แจ้งเตือนเรื่อง ฝนที่ตกโปรยปรายอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ ฝนตามฤดูกาล แต่เป็น ฝนนิรมิต

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 พฤษภาคม 2017.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    การอยู่กับปัจจุบัน คือ
    การอยู่กับกริยาที่เป็นปัจจุบัน เช่น เดินก็รู้ว่าเดินอยู่ทุกขณะ
    นอนอยู่ก็รู้ว่านอน พอจะเปลี่ยนอริยาบทอื่น ก็ตามรู้ว่า
    กำลังจะเปลี่ยนอริยาบทแล้ว ตามอยู่อย่างนี้ จนเปลี่ยนอริยาบทไป
    ซึ่งถ้าหากว่าเป็น ผู้ที่ฝึกใหม่ การหลุดไปทำสมถะ หรือ เผลอเพ่ง
    แทนการตามรู้อริยาบท ก็ยังมีบ้างตามความเคยชินเดิมๆ
    ที่ได้ฝึกการเพ่ง มาหลายชาติ พอจะฝึกสติ มันก็จะเผลอไปเพ่ง
    ด้วยความเคยชิน ฉนั้น ผู้ฝึกใหม่ต้องแยกให้ได้ว่า อันไหนเพ่ง
    อันไหนรู้ อันไหนตาม อันไหนติด
    แล้วก็ใส่ ความไม่เที่ยง หรือ การเป็นทุกข์มีสุข หรือ ความไม่ใช่ของของเรา
    ผสมลงไป ให้มันเกิดความเบื่อหน่าย ให้มันเกิดความได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
    ให้รู้จักความเกิดความดับ ให้มันเกิดการปล่อยวางในท้ายที่สุด

    อารมณ์ คือ
    การที่พบเจออะไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทางตา
    ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
    ไม่ยอมวางใจเป็นกลาง ไม่ยอมปล่อยวาง
    แต่กลับไป ปรุงแต่งจิต ด้วยการใช้
    ความอยาก หรือ ความไม่อยากของเรา เข้าไปก้าวก่ายจิต
    เผลอจิตไปอยากได้อันนั้น ไม่อยากได้อันนี้ อยู่ร่ำไป

    การหาทางดับทุกข์ คืออะไร
    สมัยก่อนเราฝึกสายวัดป่า ต้องระวังด้านจิตใจเป็นหลัก
    แต่เราไม่รู้ กลับไปเล่นกสินเป็นหลัก ก็เลยติดฤทธิ์
    เราไม่รู้ว่าต้องมี ครูบาอาจารย์สายวัดป่าที่ยังไม่ตาย
    ให้คอยควบคุมอย่างเคร่งครัด จึงจะผ่านสติปัฏฐานได้
    เราจึงผิดพลาดฝึกจิตใจเดี่ยวๆ เราใช้ร่างกายเพียวๆ
    วิ่งเข้าชนป่าหนาม คือ กิเลสของเรานั่นเอง
    พ่อชนแล้วเป็นทุกข์ เราเห็นทุกข์ แต่เราไม่มีอาจารย์คอยแนะนำ
    เราก็เลยใช้ฤทธิ์ ไปชนกับความทุกข์ พอเกิดทุกข์ก็เล่นฤทธิ์ๆ
    ก็รอดตัวทุกครั้งไป แต่ไม่บรรลุธรรม
    ทำอยู่ตั้งหลายสิบปี จนคล่องในญานสี่ แต่ไม่มีสติปัฏฐานเลย
    คล่องขนาดที่ว่า เห็นปู๊บ เสกปั้บ ได้เลย
    ถ้าอันไหนเรื่องใหญ่ อย่างการทำฝนหลวง ก็อาจจะเป็นเดือน
    เราจะคอยตรวจดูว่า ถ้าวัน เค้าทำฝนหลวง
    เราก็จะเรียกลม เรียกฝน มาช่วยเค้าอีกแรง
    เราติดอยู่ที่ โครตภูบุคคล อยู่หลายปีไม่ไปไหน
    ตำแหน่งนี้จะมีอาการ เหมือนๆกับได้เป็น พระโสดาบัน แล้ว
    คือมันแวบๆในจิตว่า เรานะโสดาบัน
    แต่พอตั้งใจวัดตามสังโยชน์จริงๆ มันก็ยังไม่ขาดนี้หว่า
    อ้าว แล้วที่จิตบอกว่า เราเป็นโสดาบันละ คืออะไร
    โครตภูบุคคลจะประมาณนี้

    วันหนึ่งเราไปอ่าน หนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่องที่บอกว่า ไม่ได้บวช แต่ไปแดนนิพพานได้
    เราอ่านไปก็ค้านไป หัวเราะไป สงสารไป
    สงสารไอ้คนที่อ้างว่า ไปแดนนิพพานได้
    มันคงโดนพระหลอกเข้าให้แล้ว มันผิดหลักของพระป่า
    ผมฝึกอยู่ 20-30 ปี แค่บรรลุธรรมยังทำไม่ได้
    แล้วนี้มันฝึกแค่ปีสองปี เสือกอ้างว่า ไปนิพพานได้
    สงสัยจะโม้ทั้ง พระอาจารย์ รวมทั้ง ลูกศิษย์ด้วย
    น่าสงสารจริงๆ แต่ก็เก็บไว้ในใจคนเดียว
    เพราะในที่นั้นมีลูกศิษย์แกอยู่ด้วย
    แกเป็นคนที่เตรียมหนังสือไว้ให้ผมอ่าน
    โดยแกบอกว่า ฝากเอาไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเลิกงานมาเอาคืน
    (แกมาบอกผมภายหลังที่ ผมดั้นด้นไป บ้านสายลม คนเดียวหลังจากวันนั้น)
    ผมไม่มีอะไรทำ จึงได้หยิบหนังสือแกมาอ่าน
    อ่านไปก็ด่าในใจไปตลอดว่า หลวงพ่อนี้ ท่าจะบ้า
    อะไรๆ ก็เล่นฤทธิ์ อะไรๆ ก็สวรรค์ อะไรๆ ก็นิพพาน อ้างตลอด
    อ่านมาจนถึงที่ หลวงพ่อบอกว่า หากใครได้อ่านหนังสือท่าน
    แม้เพียงคำเดียว ท่านจะมาเก็บตกคนนั้น ไปเป็น ลูกศิษย์ท่าน
    ผมก็ยังปรามาสท่าน ไปอีกว่า คนอะไรจะทำงานที่เทียบเท่า พระพุทธเจ้าได้
    มันก็มีแต่ พระพุทธเจ้า ด้วยกันเท่านั้น กำลังบารมีจึงจะเทียบเท่ากัน
    แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่า เป็นการโปรโปทพระ โปรโมทอาจารย์
    ของเหล่าลูกศิษย์ที่ไม่รู้เรื่องเท่านั้น คงไม่ใช่ความจริงแน่นอน

    ต่อมาหลายวัน ผมฝันถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านมายืนยิ้มให้
    แล้วก็มีนางฟ้าใส่ชุดไทยสีชมพู ถือพานมาวางไว้ให้
    โดยรูปร่างของแก เป็นการวาดแบบการ์ตูน
    เราก็งงไปใหญ่ คิดในใจว่า อะไรกันวะ งานพระพุทธศาสนา
    แต่เอาพวกที่เป็นการ์ตูน มาหาเรา มันใช้ไม่ได้สิ้นดี
    อย่างน้อยชุดของนางฟ้า ก็ควรจะเป็นชุดไทยที่เค้าถ่ายรูปไว้
    ไม่ใช่ภาพการ์ตูน นี่จึงเรียกว่า การไม่ให้เกียรติกัน
    แล้วพี่นางฟ้าการ์ตูน ก็พูดกับเราว่า หลวงพ่อใช้ให้มา
    จิตของเราจึงมาตามหา พวกท่านทั้งหลาย
    เราจึงหันไปทางหลวงพ่อ ก็ยิ้มให้เราอีก
    แล้วของท่านที่ว่า ท่านจะเก็บตกทุกคนที่อ่านหนังสือของท่าน
    แล้วสื่อจิตถึงท่านได้ ท่านก็จะออกมาช่วย งานพระศาสนา
    เราก็อ๋อทันที แค่คำเดียว เราก็เกททันที ไม่ต้องพูดกันมาก

    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเล่น เฟสบุค อยู่
    ก็มีทีมงานส่ง คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้
    เราจึงกดเข้าไปอ่าน รู้สึกว่าสนุกดี มีแต่พวกติดฤทธิ์ทั้งนั้น
    สัมผัสได้เลย ทุกคนที่อ่านดู ล้วนมีฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก
    แต่ก็มีภูมิธรรมมากกว่าเรา อีกหลายคน ทำไมน้อ
    อ่านไปอ่านมา ไปอ่านกระทู้ที่ชื่อว่า ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ
    แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

    http://palungjit.org/posts/10664318/
    เราเห็นรูปโปรไฟล์เป็น นางฟ้าการ์ตูนสีชมพู
    เราตกกะใจทันที คิดในใจว่า อ้าวนี้เรื่องจริงนี้หว่า
    กรูก็คิดว่า เป็นเรื่องความฝันของเด็กติดเกมส์
    ที่เล่นเกมส์มากจนเพี้ยนไป เข้ากับใครเค้าไม่ได้
    หลังจากนั้นมา ก็อ่านคำสอนอยู่เวปนี้ ไม่ไปเล่นเกมส์ที่ไหนอีก
    อ่านคำสอนของหลวงพ่อ มันส์กว่าม๊ากกกกกกกกกกกกกก
    ผมจึงแจ้งเกิดจาก กระทู้นี้ด้วยประการฉะนี้ละ ท่านผู้อ่าน
     
  2. ฺBaan Tham

    ฺBaan Tham Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +39
    กรุณาบอกหน่อย ตรงที่คุณพิมพ์ว่า ( หลวงพ่อบอกว่า หากใครได้อ่านหนังสือท่าน
    แม้เพียงคำเดียว ท่านจะมาเก็บตกคนนั้น ไปเป็น ลูกศิษย์ท่าน ) อยากทราบว่าเป็น
    หนังสืออะไร? แบบไหน? จะหาอ่านได้ที่ไหน? คุณบอกจะบอกได้ไหมอ่ะ
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อยากได้ฤทธิ์แบบนี้บ้าง จะได้เอามาช่วยคนตอนเกิดภัยพิบัติ


    เผยแพร่เมื่อ 15 ธ.ค. 2012
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อยากได้ฤทธิ์แบบนี้บ้าง


    เผยแพร่เมื่อ 15 เม.ย. 2011
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    วิธีสังเกต พวกที่มีสัมผัสที่หก รับรู้สิ่งต่างๆได้
    เช่น การได้ยินเสียงนกแสกร้อง
    พวกปัญญาธิกะ หรือ พวกปัญญานำ จะบอกว่า นกร้องครับ
    พวกศรัทธาธิกะ หรือ พวกศรัทธานำ จะบอกว่า นกผีร้องมั้งครับ
    พวกวิริยะธิกะ หรือ พวกความเพียรนำ จะบอกว่า นกผีร้องแน่นอน

    ต่างกันตรงเนี้ย พวกปัญญาธิกะ จะแทบไม่รับรู้ความเป็นทิพย์อะไรเลย
    แม้บอกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เค้าก็ยังไม่เชื่ออีก จะถกหลักเหตุผลอยู่ท่าเดียว

    ส่วนพวกศรัทธานำ จะเห็นของทิพย์ได้บ้าง แต่ลางๆ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่

    แต่พวกวิริยะนำ จะเห็นความเป็นทิพย์ ได้บ่อยๆ
    แล้วก็จะแน่ใจได้แน่นอนว่า ความเป็นทิพย์ที่เห็นคือ ของจริง
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ยกมา


    วิธีการเก็บศิษย์ของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เท่าที่ทราบมีอยู่ ๗ วิธีคือ

    ๑. การออกหมายเกณฑ์ คือการตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าผู้ไดเป็นเชื้อสายของท่าน
    เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งของท่าน หรือได้ฟังเทป หรือฟังวิทยุที่ท่านเทศน์
    หรือได้อ่านได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่าน แล้วขอให้เกิดศรัทธาปสาทะจนต้องตามมาหาท่าน

    ๒. ฝากพระ พรหม หรือเทพยดา ให้ไปเข้าฝันตามตัวให้หรือให้ไปบอกในสมาธิ

    ๓. ท่านไปเข้าฝันเอง ทำให้ต้องตามมาหาท่าน (มีเรื่องเล่ากันหลายเรื่องแล้ว) หรือไปสงเคราะห์ด้วยอภิญญา

    ๔. ตามเพื่อน ญาติ พี่ น้อง หรือคนรักมาวัดหรือซอยสายลม หรือที่อื่นๆ เพื่อมากราบท่าน แล้วก็มาติดใจหลวงพ่อ

    ๕. แสวงหาพระดีไปทั่วประเทศ พอมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เลิกแสวงหา

    ๖. พอเห็นท่านครั้งแรกโดยบังเอิญก็ติดใจ ทำบุญด้วยทันทีโดยไม่รู้เลยว่าท่านเป็นใคร
    คราวหนึ่ง ท่านขึ้นไปดอยตุงแล้วลงมาฉันก๋วยเตี๋ยวเพลอยู่ที่ร้านข้างถนนที่อำเภอแม่สาย
    มีผู้หญิงราวอายุ ๓๐ เศษ คนหนึ่งเดินผ่านมาพบเข้า ก็ไปซื้อลูกประคำมาถวายท่าน
    ท่านก็เอาประคำคล้องคอท่านทันที (ตามปกติท่านจะไม่คล้องลูกประคำ นอกจากเพื่อ
    เจริญศรัทธาหมู่คณะเฉพาะงาน) พวกเราก็ล้อท่าน ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า "ท่านแม่มาบอกว่า
    น้องรักเขาถวาย คล้องให้กำลังใจเขาหน่อย"

    ๗. ท่านตามไปเก็บด้วยตัวท่านเอง


    เมื่อเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ทุกคนจะทราบซึ้งในมหากรุธาอันมหาศาลของท่านเอง
    โดยมิต้องบรรยายในที่นี้ เพราะท่านทำทุกอย่างเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานของท่านในทุกโอกาส
     
  7. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    เมกาโดนไปแล้ว จุกหนัก เจ็บหนัก เพราะ 7ื ริกเตอร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018
  8. อรรยาณัฏฐ์

    อรรยาณัฏฐ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +226
    ^_^
     
  9. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ยินดีต้อนรับสู่ คณะเรา นะครับ
    แปลว่า เข้าใจได้ ก็คือพวกเดียวกันนั่นเอง
    เรียกใช้ได้เต็มที่ครับ
     
  10. อรรยาณัฏฐ์

    อรรยาณัฏฐ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +226
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  11. รักโพธิญาณ01

    รักโพธิญาณ01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +98
    ผมหนึ่งในนั้นฝันถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านนั่งคอยใครสักคนและแล้วผมเองเข้าไปกราบท่าน ผู้คนเยอะมากแต่ไม่มีใครสนใจหลวงพ่อเลยครับน่ะครับ
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ยินดีต้อนรับครับผม ท่านก็ถูกตามมาเหมือนกัน
    ต่อไปก็คงจะได้ทำงานร่วมกันครับ
     
  13. รักโพธิญาณ01

    รักโพธิญาณ01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +98
    ผมอยากจะถามท่านว่าเวลานั่งสมาธิต้องผ่านทุกขเวทนา เช่นปวดขา เหน็บชาที่ขา ปวดเมื่อยตามร่างกายกาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น ผมเปลี่ยนอริยาบทหรือเปล่าหรือไม่ต้องให้ดูเวทนาสังขารให้เฝ้ามองสังขารอะไรหรือเปล่า เพื่อจะเข้าสู่สมาธิกรรมฐานให้ง่ายขึ้นน่ะครับ
     
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    แยกเป็น สองกรณี นะครับ คือ

    ถ้าหากคุณต้องการ ทำสมาธิ อย่างเดียว
    ยังไม่ต้องการทำวิปัสสนา
    คือ อยากนั่งสมาธิให้ สงบ เฉยๆ
    ยังไม่ได้ต้องการ การบรรลุธรรม
    คุณก็ทำสมาธิตามหลักของคุณไป
    ไม่ต้อง สนใจเรื่องอื่น
    ต่อมา มือ เท้า ก็จะเริ่ม ปวด แล้วก็ ชา
    หลังจากชา เมื่อความรู้สึกชา หายไปอีกรอบ
    ก็แสดงว่า เข้าญานได้ลึกแล้ว
    ก็ทรงเอาไว้อย่างนี้ ทรงให้ได้นานทีสุด
    แต่ถ้าหลุดออกไปแล้ว
    ก็ให้เริ่มทำแบบเดิมอีก ก็จะกลับมาได้อีก
    วนไปเวียนมา อย่างนี้ไม่มีหยุด

    แต่ถ้าอยากทำวิปัสสนา แถมด้วย
    ในขณะที่เข้าญาน หรือ ทำสมาธิ
    แนะนำให้ฝึกด้วย วิธีดูเวทนาในเวทนา
    ในสติปัฏฐานสี่ โดยมีหลักอยู่ว่า
    ขณะที่คุณ ทำสมาธิอยู่
    เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกถึง ความเจ็บปวด ขึ้นมา
    ให้คุณพิจารณาความเจ็บปวด
    ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นทันที
    เช่น
    ปวดขา ก็พิจารณาตามว่า
    ความปวดเป็นทุกข์ ร่างกายนี้มีแต่ทุกข์
    เราไม่ต้องการร่างกายนี้อีกต่อไป


    นี่คือ หลักการทำวิปัสสนาในสมาธิ นั่นเอง
     
  15. รักโพธิญาณ01

    รักโพธิญาณ01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +98
    ขอบคุณครับ สนทนาธรรมแบบนี้บ่อยๆเข้าความเข้าใจบังเกิดขึ้นแน่ๆท้ายที่สุดเราก็ทำได้ เพื่อนกัลยาณมิตรคอยแนะแนวทางแสงสว่างน่ะครับ ผมพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
     
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ครับผม การสนทนาธรรมกัน เค้าจะเรียกว่า
    เป็นพวก สายปัญญาธิกะ ครับ
    สายนี้จะชอบอะไรที่เกี่ยวกับ ปัญญา
    หรือ การใช้สมองคิดทบทวนเอง ทำเอง ฝึกเอง
    สำเร็จเอง แบบไม่ต้องมีอาจารย์ก็ได้
    เพราะว่า ตัวเองจะเป็นอาจารย์ของตนเองได้
    ส่วนสายอื่น จะเน้นเรื่อง การทรงญาน เป็นหลัก
    พอสนทนาธรรม จะไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ
    เพราะว่า ไม่ได้สั่งสมมาทางด้าน ปัญญาญาน นั่นเอง

    สายนี้ส่วนมาก จะไปเป็น พระปัจเจกะพุทธเจ้า ที่บรรลุธรรมได้เอง นั่นเอง แต่สั่งสอน ธรรมะ ให้ใครไม่ค่อยได้ เพราะ คนเหล่านั้น จะไม่ค่อยมีปัญญาเทียบเท่ากันนั่นเอง เรียกว่า เค้าบังคับให้ไปเกิดในสมัยที่ผู้คนสั่งสอนยาก
    เพราะวิบากกรรมของเรา ในสมัยศีกษาธรรมะ
    ชอบถาม ชอบถกเถียง กับ ครูบาอาจารย์
    วิบารกรรมข้อนี้ ทำให้เวลาบรรลุธรรม
    ก็สอนใครไม่ได้เช่นกัน
     
  17. รักโพธิญาณ01

    รักโพธิญาณ01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +98
    อ๋อ ปัญญาญาณนั้นเองที่สะสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน คงจะใช่เกิดในยุคที่สอนกันยากน่ะเหมือนยุคปัจจุบันนี้เลย ผมอยากจะถามว่าสายศรัทธาธิกะ และสายวิริยะธิกะทั้งสามอย่างย่อมมีแตกต่างกันอย่างไร คนอื่นๆจะได้ความรู้ใหม่ๆสิ่งไม่เคยรู้มาก่อนเพื่อประดับปัญญาของเขาเอง แต่ทุกวันนี้ผมพยายามเร่งปฎิบัติธรรมให้มากที่สุด เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้วตามที่หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ เพราะฉะนั้นแล้วชีวิตเราขาดทุนน่ะเพราะทำบาปสะสมอยู่ทุกวันเลย ความดีน่ะมันน้อยนิดเดียวเอง น่าเสียดายคนปัจจุบันแสวงหาโมกขธรรมน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบอดีตรุ่นปู่ย่าตายายของเรา กรรมหนอกรรมของคนปัจจุบัน จวนจะถึงเวลาความตายใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ผู้คนยังระลึกถึงมรณนุสติไม่ได้เลย ไม่ยอมพิจารณากันเลย ไม่ใคร่ครวญกันเลย ไม่นึกถึงความดีในแต่ละวันว่าทำความดีอะไรไว้บ้าง น่าสงสารเป็นกรรมของเขาเอง เขาเลือกแบบนั้นเอง บรรดาเทคโนโลยีทั้งหลายทั้งแหล่เป็นของพญามารที่สร้างไว้เป็นกับดักให้ผู้คนชวนกันหลงไหลเทคโนโลยีจนลืมความดี น้อยคนที่เอามาใช้เป็นประโยชน์ของชาวโลก ในอนาคตเทคโนโลยีเข้าสู่ยุคเสื่อมสูญสลายหายไปตามกฎไตรลักษณ์ เช่นเดียวกับร่างกายเสื่อมสูญสลายไป ผมเชื่ออย่างนั้นน่ะ ขอบคุณครับคุณนิลกาฬที่ให้คำตอบ


     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ปัญญาญาน ก็คือ ตัวตัดกิเลสนั่นเอง
    ใครที่มีปัญญาญานมาก ก็จะตัดกิเลสได้ง่ายขึ้น
    ใครที่มีปัญญาญานน้อย ก็จะตัดกิเลสได้ยากขึ้น
    ใครจะมีปัญญาญาน ต้องอาศัยการสะสม
    ข้ามภพข้ามชาติ สะสมจากทีละเล็กทีละน้อย
    ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง
    การระงับสติอารมณ์นั่นเอง

    ปัญญาญาน เกิดจากการศึกษา ยุทธวิธี สี่อย่าง คือ
    1 การศึกษาเรื่องการดูกาย หรือ ขันห้า หรือ สังขารขันธ์
    2 การศึกษาเรื่องการดูเวทนา หรือ เวทนาเกิดดับ
    3การศึกษาเรื่องจิต หรือ การดูจิต หรือ การดึงจิตกลับ
    4 การศึกษาเรื่องธรรม หรือ ธรรมอนัตตา หรือ สิ่งสมมุติ
    ยุทธวิธีทั้งสี่นั้นก็คือ สติปัฏฐานสี่ หรือ
    ที่ตั้งของสติทั้งสี่อย่าง นั่นเอง

    พยามาร ก็คือ ผู็ที่รังสรรค์เครื่องมือที่จะทำลายโลกธาตนี้
    พยาธรรม ก็คือ ผู้ที่รังสรรคเครื่องมือที่จะรักษาโลกธาตนี้
    พยามารแค่ใช้เงินทองเป็นตัวล่อ ทุกคนก็ยอมทำงานให้
    พยาธรรมก็จะต้องหาวิธี ทำให้คนรู้ว่า พยามารทำงานอย่างไร แล้วก็สอนให้คนออกจากสิ่งที่ล่อลวงนั้น


    ส่วนเรื่อง พระโพธิสัตว์ เป็นเรื่องของ อจินไตรย
    ต้องมีตัวอย่างให้เห็น ถึงจะชี้ถูก แค่ชั่วขณะหนึ่ง
    แต่พอหลังจากนั้นอีก ก็จะไม่ถูกอีก
    มันถูกแต่ชั่วขณะเดียว
    เพราะเป็นเรื่องของ คน ที่คนไปคนมา
    จิตใจเดี๋ยวจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้
    พุทธะของแต่ละท่าน จึงส่ายไปส่ายมา
    หาที่ลงที่แน่นอนไม่ได้ ใจไขว้เขว
    แต่ถ้ามีตัวอย่างให้เห็น ก็สอนได้ว่า
    ใครเป็น สายไหน ใครเป็น
    ปัญญาธิกะ หรือ ศรัทธาธิกะ หรือ วิริยะธิกะ
     
  19. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    ท่านนิล แล้วท่านเป็นพุทธภูมิสายไหนเหรอค่ะ
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    คนที่ร่วมมาเกิดกับเรา ส่วนมากเป็น
    ศรัทธาธิกะ กับ วิริยาธิกะ
    จะมีน้อยมากที่จะเป็น พวกปัญญาธิกะ
    เพราะปัญญาธิกะ จะต้องเทศน์ หรือ สั่งสอน เก่ง
    และโดยปกติ จะเป็น คนพูดมาก อยู่แล้ว
    จะชอบการเสวนากับคนอื่น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนทนาธรรม
    จะเป็นที่ถูกอกถูกใจอย่างมาก
    ท่านจะรับ ลูกศิษย์ ได้เยอะมาก
    จะสั่งสอนคนอื่นได้มาก จะมีคนรู้ตามได้เยอะ
    แม้แต่คนโง่ ถ้าท่านเมตตาก็สอนได้
    สอนคนบ้า ให้ทำงานให้ยังได้

    แต่ ศรัทธาธิกะ จะเน้น เข้าญาน กับ ทำให้ดูเลย
    ไม่เน้นสอนสั่ง จะชอบเข้าญาน ชอบอภิญญา
    ชอบอยู่คนเดียวในบ้านตนเองเงียบๆ
    สุงสิงกับคนอื่นบ้างเฉพาะเวลาที่จำเป็น
    เป็นพวกมีโลกส่วนตัว แต่ก็ยังพุดคุยกับคนอื่นอยู่
    ท่านจะรับศิษย์เหมือนกัน แต่ไม่รับศิษย์ทั่วไป
    ต้องคนที่เป็นประเเภทคือ ชอบเข้าญาน เท่านั้น
    จึงจะสอนกันได้ เรียกว่า รับเฉพาะภายในเท่านั้น
    ไม่รับคนนอก หรือ คฤหัสถ์
    แต่ถ้าท่านรับคฤหัสถ์ ก็แสดงว่า
    เคยเป็นญาติกันมาก่อน
    จึงอนุโลมเป็นพิเศษกว่าทุกคน

    ส่วนวิริยาธิกะ หนักขึ้นไปอีก โลกส่วนตัวสูง
    ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เน้นอยู่ คนเดียว ในป่าในเขา
    ไม่ชอบพูดคุยกับใคร ไม่ชอบเล่ห์เหลี่ยมของคน
    จะพูดช้าๆ เนิบๆ เหมือนเข้าญานสี่อยู่ตลอดเวลา
    แต่มีอภิญญาสูงสุด ส่วนมาก จะมี เจโตปริยาญาน
    รู้ใจคน ดักใจคนอื่นได้ ใครไปหาท่านจะพูดดักใจก่อน
    ท่านจะไม่ชอบรับศิษย์เพราะถือว่า
    ศิษย์คือ ภาระของท่านเช่นกัน
    ส่วนมากอาจารย์ท่านหนึ่ง
    จะรับแค่คนหรือ สองคน เท่านั้น
    แล้วก็จะต้องเป็นพวกเข้าญานเก่งที่สุด
    เข้า อรูปญาน ก็ได้ด้วย มีฤทธิ์อภิญญาด้วย
    ที่สำคัญที่สุด ไม่รับ ลูกศิษย์คฤหัสถ์
    หากเป็นคฤหัสถ์ ก็ต้องเป็น เด็กวัด ไม่ใช่ เด็กบ้าน
    หรือ คนที่รับใช้ใกล้ชิด เคยเป็น
    ศิษย์อาจารย์กันมาก่อน ในอดีตชาติ
    เรียกว่า ลูกศิษย์จะเกื้อกูลอาจารย์
    และ อาจารย์ก็เกื้อกูลลูกศิษย์
    จะใช้ลูกศิษย์ไปทำงานแทนให้
    เพราะท่านไม่ชอบสุงสิงกับสังคมนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...