อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ส่วนสำคัญที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ เราต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วอารมณ์ในการปฏิบัติของเราที่ไม่ต่อเนื่อง จึงทำให้รัก โลภ โกรธ หลงตีกลับ ทำให้การปฏิบัติของเราถดถอย

    อาตมาเองในสมัยก่อนที่ปฏิบัติ ก็เป็นเช่นเดียวกับโยมทั้งหลาย ก็คือตอนเช้าภาวนาเต็มที่ เสร็จแล้วก็ทิ้งไปเลย ปรากฏว่าสามารถทรงอารมณ์ได้ประมาณชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงก็พัง เพราะว่าการประกอบกิจการงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ต้องมีการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นอยู่เสมอ ครั้นจะมาภาวนาอีกทีหนึ่งก็ต้องเป็นเวลาก่อนนอน ซึ่งบางทีก็ไม่สามารถที่จะภาวนาให้ดีได้ เพราะว่าเหนื่อยกับงานมาทั้งวันแล้ว

    เพียงแต่ว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกต ก็มาคิดว่า ในเมื่อเราภาวนาช่วงเช้าแล้วกำลังไม่เพียงพอที่จะทรงตัวอยู่ได้ทั้งวัน ก็ควรที่จะเพิ่มช่วงกลางวันขึ้นมาด้วย ก็อาศัยช่วงเวลาพักเที่ยง หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้วก็เข้าสู่ที่ภาวนา ก็ทำให้สามารถรักษากำลังใจต่อเนื่องมาได้อีก แต่ก็ได้ไม่ถึงตอนเย็น จึงต้องอาศัยภาวนาตอนเย็นเพิ่มขึ้น เนื่องจากว่าส่วนใหญ่ตอนเย็นเราทำการทำงานมาทั้งวันแล้ว ความเหนื่อยความเพลียย่อมปรากฏ จึงต้องใช้วิธีง่าย ๆ กำหนดใจคิดว่า เรานอนลงไปแล้วก็มีลักษณะเหมือนกับคนตาย ถ้าไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นพระอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้นก็ช่างเถอะ เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วจับภาพพระภาวนาไปจนกระทั่งหลับ

    ในเมื่อร่างกายได้พักผ่อนมาทั้งคืน การปฏิบัติในช่วงเช้าจึงเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เราต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้พอกินพอใช้ทั้งวัน โดยเฉพาะว่ากำลังใจของเรานั้น จะรับความดีหรือความชั่วได้ทีละอย่างเดียวเท่านั้น ในเมื่อช่วงเช้าได้สติรู้ตัวขึ้นมา รีบเอาความดีคือการเจริญภาวนาเข้าไป ความชั่วต่าง ๆ ก็เข้าไปไม่ได้ เพราะสภาพจิตเสวยอารมณ์ก็รับอารมณ์เดียวเท่านั้น เมื่อเรานำความดีเข้าไป รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะมากินใจของเรา สภาพจิตก็มีความผ่องใส และประคับประคองไปจนถึงกลางวันก็ปฏิบัติภาวนารอบใหม่ ไปถึงตอนค่ำปฏิบัติภาวนาอีกรอบหนึ่ง กำลังก็พอที่จะอาศัยได้

    เหมือนกับเราจุดเทียนตอนช่วงเช้าหนึ่งดวง แสงอาจจะสาดส่องมาไม่ถึงช่วงกลางวัน แต่เราจุดเทียนในช่วงกลางวันหนึ่งดวง แสงสอดประสานกับช่วงเช้า สามารถคลุมพื้นที่ได้เต็มแต่ไม่ถึงช่วงเย็น ก็ต้องมาจุดเทียนตอนช่วงเย็นอีกหนึ่งดวง เพื่อให้แสงสว่างประสานกับช่วงกลางวัน คลุมพื้นที่ตั้งแต่กลางวันถึงเย็นได้ แต่ก็จะไปพลาดท่าในตอนกลางคืนอีก

    เนื่องจากว่าสภาพจิตในตอนกลางวัน เราพยายามจะบีบคั้น ตีกรอบให้จิตของเราอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ตลอดเวลา สภาพจิตก็พยายามดิ้นรนหาทางออก ในเมื่อสมาธิทรงตัว เวลากลางวันเขาทำอะไรเราไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าตอนกลางคืนก็มาในรูปแบบของความฝัน

    ตอนกลางวันรักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ มดสักตัวก็ไม่กล้าเหยียบ ไม่กล้าบี้ แต่กลางคืนกลับฝันว่านำทหารออกรบ ฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย..! ลักษณะอย่างนี้สภาพจิตของเราตอนกลางคืนก็จะมัวหมอง เนื่องจากว่าสภาพของการละเมิดศีลมีปรากฏขึ้น แม้เป็นในฝันก็ทำให้สภาพจิตของเรามัวหมองได้ จึงต้องพยายามฝึกหัดภาวนาจนกระทั่งเกิดสติ เมื่อมีสติสมบูรณ์ จะหลับหรือตื่นเราก็มีความรู้สึกเท่ากัน คือถึงร่างกายจะหลับ สภาพจิตก็ตื่นอยู่ สามารถระมัดระวังไม่ให้กิเลสมากินเราตอนหลับได้

    ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ มีการปฏิบัติที่ต่อเนื่องกัน ไม่เว้นระยะให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาทำให้ใจของเราต้องมัวหมองลง ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีขึ้น ดังนั้น..ที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติภาวนาไปแล้ว หลายท่านก็มาถามว่า ทำไมปฏิบัติมาหลายปีแล้วไม่มีความก้าวหน้าเลย ? ก็ต้องบอกว่า เป็นเพราะเราทำแล้วทิ้ง ในเมื่อเราทำแล้วทิ้ง ไม่ได้ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ถีงเวลากิเลสก็กลบกลืนไปหมด เท่ากับเราต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อยู่ทุกครั้ง

    เหมือนอย่างกับเราปัดกวาดเช็ดถูสถานที่หนึ่งจนสะอาด แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้วแล้วบรรดาขยะต่างๆ โดนลมหอบลงมาในสถานที่นั้นอีก ก็สกปรกใหม่ จำเป็นที่จะต้องขยันปัดกวาดวันละหลาย ๆ รอบ สภาพจิตของเราก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลามัวหมองด้วยกิเลส เราก็ต้องขัดถูให้ผ่องใสขึ้นมาใหม่ พยายามที่จะรักษาความผ่องใสนั้นเอาไว้ให้ได้ตลอดทั้งวัน และถ้าเป็นไปได้ก็คือตลอดทั้งคืนด้วย เมื่อหลับและตื่นเรามีสติรู้เท่าทัน กิเลสกินใจของเราไม่ได้ นานไป ๆ สภาพกิเลสที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ สภาพจิตที่ผ่องใสมากขึ้นทุกที ๆ ท้ายที่สุดกิเลสก็จะโดนกลบกลืนสูญสลายไป ไม่สามารถที่จะปรากฏขึ้นมาใหม่ได้

    ถามว่ากิเลสหมดไปเลยใช่ไหม ? ก็ต้องตอบว่าความจริงแล้วกิเลสมีอยู่เท่าเดิม เพียงแต่เราไม่ไปสร้างสาเหตุให้กิเลสนั้นกำเริบขึ้นมาได้ เหมือนกับว่าเชื้อเพลิงมีอยู่เต็มที่ แต่ว่าเราสละทิ้งซึ่งไม้ขีดหรือว่าเปลวไฟที่จะไปจ่อเชื้อเพลิงทั้งหลายเหล่านั้น ในเมื่อเราไม่สร้างสาเหตุอย่างนั้น ไฟก็ไม่สามารถที่จะลุกไหม้เผาผลาญเราได้

    ถ้าทุกคนสามารถทำเช่นนี้ได้ เราก็จะเป็นผู้เบากาย เบาใจ มีความสุขในการปฏิบัติ สามารถกระทำได้ไม่เบื่อ ไม่หน่าย ถ้าเรากระทำมาถึงตรงจุดนี้ ขึ้นชื่อว่าโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็จะมีแก่เราอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลานั้นเราก็ใช้ปัญญาประคับประคองการปฏิบัติของเรา ให้ตรงตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ ก็มีโอกาสที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ปรารถนาไว้

    ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือกำหนดพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
    พระอาจารย์รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรม เวลา ๑๘.๐๐ น.
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ทางเจ้าหน้าที่.jpg

    พรุ่งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือห้ามจอดรถตลอดแนวหน้าบ้านเติมบุญนะคะ

    ท่านที่จะมาทำบุญกับพระอาจารย์ แนะนำให้เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้านะคะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑
    พระอาจารย์รับสังฆทานและตอบปัญหาธรรม เวลา ๑๘.๐๐ น.
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    วันหนึ่งมีคนพาเพื่อนชาวต่างชาติมากราบพระอาจารย์ ชาวต่างชาติคนนี้สงสัยว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ผลกรรมจึงส่งผลให้แตกต่างกันไป แต่ทำไมคราวที่เกิดสึนามิ หลายคนจึงตายเพราะคลื่นสึนามิพร้อม ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย

    พระอาจารย์จึงอธิบายว่า “เขาเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่นเคยอยู่ในกองทัพที่ไปตีบ้านตีเมืองเขาพร้อม ๆ กัน พอถึงวาระ กรรมนั้นก็จะย้อนกลับมาให้คนหมู่มากกลุ่มนี้ได้รับกรรมนั้นพร้อมกัน

    จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเรื่องกรรมไว้ชัดเจนมาก มีทั้งเป็นไปตามเวลา ยักเยื้องไปตามความหนักเบา พระองค์ท่านเปรียบเหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้ ส่วนที่เป็นครุกรรมก็เหมือนกับเพาะถั่วงอก ๔ ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว ส่วนที่เป็นอปราปรเวทนียกรรม เหมือนกับการปลูกไม้ผล ต้อง ๔ – ๕ ปี เป็นอย่างน้อย จึงจะมีผลให้กิน”

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดจากบ้านเติมบุญ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๑
    พระอาจารย์รับสังฆทานและตอบปัญหาจากเว็บวัดท่าขนุน เวลาประมาณ ๑๗.๔๕ น.
    เริ่มเจริญกรรมฐาน เวลา ๑๘.๓๐ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    จุดธูปจุดเทียนขออโหสิกรรมมีผลหรือไม่ ?

    ถาม :
    ในเรื่องของการอโหสิกรรมเจ้าค่ะ เวลาเราขออโหสิกรรมแบบมีดอกไม้ธูปเทียน แล้วมีการจุดธูปเทียนให้อโหสิกรรมต่อกัน กับการอโหสิกรรมด้วยการพูดปากเปล่าเหมือนกันไหมเจ้าคะ และผลของการอโหสิกรรมด้วยปากเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าโจทก์กับจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน แล้วต่างเอ่ยปากยอมความอโหสิกรรมกัน ก็จะมีผลทันทีเดี๋ยวนั้นเลย แต่พวกประเภทไปจุดธูปจุดเทียนขออโหสิกรรม ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมก็เท่านั้นแหละ

    ถ้าถามว่ามีผลเหมือนกันไหม ไม่เหมือน…เพราะเรื่องอโหสิกรรมโจทก์และจำเลยต้องมาอยู่ต่อหน้ากัน ต่างคนต่างออกปากยกโทษให้อีกฝ่ายหนึ่งถึงจะจบ

    ประเภทที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราไปจุดธูปจุดเทียนขออโหสิกรรมอยู่ฝ่ายเดียว ก็อาจจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากเปลืองธูปเปลืองเทียนเปล่า ๆ จะอยู่ในลักษณะที่ว่าเราเองขออโหสิกรรม เรายอมอยู่ฝ่ายเดียว

    ถาม : แล้วเขาสามารถจองเวรเราข้ามภพข้ามชาติได้เลยใช่ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ได้… เพราะว่าของอย่างนี้ถ้าเขาไม่ยอม ก็จะตามไปเรื่อย

    ถาม : อย่างนี้ถ้าเกิดเราอโหสิกรรมฝ่ายเดียวเขาจองเรา เราก็เสียเปรียบสิเจ้าคะ ?
    ตอบ : ถ้าคิดอย่างนั้นก็อีกยาว …(หัวเราะ)… เขาจะจองหรือไม่จองเรื่องของเขา ของเราเองถึงเวลาถึงวาระเราก็ตั้งใจอโหสิกรรมให้เขาเสีย เราถอนจิตของเราออกมาจากหล่มอันนั้นก็เป็นอันว่าจบกันไป ส่วนเขาเองจะจองอย่างไรเรื่องของเขาเถอะ เราไม่ว่ากันอยู่แล้ว

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    การทำงานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน เป็นการสั่งสมประสบการณ์ เมื่อสั่งสมประสบการณ์ มีความชำนาญ มีความคล่องตัว ต่อไปงานระดับเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่เราต้องหนักใจ พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วก็คือ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำงานก็หวังว่าเขาจะเห็นผลงาน พอคนอื่นได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขั้นเงินเดือนแล้วเราไม่ได้ ก็เฉาหมดสภาพ ไม่คิดที่จะทำต่อ

    เราลองมานึกถึงในหลวง ร.๙ ทรงงานสิ พระองค์ท่านทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนมาตลอด ๗๐ ปีที่ครองราชย์ แม้กระทั่งเคลื่อนไหวลำบากก็ยังทรงงาน คิดงาน มีพระราชดำริให้คนอื่นไปทำแทน ระดับของพระองค์ท่านไม่ต้องทำก็ได้ แต่ก็ยังคงทำอยู่เป็นปกติ เราลองมานึกดูว่าการทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยากตลอด ๗๐ ปี ไม่มีวันพักผ่อน หรือมีวันพักผ่อนน้อยมาก ถ้าไม่ใช่หัวใจที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติและประชากร แล้วใครจะทำได้ ?

    เราจะเห็นว่าสมัยนี้พอไปถึงระดับหนึ่งก็ทำเพื่อพวกพ้องหรือตัวเอง แต่ในหลวง ร.๙ ของเราไม่เคยทำอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นต่างประเทศเขาถึงไม่เข้าใจเรา ถ้าพูดในสายตาของเขาก็คือคนตายไปคนหนึ่ง ทำไมต้องร้องไห้กันทั้งประเทศ ? เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะมีในหลวงอย่างนี้ ส่วนใหญ่ราชวงศ์ของต่างประเทศครองราชย์ก็อยู่ในลักษณะของการเสวยสุข โอกาสที่จะทำเพื่อประชาชนมีน้อยมาก

    เราต้องไปดูว่าสิ่งที่เราทำ ถ้าเรารู้สึกว่าเหนื่อย รู้สึกว่าท้อ ต้องนึกถึงว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำคืออะไร ? หลายอย่างพระองค์ท่านไม่มีโอกาสเห็นตอนที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดดอกออกผลในรัชกาลนี้ แล้วคำทำนายโบราณที่บอกว่า “ชาววิไล” ก็คือช่วงรัชกาลที่ ๑๐ เกิดจากดอกผลที่พระองค์ท่านทุ่มเทเงินต้นด้วยกำลังกายกำลังใจตลอด ๗๐ ปีที่ผ่านมา

    อาตมาถือว่าโชคดีเป็นคน ๒ แผ่นดิน ในเมื่อเหยียบแผ่นดินเก่าด้วย แผ่นดินใหม่ด้วย ก็จะเห็นชัดเจนถึงความแตกต่าง ถ้าคนไม่ได้อยู่ในรุ่นเก่านานพออาจจะมองความต่างไม่เห็น สมัยก่อนทางบ้านของอาตมาเป็นทางลูกรัง ไม่มีคลองชลประทาน ไม่มีสาธารณูปโภค โครงการพระราชดำริต่าง ๆ เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำ พระองค์ท่านสอน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลได้จริง ๆ

    เราลองไปนึกดูหุบกะพงสมัยก่อนสิ จะไปทำอะไรกินได้ ? พระองค์ท่านทำโครงการพระราชดำริหุบกะพง แคนตาลูป เมล่อน อะไรต่าง ๆ ที่สมัยนี้ฮิตนักฮิตหนา รู้ไหมว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่หุบกะพง จากพื้นดินที่ซึ่งไม่น่าจะทำกินได้

    โครงการหุบกะพง โครงการห้วยทราย โครงการพิกุลทอง ล้วนแต่เป็นแผ่นดินที่ไม่มีสภาพให้ทำกินได้เลย แต่พระองค์ท่านก็สามารถที่จะปรับปรุงจนกระทั่งทำกินได้ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกที่ในพระราชวังมีนา มีบ่อเลี้ยงปลา มีโรงเลี้ยงวัว ทั้งหมดนี้ทำเพื่อใคร ? เพาะพันธุ์พืชและสัตว์ที่ดีที่สุดให้ชาวบ้านรับไปเอาไปเพิ่มผลของตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่ดีกินดี

    เราจะเห็นว่าพระองค์ท่านประกอบไปด้วยบารมี ๑๐ อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะวิริยบารมี ความพากเพียรที่จะทำให้ชาวบ้านดีอยู่ดีกินดี มีประเทศไหนในโลกที่สามารถปราบฝิ่นได้ราบคาบโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารตำรวจ ก็มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ โครงการพระราชดำริเปลี่ยนจากฝิ่นมาเป็นพืชเมืองหนาว โครงการต่าง ๆ ไปดูสิ ไม่ว่าจะเป็นดอยอ่างขาง ห้วยฮ่องไคร้ ดอยมูเซอ ทำให้เราเห็นว่าพืชผักทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นที่ต้องการมาก แต่ว่าต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ

    เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ได้ดูในระยะยาว ๆ ก็จะไม่เห็นผล คราวนี้เราดูในระยะยาวที่เห็นผลแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ กำลังใจที่ทุ่มเททำเพื่อคนอื่นโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย พวกเราทำเพื่อตัวเองเราไปบ่นว่าเหนื่อย พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนหลายล้านคน ไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ณ บ้านเติมบุญ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ระลึกถึง.jpg

    วันพ่อแห่งชาติ ระลึกถึงสิ่งที่พ่อสอน แล้วน้อมมาปฏิบัติตาม

    “ในหลวงทรงบารมีสิบครบถ้วนสมบูรณ์น่าชื่นชม วันแรกที่ขึ้นครองราชย์ก็ตรัสว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ๖๐ กว่าปีแล้ว พระองค์ยังไม่เคยผิดสัญญาเลย สัจจะบารมีเต็มเปี่ยมจริง ๆ บารมีตัวไหนเต็มเสียตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็พลอยเต็มไปด้วย เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน”

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๕๔ ณ บ้านวิริยบารมี

    —————————————-

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    มารไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นครูที่ขยันที่สุด เพราะเขาทดสอบเราทุกวินาที เขาเป็นผู้มีอุปการคุณต่อเราอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ผ่านการทดสอบของเขา เราก็ยังคงติดอยู่ที่เดิม แต่ถ้าหากว่าเราผ่านไป ตรงจุดนั้นเราจะไม่แพ้อีก

    ครูที่ขยันออกข้อสอบขนาดนั้น น่าจะยกขึ้นหิ้งเสียด้วยซ้ำไป คิดเสียว่าเป็นหน้าที่ของเขา เขามีหน้าที่ขวางให้เขาขวางไป เราทำหน้าที่ของเรา เราจะหนีให้พ้น เราก็หนีของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    วันนี้มีญาติโยมถามในเรื่องของการเจริญสมาธิว่า ในแต่ละช่วงอารมณ์มีลักษณะอย่างไร ? การที่เราเจริญสมาธิภาวนานั้น ถ้าสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาได้ เรียกว่า อุปจารสมาธิ

    ถ้าท่านทั้งหลายตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกจนกระทั่งลมหายใจเริ่มทรงตัว คราวนี้ก็จะมีความรู้สึกสนใจอยู่แต่ลมหายใจเท่านั้น ตาเห็นรูปก็ไม่วอกแวกไปสนใจ หูได้ยินเสียงก็ไม่วอกแวกไปสนใจภายนอก ถ้าอาการอย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเริ่มเข้าสู่ความเป็นฌานที่ ๑ คือปฐมฌานแล้ว

    แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่จะรู้สึกเหมือนกับตนเองง่วง โงก แล้วก็ตกวูบลงมาจากที่สูง บางคนก็ถึงกับสะดุ้ง หลุดออกจากการภาวนา อาการอย่างนั้นเป็นลักษณะของสมาธิจิตที่จะเริ่มทรงตัวเป็นปฐมฌาน แต่ว่าสติขาด ทำให้ตามสมาธิไม่ทัน จึงเกิดอาการที่เรียกว่า “พลัดออกจากฌาน” เมื่อพลัดตกลงมาจากฌาน อาการจึงวูบเหมือนกับตกจากที่สูง มีบางท่านกลัว ไม่กล้าเจริญกรรมฐานต่อไปก็มี

    ถ้าอารมณ์ใจของท่านทั้งหลายเริ่มทรงตัวเป็นปฐมฌาน ตาเห็นรูปก็ไม่สนใจ ถึงมีคนเคลื่อนไหวอยู่เป็นจำนวนมากรอบข้าง ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ จดจ่ออยู่กับแต่ลมหายใจเท่านั้น หูได้ยินเสียงต่อให้เสียงดังแค่ไหนก็ไม่สนใจ เพราะว่ากำลังจดจ่อแน่วแน่อยู่กับลมหายใจเข้าออกของตนเอง

    ถ้ากำลังใจของเราปักมั่นทรงตัวอยู่กับลมหายใจและคำภาวนาอย่างนี้ไประยะหนึ่ง จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าลมหายใจนั้นเบาลง หรือถ้ากำลังใจหยาบหน่อย จะรู้สึกว่าลมหายใจขาดหายไปเลยก็มี บางครั้งคำภาวนาก็ขาดหายไปด้วย อาการอย่างนี้คือการที่เราเริ่มก้าวเข้าสู่ทุติยฌาน คือ ฌานที่สอง

    ถ้าเราไม่ตกใจไปควานหาลมหายใจใหม่ หรือรู้สึกว่าเราจับลมหายใจอยู่แล้วไม่หายใจ เราก็รีบกลับไปหาลมหายใจใหม่ ถ้าเราไม่ได้ทำดังนั้น กำลังใจของเราก็จะก้าวต่อไปข้างหน้า แต่ถ้าเราวิ่งกลับไปหาลมหายใจใหม่แปลว่าเราก้าวถอยหลัง เหมือนกับก้าวขึ้นบันไดไปแล้ว แล้วก็ย้อนลงกลับไปหาพื้นใหม่

    ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ตกใจกับอาการที่ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป กำหนดใจดูอยู่ว่าตอนนี้อาการเป็นอย่างนั้น สักแต่ว่ารับรู้ไว้เฉย ๆ กำลังใจก็จะดิ่งลึกเข้าไปอีก ก็จะมีอาการเหมือนกับตัวแน่นขึ้น ๆ บางทีก็รู้สึกตึงไปทั้งตัว แข็งไปทั้งตัว เหมือนกับโดนมัดติดกับหลักตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บางท่านก็รู้สึกเหมือนกับปลายมือปลายเท้าเย็นเข้ามา ๆ จนแข็งไปทั้งตัว เหมือนโดนสาปให้เป็นหินไปก็มี ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นให้ทุกท่านทราบว่า เป็นอาการของการเริ่มก้าวเข้าสู่ตติยฌาน คือระดับสมาธิของฌาน ๓ แล้ว

    ถ้าท่านทั้งหลายตามดูตามรู้ กำหนดรู้ต่อไปโดยไม่ได้ตกใจกลัว หรือดิ้นรนอยากจะให้ก้าวหน้ามากกว่านั้น กำลังใจของเราก็จะค่อย ๆ โดนดึงมารวมอยู่จุดเดียวกัน อาจจะอยู่ตรงหน้าในระดับสายตาก็ได้ หรือว่าอยู่ในระดับจมูกกับปากของเราก็ได้ หรือบางท่านก็มารวมอยู่ในอก ความรู้สึกจะรวบเข้ามาอยู่จุดเดียว เยือกเย็นสว่างไสวจนบอกไม่ถูก กำลังใจจะทรงตัวนิ่งอยู่ตรงจุดนั้น อะไรเกิดขึ้นทางภายนอกก็ไม่รับรู้ทั้งหมด ประสาทหู ประสาทตาดับหมด

    คำว่าดับหมดในที่นี้ก็คือ ไม่รับรู้สิ่งที่มากระทบภายนอก ลืมตาอยู่ก็ไม่เห็นรูป เสียงดังอยู่ก็ไม่ได้ยินเสียง เพราะว่าจิตกับประสาทร่างกายแยกออกจากกันแล้ว อาการอย่างนี้เรียกว่าท่านก้าวเข้าสู่จตุตถฌาน คือระดับสมาธิของฌาน ๔

    การที่ท่านก้าวเข้ามาตรงจุดนี้ ถ้าไม่มีการกำหนดกำลังใจเอาไว้ก่อน เรารู้สึกว่าครู่เดียว แต่อาจจะผ่านไปหลายชั่วโมง หรือข้ามวันข้ามคืนไปเลยก็มี ดังนั้น..เพื่อความปลอดภัยให้ตั้งใจว่า เราเข้าสมาธิครั้งนี้ เราภาวนาครั้งนี้ เราต้องการจะเลิกตอนเวลาเท่าไร อย่างเช่นว่า ๑ ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น เมื่อเรากำหนดใจแล้วจึงเริ่มภาวนา ถ้าสมาธิทรงตัวถึงระดับอัปปนาสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นฌาน ๓ ฌาน ๔ ก็ตาม เมื่อครบตามเวลา จิตที่มีสภาพรู้ก็จะคลายกำลังออกมาเอง

    การที่ท่านทั้งหลายทำมาถึงระดับนี้ได้ ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป อำนาจของสมาธิที่ทรงตัวแนบแน่นก็จะกดกิเลสใหญ่คือ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นไฟใหญ่ ๔ กองเผาเราอยู่ตลอดเวลา ให้ไฟทั้ง ๔ กองนี้ดับลงชั่วคราว เราจะมีความสุขสงบ เยือกเย็นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ยิ่งทรงถึงระดับของฌาน ๔ แล้ว กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง นิ่งสนิทเหมือนล้มหายตายจากไปเลย หลายต่อหลายท่านเข้าใจผิด คิดว่าตนเองบรรลุมรรคผลไปแล้วก็มี ขอให้ทราบว่า นั่นเป็นเพียงอาการของสมาธิ ที่มีอำนาจเหนือกว่าไฟกิเลส จึงกดกิเลสให้ดับลงได้ชั่วคาว ถ้าท่านเผลอสมาธิหลุดเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลงก็จะตีกลับมา ทำให้เราต้องมาเดือดร้อน ฟุ้งซ่านรำคาญใจเมื่อนั้น

    ดังนั้น..การที่เราปฏิบัติภาวนาไปแล้ว เมื่อสมาธิทรงตัวไปถึงระดับหนึ่ง ก็เป็นเรื่องปกติที่จะคลายตัวออกมาเอง เพราะไปต่อไม่ได้แล้ว ตอนที่สมาธิคลายตัวออกมานั้น เราต้องรีบหาวิปัสสนาญาณให้คิด ให้พิจารณา ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะเอากำลังที่เราทรงสมาธิภาวนาได้ ไปฟุ้งซ่านแทน และจะฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ ชนิดยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ เพราะว่าเขาแข็งแรง เนื่องจากได้กำลังสมาธิไปช่วย เมื่อถึงเวลาเราคลายกำลังใจออกมา จึงต้องนำมาพิจารณา

    การพิจารณานั้น ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของไตรลักษณ์ คือสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ของวัตถุธาตุสิ่งของก็ดี เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ดูในลักษณะของ อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

    เมื่อดูจนกระทั่งสภาพจิตยอมรับแล้วว่า ความจริงของร่างกายนี้ ของร่างกายคนอื่น ของร่างกายสัตว์อื่น ของวัตถุสิ่งของทั้งหมด มีสภาพไม่เที่ยงเป็นปกติ ก็ขยับไปพิจารณาดูว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ระหว่างที่ดำรงคงอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ถ้าเป็นมนุษย์และสัตว์ก็มีความทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น ถ้าเป็นวัตถุธาตุสิ่งของก็มีสภาวะทุกข์คือ ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา

    เมื่อดูจนสภาพจิตยอมรับอย่างแน่วแน่แล้ว เราก็พิจารณาต่อไปว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าถอดออกเป็นชิ้น เป็นส่วน เป็นธาตุไปแล้ว ก็ไม่เหลืออะไรเป็นของเรา สักน้อยหนึ่งก็ไม่มี

    เมื่อสภาพจิตของเราพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ สมาธิจิตจะทรงตัวกลับไปหาการภาวนาอีกครั้งหนึ่ง เราก็เริ่มดูลมหายใจเข้าออก เริ่มกำหนดการภาวนาต่อไป หรือถ้าท่านทำจนชินแล้ว แค่นึกเท่านั้นสมาธิจิตก็จะทรงในระดับที่ต้องการ เมื่อทรงตัวไประยะหนึ่งก็จะคลายออกมาอีกตามปกติ เราก็มาย้อนพิจารณาใหม่ ทำสลับกันไปสลับกันมาเช่นนี้ จึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้

    ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๖

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ฉบับ.jpg

    กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๑๗๘ เดือนธันวาคม ๒๕๖๑

    โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

    เล่มอื่น ๆ ตามไปอ่านได้ที่ http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=60 และ http://www.grathonbook.net/book/ นะคะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -เป็นทุ.jpg

    ธรรมดาของการเกิด เป็นทุกข์อย่างนี้
    ธรรมดาของการเจ็บไข้ได้ป่วย บีบคั้นอย่างนี้
    สาเหตุที่แท้จริงก็คือ การเกิดมามีร่างกายนี้
    ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีร่างกายเช่นนี้อย่ามีอีกเลย ไปนิพพานดีกว่า
    ……………………………….

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ต้องทำบุญอะไรมาจึง.jpg

    ถาม : ต้องทำบุญอะไรมาจึงได้พบครูบาอาจารย์เก่ง ๆ คะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของการสร้างบุญแบบนี้ ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจง แต่การที่เราอยู่ในช่วงสร้างบุญบารมี เราได้สร้างร่วมกับท่านมา

    ในเมื่อเราได้สร้างร่วมกับท่านมา โอกาสที่ท่านและเราจะมาอยู่ในลักษณะต้องให้การสงเคราะห์ ส่งเสริมซึ่งกันและกันก็จะบังเกิดผล ก็ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้ทำร่วมกับท่านมาตั้งแต่แรก

    ถาม : การที่เราทำทั้งบุญและบาปด้วย ถ้าเราเป๋ไปเป๋มาออกนอกลู่นอกทาง เหมือนเด็กตาบอดคลำทาง ท่านจะช่วยให้เราได้อานิสงส์ในส่วนของความดีไหมคะ ?
    ตอบ : พระท่านดูแต่ในส่วนที่ดี ไม่ได้ดูในส่วนที่ไม่ดี เราจะเคยชั่วอย่างไรมาท่านไม่ได้มองตรงนั้น แต่ท่านจะมองว่าในจุดที่ว่า เรามีความดีอะไรที่ท่านจะหนุนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วท่านก็จะช่วยในจุดนั้น

    การทำชั่วเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถึงเวลาให้รู้จักทำดีให้มากกว่าชั่วก็แล้วกัน

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ใจของเราส่งออกเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ตอนแรกต้องหยุดมันให้ได้ก่อน โดยเฉพาะหยุดคิด น้ำผลไม้ก็เป็นแค่น้ำผลไม้ ถ้าเราคิดต่อว่าแช่เย็นสักหน่อยคงเข้าท่าดี ก็ไปซะแล้ว เอ๊ะ..ถ้าเป็นน้ำส้มก็แจ๋วใช่ไหม น้ำส้มเคยไปกับสาวแล้วสั่งกินนี่..ไปอีกแล้ว ถ้าหากว่าน้ำส้มเป็นเหล้าก็เคยกินเหมือนกันยิ่งบรรลัยเลย

    เพราะฉะนั้นต้องหยุดตั้งแต่เหตุให้ได้ ถ้าสติรู้เท่าทัน มองปุ๊บจะรู้เลยว่าคิดอย่างไรจะเป็นโทษอย่างไร มันจะตัดตั้งแต่ตอนนั้นเลย
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ


    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ใช้ความฝันวัดผลของการปฏิบัติ

    ถาม :
    ถ้าฝันเห็นพระภิกษุบ่อย ๆ … ?
    ตอบ : ไม่ทราบ เพราะยังไม่เคย

    ถาม : ฝันแบบนี้จะฝันช่วงวันโกนกับวันพระ วันอื่น ๆ จะไม่ฝันอย่างนี้ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ? แล้วจะเป็นนิมิตที่ดีด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นพระมาให้พร พาจุดธูปขอพร กล่าวคำอุโบสถศีล อะไรอย่างนี้ ?
    ตอบ : ของอาตมาถ้าหากว่าฝัน จะเอาไว้วัดกำลังใจของตัวเอง ความหมายคือ ในฝันเป็นกำลังใจแท้ ๆ ของเราที่ปรุงแต่งไม่ได้ เช่น ถ้าถามว่าอยากได้ของชิ้นนี้ไหม ? เราอาจจะอยากได้ แต่ปากบอกว่าไม่อยาก เป็นการปรุงแต่งได้ แต่ในฝันจะเป็นกำลังใจแท้จริงของเรา

    ในเมื่อเป็นกำลังใจแท้จริงของเรา ถ้าในฝันเราพบสิ่งที่เป็นมงคล อยู่ในศีลในธรรม ถือว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดี แล้วเราไม่ละเมิดศีล แสดงว่ากำลังในศีลของเราทรงตัวมั่นคงจริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้เอาไว้วัดการปฏิบัติของตัวเองได้

    ถ้าจะเอาเรื่องเกี่ยวกับความฝันอาตมาเอง อันดับแรกเอาไว้วัดผลการปฏิบัติของตัวเอง อันดับที่สองถ้าฝันดีเก็บไว้เป็นกำลังใจ ถ้าฝันไม่ดีก็ลืมไปเลย ขี้เกียจไปคิดไปจดจำ พาให้เราฟุ้งซ่านเปล่า ๆ ขี้โกงได้เราจะสบายใจ ฝันไม่ดีลืมไปเลย ถ้าฝันดีเก็บไว้เป็นกำลังใจ

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    การปฏิบัติตัองรู้จักวางอุเบกขา คือได้มากเอามาก ได้น้อยเอาน้อย ไม่มีคำว่าขาดทุน วันนี้อาจได้เป็นหมื่นเป็นแสน พรุ่งนี้อาจเหลือแค่สามบาทห้าบาท แต่ก็รวมเป็นแสนหนึ่งกับห้าบาท แสนหนึ่งกับสามบาท เป็นต้น ต้องรู้จักพอใจแค่นั้น ถ้าเราไม่พอใจ ประเภทไปเร่งมาก ๆ เดี๋ยวจะเครียด พอเครียดแล้วผลจะเสียยาวไปเลย

    ผลในแต่ละวันไม่เท่ากันหรอก วันนี้อาจประเภทใจเย็นเหลือเกิน ยิ้มให้หมู หมา กา ไก่ พรุ่งนี้อาจเอะอะเอ็ดตะโร วิ่งไล่เตะไปทั้งสำนักงานก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น… แต่ว่าในแต่ละวัน ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้ขาดทุนเยอะ ให้อยู่ในส่วนของความดีบ้าง
    ……………………………….

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ภาวนาคาถาชินบัญชรจนได้อภิญญา

    ถาม :
    เวลาสวดมนต์เราน้อมจิตสวด..ถูกไหมคะ ? มีบทพาหุงฯ มงคลจักรวาฬน้อย ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก แต่จะดูหนังสือด้วย จะสวดยาวโดยไม่ดูหนังสือไม่ได้ บทที่จำได้มีแค่ชินบัญชร ?
    ตอบ : เอาให้ได้ก็แล้วกัน ครูของอาตมาภาวนาคาถาชินบัญชรวันละ ๕๐๐ จบ ท่านเป็นครูสอนอาวุธศึกษาให้กับอาตมาสมัยที่เป็นฆราวาส มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านหมดลมไปแล้วและไปเจอพระ คือ หลวงพ่อโต วัดระฆัง

    หลวงพ่อโตท่านถามว่า “ต้องการให้ช่วยอะไรบ้าง ?”
    ครูกราบเรียนว่า “ยังเขียนนิยายเรื่องยาวยังไม่จบ (ท่านเขียนเรื่องเพชรพระอุมา) ถ้าหากว่าหลวงปู่ช่วยให้มีชีวิตอยู่จนเขียนนิยายจบได้ จะภาวนาคาถาชินบัญชรถวายวันละ ๕๐๐ จบ”

    แล้วครูก็ฟื้นกลับมาจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ภาวนาคาถาชินบัญชรทุกวัน ๆ ละ ๕๐๐ จบ จะไปทำงานทำอะไร สติจะอยู่กับการภาวนาตลอด เวลาท่านขับรถไปทำงาน ไปสำนักพิมพ์ หรือไม่ก็ออกไปทดสอบอาวุธตามสนามอาวุธต่าง ๆ หรือหน่วยทหาร ไปถึงตรงไหนภาวนาได้กี่จบท่านจะรู้ตลอด ท่านมีสมาธิขนาดนั้น คราวนี้ผลไปเกิดตรงที่ว่า พอสมาธิขนาดนั้นก็เกิดอภิญญาขึ้นมาเอง เพราะว่าตอนเด็กท่านมีพื้นฐานเรื่องคาถาจากปู่ จากพ่อและก็ครูพรานที่สอนมาอยู่แล้ว ก็พลอยทำให้ได้ผลมากขึ้น

    ครั้งหนึ่งฝรั่งเขาเอากระจกกันกระสุนมาให้ลอง จะเป็นแบบติดรถยนต์สำหรับผู้นำประเทศ เขายิงด้วยเอ็ม ๑๖ จ่อยิงแล้วไม่เข้า ครูเขาบอกว่า ใครเขาทดสอบแบบนั้น ยิงแบบนี้ไม่เข้าแน่นอนเพราะว่าไปจ่อยิง อาวุธปืนจะมีขีปนวิถี คือระดับความเร็วของกระสุน หากทรงตัวได้ระดับ ถึงจะแสดงอานุภาพออกมาเต็มที่

    ครูเขาถอยออกมาประมาณ ๑๐ เมตร ยิงทะลุฉลุยไปเลย ฝรั่ง (บริษัทการ์เดียน) เขาไม่ยอม กลับไปผลิตมาใหม่หนา ๒ นิ้ว คราวนี้ใช้ปืนอะไรก็ยิงไม่ทะลุ กระทั่งปืนไรเฟิลยิงช้าง ขนาด .๔๕๘ แม็กนั่ม ก็ยิงไม่ทะลุ ยิงไปก็แค่ร้าวเป็นรอยแบบใยแมงมุมเท่านั้น เขาลองยิงจนกระทั่งมั่นใจว่าปืนสั้นปืนยาวกี่ชนิดยิงไม่ทะลุแน่ ครูเขาว่าขอลองอีกที แล้วก็หยิบกระสุนขึ้นมาหนึ่งนัด เป็นกระสุนเล็ก ๆ ขนาด .๓๐๘ วินเชสเตอร์แม็กนั่มแค่นั้น เป่าพ่วง..! แล้วยิงทะลุฉลุยเลย ฝรั่งยืนงง..! ครูเขาบอกว่าไม่ต้องกลัว เรื่องแบบนี้ในประเทศไทยมีคนทำได้ไม่มากนัก..!

    เมื่อท่านยอมทุ่มเทภาวนาคาถาชินบัญชรวันละ ๕๐๐ จบทุกวัน จึงเกิดฤทธิ์เกิดอภิญญาขึ้นมาเอง ฉะนั้น..เรื่องของคนที่เคยทำ มีของเก่าเอาไว้ ถึงวาระ ถึงเวลา สมาธิถึงเมื่อไร ก็ขนของเก่ากลับมาใช้ได้หมดเลย

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -รัก-โ.jpg

    พยายามแยกให้ได้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ไม่ใช่สมบัติของเรา ในเมื่อเป็นสมบัติของร่างกาย ธรรมดาของอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ต้องมีอยู่แล้ว ในเมื่อต้องมีอยู่แล้ว อยากมีก็มีไปเถิด เราไม่สนใจเจ้าหรอก อย่าไปให้ความสนใจกับมัน

    เกิดอะไรขึ้นอย่าไปนึกคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องคิดต่อว่ารวยว่าสวย หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ต้องไปคิดต่อว่าเพราะหรือไม่เพราะ จมูกได้กลิ่นไม่ต้องไปสนใจว่าจะหอมหรือจะเหม็น จะชอบหรือไม่ชอบ ลิ้นรับรสก็สักแต่ได้รส จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ช่างมัน กายสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส จะเย็นร้อนอ่อนแข็งชอบใจหรือว่าไม่ชอบใจอย่างไรเรื่องของมัน กั้นเอาไว้อย่าให้มันเข้ามาในใจ
    ……………………………….

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ธันวาคม 2018
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...