เห็นภาพคลื่นน้ำทะเลซัดท่วมภูเขามาเลย(พี่ที่ทำงานบอกนั่งสมาธิเห็น)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Dhamma2, 19 ตุลาคม 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ดูตัวอย่างได้ในหนัง the day after tomorrow ลูกชายของพระเอก รอดจากความหนาวจัดได้ ก็ด้วยเตาไฟแบบมีปล่องควัน หรือเตาผิงไฟนั่นเองครับ


    เกษตรศาสตร์ นำไทย
    เผยแพร่เมื่อ 18 พ.ย. 2012​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2018
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ชาวมองโกเลีย ใช้เตาไฟแบบมีปล่องควัน สู้ภัยหนาว


    วันนี้(17ก.พ.60) คลื่นความหนาวเย็นถล่มเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางเหนือของจีน ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา ทำให้เกิดหิมะตกหนักและอุณหภูมิลดฮวบ คาดว่าอุณหภูมิในเมืองฮูลุนบูร์ในมองโกเลียใน อาจตกฮวบลงถึงระดับติดลบ 40 องศาเซลเซียสในวันพฤหัสหรือวันศุกร์นี้ โดยปริมาณหิมะที่ตกกระหน่ำ 7 เซนติเมตรภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ทำให้ทัศนวิสัยในเขตไฮลาร์ในเมืองฮูลุนบูร์ ลดลงเหลือไม่ถึง 50 เมตร และทำให้ถนนลื่นมาก สร้างความเดือดร้อนให้แก่ทั้งรถยนต์และคนเดินเท้า และต้องปิดทางด่วนสายจี10 ที่เชื่อมเขตไฮลาร์กับอารุน แบนเนอร์ในมองโกเลียใน รวมทั้งขนส่งมวลชนทั้งหมดด้วย

    ด้านองค์การกาชาดระบุว่า มีชาวมองโกเลียกว่า 157,000 คนได้รับความเดือดร้อนหนักจากภัยหนาวในปีนี้ และกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่มองโกเลีย ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โดยผู้เลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อนในมองโกเลีย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด 3 ล้านคนของมองโกเลีย ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภัยหนาว ซึ่งเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ในปีนี้ เนื่องจากอากาศหนาวรุนแรง ทำให้ปศุสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้ตายลงจำนวนมาก โดยการเลี้ยงปศุสัตว์คือชีวิตของชาวมองโกเลียกลุ่มนี้ เพราะเป็นทั้งอาหาร ใช้เป็นพาหนะ และเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ด้วย

    โดยตัวเลขจากรัฐบาลท้องถิ่นมองโกเลียระบุว่า มีปศุสัตว์ตายไปแล้วกว่า 42,000 ตัว เมื่อนับถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และฤดูหนาวปีที่แล้ว มีปศุสัตว์ตายไปถึง 1 ล้าน 1 แสนตัว อย่างไรก็ตาม ด้านหน่วยพยากรณ์อากาศของมองโกเลียคาดว่า คลื่นความหนาวเย็นจะสิ้นสุดลงในวันเสาร์นี้ และอุณหภูมิจะเริ่มอุ่นขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ไซบีเรียหนาวจัด - 62 องศาฯ ขนตากลายเป็นน้ำแข็ง


    เผยแพร่เมื่อ 26 ธ.ค. 2016

    ไซบีเรียหนาวยะเยือก อุณหภูมิดิ่งลงทะลุ -62 องศาเซลเซียส หนาวจัดขนาดขนตายังเป็นน้ำแข็ง หลายพื้นที่สั่งปิดโรงเรียนแล้ว
     
  4. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391

    สูงสุดคือเป็นคนดี...
    ดีสุดคือทำความดีด้วยใจบริสุทธิ์




    ...เราฝากไว้เท่านี้แหละ...
     
  5. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    ในเว็บพลังจิตนี้เหมือนมีหนังสือมากมายให้อ่านไม่รู้จบ ตามแต่ใครจะหยิบจะจับ บางคน
    บอกอ่านเล่มนี้ดีจัง ถูกใจฉัน เหมือนที่ฉันคิด บ้างคนอ่านเล่มนี้ บอกไม่จริง อย่าไปเชื่อ
    ไม่เหมือนที่ฉันคิด แต่ถ้ามาพิจารณาแล้ว ไม่ว่าเล่มไหนคนอ่านหนังสือ คิด พิจารณา แล้ว รู้จักเอาไปใช้ประโยชน์ ก็โชคดีของคนอ่าน อยากให้คนอ่านหนังสือมองหลายมุมหน่อย
     
  6. รักโพธิญาณ01

    รักโพธิญาณ01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2018
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +98
    ปีหน้าผมหวังว่า คงไม่เกิดภัยพิบัติธรรมชาติแน่นอนผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติหรอก สิ่งที่แน่ๆทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลให้ดีที่สุดในวันนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ทำในปัจจุบัน กรรมใครกรรมของคนนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นอย่างน้อยเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างเพื่อความไม่ประมาทในชีวิตเพราะฉะนั้นแล้วเราจะเตรียมตัวตายไม่ทัน ระลึกถึงสิ่งที่ดีอะไรไม่ทันเลย ไม่มีโอกาสแก้ตัวใดๆอีกเลย ตายแล้วตายเลย ตอนนี้ต้องระลึกถึงมรณนุสติทุกเวลานะ จะได้ไม่กลัวตายไงล่ะครับ อันที่จริงแล้วเราตายซ้ำตายซ้อนมาหลายภพหลายชาติแล้ว เพียงแต่เราจำไม่ได้เท่านั้นเอง ถ้าตายจริงๆต้องตายจากกิเลสถือว่าเข้าสู่พระนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น หมดเชื้อเกิดแล้วครับ
     
  7. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ไม่มีอะไรแค่ย้ายเพลงo_O..มาไว้ฟัง:):)
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    รีวิวที่อุดหูกันเสียง Earplugs 7 ชนิด โดยกุ๊กกิ๊กหม่าล่า

    เผยแพร่เมื่อ 14 มิ.ย. 2018​
     
  9. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    เรื่องภัยพิบัตินั้นมีผู้รู้ออกมาเตือนหลายท่านเกี่ยวกับเกิดและไม่เกิด. ดังนั้นเป็นสิทธิของเราว่าจะเลือกเชื่อใคร เพราะทุกท่านที่ออกมาเตือนก็ล้วนแล้วแต่หวังดีทั้งสิ้น. เพราะฉะนั้นจะเกิดหรือไม่ เราต้องพิจารณาของเราเอง และถ้าไม่เกิดก็ไม่ควรไปตำหนิผู้ที่ออกมาเตือนเพราะท่านก็เห็นของท่านเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อเอง.....
     
  10. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    ทุกอย่างมันถูกกรรมกำหนดไว้หมดแล้ว

    เลือกเชื่อก็ถูกกรรมกำหนดให้เป็นไป


    เลือกไม่เชื่อก็ถูกกรรมกำหนดให้เป็นไป


    การเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม....
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ครับ ผู้ที่มีพรสวรรค์ ทั้งหลาย
    เค้าก็เริ่มจาก ฝึก แล้วก็ฝึก
    แล้วก็ฝึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ฝึกจน เค้า ได้รับ พรสวรรค์ นั้น
    พรสวรรค์ จึงก่อเกิดจาก พรแสวง ครับ
     
  12. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    ท่านดาราแฟร์...ทำไมเงียบจัง..

    ...ที่นี่ลมแรง...อากาศเย็น...
     
  13. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    บอกคุณน้าดาราแฟร์ อย่าเพิ่งหนีไปหลบภัยมาอยู่น้องๆหลานๆก่อน ยังไม่ถึงเวลาเลย.....

    ทำเป็นไมค์ภิรมย์พรไปได้

    เก็บเอาไว้ก่อน คำว่าลาก่อน
    เอาเพลงกลับคำสาหล่าไปฟังก่อนอิอิ
     
  14. nan_nori

    nan_nori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    470
    ค่าพลัง:
    +799
    ......
     
  15. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391
    คนเราเนาะ....ขี้เกียจแม้แต่พิมพ์:D:D
     
  16. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391

    เราได้อธิษฐานจิต อุทิศบุญกุศลทั้งหมดให้กับทุกดวงจิตทั่วทั้ง3แดนโลกธาตุและทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล...งานของเราเสร็จแล้ววันนี้...

    ...ทุกท่านก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ด้วยแล้วกันนะ...






    ...สวัสดี...
     
  17. nan_nori

    nan_nori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    470
    ค่าพลัง:
    +799
    รู้ใจ ฮ่าฮ่าฮ่า:D:D:D
     
  18. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    บทความเกี่ยวกับการแบ่งจิตและการอวตาร
    ปล.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ



    เรื่องนี้ เป็นเรื่องอจินไตย คือ คนที่จะรู้และบุคคลผู้จะทำ บางคนหรือบางบุคคลเท่านั้นจะรู้หรือจะทำได้

    การแบ่งภาค เอาจริงๆ มีที่มาจาก เรื่องเดียวกัน แต่พอมาเล่าต่อกัน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และพอมาเป็นนิทานทางศาสนา ก็ไปกล่าวหาว่า เป็นเรื่องแต่งหรือความเชื่อ และก็คนที่เล่าต่อ ก็มามั่วจนคนที่มาอ่านภายหลัง ก็คิดว่า เป็นแค่เรื่องแต่ง

    เรื่องจริงเรื่องเดียวกัน เกิดได้กับ หน่อพุทธางกูร เท่านั้น
    อย่างเช่น ที่กล่าวว่า พระโพธิสัตว์สามารถอธิษฐานจุติมาเกิดเป็นมนุษย์แม้ยังไม่สิ้นอายุขัยตอนเป็นเทวดา ซึ่งหมายถึง เทวดาทั่วไปย่อมไม่สามารถ เลือกเกิดได้ ตามที่อธิษฐาน เว้นแต่จะหมดบุญ หรือจังหวะ หมดบุญพอดี

    การแบ่งภาคก็ดี การอวตารก็ดี
    มีความจริงแค่นี้ว่า พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นจอมเทพ ระดับ พระศิวะ พระนารายณ์ เท่านั้น ไม่ปรากฏเป็นเทพอื่นใด เพราะศักยภาพของเทพ ต่างกัน

    จอมเทพระดับพระศิวะ พระนารายณ์ ต้องเป็นผู้บำเพ็ญบารมีในช่วงใดช่วงหนึ่ง ต่อเนื่องจนเป็นผู้ให้ชีวิตทวยเทพได้ หรืออภิบาลทวยเทพ (เพราะบำเพ็ญในการช่วยชีวิต หรืออภิบาลรักษาชีวิตและความสุขของมหาชนมายาวนาน ตอนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่ชาติเดียว แต่ต่อเนื่องหลายชาติทีเดียว)

    ความสามารถนี้ ดุจความสามารถของพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่สามารถช่วยคนได้มากทั่วทั้งโลก ไม่ว่ามุมใดของโลก พระโพธิสัตว์กวนอิมก็ปรากฎตัวช่วยเหลือทางจิตวิญญาณคนได้

    การแบ่งภาค หรือการอวตาร เป็นของพระโพธิสัตว์ที่เสวยชาติเป็นพระศิวะ หรือพระนารายณ์เท่านั้น บุคคลทั่วไปถ้าไม่มีปณิธานเป็นพระโพธิสัตว์ การจะอุบัติเป็นพระศิวะ พระนารายณ์ย่อมทำไม่ได้ (ยกตัวอย่าง พระนเรศวร ที่ยอมต้องมาทุกข์ยาก มาทำกรรมฆ่าสัตว์(ฆ่าคน)เพื่อช่วยชีวิตปวงมหาชนชาวสยาม และอภิบาลรักษาสมณะชีพราหมณ์ให้บำเพ็ญสมณะได้ พระองค์ไม่ได้ทำแบบนี้ แค่ชาติเดียว และที่ทำก็เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เป็นหลัก มองประโยชน์ของสรรพสัตว์เป็นหลัก ทรงยอมรับวิบากกรรมจากการฆ่าคนด้วยเช่นกัน)

    การแบ่งภาค หรือการอวตาร จริงๆ คือ การที่พระโพธิสัตว์ ที่เสวยชาติเป็นพระศิวะ พระนารายณ์ไม่ยอมเสวยทิพย์สมบัติของตน แต่ยังลงมาเกิด (ทั้งดวงจิต) มาเป็นมนุษย์เดินดิน มาบำเพ็ญบารมีช่วยปวงมหาชน หรือบำเพ็ญบารมีอื่นใดต่อ

    แต่ในช่วงเวลานั้น เหล่าฤาษี ซึ่งบำเพ็ญเพียรตามพระศิวะ ย่อมแสวงหาพระศิวะเพื่อให้พร (เหมือน พระโพธิสัตว์เป็นผู้นำคนออกบวช แล้วสาวกทีปฏิบัติต้องมาถามแนวปฏิบัติ) พร ไม่ได้หมายถึง พร ที่ประทานให้โดยไม่ทำอะไร พร ที่พระศิวะ พระนารายณ์ให้ ล้วนมาจากการที่บำเพ็ญส่งเสริมคนทำความดี (พื้นฐาน ของเทวดา คือ การช่วยเหลือผู้คนที่ทำความดี อุปมา นางเมฆลา ที่ต้องเหาะในมหาสมุทร ถ้าพบคนดีตกน้ำ ต้องช่วยเหลือนั้นแหละ เป็นหน้าที่(ที่เกิดจากจิตใจดีงามตามประสาเทพ))

    ปัญหา ในความเป็นจริง คือ ยามที่พระศิวะ จุติไปแล้ว ฝ่ายพวกฤาษีก็หาพระศิวะไม่เจอ ฤาษีฝ่ายที่มีกำลังญาณกล้ากว่า จะมองไปถึงการจุติ ก็จะบอกว่าพระองค์อวตารเป็น ฤาษี ชื่อนั้นชื่อนี้ได้ นอกจากนี้ พวกฤาษีบางพวกที่ญาณไม่แก่กล้าแต่เริ่มฝึกฝน เวลาบูชาพระศิวะ ก็ได้เห็นพระศิวะมาให้พร ได้ ทั้งที่ ท่านก็จุติไปแล้ว ก็เพราะว่าท่านอธิษฐาน (ตามกระทู้นี้เรียกว่า ภูติพระพุทธเจ้า สำหรับกรณีพระพุทธองค์ แต่พระโพธิสัตว์ ก็มีการอธิษฐานครอบคลุมก่อนจุติไปถึง ในช่วงที่ไม่มีพระศิวะ พระนารายณ์นั้นแหละ เพราะนั้นคือ ข่ายสัตว์ที่โปรดอยู๋ (การอธิษฐาน จัดเป็นสิ่งที่มีกำลังมาก เพราะบารมีจะทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่ตัวท่านทำ บารมีธรรมของท่านทำงานเองได้)

    แต่ที่คนสับสน คือ การแบ่งภาค หรือการอวตาร โดยที่ยังมีร่างของมหาเทพ ทั้งสองอยู่ ต่างหาก และสนทนาได้ด้วย ในขณะที่ร่างอวตารก็มีดวงจิตต่างหาก

    ตรงนี้ มีความพิศดาร สองระดับ ที่มีการเล่ากันมาในการสัมผัสทางทิพย์
    ระดับแรก มีการยอมรับเป็นการทั่วไปว่า บุคคลที่ทำความดี และใกล้จะตายในโลกมนุษย์ บางคนจะเห็นว่า เค้าคนนั้นมีร่างเทพ และวิมานเกิดขึ้นแล้ว (แต่จิตยังไม่ลงไป)

    ระดับที่สอง ระดับนี้ยากมาก คือ การเกิดดับ ของเทพไม่ปรากฎให้เห็นรอยต่อ เรื่องนี้ ตามพระไตรปิฎก พระอินทร์ท่านได้หมดบุญในเวลาก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน ตามปรกติ ต้องจุติ (คือ ดับไป ตายไปจากเทวดา หมดบุญไปรอบหนึ่ง) แต่เมื่อท่านบรรลุพระโสดาบัน ท่านมีบารมีที่สามารถเป็นพระอินทร์ต่อได้เลย (บุญจากการเป็นพระอินทร์ สามารถเวียนมาให้ผลทันทีโดยไม่ต้องมีวิบากกรรมอื่นคั่น ความนัยเรื่องนี้ ปรากฎในพระไตรปิฎก ว่า บุคคลที่ทำบุญกับพระพุทธเจ้าก็ดี พระอริยเจ้าก็ดี อานิสงค์เกิดเป็นพระอินทร์กี่ชาติ พระมหาราชากี่ชาติ) ท่านพระอินทร์จึงอุบัติขึ้นซ้อนกายเดิมที่ดับไป ต่อเนื่อง มองด้วยตามนุษย์ไม่อาจเห็นได้ว่า ท่านได้ตายไปชาติหนึ่งแล้ว แต่ต้องรู้ด้วยอภิญญาของบางบุคคลเท่านั้น

    กรณีระดับที่สอง เป็นกรณีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเป็นผู้ให้ชีวิต อภิบาลชีวิตของมหาชนเป็นเวลายาวนานหลายชาติ จนอานิสงค์แห่งการเป็นพระศิวะ (ผู้อำนวยพรให้แก่ผู้บำเพ็ญเนกขัมมะ) หรือพระนารายณ์(ผู้อภิบาลรักษาปวงชน) มีอานิสงค์มาก จนไม่อาจมีใครมาเป็นพระศิวะ พระนารายณ์แทนท่านพระโพธิสัตว์ท่านนั้นๆ ได้ ในช่วงเวลานั้นๆ แม้จะไปจุติเป็นราชา หรือฤาษี อานิสงค์ที่จะเป็นพระศิวะ หรือพระนารายณ์ก็ยังมีอยู่ รอท่าอยู่ จึงปรากฎ(แต่ร่างกาย จึงกล่าวว่า พระวิษณุบรรทมอยู่ พระศิวะเข้าฌาณ)
    ความจริง ความเข้าใจในเรื่อง จริง มีเท่านี้

    ส่วนที่มาแต่งเฝือไป เป็นคนที่ไม่ได้ทราบด้วยญาณปัญญา แต่เป็นไปฟังที่เค้าบอกต่อกันมา ก็เพี้ยนไป จนสุดท้าย ถึงขั้นไปว่า ไม่มีอยู่จริง

    นอกจากนี้ ไม่นับอิทธิฤทธฺ์ของเทพ ธรรมดาทั่วไป มีคนสงสัย เทวดาผู้ชายมีชายา พันองค์ แล้วเทพชายาไม่แย่งชิง หึงหวงแบบมนุษย์รึ

    ก็ท่านสามารถ เป็นพันองค์ต่อเทพชายาทั้งพันได้ การหึงหวงก็ดี จึงไม่มี

    อันนั้น เป็นหลักฐานธรรมดา แต่ในกรณีที่พระโพธิสัตว์มีบารมีมาก ในช่วงเวลาหนึ่ง หรือถ้าเป็นนิตยโพธิสัตว์ขั้นปรมัตถบารมี อันนั้น ไม่ต้องพูดถึง

    เรื่องนี้ การแบ่งภาค การอวตาร กลายเป็นความเชื่อฝั่งฮินดู
    แต่การปฏิบัติ หรือเรื่องจริงเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ ที่มีบารมีถึงขั้นเป็นพระศิวะ พระนารายณ์ สามารถทำได้ครับ ในกรณีที่ถ้าอานิสงค์ยังไม่ส่งให้เป็นพระศิวะ พระนารายณ์ ก็หมายความว่า ข่ายสรรพสัตว์อยู่ในช่วงกระจัดกระจาย ตามวิบากกรรมของสรรพสัตว์ในข่าย ถึงแม้พระโพธิสัตว์สามารถอย่างนั้น แต่ความจำเป็นไม่มีครับ เพราะว่าสรรพสัตว์ในข่ายไม่ได้มาบำเพ็ญบารมีแบบฤาษี

    ณฉัตร, วันนี้เมื่อ 16:00
     
  19. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908

    การอวตารและการแบ่งภาคของดวงจิต

    (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ)
    ไม่รู้จริงหรือไม่จริงค่ะเพราะปฏิบัติยังไม่ถึง




    จิตคนเรามี ๘๙ ถึง ๑๒๑ ดวง แต่ละดวงจุติเป็นคนได้หนึ่งคนเรียกว่าแบ่งภาค



    ตาม ตำราไตรปิฎกกล่าวถึงดวงจิตว่ามี ๘๙ ดวง แต่ถ้าเป็นจิตที่พิสดารจะมีถึง ๑๒๑ ดวงจำแนกได้เป็นประเภทตามอาการที่รู้นั้นได้เป็น ๔ ประเภท คือ

    ๑. กามาวจรจิต ๕๔ ดวง
    ๒. รูปาวจรจิต ๑๕ ดวง
    ๓. อรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง
    ๔. โลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง


    อันนี้อ้างอิงตามตำราพระไตรปิฎกฉบับ “เถรวาท” ไม่ใช่มหายานแต่อย่างใด อนึ่ง ยังมีอีกว่าจิตที่ขณะจะจุตินั้นจะมีหนึ่งดวงเสมอ เรียกจิตดวงนั้นว่า “จุติจิต” เมื่อจิตจุติไปแล้วเพียงหนึ่งขณะซึ่งสั้นมากกว่าเสี้ยววินาทีนั้น จะเกิด “ปฏิสนธิจิต” คือ จิตที่จุติแล้วจะเกิดใหม่ทันที เช่น เกิดในภพภูมิใหม่ เป็นเทวดาเป็นต้น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าจุติจิตมีดวงเดียว จากนั้นดวงนั้นแหละที่ดับลงแล้วเกิดเป็น “ปฏิสนธิจิต” และปฏิสนธิจิตนี่เอง นับได้ว่ามีวิญญาณขันธ์มาปรุงด้วย นับเป็นจิตวิญญาณสมบูรณ์ มีกายทิพย์สมบูรณ์ เรียกว่าเกิดใหม่เป็นเทวดาได้หนึ่งองค์ หรือหนึ่ง ชีวิต ดังนั้น “หนึ่งดวงจิต ก่อเกิดได้หนึ่งชีวิต” แล้วคนเรามีจิตตั้ง ๘๙ ดวง หากฝึกจิตได้พิสดารก็มีได้ถึง ๑๒๑ ดวง เชียว ขอถามชัดๆ ตรงตามหลักไตรปิฎกเถรวาทเถิดว่า “จิตในกายนั้นมีถึง ๘๙ ดวง เมื่อตายลง จะเกิดเป็นจิตวิญญาณกี่ดวง” ก็ต้อง ๘๙ จิตวิญญาณ หรือ ถ้าเป็นเทวดาหมด ก็ต้องเป็นเทวดา ๘๙ องค์ ใช่หรือไม่ อันนี้ ไม่ต้องคำนวณยุ่งยากเลย ตรงไปตรงมามาก นี่คือ ธรรมดาของคนทุกคน คือ ตอนเกิดมาใช้จิตดวงเดียวเกิดเป็นคนได้หนึ่งคน เรียกว่าจุติจิต จิตที่มาจุตินั้นมีดวงเดียว จากนั้น จำนวนดวงจิตไม่คงที่เปลี่ยนแปลงไป สรุปตามไตรปิฎกจะได้จำนวนดวงจิตทั้งสิ้นในกาย ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงตามแต่เหตุปัจจัย ดังนั้น จิตจะเพิ่มขึ้นหลังมาเกิดแล้วใช่ไหม แต่ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งตายลง หนึ่งสังขารนั้น จะปลดปล่อยดวงจิตให้ออกมาจากร่างได้ ๘๙ ดวงหรือ ๑๒๑ ดวง เหมือนกันทุกคนตามหลักไตรปิฎก ส่วนหน่อพระโพธิสัตว์นั้น หากเหลือจิตดวงเดียวในกายจะแบ่งภาคจิตได้อีก คนธรรมดาทำไม่ได้


    สมมุติ พระกวนอิมมาจุติ จะมีจิตดวงเดียวที่มาจุติแต่เมื่อเติบโตขึ้น ก็จะมีจิตในกายสังขารทั้งสิ้น ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงตามตำราไตรปิฎก แต่เมื่อกายสังขารของพระกวนอิมแตกสลายไป ก็จะปลดปล่อยดวงจิตออกมาทั้งสิ้น ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงใช่ไหม อันนี้ไม่ต้องคำนวณมาก จากจิตแต่ละดวงก็จุติต่อไปได้อีก หนึ่งดวงก็จุติเป็นเทวดาได้หนึ่งองค์ เทวดาหนึ่งองค์มีจิตดวงเดียว แต่คนเราหนึ่งกายสังขารมีจิต ๘๙ ดวงหรือ ๑๒๑ ดวง อันนี้ของให้ทราบด้วยว่าต่างกัน กายสังขารของเราเหมือนภาชนะบรรจุดวงจิตได้มากมาย เช่นนี้ทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าจะต้องเป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ ใช่หน่อพระโพธิสัตว์หรือเปล่า นี่ว่ากันตรงๆ ตามตำราเปะๆ เลย ทุกคนเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด เป็นธรรมชาติของจิต ระหว่างการเติบโตของมนุษย์ จากจิตดวงเดียวที่เรียกว่าจุติจิตนั้น ได้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครบถ้วนแล้ว ก็มีจำนวนดวงจิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวง อ้าว แล้วมาจากไหนตั้งมากมายละนั่น ง่ายๆ จ้ะ ทางมหายานเขามีศัพท์เรียกว่า “แบ่งภาคจิต” คือ จากจิตหนึ่งดวงที่จุติมา พอจิตมีกำลังจิตมากขึ้น เหมือนเชื้อเห็ด พอเอามาเพาะเข้าก็แยกหน่อแยกออกมา ธรรมชาติของจิตก็ไม่ต่างจากธรรมชาติของเห็ด, ไผ่, ต้นไม้มีเหล่ากอ ฯลฯ ธรรมชาติเหมือนกัน เหมือนกันโดยธรรมชาติ ไม่ต่างกันตรงไหน ทุกคนเหมือนกันอย่างนี้หมด ยุติธรรม เท่าเทียม เพราะเป็นธรรมชาติ


    อันนี้ ขอให้เขาใจตรงกันเสียทีนะครับว่าจิต และจำนวนดวงจิตในกายเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร จะได้ไม่เกิดการเถียงกันอีกกับคำว่า “แบ่งภาคและอวตาร” เช่นนั้น คิดต่อสิครับ สมมุติว่าพระอชิตะผู้ได้รับคำทำนายว่าเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยละสังขารลงจะ ปลดปล่อยดวงจิตออกมากี่ดวง แท่นแท้น.... อย่างน้อย ๘๙ ดวง อย่างมาก ๑๒๑ ดวง ใช่ไหมครับ


    ไม่ ยากใช่ไม่ อย่า งง นะครับ ตรงไปตรงมาตามตำรา พลิกบทบาทกันครับวันนี้ เอ้างั้น ย้อนเวลากลับไปใหม่ สมมุติ ก่อนที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะมาเกิด พระศรีอาริยเมตตรัยก็ได้รับคำทำนายแล้ว (ในไตรปิฏกก็บันทึกไว้ว่าท่านได้รับคำทำนายมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม แล้ว) งั้น ในยุคนั้น ถ้าท่านตายลงจะมีดวงจิตกี่ดวงปลดปล่อยออกมาจากกายสังขารของท่าน ติ้กต่อกๆ ตอบ ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงใช่ไหมครับ


    แหม ไม่ยากเลย คิดต่อนะ ถ้างั้นในยุคนั้น จิตดวงหนึ่งก็จุติเป็นคนได้หนึ่งคนใช่ไหม เช่นนั้น ก่อนยุคที่พระพุทธเจ้าสมณโคดมจะมาตรัสรู้ พระศรีอาริยเมตตรัยก็ได้รับคำทำนายแล้ว ตายแล้ว จิตออกจากร่างมาแล้วไม่น้อยกว่า ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงใช่ไหมครับ อย่างนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า ดวงจิตมากมายนั้น มาเกิดเป็นคนมากกว่าหนึ่งคน เพราะจิตเพียงดวงเดียวก็เป็นคนได้หนึ่งคนแล้วนี่ครับ นี่ตั้ง ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงนั่น อาจไปจุติเป็นเทวดาบ้าง คนบ้าง ก็ว่าไป สรุปตรงนี้ ไม่จำเป็นว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะต้องมีคนเดียวในสมัยพุทธกาล เพราะดวงจิตของท่านมากกว่า ๑ ดวง อาจมาเกิดเป็นคนมากกว่าหนึ่งคน นั่นคือ พระมหากัจจายนะไงละครับ ที่พระสาวกสายมหายานนับถือกันว่าคือตัวตนที่แท้จริงของพระศรีอาริยเมตตรัย ในขณะที่เถรวาทนับถือว่าพระอชิตะต่างหากที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของพระศรีอา ริยเมตตรัย แต่เป็นไปได้นี่ใช่ไหมครับว่าใช่ทั้งสองท่านเลย ทว่า แม้ดวงจิตจะมีมากขนาดนั้น เป็นคนได้มากขนาดนั้น แต่เวลาจุติลงไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี่สิ ใช้แค่ดวงจิตเดียวนะครับอย่าลืม แปลว่าอะไรหรือ แปลว่าแม้แต่จิตแต่ละดวงของพระศรีอาริยเมตตรัยเองก็ต้องแข่งกันละครับว่าดวง ไหนจะได้เป็นจุติจิตที่จะลงไปตรัสรู้ แปลอีกหน่อยคือ พระมหากัจจายนะ และพระอชิตะก็ต้องแข่งกันในฐานะที่เป็นจิตหนึ่งในกายสังขารเก่าของพระศรีอา ริยเมตตรัยทั้งคู่ไงละครับ OK?


    วัน นั้นผมได้ขอให้ท่านผู้ฝึกจิตท่านหนึ่งถอดกายทิพย์ไปถามพระสาวกของพระ พุทธองค์ว่าตกลงใครกันแน่ที่เป็นพระศรีอาริยเมตตรัยระหว่างพระอชิตะและพระ มหากัจจายนะ ผลปรากฏว่าพระสาวกองค์หนึ่งกล่าวว่าพระอชิตะ อีกองค์หนึ่งกล่าวว่าพระมหากัจจายนะ ผู้ถอดกายทิพย์ท่าจะเกรงใจพระพุทธองค์ที่ทรงประทับเป็นประธานอยู่เลยแอบกลับ มาบอกก่อน จะถามพระพุทธเจ้าก็ไม่กล้า (ท่านเหล่านี้นิพพานหมดแล้วครับ แต่ที่เห็นและสื่อสารได้ใช้สัญญาขันธ์ของเราปรุงเอาครับ ภาวะจิตของเราไม่อาจเห็นสภาวธรรมระดับนิพพาน) สรุปไม่ได้ว่าเป็นท่านใด แปลว่า ต้องบำเพ็ญแข่งกันไปเองละครับท่าน ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ต้องดูกันต่อไป อันนี้เล่าให้ฟังเล่นๆ ไม่น่าเชื่อเท่าไร ถือว่าไม่ได้พูดก็แล้วกัน


    คน เราทุกคนนั้นมีจำนวนดวงจิตเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น บางท่านประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ทำให้สภาพจิตใจเปลี่ยนไป เอ๋อๆ เด๋อๆ เหมือนคนไม่เต็มบาตร เพราะดวงจิตไม่ครบไงครับ ขณะประสบอุบัติเหตุ ดวงจิตบางดวงได้จุติออกจากร่างไปและหาทางกลับร่างไม่ได้ คนไทยโบราณบรรพบุรุษของเรา เขาเรียกกันว่า “ขวัญหาย” ต้องมาทำพิธีรับขวัญ, สู่ขวัญอย่างที่นิยมมากๆ ในภาคเหนือและภาคอีสานนั่นไงละครับ ขึ้นบายศรีสู่ขวัญก็ดี ผูกข้อมือสู่ขวัญก็ดี มีหมอร้องเพลงเรียกขวัญ ทำขวัญก็ดี จะทำกันในพิธีสำคัญๆ ครับ เพื่อเรียกดวงจิตทั้งหมดกลับเข้าร่าง เพื่อจะได้บุญทุกดวงจิตไงครับ เช่น ก่อนบวชก็ต้องเรียกขวัญ ดึงดวงจิตทุกดวงกลับเข้าร่างก่อน บวชแล้วจะได้บุญครบทุกดวงจิต อันนี้บรรพบุรุษเราทำกันมา คิดว่าท่านคงไม่ดูถูกว่าเป็นความงมงายนะครับ


    จำนวน ดวงจิตนั้นถ้าน้อย แต่มีปัญญาแจ้ง ก็ไม่มีปัญหาเป็นพระอรหันต์ได้เต็มตัว ถ้ามีหลายดวงจิตก็ต้องบริสุทธิ์ทุกดวงจิตจึงนับว่าอรหันต์สมบูรณ์ แต่ถ้าบริสุทธิ์บางดวงจิต บางดวงยังเหลือไว้เวียนว่ายตายเกิดใหม่ อันนั้นเป็นสูตรปฏิบัติธรรมของมหายานครับ เรียกว่า “อรหันตโพธิสัตว์” ถ้าจะให้ได้อรหันต์ตามสูตรเถรวาทต้องบริสุทธิ์ทุกดวงจิตครับ มีเรื่องเล่าจากหลวงพ่อโตทิ้งไว้ว่าพระอรหันต์ชินปัญจระ จุติไปเป็นท้าวมหาพรหมชินปัญจระ อันนี้แปลกไหมครับ พระอรหันต์ทำไมไม่นิพพาน ทำไมยังจุติเป็นพรหม


    อ่า ท่านผู้มีปัญญาและมีบุญได้อ่านบทความของข้าพเจ้ามาถึงจุดนี้น่าจะตาแจ้งได้ แล้วใช่ไหมครับว่าหลวงพ่อโตไม่ได้เพี้ยน ที่กล่าวว่าพระอรหันต์ชินปัญจระไปจุติเป็นท้าวมหาพรหมได้ เพราะอะไรก็ง่ายๆ พระอรหันต์ชินปัญจระมีจิตอย่างน้อยในกายสังขารนั้น คือ ๘๙ ดวง หรืออย่างมาก ๑๒๑ ดวง หนึ่งในจำนวนดวงจิตทั้งหมดนั้นได้จุติเป็นท้าวมหาพรหมนั่นเอง ของกล้วยๆ ส่วนดวงจิตบางดวงก็นิพพานไปเช่นนั้นเองไม่แปลกเลย


    นั่น แปลว่าอะไร คิดต่อสิ ติ้กต่อกๆ แปลว่าพระอรหันตโพธิสัตว์นั้นมีมาแต่ยาวนานมาก แต่ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่นะสิครับ ปนๆ กันอยู่มานานแล้ว ทั้งส่วนที่เป็นอรหันตสาวก และส่วนที่เป็นอรหันตโพธิสัตว์ แปลว่าตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่แม้ไม่ได้แบ่งแยกนิกายเป็น เถรวาทและมหายาน แต่ในทางปฏิบัติก็เกิดความแตกต่างกันมีสองแบบมาตั้งแต่นั้นแล้วนั่นเอง อ่านมาถึงตรงนี้ พอจะหายคลุมเครือจากข้อมูลเก่าๆ บ้างหรือยังครับ ถ้าไม่งง ขอต่อยอดความคิดต่อไปนะครับว่าด้วยเรื่องของจิตนะ


    จำนวน ดวงจิตในกายสังขารของมนุษย์มีมากไม่ใช่ดวงเดียวแบบเทวดาที่ไม่มีกายสังขาร และสามารถเพิ่มหรือลดลงได้ดังที่กล่าวแล้วในกรณีรถพลิกคว่ำจนต้องมี “การทำขวัญ” ดังกล่าวข้างต้น ที่นี้มาดูกันต่อว่าเมื่อมีดวงจิตมากหรือน้อยนั้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร


    ถ้า มีดวงจิตเดียว ดวงจิตนั้นไม่ได้บรรลุธรรม จะเป็นเอ๋อ ไม่เต็มบาตร มีกิเลสน้อย (จิตมีจำนวนมาก กิเลสก็เพิ่มมาก พอดวงจิตน้อย กิเลสเลยดูเหมือนน้อย) เช่น ในคนที่เป็นโรคเอ๋อจริงๆ ก็ตกในสภาพเช่นนั้น บางคนที่แรกๆ เป็นเอ๋อ แต่พอต่อสู้ชีวิต มีพละกำลังจิต กำลังใจ ทำให้ดวงจิตที่น้อยนั้น กลับเข้ามาสู่ตัว ดวงจิตที่เคยจุติออกไปอยู่ภพภูมิอื่นนั้นก็เข้ามาช่วยการทำงานของร่างกาย และควบคุมกายสังขารได้ดีขึ้น ทีนี้ ไม่ต้องไปหาหมอที่ไหนละ เห็นวิธีแก้โรคเอ๋อแล้วใช่ไหมครับ โรคนี้ไม่ใช่ของแปลกเป็นได้ทุกคนครับ


    คนที่มีดวงจิตในกายน้อย เสี่ยงที่จะละสังขารได้เร็ว พูดง่ายๆ “ชะตากำลังขาดครับ” ในคนที่มีจิตดวงเดียวหรือเหลือดวงจิตในกายน้อยมาก มักถูกทักให้ไปรับขันธ์บ้าง รับขวัญบ้าง อันนี้ ชาวบ้านที่ปฏิบัติตามบรรพบุรุษของไทยมาคงไม่โง่งมงายเกินไปใช่ไหมครับ คนบางคนชีวิตย่ำแย่จริงๆ เมื่อดวงจิตจุติออกจากร่างไปมาก เหลือดวงจิตในกายน้อย ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิตและความคิดจิตใจ บางคนถูกทักว่า “บ้า” บ้าง, “ประสาท” บ้าง, “เพี้ยน” บ้าง, “เอ๋อ” บ้าง, และเด็ดสุด “ติงต๊อง” ทีนี้เข้าใจหรือยังครับว่าทำไมบางคนถูกทักว่าติงต๊อง นี่เป็นเรื่องธรรมดาครับ ธรรมชาติเป็นกันได้ทุกคนไม่แปลกไม่ได้บ้านะครับ


    คน ที่มีดวงจิตในกายสังขารมาก ก็น่าจะสันนิฐานได้ว่าอายุยืนนะครับ เพราะตรงข้ามกับคนที่ชะตาขาดนี่นา ทว่า มันทำให้มีกิเลสมากขึ้นด้วยไหมเอ่ย ก็น่าจะใช่นะครับ แต่ถ้าชำระซักฟอกดวงจิตทุกวัน ทุกดวงให้มันรู้กันไปสิ ไม่ใช้สูตรแบบพระสังฆราชองค์ที่หกแห่งนิกายเซน เว่ยหลาง (ใช่ไหมนะครับ ถ้าจำชื่อผิดขอโทษจ้า) ที่ท่านกล่าวว่ากระจกใสแล้วไม่ต้องเช็ด แปลว่าดวงจิตดวงหนึ่งบริสุทธิ์ก็พอแล้ว นั่นสูตรของมหายานแท้ๆ เลย แต่ถ้าสูตรของเถรวาทละก็ ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ ตรวจแล้วตรวจอีก จนแน่ใจว่าไม่มีเหลือจิตดวงไหนที่มีกิเลสแปดเปื้อนอีก ทว่า ก็ไม่เสมอไป มหายานแบบใหม่ ในแนวข้าพเจ้านี้เอาแบบเถรวาทมาก่อน คือ ชำระให้หมดทุกดวงจิต จากนั้น ก็ดึงดวงจิตเก่าๆ ที่เคยอยู่ในกายสังขารเดียวกับเรามาก่อนมาโปรดต่อไงครับ หรือดวงจิตที่กระจัดกระจายออกจากกายสังขารของเราในอดีตชาติ ยังไม่หลุดพ้น เอามานั่งเช็ดถูครับ อิๆ


    ตอนนี้ กายสังขารนี้ ก็มี “ซุนหงอคง” มาอยู่ด้วยเด้อ สบายดีบ่พ่อแม่พี่น้อง ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เจ้าของกายสังขารนี้ถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เป็นอย่างนี้แหละครับ จิตจรเข้ามาอาศัยบำเพ็ญธรรมเรื่อยๆ บางดวงหลุดพ้นอบายภูมิแล้วก็จากไป บางดวงก็อยู่ต่อเพื่อช่วยกันทำกิจอื่นๆ ต่อไป สำหรับวันนี้เอาแค่นี้ก่อนพอหอมปากหอมคอ สวัสดีครับ


    การแบ่งภาคจิตทำให้เกิดชีวิตใหม่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้นิพพาน


    ดัง ที่เคยกล่าวในบทความอื่นไว้ว่าจิตคนเรามีถึง ๘๙ ดวง แต่ละดวงสามารถจุติไปเกิดเป็นคนได้หนึ่งคน แม้กระทั่งยามที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ หากจิตจุติออกจากร่างไปบางดวง เหลือไว้บางดวง เรายังไม่ทันตายเลย แต่จิตที่จุติออกไปก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้หนึ่งชีวิตแล้ว ดังนั้น การเกิดของสรรพสัตว์จึงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามภพนี้แออัด ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไรดี หากไม่มีนิพพานแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่สิ้นสุดนี้ รังแต่จะนำหายนะมาให้แก่ทุกดวงจิตในสามภพนี้ ดังนั้น นิพพานจึงเป็นทางออกของตัวเอง และผู้อื่นด้วย แม้คนผู้นั้นจะนิพพานไปคนเดียวไม่ได้ช่วยใครเลยก็ถือว่าช่วยสามภพด้วยการ นิพพาน หยุดเกิด หยุดรบกวนสามภพนี้ด้วยเหมือนกัน ดังจะกล่าวโดยละเอียดต่อไป


    การแบ่งภาคจิตเป็นอย่างไร
    จิต จะแบ่งภาคได้ ต้องมีกำลังมากพอ หากแบ่งออกแล้วได้เหมือนเดิมทั้งคู่นั้น ต้องมีบารมีมาก เช่น จิตเดิมเป็นโพธิสัตว์ หากมีความเป็นโพธิสัตว์มากมายล้นหลามสองเท่า ก็อาจแบ่งได้เป็นโพธิสัตว์สององค์ แบบนี้เกิดได้เหมือนกัน แต่น้อยมากๆ เฉพาะท่านที่มีบารมีมากจริงๆ ส่วนใหญ่ ถ้าแบ่งภาคจิตแล้ว จิตเดิมจะมีบารมีเท่าเดิม แต่จิตดวงใหม่จะได้บารมีลดลง เช่น แบ่งแล้วได้พรหม, ได้อสูร เป็นต้น ก่อนที่จะแบ่งออกได้อะไรนั้น จะต้องมีเชื้อเกิดมารอก่อน คือ ขันธ์ห้า เช่นไปรับขันธ์เขามา ขันธ์ห้านี้คือ “วิญญาณขันธ์” หรือ “กายทิพย์” ที่ครอบกายสังขารเรารอเวลาไว้ เมื่อจิตเราเกิดพอใจ พึงใจ ก็เกิดการร่วมประสานกับวิญญาณขันธ์นั้น จิตกับวิญญาณประสานกันเรียกว่า “ปฏิสนธิ” ก็จะเกิดเป็น “จิตวิญญาณ” ได้หนึ่งดวงสมบูรณ์ สมมุติเราไปรับขันธ์พรหมมา กายทิพย์พรหมก็ครอบกายสังขารเราอยู่ เราไปพอใจกับพรหมเข้า อยากได้ อยากมี อยากเป็น จิตของเราจะแบ่งออกมาปฏิสนธิเข้ากับกายทิพย์หรือวิญญาณขันธ์นั้นกลายเป็นจิต วิญญาณพรหมโดยสมบูรณ์ เกิดใหม่อีกหนึ่งชีวิต ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก ไม่ได้นิพพาน


    การแบ่งภาคจิตดีหรือไม่
    ไม่ ดีนัก เพราะยิ่งทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากขึ้น ถ้าในยุคแรกเริ่มสร้างโลก ดวงจิตมีน้อยการแบ่งภาคจิตก็ดีอยู่ เพราะต้องการดวงจิตมาเกิดมาพอดู แต่ถ้ายุคนี้ คนจะล้นโลกอยู่แล้ว ควรหยุดกระบวนการแบ่งภาคจิต ยกเว้นว่าเมื่อแบ่งภาคจิตแล้ว จิตหลักบริสุทธิ์มาก ได้โปรดจิตที่แบ่งออกมาของตนเอง คือ ก่อนโปรดสัตว์อื่น ให้โปรดตนเองให้ดีเสียก่อนนั่นเอง อันนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ ให้สอนตัวเองก่อนสอนคนอื่น เพราะมีมากเหมือนกันที่พระโพธิสัตว์ใจร้อนรีบสอนคนแต่ยังโปรดตนเองไม่ได้ เต็มที่ การแบ่งภาคจิตจึงไม่ดีนัก


    ถ้าต้องการจิตหลายดวงควรทำอย่างไร
    ไม่ ควรแบ่งภาคจิตออกจากจิตหลักของตนเอง บางท่านแบ่งภาคจิตมาก จนจิตหลักที่เหลืออยู่บริสุทธิ์มาก จนไม่อาจอยู่ได้อีกต่อไป และนิพพานไป เมื่อนิพพานไปแล้ว จิตดวงที่เหลืออยู่ไม่ทันได้โปรดก่อน ปล่อยทิ้งให้จิตดวงที่เหลืออยู่ตกต่ำ เพราะแบ่งออกมาแล้วแย่กว่าเก่า อย่างนี้เท่ากับที่ได้ปฏิบัติมาสูญไปเลย ต้องเริ่มปฏิบัติกันใหม่ ได้แต่บารมีแต่มรรคผลเสียไปอย่างนั้นเอง เหมือนคนปลูกมะม่วง ตัดยอดออกเสีย ต้องรอไปปีหน้า ดูแลกันใหม่ กว่าจะมีผลให้กินฉะนั้น ถ้าต้องการจิตหลายดวงให้ใช้การ “เรียกขวัญ” ดีกว่า คือ การเรียกดวงจิตเก่าๆ ที่เคยเวียนว่ายตายเกิดในกายสังขารเดียวกันกับเรามาสู่กายสังขารของเรา โปรดดวงจิตของเราเองที่เคยแบ่งภาคไปก่อน แต่ยังไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นอบายภูมิทั้งหลาย เก็บกวาดเอามาโปรดเปิดกายสังขารให้เขาได้ใช้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ อย่างนี้ จะทำให้จำนวนดวงจิตมวลรวมของทั้งสามภพลดลงไปเรื่อยๆ นิพพานมากขึ้น ก็จะช่วยสามภพนี้ให้เข้าสู่สมดุลได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้น ดวงจิตจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างไรไหว เพราะไม่ยอมนิพพานกันเสียบ้างนั่นเอง

    ที่มา:http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/10/31/entry-1
     
  20. คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ

    คนชอบใส่ร้ายโดนธรณีสูบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +908
    เขาว่ามา....................



    <TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">อนุโมทนาครับ ตรงกับที่ผมเคยรับรู้รับทราบเกี่ยวกับการแบ่งภาคหรือแบ่งดวงจิตลงมาโปรดสัตว์โลกขององค์พระมหาโพธิสัตว์ครับ
    </TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
    < /TD></TR></TBODY></TABLE>


    อนุโมทนาครับพระผู้ใหญ่ ตอบเองเลยเรื่องการแบ่งจิตสำหรับมหาโพธิสัตว์ แบบนี้พวกหนอนหนังสือเก่งแต่ตำรา (เก่งแต่อ่านไม่ค่อยปฏิบัติอ้างตำหรับตำราแล้วตีความกันเอง) จะตีความว่าไงดีครับเห็นหลายคนบอกแบ่งไม่ได้ช่วยมาค้านทีครับว่าที่ท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พูดผิด พระปฏิบัติทางจิตขนานนี้ ย่อม นอกเหตุเหนือผล เหนือตำหรับตารา พูดง่ายๆท่านเกินเลยสิ่งที่เขียนในตำราแล้วครับ สิ่งที่นอกเหตุเหนือผลมีเยอะมากมาย ถ้าเข้าไม่ถึงก็ไม่รู้หรอก อย่ามุมแคบแค่แต่ในตำรา ข้าพเจ้าขอนอบน้อม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญไว้เหนือเศียรเกล้า หนอนตำราเก่งแต่อ่านว่าไงดีครับโพสบอกว่าแบ่งไม่ได้มั่งตีความผิดมั่งเจอของจริงๆแบบหลวงปู่ตอบแบบนี้ ช่วยมาแก้ทีครับ จริงหรือไม่จริงไม่อยากให้กระทู้ตกหรือหายนะครับ เอาไว้ให้ผู้คร่ำหวอดในตำราช่วยตอบทีครับหรือท่านจะว่าหลวงปู่ตีความหมายผิด อีก ผมไม่รู้หรอกครับว่าจริงว่าแบ่งได้หรือไม่ได้แต่ผมความรู้แค่หางอึ่ง แต่คนเก่งๆมีเยอะครับ สำหรับคนที่อ่าน พระไตรปิฏก ช่วยตอบความหมายทีครับหรือว่าหลวงปู่จะตีความหมายผิดหรือเปล่าครับผมอยากรู้จริงๆ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...