ปฏิบัติให้สุดทางหนึ่งก่อนดีหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย noolegza, 4 พฤษภาคม 2008.

  1. noolegza

    noolegza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +3,844
    ก็คือตอนนี้ท่องพุท-โธ ( อาณาปาณสติ ) อยู่ครับ แต่ที่นี้ไปเห็นการฝึกมโนมยิทธิแล้วอยากฝึกมั่ง ก็เลยอยากทราบว่าฝึกควบคู่กันไปดีหรือไม่ หรือควรฝึกทางใดทางหนึ่งให้คล่องเสียก่อน แล้วฝึกมโนมยิทธินี่ฝึกคนเดียวที่บ้านโดยไม่มีครูสอนได้หรือไม่ อันตรายไหม ( ครูก็มี คือหนังสือของหลวงพ่อฯครับ )
     
  2. 16

    16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +419
    ผมก็จะไปฝึกมโนมยิทธิเหมือนกันครับ จะไปฝึกที่บ้านสายลมครับ เอาให้รู้หลักปฏิบัติที่แน่นอนก่อน ปฏิบัติคนเดียวเหงาด้วย แล้วก็อาจจำอะไรผิดๆ จะเสียเวลาได้ครับ

    ความเห็นส่วนตัวครับ
     
  3. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ก็แล้วแต่นะครับ บางคนก็อาจจะฝึกวิธีใดวิธีหนึ่งจนชำนาญเชี่ยวชาญ พอจะฝึกกรรมฐานแบบอื่นก็ได้พื้นฐานที่ดีจากการฝึกกรรมฐานเดิม เพียงแต่เปลี่ยนอารมณ์กรรมฐาน

    หรือบางคนก็อาจจะทดลองฝึกกรรมฐานหลายๆกรรมฐานสลับเปลี่ยนกันไปมาก่อน จนกว่าจะเจอกรรมฐานที่ถูกจริต ก็เลือกเอากรรมฐานนั้นมาเป็นกรรมฐานหลักเป็นพื้นฐานแล้วก็น้อมไปสู่ธรรมขั้นสูงๆต่อไปจากธรรมพื้นฐานนั้น

    สำหรับบางคนอาจจะมีกรรมฐานที่ถูกจริตเพียงกรรมฐานเดียว พอน้อมใจไปใช้กรรมฐานอื่นก็ไม่เกิดผลดี แต่บางคนก็อาจจะเชี่ยวชาญได้หลายๆกรรมฐาน ไม่ว่าจะน้อมจิตไปในกรรมฐานหรืออารมณ์ใดก็เกิดความเชี่ยวชาญได้หมด ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ก็เช่น พระสารีบุตร เป็นต้น
     
  4. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    บางทีเราต้องหาครูบาอาจารย์ที่เรามั่นใจ และเหมาะกับเราที่สุดก่อนจะปฏิบัติให้สุดทางครับ
     
  5. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    อยากฝึกแบบถูกต้องตามแนวทางครูบาอาจารย์ ก็ต้องอธิฐานขอพบครูบาอาจารย์ที่เหมากับเรา เวลาทำบุญทุกครั้ง

    ถ้าสนใจมโนมยิทธิ pm มาขอรับแผ่น cd สอนสมาธิขั้นต้น ไล่ไปจนถึง กสิณ และ มโนมยิทธิ ได้ครับ
     
  6. ศิษย์น้อย

    ศิษย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    429
    ค่าพลัง:
    +3,047
    อย่างเดียวให้คล่องก่อน ก็ได้
    ฝึกหลายๆ อย่าง พร้อมๆ กัน ก็ได้

    มันแล้วแต่จริต ของ ผู้ฝึกมากกว่าครับ

    แต่ถ้าแม่นในอานาปานสติกรรมฐานแล้ว อย่างอื่น จะง่ายขึ้นแล้ว
    เพราะฐาน การปฎิบัติอันเดียวกัน

    ผมลองมโนมยิทธิ กับ อย่างอื่น
    เช่น มโนฯ + เดินจงกรม อะไรทำนองนี้ ก็ได้นะครับ
     
  7. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ส่วนตัวให้ความเห็นว่าทำสมาธิแบบไหนก็ดี ถ้าจิตเราต้องการทำ อย่าฝืนจิต ชอบแบบไหนให้ทำแบบนั้น เมื่อก่อนตอนไม่รู้ผมก็ลองมาทุกอย่าง พุทโธ สัมมาอะระหัง ยุบหนอ นะมะพะทะ สัมปะจิตฉามิ โสตัสตะภิญญา เพ่งเทียน น้ำ ลม แสงสว่าง ทำไปทำมาจิตดูเหมือนจะไม่เข้าสักอย่าง สุดท้ายมาจบด้วยคำภาวนาเกี่ยวกับการแผ่บุญแผ่เมตตา ท่องแล้วสบายใจ เป็นสุขใจเบาเหมือนพรหมลอยบนอากาศ เข้าสมาธิง่ายไม่ต้องตั้งท่าเยอะ แปบเดียวถึงอุปจาระ ถึงปุ๊บจิตก็รู้สึกดีไม่รำคาญเสียงรอบข้าง ไม่รำคาญร่างกาย เป็นสุขแบบคนมีบุญแผ่เมตตาไปทั้ง3โลก พูดถึงความรู้สึกตอนนั่งภาวนาครับ สรุปทำแบบที่จิตปรารถนาจิตชอบไม่ฝืนจิตนั่นแหละดี
     
  8. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    จุดหมายของการทำสมาธิจริงๆก็เพียงเป็นอุบายวิธีทำให้จิตสงบ จะสงบในขั้นไหนมันก็คือสงบ เป็นวิธีเอาไว้พักจิตให้มีกำลังสงบเฉยๆ จะได้แค่อุปจาระ หรือฌาน1 2 3 4 ก็ตามแต่ สุดท้ายผลของสมาธิที่มันให้เราก็คือความสงบ ส่วนใครสงบแล้วจะเอาไปใช้ยังไงต่อมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับนั่นมีให้เลือกอีกหลายทางตามชอบ

    ปัญหาคือ จะทำวิธีไหนให้มันสงบได้ไวที่สุดดั่งใจหวังล่ะ นั่นต้องหาคำตอบเอาเองครับ
     
  9. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    บางคนอาจจะดูถูกอุปจาระว่ามันเป็นสมาธิเด็กๆ แต่ขอโทษ อุปจาระสามธินี่แหละสำคัญไม่แพ้สมาธิขั้นอื่นๆ เป็นรากฐานของทิพจักขุญาณ เป็นสมาธิที่รู้เห็นภพภูมิต่างๆได้ และที่สำคัญที่สุดเป็นช่วงที่นักพยายามละกิเลสทั้งหลายใช้พิจารณาธรรมต่างๆ ก็ใช้สมาธิช่วงของอุปจาระนี่แหละ ถึงแม้จะเคยทำได้ฌาน1-4 แต่จะพิจารณาธรรมจริงๆก็ต้องถอยมาอยู่ในจุดของอุปจาระสมาธิถึงพิจารณาได้

    ว่าที่จริงแล้วเราพยายามนั่งสมาธิก็เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ ถ้าทำได้แล้วถึงแม้จะเป็นอุปจาระสมาธิเริ่มต้นก็ยังถือว่าดี ดีที่ได้รู้จักรสของสมาธิรู้จักความสุขสงบในสมาธิบ้างว่ามันต่างจากสุขแบบโลกๆเรายังไง ส่วนการรู้เห็นโน่นนี่นั้นเป็นเรื่องปลีกย่อยส่วนบุคคลที่เคยสั่งสมมาในอดีต บางคนต้องรู้ต้องเห็นก่อนถึงจะเชื่อ แต่บางคนแค่ได้ยินเขาพูดมาก็เชื่อแล้ว นี่คือข้อแตกต่างที่ว่าทำไมบางคนอยากฝึกไปรู้เห็นภพภูมิอื่นบางคนจะมุ่งละกิเลสอย่างเดียวอ่านในหนังสือรู้ตามพระสอนก็พอแล้ว
     
  10. pattcmt

    pattcmt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +195
    ไม่ดีมากๆครับสำหรับการฝึกหัดเอง
    จะหลงง่ายมากแบบคิดไปเองไม่มีจริง
    (อันนี้ผู้ปฏิบัติเคยเล่าให้ฟังมาครับ)
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    วิชาเฉพาะควรไปฝึกที่ต้นฉบับก่อนครับ
    ลำพังไปฝึกกับสถานที่ต้นฉบับ
    ยังหลงตัวเองกันเยอะแยะครับ
    อย่างน้อยให้รู้แนวทางครับ
    และถ้าเข้าใจ จะมาฝึกต่อก็แล้วแต่ชอบครับ


    ส่วนการไปเห็นนามธรรมนั้น
    มันเป็นมายาทางจิต ต่อให้คุณเห็นชัดแจ๋ว
    แต่ไม่มีความสามารถ ทำให้คนอื่นๆ
    รับรู้เหมือนคุณ พูดให้คนที่ไม่เข้าใจฟัง
    จะเปลืองน้ำลายเปล่าๆ เค้าจะมองว่าเรา
    มโนและเป็นพวกเพ้อเจ้อยึดนามธรรม
    ดังนั้นอย่าไปให้ความสำคัญ
    และเอาประเด็นการเห็นทางนามธรรม
    มาเป็นตัวชี้วัด. เพราะมันไม่ใช่ประเด็น
    ทางพุทธศาสนาครับ


    ควรเน้นเรื่องปัญญาและ
    ควรเน้นว่า ฝึกแล้วมาวิปัสสนาต่อไหม
    เอาการรับรู้ตรงนี้มาเป็นฐาน
    ในการเข้าถึงนามธรรม ควรเป็น
    เรื่อง รัก โลภ โกรธ หลงต่างๆ
    ไม่ใช่การเห็นโน้นนี่นั่นได้

    และที่บอกว่า ฝึกได้แล้ว สำเร็จแล้วนั่น
    ให้เงียบๆไปอย่าพูดมาก เด่วเจ๊บคอ
    ถ้าหากยังไม่สามารถนำมาใช้งาน
    ให้เกิดประโยชน์สาธารณะได้
    หรือเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้
    ก็เบาๆการฟุ้งบ้าง อย่านอกคอก


    แล้วจำให้มั่นว่าปฎิธาน ท่านที่เป็นต้น
    ฉบับคืออะไร. คิดไม่ออก จะยกตัวอย่างให้

    เช่น รู้ อนาคต อดีต กรรมใคร อะไรรู้ได้ถ้าเป็นเรื่องคนอื่นห้ามสน
    รู้แค่ของตนเองพอ แต่อย่าไปยึด
    ย้ำว่าห้ามไปยึด
    (การทำตัวประหนึ่งเทพลงมาเกิด หลงตัวเอง
    ทั้งหลาย ทั้งที่ความสามารถทางจิต
    ออกงานจริงไม่ได้เพราะยึดทั้งนั้นหละครับ)

    ความชัดเจนในการเห็น หรือเห็นอะไรไม่ใช่
    ประเด็นหลัก(มัวแต่เถียงอวดกันว่าเห็นอะไรชัดไหม สีใสไหม เพราะมันแค่เป็นตัวบอกสภาวะจิตตน
    ณ เวลานั้น ประเด็นคือ การมาวิปัสสนาตัดร่างกาย ไม่ใช่คุย ฟุ้งไร้สาระ อวดการเห็นโน้นนี่นั่น ไร้สาระไปวันๆ พวกนี้คือกิริยา
    พวกที่ชอบเอาท่านมาอ้าง แต่พฤติกรรมนอกคอก พวกนี้ต้องโดนตบกระโหลกให้ร้าวถึงจะคิดได้ครับ)

    ห้ามไปเป็นหมอดูหรือทำหล่อเที่ยวโชว์
    มุขเทพทักคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ
    โดยเฉพาะกับสาวๆ โชว์หล่อกันจัง
    หนักๆย้อนอดีต
    ย้อนไปย้อนมา เป็นชู้ ซั่มกัน
    ผิดลูกเมียเค้าไปทั่ว ไอ้พวกนี้
    นอกคอกไปไกล เป็นเหลือบชนิดหนึ่ง


    ส่วนความสามารถจะพัฒนาเรื่อยๆ
    หากใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
    ตามปฎิธานของท่านต้นฉบับที่สอน
    ยังไงท่านก็อยู่ด้วยครับ โดยที่ไม่ต้อง
    ไปคุยโม้ ไปอ้าง ยกตน
    ให้ท่านเสื่อมเสียหรอกครับ
    ความสามารถมีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
    ไม่ใช่เอาไว้ขาย อย่าทำตัวเป็นเซลโฆษณา
    ประหนึ่งเป็นสินค้า

    ไม่ใช่เอาแต่ท่านไปอ้าง
    อ้างทั้งคำสอน ทั้งการปฎิบัติ
    เอาไปคุยอวดอวด คุยข่มคนอื่นๆ

    โม้แต่นามธรรมทั้งวัน ปฎิธานไปไหน?
    สำนึกบ้าง

    คุยเพื่อให้คนรู้ว่าตนเห็นอะไรมาบ้าง
    คุยเชิงอวดว่าตนไม่ธรรมดา
    เที่ยวทัก เที่ยวทำนาย คนไปเรื่อย
    ทำตนเป็นหมอดู ทั้งที่ไม่มีประโยชน์อะไร
    ทำตัว เป็นผู้ที่อยากให้คน
    ว่าตนเองมีความสามารถ เป็นผู้วิเศษ
    กลัวเดินไปไหนแล้ว ไม่หล่อ กลัวคน
    ไม่มองว่าตนเองไม่ธรรมดา สาวๆไม่กรี๊ด

    โม้และยึดว่าตน เคยเป็นระดับโน้นนี่นั่น
    ลงมาเกิด แล้วยึดเป็นอัตตาตัวตน
    พวกนี้เป็นกิริยาแห่งความเสื่อม
    ต้องระมัดอย่าให้เกิด

    มันยังมีต่ออีกเยอะ สำคัญที่พื้นฐานจิตใจ
    ว่าจะผ่านไม่ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็จมอยู่กับที่
    ถ้าผ่านก็ไปต่อเรื่อยๆ มันมีอีกหลายขั้นตอน
    ไม่ใช่แค่เห็นที่วัด หรือในตำรา กรือที่ได้ยินจากเสียงที่บันทึกไว้หรอกครับ
    มันเป็นอะไรที่รู้ๆกันแต่พูดดังๆไม่ได้ครับ

    เล่าให้ฟังเฉยๆ
     
  12. แนน จันทบุรี

    แนน จันทบุรี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +82
    การฝึก มโนมยิทธิ เป็นการสร้างสมาธิ แต่คำบริกรรมคาถานั้นๆ สามารถทำให้ไปรู้ไปเห็นอะไรๆในสมาธิได้ ที่กล่าวมาตามแบบ หลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ถูกต้องแล้ว แต่ทว่า เมื่อเรารู้เรื่องเหล่านั้นแล้วติดหลงในเรื่องเหล่านั้นรึเปล่า จึงแยก ผู้รู้ กับ คำบริกรรมออกมา ว่ารู้คำบริกรรม และเมื่อจิตทิ้งคำบริกรรมแล้วไปรู้เห็นอะไร ออกจากสมาธิมาพิจารณาติดในอารมณ์นั้นๆรึเปล่า อย่างนี้ จะทำให้ได้ ทั้งสมาธิ และ ประคองจิตพิจารณา
     
  13. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถ้าในทางพุทธศาสนาตามคำสอนของพระศาสดาวัตถุประสงค์เดียวของการหรือจำเป็นต้องสร้างสมาธิจิตเพื่อเกิดจิตสติก็เพื่อเผาทำลายกิเลสในตน จึงเป็นที่มาของยอดเขาที่มีทางขึ้นไม่ได้จำกัดไว้แค่ตามที่ทราบ บางอย่างอาจไม่ระบุไว้เพราะเป็นเรื่องบุคคลแต่ถ้าถึงยอดแล้วก็เห็นผลแบบเดียวกันคือ กิเลสทั้งหลายล้วนเป็นภัยสร้างบาปสร้างเวรไม่สิ้นสุด จะมีฤทธิ์เดชเท่าใดถ้าตกใต้กองกิเลสก็ไม่ต่างจากคนธรรมดา ที่ว่าคนธรรมดาคือต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คุยโม้ คุยฟุ้งกันจัง ว่าจะประหารกิเลส
    ทำลายกิเลส ตัดกิเลส ถามว่า กิริยาแบบไหน
    ที่จะเรียกว่า กิเลส รู้กันหรือยัง
    คำว่า ประหาร ทำลาย หรือ ถอดถอนจากจิต
    รู้กิริยามันหรือยังครับ....
    เข้าถึงกองสังขาร หรือ เหตุแห่งการปรุงแต่งได้หรือยัง
    ถึงพูดกันเป็นต่อยหอย ประมาณว่า มันง่ายๆไม่มีอะไรหรอก



    ตัวโทสะ โมหะ โลภะ มันมีอยู่แล้วในจิตเราเป็นปกติทุกดวงจิต
    ถ้าไม่มีพวกนี้ เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีตัวเราร่างกาย
    เราแบบทุกวันนี้ครับ ถึงได้ปรากฏเป็นไอ้หน้าโง่ๆ
    ที่คิดว่า ตัวเองจะรู้เท่าทันมันได้ เพราะการปฏิบัติเพียงเล็กๆน้อย
    การเข้าถึงสภาวะแบบกระโหลกกระลา หรือ การได้อ่าน
    ตำราแล้วมาคิดวิเคราะห์นะหรือ....ยังอีกยาวไกลครับ

    เอาง่ายๆ แค่ถอนฟันตอนนี้ ถามว่า ยกจิตไปอยู่
    ที่ไหนได้ ณ เสี้ยววินาทีทัน....
    หรือ ณ วินาที จิตทิ้งกายได้ทันทีหรือไม่


    อย่าลืมว่า ทุกคนปกติเวลาจะตาย ร่างกายมันจะเริ่มพัง
    ถามว่า ตอนนั้นมั่นใจได้แค่ไหน ว่าจิตจะไปอยู่ที่ไหน
    ขนาดแค่ ร่างกายยังใช้งานได้ปกติยังไม่เข้าสมาธิ
    ยังไม่รู้เลยว่า จิตตนเองจะไปไหนได้
    ไม่ต้องนั้น ในกรณีที่มีเหตุคาดไม่ถึงนะครับ
    ดังนั้น อย่าประมาทกับการพร้อมที่จะทิ้งจิต
    แม้ในเวลาใช้ชีวิตปกตินะครับ


    ดังนั้น อย่าได้หลงตัวเองว่า โทสะ โมหะ โลภะ
    ตนเองไม่มีแล้ว เนื่องจากได้ยิน ได้ฟัง ได้ปฏิบัติ
    มาแบบกิ๊กก๊อก ไร้ความสามารถทางสมาธิใช้งาน
    หรือแค่ได้ผ่านการปฏิบัติเชิง คิดวิเคราะห์ แยกแยะ
    ตีความ หรือ ได้ใกล้ชิดครูบาร์อาจารย์มีชื่อเสียงท่านต่างๆ
    หรือพอมีปัญญาทางธรรมบางเพียงแค่สองสลึง
    หรือ สามสลึง ยกเว้นว่าจะมีความสามารถทางจิตระดับที่
    เข้านิโรธสมาบัติได้แบบเป็นชั่วโมงหรือข้ามวัน
    หรือเข้าออกฌานได้ ซัก ๑๐ ถึง ๑๒ รอบเหมือนเกจิตเก่งๆ
    ทั่วไปหรือพอจะมีปัญญาญานที่จะค้นถึงเหตุแห่งการเกิดต่างๆได้บ้างจนจิตไม่เกิดอีกแล้วกับเรื่องนั้นๆ
    หรือค้นหาเหตุจนทราบตนตอและจิตเห็นว่า
    เหตุที่ทำให้เกิดนั้นมันเป็นทุกข์
    จนไม่อยากเกิด มันถึงจะไม่เกิดเองในเรื่องนั้นๆ............

    ให้ถาม ตอนนี้ว่า ทำไมถึงเห็นภาพนามธรรมนั้นๆได้
    ตอนหน่อยซิ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เห็น...... ???

    ถามหน่อยซิ ว่า โลภะ โทสะ โมหะ เกิดเพราะอะไร
    ดับเพราะอะไร ทำไมถึงเกิด เกิดเวลาไหน ดับเวลาไหน
    ตอบได้ไหม....??? มีแต่รู้ว่า โลภะ โทสะ โมหะเกิด
    แล้วก็ให้รู้ทันมัน พอมีปัญญาหน่อย ก็ดับได้
    ไม่ต้องไม่ยุ่ง ให้เฉยๆ คนดีไม่ตีใคร นี่มันสัญญาล้วนๆ

    ไม่ใช่มีแต่สัญญาแบบนี้ รู้ว่ามันไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้
    อ้างแต่คำสอน ระดับพระพุทธฯ เกจิ ครูบาร์อาจารย์
    รู้หมดว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ถามว่า
    จิตรู้ไหม ว่าทำไมถึงเกิด ...จ้างก็ตอบกันไม่ได้....


    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ มันไม่ใช่กิเลส มันเป็นภายนอก
    ที่มีอยู่แล้วปกติ........ไอ้โทสะ โมหะ โลภะ ที่มีอยู่ในจิต
    เรียกให้ หล่อๆเท่ห์ คือ อวิชชา นั่นหละ ที่ตัวจิต
    มันส่งตัววิญญานการรับรู้และมันไปดึงเอา
    ลาภ ยส สุข สรรเสริญ เชื่อมกับจิตทำให้จิตเกิด
    อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวเรานั้นหละ
    มันคือ กิเลส..........


    ไอ้สติทางธรรม ที่เราได้จากการฝึกเจริญสติ
    เพื่อให้มารู้เท่าทัน การเกิดเรื่องพวกนี้
    และปัญญาทางธรรมก็ มีเพื่อให้จิต
    มันค่อยๆละ ค่อยๆคลาย เรื่องเล่านี้........

    ตลอดจนปัญญาญาน ที่จะค้นไปรู้ เหตุแห่งการเกิด
    เรื่องเล่านี้ ซึ่งต้องมา เริ่มฝึกสังเกตุจากกำลังสติ
    ว่า เกิดตอนไหน ดับตอนไหน เกิดเพราะอะไร
    ดับเพราะอะไร มันถึงจะพอมีกำลังไปค้นเหตุ
    แห่งการเกิดเหล่านี้


    ถ้ายังตอบไม่ได้ ว่าแค่เห็นภาพนามธรรมซักภาพ
    ทำไมถึงเห็นได้ และภาพเหล่านี้เกิดเพราะอะไร....
    หรือค้นไม่ถึงเหตุว่า ทำไมจิตเกิดเรื่อง โลภะ โทสะ
    โมหะ เพราะอะไรเหตุจากอะไรได้นั้น.......

    อย่าได้มั่นใจอะไรมาก ว่าจะสามารถตัด ประหาร
    ทำลาย กริยาการเกิดของกิเลสต่างๆได้ ......

    มันแค่หลอกให้เราคิดว่าเรารู้ เราฉลาด
    มันหลอกเราแบบนี้ทุกชาตินั่นหละครับ
    ถึงได้มี ไอ้หน้าโง่ๆ อย่างเราๆคุณๆผมๆ
    ต้องเกิดมาเวียนว่ายตายเกิด
    แล้วก็คิดว่า ตนเองรู้ ตนเองเข้าใจ
    อยู่อย่างนี้นั่นหละครับ...


    โทสะ โมหะ โลภะ ในจิต ปฏิบัติได้
    ถึงขั้นไม่มีเหตุอะไรให้มันเกิดได้อีก
    นี่ก็ระดับโปรซีรีย์แล้วครับ......

    แต่ถ้าจะทำลาย กำจัด ประหารให้หมดไปจาก
    ตัวจิตเลย มันเป็นวิสัยของท่านที่มีความ
    สามารถทางจิตที่สูงจริงๆ.....


    ไม่ใช่แบบมาทางสายตำรา ถนัดคิดวิเคราะห์
    แยกแยะ ตีความ ใกล้ชิดครูบาร์อาจารย์มีชื่อบ้าง
    นั่งสมาธิบ้างพอได้กิ๊กๆก๊อก หรือแค่พอมีปัญญา
    ทางธรรมตัดเรื่องที่จิต ไปยึดลาภ ยศ สุข สรรเสริญได้บ้าง
    หรือไม่มีความสามารถทางจิตใช้งานอะไรเลย
    หรือใช้งานได้แต่มีแค่ในระดับกิ๊กก๊อก
    พิสูจน์ออกงานอะไรไม่ได้
    จะเอามาพูดเพื่อให้ตัวเองดูหล่อ ดูเท่ห์ดูดี
    ไปวันๆหลอกครับ.......

    พูดให้ตัวเองหล่อ พูดยังไงก็ได้
    ถามว่า เคยออกสนาบรบจริงๆหรือยัง....

    ทิ้งการส่งตัววิญญานไปดึงเอา ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    จริงๆได้ไหม ? เอาแค่ออกจากบ้าน ไม่ล๊อกประตู
    ตัดห่วงได้ไหม ? รถต้องการคันใหญ่ไหม ?
    บ้านต้องหลังใหญ่ๆไหม ? ยังอยากรวยอยู่ไหม ?
    ยังอยากให้คนยอมรับว่าตนเองเก่งไหม.....?


    ยังชื่นชนในกามคุณ ? ยินดีในการอารมย์ไหม ?
    ไม่ว่าจะรูปก็ดี หรือนามธรรมต่างๆก็ดี......?

    และมีความสามารถทางจิตพอตัวหรือยัง.....?


    ถ้ามีคุณสมบัติอย่างที่ว่ามา
    แล้วมาพูดเรื่อง กำจัด ประหาร ตัดกิเลส
    ต่างๆหรือเอาโทสะ โมหะ โลภะ ที่มี
    อยู่ในจิตออกได้.........

    ไม่ใครคอยมาว่า คอยเบรคอะไรหรอกครับ


    แค่เล่าสู่กันฟัง........

    รำคาญ พวกปัญญาเยอะ รู้เยอะ รู้มาก
    อ่านมาก และ มากความสามารถทาง
    ด้านรับรู้ทางนามธรรมทั้งหลาย เก่งกันเหลือเกิน...

    แต่ตอบไม่ได้ ว่าภาพนามธรรมที่เห็นได้
    เกิดจากอะไร ? ...ทำไมถึงเห็นเป็นภาพนั้นๆได้?

    หรือตอบไม่ได้ ว่าเหตุใดจิตถึงเกิด ?
    หรือตอบไม่ได้ว่า ทำไม ตัวโทสธ โลภะ โมหะ
    มันถึงยังต้องส่งตัววิญญาน ไม่ดึงเอาลาภ ยศ สุข
    สรรเสริญอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามา ?

    ดังนั้นอย่าพากันประมาท
    คนเรามันจะไปนั้น
    มันแค่เสี้ยววินาที ณ เวลา
    ที่จิตมันทิ้งร่างกาย

    อยากรุ้ว่า ตนเองระดับไหน
    เอามีดมาลองกรีดแขนตัวเองเล่นๆดู
    หรือ เวลาถอนฟัน ขูดหินปูน ไม่ต้องฉีดยาชา
    แล้วดูว่า จิตตนเองเวลานั้นไปที่ไหน


    แค่นี้ก็รู้. สภาวะจิตตนเองได้แล้ว
    และไม่ต้องไม่ถามใคร หรืออะไรอีก
    ที่สำคัญจะไม่ถูก ตัวโทสะ โมหะ โลภะ
    มันหลอกให้เราคิดว่าเรา แน่
    จนต้องมาเกิดแล้วเกิดอีก
    อย่างทุกวันนี้ครับ.....

    ปล. แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ความอยากคือต้นตอของทุกสิ่ง และความอยากก็นำพาไปได้ทุกที่ ที่ต้องการ
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ในความเป็นจริงถ้าลดความอยากได้ สิ่งที่ตามมาก็ลดลงได้ แต่ปัญหาคือทำไมถึงอยาก หรือยังอยากอยู่ แม้จะมีโน่นนี่นั่นก็ยังไม่พอ ยังอยากอยู่ กระวนกระวายในความอยาก มันเลยทำให้ไม่รู้ว่ากิเลสอยู่ไหน โทสะ โลภะ โมหะ จึงมีแต่มองไม่เห็นทำให้ การดำเนินไปเป็นเรื่องการฝืน ธรรมยังไงก็ใช้วิเคราะห์และวิจารตนเองได้ดีกว่าวิเคราะห์และวิจารผู้อื่น มันไม่มีผิดและไม่มีถูกอย่างแท้จริง เพราะว่ายังไม่ใช่สิ่งสิ้นสุด สมาธิหรือสติไม่ได้ปิดกั้นอะไรมากไปกว่าทำให้เห็นตนเองให้มากเท่าที่เป็นไปได้ ที่ผ่านมาอาจโง่มากหรือที่ผ่านมาอาจฉลาดมากแต่ว่า ถ้าลงเอยแบบนั้นก็เข้ากับตำราได้ในบางเรื่อง ถึงตรงนั้นก็ต้องหาทางแก้ไขกันเอา จึงอยู่ที่เราจะมองข้ามหรือเห็นว่าเรานั้นสูงส่งหรือเห็นว่าเรานั้นต้อยต่ำ จึงไม่เป็นทาง พูดไปคงไม่เหมาะแต่คิดว่าคนที่ทำสมาธิเพื่อสร้างสติปัญญาย่อมมีเหตุผลที่ดีแน่นอน
     
  17. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    พูดแบบนี้ก็ถูกเลยครับ ถ้าเราเก่งกันจริงคงนั่งป๋อกันที่พระนิพพานไปตั้งนานกันแล้ว ประวัติพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในโลกกลมๆใบนี้นับเป็นล้านๆพระองค์มาแล้ว แต่ทำไมเรายังมาเกิดอยู่บนโลกนี้อยู่ เอาใกล้ๆเลย 2500 กว่าปีที่ผ่านมาเราไม่ทันพระพุทธโคดมพุทธเจ้าเหรอ ทำไมเราถึงไปกับท่านยังไม่ได้ ทำไมท่านยังไม่มาเทศนาธรรมโปรดเราให้บรรลุกันปุ๊บปั๊บเหมือนท่านอื่นๆในอดีต ขนาดท่านองคุลีมารไล่ตามทำร้ายพระพุทธเจ้าแต่ไฉนได้ฟังธรรมจนเป็นพระอรหันต์ได้ ถามว่าแล้วเราตอนนั้นไปมุดอยู่ไหนกัน หรือว่าฉันอยากจะบรรลุเองตอนสมัยที่พระท่านผ่านไปนิพพานกันเป็นคณะหมดแล้ว เคยสงสัยกันไหมครับ หรือว่าเราติดอะไรอยู่ทำไมถึงไปไม่ได้กันสักที ว่ากันตามจริงแล้วมันต้องมีอะไรติดสักอย่างหรือหลายอย่างที่ยังไม่ยอมไปกันแน่ๆ คิดตามจริงนะครับ
     
  18. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    แค่ถ้าให้ผมท่ายเล่นๆ ผมสังเกตเห็นอาการของทุกๆคนที่มีกรรมมาอยู่ร่วมกัน ณ เว็บๆนี้อย่างคุ้นเคยและหนาแน่นคือกะว่าคงจะอยู่คุยกันทั้งชาตินี้ละครับ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนอาจไม่ได้มองเห็นตนเองขณะทำคือ ทุกคนที่ผมเห็นชื่อก็รู้ละว่าข้อความที่เขาจะเขียนไปทำนองไหน ซึ่งทุกคนทำแบบเดียวกันคืออยากเผยแพร่สิ่งที่มีประโยชน์แก่ผู้อื่น และผู้อื่นที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล พวกเดียวกันเดิมๆที่สิงสถิตอยู่ด้วยกันมานมนานทั้งนั้น ดูดีๆจะเห็นว่าคนนั้นก็อยากช่วยคนอื่นให้รู้ธรรม คนโน้นก็อยากช่วยคนอื่นให้รู้ตาม วิสัยนี้คือสิ่งที่คนคิดจะละกิเลสจริงๆคงไม่ทำกันเพราะมันคือการติด ติดหนึบเลยทีเดียว พูดตามตรงมันคล้ายๆวิสัยของคนที่ปรารถนาพุทธภูมิครับ คืออยากจะให้ความรู้ให้แนวทางให้คนอื่นพ้นพูดง่ายว่าอยากช่วยคนอื่นจนลืมว่าต้องเอาเรื่องของตนให้พ้นกันจริงๆก่อนสิ นี่พูดกรณีใครอยากพ้นกันชาตินี้จริงๆนะครับ พระท่านในอดีตที่เป็นพระอรหันต์ดังๆ ขณะที่ท่านยังไม่บรรลุจริงๆท่านยังไม่เสนอตัวมาสอนธรรมหลุดพ้นให้แก่ใครเลย ท่านทำกันจนพ้นกันแล้วจริงๆถึงสอนกัน แต่พวกเราอยู่กันในนี้รีบสอนธรรมกันเร็วเกินไปหรือเปล่าครับ ที่ผมเห็นชัดๆเลย เหมือนว่าชอบการเผยแพร่ธรรมกันทุกคนเลย นี่มันวิสัยของพุทธภูมิครับสังเกตกันดีๆ
     
  19. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    วิสัยของสาวกภูมิ ถ้าท่านบรรลุจริงแล้วคงไม่มีใครคิดเสียเวลามาไล่ตอบกระทู้คนอื่นกันตามเว็บบอร์ดหรอกครับ ถ้าผมเป็นอริยะขั้นพระโสดาบันแล้วเรียบร้อย ผมบอกตรงๆผมไปบวชดีกว่า ผมคงไม่อยากจะมัวเผยธรรมกับใครในเพศฆาราสเท่าไรหรอก ในเมื่อจิตเป็นพระแท้ๆไปแล้ว ก็คงเอากายไปบวชสืบทอดพระศาสนาของพระพุทธท่านด้วย เพราะต้องเร่งรีบทุกฝีก้าวให้จบกิจถึงอรหันตผลกันชาตินี้ให้ได้ พอถึงได้แล้วก็จะเป็นประโยชน์มากมายต่อพุทธศาสนาอย่างเช่น หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ดังๆในอดีต ถ้าเป็นอริยะกันจริงๆการมาฝังตัวเพื่อสอนธรรมในเว็บเทียบกับแบบแรกแล้วถือเป็นสิ่งที่ไม่น่าทำเป็นอย่างยิ่งประโยชน์เทียบกันดั่งช้างกับมด และส่วนตัวก็เข้าใจว่าคงไม่มีพระอริยะจริงคนไหนมาปนกับพวกเราอยู่กันในเว็บนี้ตอนนี้ด้วย
     
  20. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ก็เป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้จำกัดไว้ว่า...มันคงเป็นเรื่องของความศรัทธา ถ้าศรัทธาในวัตถุตัวตนก็เป็นวัตถุตัวตนแต่ถ้าศรัทธาในธรรม ทุกสิ่งคงไม่มีความหมาย เมื่อก่อนก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกันว่า ทำไมพระอริยะเจ้าต้องมาสอนหนือแนะนำคนอื่น แต่ตอนนี้รู้แล้ว เพราะนั่นคือองค์ประกอบหลัก และเป็นจุดเริ่มต้น ภาษาโลกเรียกความเห็นแก่ตัว แม้ยังไม่บรรลุแต่อยู่ระหว่างทางที่เดินเมื่อพบเจอคนอื่นเขาอาจผิดหรือถูกแต่ต่างก็ใช้สิ่งเดียวกันในการชี้บอก เพื่อเกื้อกูลกันไป ถ้ายิ่งสำเร็จจริงถ้าเขาเห็นว่าควรเขาก็คงทำแต่สุดแล้วแต่เขาเพราะเขาอาจเห็นว่าไม่จำเป็นหรือไม่ก็ได้ แต่โชคดีที่เพราะเขาไม่เห็นแก่ตัวและเพราะเขาสนใจในเรืองคนอื่นมากพอๆกับเรื่องของตัวเองเลยต้องทำ ถ้าคนเราไม่เอาเรื่องอื่นมากำหนด เห็นเพียงแค่คำกล่าวมีประโยชน์ก็พิจารณา ไร้ค่าก็พิจารณา สมมุติที่สร้างก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เพราะว่ากันจริงๆ คนทุกข์หรือกำลังทุกข์ย่อมมีความเป็นไปตามนั้น ส่วนเขาเหล่านั้นคงไม่ แต่การให้ค่าจากความคิดที่เป็นการยึดติดย่อมคือการปิดกั้น มันก็มีเท่านี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...