว่า รู้แน่ชัดว่านี่เป็นบุพกรรม ไม่สงสัย แล้วก็รู้แน่ชัดว่า สิ่งที่เขาทำมันน่าสงสาร ไม่ใช่น่าโกรธ แล้วมันก็ไม่สงสัย
    สิ่งที่ตามมาคือ คำพูดในใจว่า ให้อภัย มันจะเป็นเรื่องของอารมณ์ของคนที่เขาถึงศีล มันจะทรงตัวอย่างนี้เป็นปกติ ไม่เสื่อม
    เธอต้องมีสิ่งนี้เป็นพื้นเป็นฐาน เวลาเจริญสมาธิ มันถึงจะเกิดญาณเป็นเครื่องรู้ เขาเรียกว่า “ปัญญาญาณ”
    หรือถ้าเธอฝึกในด้านทิพจักขุญาณ ก็เกิดในญาณเป็นเครื่องรู้ทั้ง ๘ ประการ อันมีทิพจักขุญาณ มีจุตูปปาตญาณ มีเจโตปริยญาณ มีเรื่องของญาณที่เกี่ยวกับอนาคต - อนาคตังสญาณ
    อดีต - อดีตังสญาณ ปัจจุบันญาณ หรือแม้กระทั่งบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติ แล้วก็ญาณที่รู้ถึงกฏของกรรม - ยถากัมมุตาญาณ สิ่งเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้นมาในใจของเธอ ถ้าเราปฏิบัติแบบสัมมาทิฏฐินะ สัมมาสมาธิ จะเป็นอย่างนี้
    แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันไม่ใช่ญาณแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ ..เกิดไม่ได้ มันเกิดแต่สัญญาที่เธอจำมา รู้มา เข้าใจฟังมาแล้วมันก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ …อย่างนี้ไม่ใช่
    มันต่างกัน ต่างกันตรงที่ขึ้นต้นมันไม่เหมือนกัน
    การปฏิบัติถ้าเธอจะเอาผล เธอก็ต้องปฏิบัติอย่างคนที่ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ค่อยๆทำไป เธอไม่ต้องไปเร่งรัดอะไรหรอก …สมาธิ
    เพราะสมาธิมันเกิดโดยปกติอยู่แล้วเมื่อเธอทรงจาคะ ทรงสีลานุสสติ มันมีสมาธิอยู่แล้ว ถ้ามันเต็มอัตราของกรรมฐาน ๒ กองนี้ ก็คือ ปฐมฌาน อย่างน้อย การเข้าถึงญาณอันเป็นเครื่องรู้ที่กล่าวมา มันก็เกิดเฉพาะอารมณ์ปฐมฌานเท่านั้น สูงกว่านี้มันก็ไม่เกิด ต่ำกว่านี้มันก็ไม่เกิด
    ในขณะที่เธอปฏิบัติ การให้คนเป็นปกติ ให้สัตว์เป็นปกติ ไม่มีความรู้สึกว่า อยากได้อะไรจากเขา อยากให้ความสุขเขาอย่างเดียวอย่างหนึ่ง กับการปฏิบัติในการรักษาศีลของเธอเป็นปกติ คือยอมรับได้ว่า สิ่งที่มันเป็นโทษ มันเป็นเพราะการผิดพลาดที่เราเคยละเมิดมาก่อน ใจเธอก็เป็นปกติ
    ถ้ามันเป็นปกติได้อย่างนี้ สมาธิของเธอก็ทรงอยู่ในขั้นปฐมฌานปกติ
    ญาณมันก็ใช้ได้ ทิพจักขุญาณมันก็ใช้ได้ หรือแม้กระทั่งปัญญาญาณเพื่อเข้าถึงมรรคผลมันก็ปรากฏได้ เป็นหลักเห็นไหมล่ะ
    แต่ถ้าเธอเอาแต่นั่งสมาธิอย่างเดียว ต่อให้เธอนั่งเก่งแค่ไหน ทรงฌานได้ ถึงฌาน ๔ได้หรือเข้าถึงสมาบัติ ๘ได้ หรือได้อภิญญาสมาบัติ มันก็เป็นฌานโลกีย์ ญาณที่กล่าวมาก็ไม่มีวันปรากฏ
    แม้กระทั่งทิพจักขุญาณก็ปรากฏไม่ได้ อย่าลืมนะว่า มโนมยิทธินี่ยิ่งกว่าคนได้กำลังสมาธิฌาน๔
    คนได้กำลังสมาธิฌาน ๔ ไม่ได้ว่าคนนั้นจะได้ทิพจักขุญาณนะ แม้จะสมาบัติ ๘ ได้ ก็ไม่ใช่หมายความว่า คนนั้นทำสมาธิได้แบบนี้จะได้ทิพจักขุญาณ …ไม่ได้หรอกนะ ทิพจักขุญาณยากกว่า โดยเฉพาะฝึกแบบมโนมยิทธินี่
    มันเป็นเรื่องละเอียดในเรื่องของการปฏิบัติภายในใจเรา มันต้องมีทั้งศีล มีทั้งทาน มีทั้งพรหมวิหาร ๔ มันต้องทรงตัวอยู่อย่างนี้เป็นเรื่องปกติ มันถึงจะเกิดญาณเป็นเครื่องรู้ในใจของเรา เรียกว่า “ทิพจักขุ” เห็นไหม มันต่างกันนะ
    ถ้าเธอจะนั่งทำสมาธิตามแนวไหนก็ตามแต่เถอะ แต่ถ้าเธอไม่ทรงพื้นฐานอย่างนี้ไว้ ก็ให้เชื่อได้เลยว่า “ไม่มีทางบรรลุมรรคผล” ในทางปฏิบัติเป็นอย่างนั้นนะ
    แต่ถ้าเธอทำมามากแล้วแต่ในอดีต ปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย เขาเรียกว่า ใจไม่อยากได้ของใครเป็นของง่าย ใจไม่อยากจะโกรธ ไม่อยากจะพยาบาท อาฆาตใคร ไม่อยากอิจฉา ริษยาใคร ไม่อยากจะไปรบรากับใครเขา เขาอยากจะเอาก็เอาเหอะ ตามใจเขาไม่รบราต่อสู้อะไรหรอกนะ ปล่อยแกเหอะ ปล่อยให้แกตายของแกเองก็แล้วกัน
    คือ มันเป็นอย่างนี้มาแล้วตั้งแต่ในอดีต เวลาเจริญสมาธิ มันก็จะเป็นสัมมาสมาธิไปเองเลยเ ขาเรียก ของเก่าที่เธอสะสมในเรื่องอย่างนี้ เธอทำมามาก มันก็จะเป็นของง่ายสำหรับบางคน แต่บางคน ถ้าเราไม่พร้อม เราก็ต้องทำอย่างนี้ไปก่อน นี่หลักปฏิบัตินะทุกคนนะ
    แต่เรื่องมิจฉาสมาธินี่คือ ทั่วๆไปเขาทำกันอยู่แล้ว เอาแต่ความสงบอย่างเดียว จะนั่ง เดินยืนนอนก็เอาแต่สงบ เอาสบายใจในความสงบอย่างเดียว แล้วก็คิดตามเขาพูด พอเขาพูดไป เราก็คิดตามได้
    ถึงเวลาสงบ มันก็แว่บขึ้นมาในใจเราว่า เออ อย่างนั้น อย่างนี้อย่างนู้น ใจสบาย ไออย่างนี้เขาไม่เรียก “ญาณ” เขาเรียก “สัญญา” จิตมันจำ เวลามันสงบมันก็เกิดขึ้นมาโดยปกติอยู่แล้ว แต่”ญาณ”มันไม่เกี่ยว คนละเรื่อง มันแยกแยะออกไปอีกต่างหาก เราแยกให้ฟัง สำหรับคนที่ปฏิบัตินะ
    เธอจะได้รู้ว่าเราปฏิบัติ เราต้องรู้ว่าเราปฏิบัติไปทางที่พระพุทธเจ้าสอน หรือเราปฏิบัติตามที่เราอยากให้มันเกิดอย่างนั้น อยากให้เป็นแบบนี้ ถึงมันจะเกิดสมาธิที่เธอพึงพอใจ แต่เธอก็ไม่มีวันได้มรรคผลอะไร เพราะเธอทำมาอย่างนี้นับอสงไขยกัปแล้วก็ไม่เห็นได้อะไร
    ไม่ใช่ว่าฌานสมาบัติเป็นของยากนะ …ง่าย ถ้าเป็นมิจฉาสมาธินี่ง่ายมากเลย ไม่งั้นพวกที่เขาทำคุณไสย ทำไมเขาทำกันได้ นั่นก็สมาธิทั้งนั้น ก็เสกของอย่างผืนใหญ่ๆล่อมันจนเล็กนิดเดียวจนไม่เห็น แล้วก็เข้าตัวคน ทำไมเขาทำได้ มันยากตรงไหน ขนาดจิตชั่วๆยังทำได้ เห็นไหมล่ะ มิจฉาสมาธิมันเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก
    แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ มันยาก ยากตรงที่เธอต้องพยายามข่มใจเธอ ในสิ่งที่เธอเคยอยากได้ เธอต้องข่มใจเธอ เพราะเธอ เหตุผลของเธอ มักจะโทษคนอื่นเสมอ นั่นมันเรื่องปกติของเธอ ใช่ไหมล่ะ เราคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร มันทำเรา เราจึงเป็นอย่างนี้เพราะเขา อย่างนี้เป็นต้น เราก็โทษแล้ว
    งั้นมันเป็นอารมณ์ปกติที่มันเป็นอย่างนี้มานานแสนนาน เวลาเธอจะข่มใจให้คิดตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน มันจึงเป็นเรื่องต้องข่มใจเธอเยอะหน่อย ฝืนใจเธอไม่ใช่น้อย
    ถ้าสมาธิในการปฏิบัติมันไม่พอกับการข่มใจ มันก็ข่มไม่อยู่ อานาปานุสสติ คือ ลมหายใจเข้าออก มันจึงเป็นพื้นฐานที่ช่วยข่มใจเธออยู่ …หลักนะ อันนี้นี้เป็นหลัก หลวงพ่อสอนไว้
    แล้วถ้าเราไม่คล่องเรื่อง อานาปานุสสติ ๑ ไม่คล่องเรื่องอิริยาบทอย่างหนึ่ง ก็ข่มใจยาก
    เพราะว่าอารมณ์ใจของเธอไม่ได้กระทบเวลาเธอหลับ มันไม่ได้กระทบเวลาเธอมีสมาธิ แต่มันกระทบเวลาทั่วๆไป ที่เธอ… ตั้งแต่ตื่นยันหลับ เวลากระทบขึ้นมา ใจเธอมันก็อดไม่ได้ บางทีมันก็อยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา
    ไม่ต้องใครหรอก เธออาจจะอยากได้คนในบ้านเธอนั่นแหละ เพราะว่าเธอคิดว่ามันไม่ผิดไง ของพ่อไม่ผิด ของแม่ไม่ผิดหรอกนะ ของผัวเราก็ไม่ผิด ของเมียเราก็ไม่ผิด บางทีของลูกยังไม่ผิดเลย ไปอยากได้ของเขามาเป็นของเรา เพราะเราไม่ได้ไปขโมยคนอื่น ก็คิดว่าอย่างนี้ จริงๆมันผิด มันผิดเพราะใจของเธอมันละโมบโลภมาก อันนี้มันผิด
    รวมความแล้วก็คือเรื่องเหล่านี้ มันไม่ใช่ของยาก ขอให้เธอทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนเถอะ ค่อยๆทำไป ไม่ต้องไปเร่งรัดอะไรหรอก อย่างที่เธอทำทุกวันนี้ เธอก็ทำอยู่แล้วในการให้ทาน ที่นี่มีเรื่องเดียวคือ”ให้” มันไม่มีเรื่องอื่น
    จบช่วง ๑/๔
    ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
    คำสอนการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ของครูบาอาจารย์⚜️ท่านจิตโต⚜️
    ถอดความเสียง By Dhipya
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ⚜️สัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ⚜️๒/๔

    ว่าด้วยการปฏิบัติในการให้ทานของพวกเรา
    เธอเอามาก็ให้ ก็ให้ด้วยกัน เราก็ไปให้วัดโน้นวัดนี้วัดนู้นกระจัดกระจายไปหลายๆวัด อาหารเราก็ให้ ยารักษาโรคเราก็ให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายนะ เราก็ให้
    วัดไหนก่อสร้างอะไรเราก็ให้ โบสถ์ชำรุดเสียหายเราก็ทำให้ เราก็ทำให้หมด มันมีแต่เรื่องให้อย่างเดียว
    การที่เราทำ การให้อย่างนี้ทุกครั้งๆ เงินของเธอ เธอก็จะมั่นใจว่า เออ มันตกต้องลงไป มันได้ให้จริงๆ ไม่มีคำว่าเก็บหรือเอาไปอย่างอื่น ที่มันไม่มีประโยชน์ในเขตพระพุทธศาสนา
    พอเธอเห็นอยู่ รู้อยู่ แล้วก็ไปได้ยินดี กับการได้ไปเห็นเขาสร้าง กำลังสร้าง หรือเมื่อสร้างเสร็จแล้ว เราก็ไปถวาย ใจของเธอมันก็อิ่มใจ นี่เงินของเรานะ มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราได้ร่วมทำกันมา แล้วก็ได้ไปเห็นสิ่งที่มันปรากฏเป็นที่อิ่มใจทั้งเรา ทั้งผู้รับ
    คนรับก็ดีใจ เราให้ เราก็ดีใจ
    ทุกครั้งที่เราได้ทำ ทุกครั้งนี่ เราก็ต้องดีใจว่า เออนี่ วันหนึ่งสิ่งที่เราทำ มันจะเป็นสุขกับคนอีกมากต่อมาก แต่เราดีใจก่อนเขา เพราะเราให้ก่อนเขา เขาเป็นคนรับ เขาต้องรอว่ามันสมบูรณ์เมื่อไหร่ เขาถึงจะดีใจ
    แต่เรานี่ไม่ต้องรอว่าวัดสมบูรณ์รึยัง ตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็ม เราก็ดีใจแล้ว ฉันได้เริ่มทำแล้วนะ ฉันได้ร่วมถวายแล้วนะ เราค่อยๆทำไป จนเขาก่อรูปร่างสร้างขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เขาทำให้เธอเห็นนั่นแหละในภาพ ค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆๆ วันหนึ่งเราก็ไปดูกัน
    อย่างเราถวายกฐิน เราก็ไปเห็นว่าโบสถ์ที่เรากำลังสร้างอยู่มันเป็นแบบนี้ๆ
    อันนี้ คือ หนทางที่เราทำของเรากันมา พอเธอทำกันมาบ่อยๆเข้า มันก็เริ่มชินกับการได้ให้ แต่ถ้าชินกับการเธออยากได้บุญ การให้ของเธอมันก็จะอ่อนกำลังลงไป เพราะมันเป็นความอยาก มันไม่ได้เป็นการให้
    เธอก็เปลี่ยนเสียใหม่ว่า ที่แล้วแล้วไปก็ช่างมัน เราก็จะเริ่มฝึกใจเราใหม่ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราทำร่วมกัน เราไม่ได้แบ่งแยกว่าใครดี ใครมาก ใครน้อย ไม่มีใครเป็นเจ้าของบุญอะไรของใครหรอกนะ
    ไม่มีว่าใครเป็นเจ้าภาพไม่มี เราทุกคนเป็นเหมือนกันหมด หรือแม้แต่ยกมือโมทนา ก็เป็นเท่ากัน ได้ผลของบุญเหมือนกัน ไม่ว่าใครจะเงินน้อย เงินมาก หรือไม่มีเงิน ก็ไม่จำเป็น ขอให้มีจิตใจคิดที่จะให้ แล้วก็ยินดีในสิ่งที่ทำร่วมกันทำก็พอ
    พอมันทำอย่างนี้มันเนื่องไปเรื่อย ปี ๒ปี ๓ปี …เราทำมาหลายปีไหม …หลายปีไม่รู้จะกี่วัด หมดเงินไปไม่รู้จะกี่ร้อยล้าน ไม่ใช่แค่วัดอย่างเดียว เจดีย์ก็สร้าง ก็ซ่อม ก็ทำหลายอย่างโรงพยาบาลก็ให้ ไม่ใช่ไม่ให้ ก็หลายล้าน ตามโรงพยาบาลนะ ไปช่วยเขาสร้างตึกบ้าง ช่วยสร้างห้องฉุกเฉินบ้าง เขาเรียกว่าห้องไอซียูบ้าง ก็เอาไปทำหมด
    ทำเตียง ซื้อเตียงถวายพระป่วยบ้าง เป็นเงินสำรองสำหรับพระอาพาธในโรงพยาบาลนั้นๆบ้าง ก็ให้ไป
    การให้ของเรา มันไม่ได้เจาะจงเฉพาะในเขตที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานเท่านั้น ที่ไหนเขาเดือดร้อน เราเห็นความจำเป็นเราก็ให้
    คน…เราก็ให้ สัตว์…เราก็ให้ แล้วทุกวันที่เธอได้ทำ เอาอาหารมาเลี้ยง แล้วก็แจกจ่ายไปตามวัดวาอารามต่างๆให้ทั้งพระ ให้ทั้งเณร เราก็ให้
    เราให้อย่างนี้มาเป็นปีๆ เห็นไหมล่ะ ทำอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องกันเรื่อยๆ เธอรู้สึกชินหรือยังล่ะ มันก็ชิน
    คำว่าชิน หมายความว่า มันง่าย ตัดสินใจง่าย เราไม่รู้สึกเป็นการตัดสินใจยาก อีกอย่างหนึ่ง มันไม่มีนิวรณ์กวนใจเรา คือมันไม่สงสัย
    มันไม่ได้ลังเลสงสัยว่าเงินของเรา หรือของเราตกต้องไป… มันเคลือบแคลงว่า เอ้จะเอาไปทำรึเปล่า มันจะถึงตามที่เขาพูดหรือเปล่า ไอเรื่องอย่างนี้ เธอก็ไม่ต้องคิด เธอยินดีสละแล้ว ๕บาท ๑๐บาท ๒๐บาท ก็แล้วแต่เธอจะทำไป เอาที่มันเหลือกินเหลือใช้เธอ ทำเธอไป รวบรวมกันได้เท่าไหร่ เราก็ไปจ่ายเรื่องนั้น จ่ายเรื่องนี้ไป ไม่พอก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวท่านก็ให้มา ให้มาเราก็สมทบโปะให้มันเต็มไป ก็จบไป ไม่ใช่เรื่องยาก
    ที่มันยากตรงที่ว่า จิตของเธอมันจะทรงอารมณ์อย่างนี้ปกติได้เมื่อไหร่
    จบช่วง ๒/๔
    ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
    คำสอนการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ของครูบาอาจารย์⚜️ท่านจิตโต⚜️
    ถอดความเสียง By Dhipya
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ⚜️สัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ⚜️๓/๔

    เรายังไม่ยอมรับผลของการทุศีลได้อย่างสนิทใจ
    เรื่องทานไม่น่าจะหนักใจอยู่แล้ว แต่เรื่องของศีล มันยังหนักใจนิดๆ เพราะเธอยังได้แต่ประคองการระวังเป็นข้อๆ แต่เธอยังไม่สามารถยอมรับในผลของศีล ที่เธอทุศีลมาก่อน ตรงนี้เธอยังยอมรับไม่ได้สนิท นี่คือเรื่องของศีลนะ
    ไม่ใช่ศีล มันอยู่ที่เธอระมัดระวังดีแล้ว เธอไม่ประมาท ไม่พลาด เธอไม่มีปาณาติบาต ไม่มีอทินนาทาน ไม่มีกาเม ไม่ได้ทำมุสา ไม่ได้ทำสุรา ศีล ๕ ของเธอดีแล้ว …
    มันไม่จบเท่านี้นะศีลน่ะ ไอนี่มันแค่ศีลเบื้องต้น
    แต่จะเอาให้ศีลเป็นที่ช่วยให้ใจของเธอพ้นจากอำนาจของความโกรธ เกลียดชัง แค่นี้มันไม่พอ เพราะสิ่งที่มันมีผลกับเรา มันคือผลของการทุศีลที่เราทำมาก่อน
    ปานาติบาต ก็ทำให้เธอเป็นโรคภัยไข้เจ็บ
    อทินนาทาน ก็ทำให้เธอต้องเสียทรัพย์ หมดทรัพย์ไปโดยไม่อยากจะเสีย
    กาเม ก็ทำให้คนภายใต้การปกครองของเธอดื้อด้าน ว่ายาก สอนยาก
    มุสา ก็ทำให้เธอเจอแต่คนปลิ้นปล้น หลอกลวง โกหกมดเท็จ
    แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ทำให้การจดจำของเธอมันไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าเป็นน้อยนะ ถ้าเป็นมากมันทำให้ประสาทเราเสีย
    ถ้าเธอจะยอมรับในผลที่มันปรากฏอย่างนี้ได้หรือไม่ล่ะ ข้อสำคัญ เธอยอมรับมันได้ไหม เมื่อมันปรากฎกับเรา หรือปรากฎกับคนที่รักของเรา พ่อเราแม่เรา ลูกของเรา คนที่เรารัก สามีเรา ภรรยาเรา พี่น้องเรา
    เธอจะยอมรับได้ไหมล่ะว่า นี่มันเป็นบุพกรรม แล้วเธอจะไม่ไปโทษคนนั้นคนนี้ ที่ทำให้ลูกเราเป็นอย่างนั้น พ่อเราเป็นอย่างนี้ แม่เราเป็นอย่างนี้เพราะคนนั้นคนนี้ เธอจะทำใจให้มันหยุดใจของเธอไม่คิดฟุ้งซ่าน แล้วก็หันมาหาความจริงตามที่พระองค์ทรงสอนอย่างหมดสงสัย ตรงนี้มันยังยากสำหรับพวกเธอ ถูกไหม
    เธอต้องเพียรทำตรงนี้ให้สำเร็จ เพียรให้รู้เท่าทันในความเป็นจริงว่า ขึ้นชื่อว่ากฏของกรรมมันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราทำความชั่วมา มันก็ต้องเกิด เมื่อผลมันเกิด เธอก็ควรยอมรับในสิ่งที่เธอทำ และเธอก็ต้องยอมรับ เมื่อคนอื่นที่เป็นที่รักของเธอกำลังถูกกระทำเหมือนกัน
    ไอการช่วยเหลือ การช่วยรักษา ช่วยไปหาเงินมาให้ ช่วยอะไรต่อมิอะไร เป็นเรื่องการมีเมตตา ไอนั้นเป็นเรื่องนอกเหนือจากคำว่า เข้าใจในศีล แต่การเข้าใจในกฎของความเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
    หมายถึงว่า ทรงตรัสว่า ๑ ถ้าเธอละเมิด เธอตกนรก เป็นสัตว์นรก มีขุมนรกหนักๆก็ ๘ ขุมใหญ่ อีกขุมพิเศษ ก็คือโลกันต์นรก แต่ละขุมใหญ่ยังถูกแยกแยะไปข้างละ ๔ ขุมเป็นบริวารของขุม กว่าจะพ้นกาลเวลาที่ทรมานหมดจากขุมใหญ่ ก็ต้องมาเจอเขาเรียก ยมโลกีย์นรก อีกต่างหากที่แยกเป็นข้อๆที่เธอละเมิดในศีล กรรมบถ ๑๐
    หลังจากนั้นเธอก็หมดวาระ ก็ต้องมาเป็นเปรต ๑๒ จำพวก จนถึงพวกที่ ๑๒ เขาเรียก ปรทัตตูปชีวีเปรต นั่นน่ะ เธอต้องรอญาติของเธอให้บุญเธอ เธอถึงจะได้
    แล้วหลังจากนั้น เมื่อหมดแล้ว เธอต้องมาเป็นอสุรกาย เขาเรียกมีกายที่หลบๆซ่อนๆกลัว ไม่กล้าให้ใครเห็น ใครเห็นก็กลัว เหมือนเราไปเห็นว่าเขาจะเห็น เราก็กลัว ทั้งๆเขาไม่เห็นเราหรอก แต่เขามองมา เราก็กลัว เขาเรียก อสุรกาย แล้วอาหารการกินก็เต็มด้วยความยากลำบาก กินแต่ของเน่า ของเหม็น อย่างนี้เป็นต้น
    กว่าจะพ้นนั่นมา แล้วมาเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ละชนิดที่เธอฆ่าเอาไว้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ตัวละ ๕๐๐ ชาติ
    เธอจะเชื่ออย่างนี้ไหมล่ะว่า นี่คือกรรมของการละเมิดศีล มันมีผลทำให้เธอต้องเป็นเช่นนี้
    แต่มาเป็นมนุษย์นี่ มันคือ เศษของกรรมความชั่วที่เธอละเมิดศีล ที่เธอต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ การสูญเสียทรัพย์ที่เธอหามาได้ด้วยความยากลำบาก การที่มีคนเขาปลิ้นปล้อนหลอกลวงเธอ การที่เธอไม่สามารถจดจำอะไรได้ดี ตามที่เธอต้องการ อย่างนี้เป็นต้น
    เพียงแค่ไอกรรมเล็กๆน้อยๆเศษ ๆ นี่ เธอยอมรับมันได้หรือเปล่า กับกรรมที่มันหนักสาหัสสากรรจ์ คือตกนรกนี่ แล้วเธอจะยอมรับมันได้ยังไง
    สิ่งนี้มันอยู่ที่กำลังความสงบที่เธอใคร่ครวญพิจารณาของเธอบ่อยๆ คิดบ่อยๆ ทบทวนบ่อยๆ เขาเรียกว่าสีลานุสสติเป็นกรรมฐาน มีศีลเป็นอารมณ์ ตั้งอารมณ์นึกถึงสิ่งเหล่านี้
    ไอที่เธอระมัดระวังเป็นข้อ เธออาจจะผ่านแล้วล่ะ
    แต่ไอการระวังสิ่งที่กระทบใจเธอ แล้วเธอยอมรับได้ ไม่ได้ มันยังไม่ผ่าน เธอยังให้อภัยคนที่เขาทำร้ายเธอไม่ได้ ทำร้ายลูกของเธอไม่ได้ ทำร้ายพ่อแม่เธอไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ใจของเธอมันยังหวั่นไหว ไม่ผ่าน นั่นหมายความว่า ศีลของเธอมันยังใช้ในการปฏิบัติเข้าสมาธิ เพื่อให้เกิดญาณอันเป็นเครื่องรู้ มันยังทำไม่ได้
    จะว่ามันยาก มันก็ไม่ได้ยาก เพราะไม่ได้ใช้สมาธิสูง แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร ลึกซึ้งอะไร ไม่ได้พิจารณาขันธ์ ๕ เสียด้วยซ้ำไป แค่เธอมองไปตามความเป็นจริง แล้วก็ยอมรับมันเท่านั้นแหละ สมาธิก็ปกติธรรมดาๆ เรียกว่าสมาธิเล็กน้อย ปัญญาก็ไม่ได้ใช้อะไรมาก เพียงแต่เธอใจจดใจจ่อ คอยคิด คอยพิจารณาซ้ำๆบ่อยๆเข้า จนมันเริ่มทรงตัวได้ แล้วถึงเวลามันกระทบเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นอย่างที่กล่าวมา เธอก็สามารถวางใจเธอได้อย่างสนิท
    เธอจะรู้ได้เฉพาะตัวเธอนั่นแหละ มันเป็นปัจจัตตัง อันนั้นเป็นเรื่องที่เธอต้องไปฝึกเอา มันอาจแค่ ๗ วันผ่านก็ได้ ๑๕ วันผ่านก็ได้ เดือนหนึ่งก็ได้ ๗ เดือนก็ได้ ปีหนึ่งก็ได้ ๓ปีก็ได้ ๗ปีก็ได้ ๗ ชาติก็ได้ หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ แล้วแต่ว่าเธอจะขยันแค่ไหน
    แต่จริงๆเธอไม่ควรเกินจะ ๗วัน …อาทิตย์ถึงจันทร์ …อาทิตย์ล่อไปรอบหนึ่ง ๗วันพอดีก็ไม่น่าเกิน
    ถ้าเอาจริงๆ มันอาจจะไม่ถึงหรอกนะ ๓วันก็พอ..เต็มที่ คนเอาจริง คิดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทบทวนว่านี่ ถ้าเราไอนี่ไม่ผ่าน สมาธิเราก็คงไม่ดี นั่งไปก็เมื่อยก้น เปลืองเวลา แล้วก็ไม่ได้ผลอะไร มันไม่ได้ผลจริงๆนะ ถ้าได้ผล เธอไปนิพพานนานแล้ว
    เพราะพวกเธอไม่ใช่ไม่เคยเป็นฤาษี แล้วก็ไม่เคยเป็นดาบส นักบวช เธอเป็นมาแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่เคยได้อภิญญา ก็ได้กันมาแล้ว ยังตกนรกเสียไม่รู้กี่รอบ ดีไหมล่ะ สมาธิแบบนี้…ไม่ดี สมาธิแบบนี้ ทรงตรัสว่า อย่ายินดี อย่าพอใจ
    แต่ถ้าเป็นสมาธิที่เกิดจากสัมมาสมาธิ มันน่าอิ่มใจ เพราะมีผลทำให้เธอมีปัญญาเป็นเครื่องรู้แจ้ง เห็นจริง มันจะอิ่มใจทุกครั้งที่เธอกำลังทำจิตเป็นสมาธิ ไม่ถือว่าติดสมาธิ
    ไม่เหมือนในเรื่องของคนที่ติดสมาธิ ในรูปฌาน อรูปฌาน ไอนั้นเป็นเรื่องของพวกมิจฉาสมาธิเขาติดกัน
    อย่างพระอนาคามี แม้ท่านจะผู้ทรงอธิจิต เขาเรียกว่า สมาธินี้ทิ้งไม่ได้ แต่ก็เป็นสมาธิที่เป็นสุข มันมีความสุขที่ได้เข้าใจในธรรม มันไม่ได้เป็นความสุขแค่ปีติอิ่มใจ เป็นความสุขจากความความสงบ เป็นความสุขที่จิตมันตั้งมั่น ไม่มีอะไรกระทบใจได้เลย มันสุขคนละแบบ
    เพราะว่าพระอนาคามี เมื่อได้สมาธิปั๊บ มันเป็นการขึ้นต้นจากการพิจารณาในขันธ์ ๕ แล้ว หรือเมื่อมีสมาธิท่านก็พิจารณาทับในรายละเอียดในขันธ์ ๕ อีก จิตของท่านจึงมีความอิ่มเอิบ สว่างไสว สมาธิจึงไม่ทำให้ท่านต้องมานั่งติดใจ เพราะว่าผลของสมาธิที่ท่านได้ มันน่าอิ่มใจมากกว่า เห็นไหมล่ะ มันต่างกันใช่ไหม ต่างกันนะ
    นักปฏิบัติ เธอต้องรู้ทางปฏิบัติเอาไว้ให้ดี แล้วเธอต้องคิดเชื่อว่า
    เมื่อเธอเดินตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องเดินตาม นี้ ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อก็สอนอย่างนี้ ไม่ได้สอนอย่างอื่น เราทำมา เราก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน ทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ผล อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เธอรับรู้เอาไว้นะ
    แต่ย้อนมาให้ฟังว่า ในทานนี่ เธอทำไปเถอะที่ทำปัจจุบัน อย่างน้อยนิวรณ์มันก็ไม่ทำให้ใจของเธอ ฟุ้งซ่านในการทำความดี ทำแล้วเธอมีความสุข สบายใจ ได้ทำๆๆ เอ้าสบายใจ อันนั้นดีแล้วรักษาไว้ อารมณ์ตอนนี้นะ รักษาสิ่งนี้เอาไว้อย่าให้เสื่อม
    แต่ทำที่อื่น เธออาจจะไม่มั่นใจก็ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าท่านเอาไปทำจริงไหม … เราไม่คุ้นเคยกับท่าน เราไปทำแล้ว เราก็ไม่สนิทใจ เหมือนคนสมัยก่อนทำบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่ต้องกังวลใจเลย ลูกหลาน โอโหถึงไหนถึงกัน แย่งกันทำ เอางี้ดีกว่า
    ไม่ใช่ว่าทำแบบเกร็งๆหรือว่าทำแบบกลัวๆไม่มีหรอกนะ ยิ้มแป้นมาแต่นู่นเลย …
    สนุกมากเลย ถ้าได้ทำบุญกับหลวงพ่อ ถึงไหนถึงกัน หมดกระเป๋าเมื่อไหร่ไม่รู้
    แต่พอไปทำที่อื่น มันทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่มีความมั่นใจ เขาบอกการทำบุญมันต้องมีศรัทธา ความศรัทธามันทำให้เราเข้าถึงผลของการปฏิบัติง่าย
    อย่างสมมุติเธอทำกันอย่างนี้เนืองๆเป็นปกติ แล้วเธอก็รักหลวงพ่อ อิ่มใจทุกครั้งที่ได้ทำกับท่าน ถึงเวลาเธอตายไป เธอไปสวรรค์ ถึงแม้กำลังใจเธอมันยังติดในกามคุณอยู่ แต่ว่าหลวงพ่อก็ต้องมาสอนเธออยู่ดี “ลูกเอ้ย สวรรค์มันเป็นความสุขไม่แน่นอนนะลูก ไปนิพพานกับพ่อเถอะ” เธอก็บอก “ตกลง” คำเดียว
    เห็นไหม ไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย ตกลงเลย ..ไป
    แต่คนอื่นมาพูดอย่างนี้ อื้อ นี่สุขกว่าเยอะ ..นางฟ้าก็สวย วิมานก็สวย ตัวเราก็งาม แสนจะสบายไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องแบกอะไรไป ถึงไหนถึงกัน สุขอย่างนี้แล้วบอกให้ไปนิพพาน ..ไม่ไป แกไปคนเดียวก็แล้วกัน ก็ชอบที่นี่
    แต่ถ้าเจอหลวงพ่อปุ๊ป ตกลง ..ไป
    มันเป็นสายบุญที่ทำร่วมกับท่านมานานแสนนาน เราจึงหมดคำว่าเคลือบแคลง สงสัยไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีนิวรณ์ อันนี้เป็นหลักนะ เธอจำไว้ให้ดีนะ
    จาคะ ในการที่เธอได้ทำบุญ มันต้องทำกับสิ่งที่เธอศรัทธา ถ้าเธอไม่มีศรัทธา เธอทำไปก็เหมือน เธอหวังผลแค่เอาบุญเฉยๆ แต่จะหวังให้เธออิ่มใจ แล้วเธอจะทรงไว้ซึ่งความดีในฌานจาคะ มันทรงไม่ได้
    เธอเที่ยวไปทำวัดนั้น ไปทำวัดนี้ ไปทำที่นู่น ไปทำที่นี่ แต่ว่าเธอก็รู้ตัวว่า เธอไม่ได้อิ่มใจหนักหนาหรอก เพียงแต่เธออยากได้บุญ เธอก็เลยไปกับเขา ไปตั้งใจไปร่วมกับเขา มันต่างกันตรงนี้หน่อยหนึ่งนะทุกคนนะ
    เวลาฝึก เขาต้องบอกว่าฝึกให้มันมีศรัทธา พอเราศรัทธาแล้ว มันจะไม่ลังเล พอจิตมันทรงความไม่ลังเล มันก็ทรงเป็นฌาน เพราะว่านิวรณ์ ๕ ประการไม่กวนใจเธอ สมาธิมันก็เลยเกิดง่าย
    แต่ถ้าเธอให้ทาน มันไม่มีศรัทธาเป็นอันดับแรก สมาธิจะให้มันทรงฌาน มันเกิดยาก เพราะนิวรณ์มันขวางเธอ ฟุ้ง
    ใครเขาพูดอะไรหน่อย เดี๋ยวเธอก็เป๋
    พอแรกๆเขาบอกพระดีๆไปเหอะ พระดีทรงอภิญญาสมาบัติ เป็นพระอรหันต์ด้วยเฮ้ย บุญใหญ่ว่ะ..ไป พอไม่นานข่าวคราว สึกเสียแล้ว หันไปไหน ..ไปหาเมียเสียแล้ว ..จบกัน
    หมดกำลังใจไหม..
    พอเจอหลายๆรายเข้าก็ท้อ ไม่อยากทำแล้ว
    อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีบุญบารมีสะสมมาอ่อน ยังไม่เจอครูบาอาจารย์ที่ทำให้เธอสามารถเชื่อในท่าน แล้วก็ปฏิบัติตามท่านอย่างไม่สงสัย
    อย่างเธอทุกคนส่วนใหญ่ก็ศรัทธาหลวงพ่อ เธอก็เชื่อในปฏิปทาของท่าน เชื่อในวัตรปฏิบัติ พาให้เราเชื่อคำสอนไปโดยปริยาย
    มันเชื่อไปเอง เห็นไหมล่ะ ทั้งๆมันไม่น่าจะเชื่อได้ง่ายๆหรอก เพราะเธอเป็นคนเชื่อยากอยู่แล้ว แต่ก็พาให้เราเชื่อได้ง่าย
    เพราะว่าเราเคยทำบุญร่วมกับท่านมานับชาติไม่ถ้วน เรารู้ใจท่านว่า ท่านมีใจอย่างไรกับเรา ท่านเปี่ยมด้วยความเมตตา ท่านมีแต่ให้ ไม่ได้ไปเอาอะไรจากเราเลย เราก็เชื่อใจท่าน จะสุขทุกข์ยังไง ท่านก็ไม่เคยทิ้งเรา ช่วยเราตลอด มันก็ทำให้ใจของเรา เขาเรียกว่า เจอท่านปุ๊บก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว นี่แหละใช่แล้ว ฝากชีวิตไว้กับท่านได้แล้ว สบายใจ
    เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งของคนที่เขาทำบุญนี้ มันไม่เหมือนกัน เขาจึงแบ่งเป็นสาย ในแต่ละสายๆนี่ มันต้องมีศรัทธา
    ถ้าเราไม่ก่อให้เกิดศรัทธาขึ้นมา เราคงไม่ไปสายเขา ไปร่วมกับเขาก็ได้แค่ครั้งสองครั้ง ประเดี๋ยวก็เบื่อ มันก็ไม่อยากไปแล้วนะ มันวุ่นวาย ไม่ใช่แล้ว ไม่สนุกแล้ว
    จาคะ ก็เป็นของที่เธอทำมาเพียงพอ ไม่หนักใจ เราดูแล้วก็ไม่หนักใจในการปฏิบัติของเธอ ขอให้มีความคิดให้มันละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อย ก็จะดีมาก
    เหลือเรื่องศีลนะ ไปฝึกเข้า
    ถ้าศีลของเธอดีเมื่อไหร่ ฉันจะสอนเรื่องสมาธิอย่างเข้มข้นให้เธอฟัง เธอจะไม่เคยได้ยินที่ไหนก็แล้วกัน นอกจากฟังหลวงพ่อแล้ว ก็ฟังจากฉันนี่แหละ
    แต่ฉันพูดตอนที่เธอไม่พร้อมไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวเธอก็ตามไม่ทัน งงไก่ตาแตก ตายละหว่า กูทำไม่ได้แน่เลย ..หมดกำลังใจ มันจำเป็นนะ ถ้ามันไม่มีกำลังใจ ก็ช่วยเธอไม่ได้จริงๆ
    จบช่วง ๓/๔
    ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
    คำสอนการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ของครูบาอาจารย์⚜️ท่านจิตโต⚜️
    ถอดความเสียง By Dhipya
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...