เปิดใจให้กับคำว่า พุทโธ แล้วชีวิตจะดีขึ้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Username-chatreekain, 16 ธันวาคม 2018.

  1. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    เพราะพุทโธเป็นกริยาของใจ

    หลวงพ่อ (พุธ ฐานิโย) เคยแอบถามท่านว่า ทำไมจึงต้องภาวนา พุทโธ
    ท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ – พาน – สระ – อุ – ท – ทหาร สะกด โอ ตัว ธ – ธง อ่านว่า พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้ว มันสงบวูบลงไป นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน
    พอหลังจากคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา
    พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมีปีติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิตมันใกล้กับความจริง
    แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆ ๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น

    ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธนั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนี้ เราก็ต้องท่อง พุทโธๆ ๆ ๆ เหมือนกับว่าเราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา หรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้เมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา
    ทีนี้ในทำนองเดียวกันในเมื่อเรียก พุทโธๆ ๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า ควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบานจะหายไป เพราะสมาธิถอน
    ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไปจิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆ ๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น ถ้าจิตส่งกระแสออกนอกเกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี่เหมือนกับแก้วโปร่ง ดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราจุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้วจึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียวร่างกายตัวตนหายหมด ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป.
    หลักปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้
     
  2. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เห็นด้วยครับ ถ้าแบบทางโลกก็ประมาณการคิดบวกดึงพลังงานจักรวาลอะไรพวกนั้น ถ้าจิตคิดแต่เรื่องดีๆสิ่งดีๆหรือพลังงานดีๆก็จะเข้ามา ตรงข้ามถ้าจิตดวงนั้นชอบคิดด้านลบมองอะไรแต่เรื่องลบๆพลังงานลบไม่ดีก็จะเข้ามา เรื่องนี้ในโลกมีสอนกันมาเยอะแยะ เช่น เดอะซีเคล็ด

    ถ้าเป็นทางธรรมสายโพธิท่านก็จะให้นึกถึงโพธิรุ่นพี่บารมีเต็ม นึกถึงจักรพรรดิ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงโพธิทุกพระองค์ที่ร่วมสร้างบารมีมาด้วยกัน นึกถึงนี่แล้วแต่ว่าใครจะนึกยังไง ส่วนตัวผมใช้เป็นคำบริกรรมไปในตัวด้วยตลอดเวลาที่ภาวนาอยู่ทั้งหลับทั้งตื่น ส่วนนี้หลวงตาโพธิบารมีมากองค์หนึ่งท่านบอกว่านึกถึงอะไรเป็นประจำพลังงานสิ่งๆนั้นด้านนั้นๆก็จะมารวมที่จิตเราเรื่อยๆด้วย นึกถึงพลังงานรวมโพธิพลังงานนั้นก็มาที่จิต นึกถึงพลังงานบุญบุญนั้นก็มาที่เราครับ ซึ่งก็ตรงกันกับข้อความข้างบนที่ภาวนา พุทโธ แล้วจิตก็จะค่อยๆกลายเป็นพุทโธในที่สุดครับ อยู่ที่ผู้ปฏิบัติมีความเชื่อมั่นและศรัทธาเต็มกำลังใจด้วย
     
  3. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    ขอบคุณคับที่มาตอบให้ทุกทีเลย ได้ความรู้จากท่านอีกเยอะเลยคับ
     
  4. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    หลวงปูุคับ พอเรานั่งสมาธิแล้วพอมันสงบ สงบเสร็จเราก็ทิ้ง พุทโธ ใช่มั้ยคะ ลมสงบทิ้ง พุทโธ พอทิ้ง พุทโธ เสร็จ ก็มาพิจารณาร่างกายสังขาร แล้วเราก็ละมันออกไปใช่ประคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2018
  5. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ถ้าพูดตามหลักเป็นขั้นเป็นตอนให้เห็นเป็นภาพก็ต้องว่าแบบนั้น แบบที่หลวงพ่อพุธ กล่าวไว้ครับ เพราะตรงนี้ท่านทำมาก่อนแล้ว แต่มันเป็นเรื่องในจิตในสมาธิ ที่ว่าพอจิตมีกำลังฌานดีแล้วก็ให้ถอยมาพิจารณาธรรมในอุปจาระสมาธิได้ การที่คำภาวนาหายไปจากจิต ไม่ใช่การที่เราอยากจะปล่อยคำภาวนาเมื่อไรก็ได้ ตรงส่วนนั้นเข้าใจว่าเมื่อจิตถึงฌาน2 จิตมันจะปล่อยของมันเองให้เหลือแต่ความเอิบอิ่มชื่นใจในผลของสมาธิ สมาธิแบบนี้ถือว่าควรแก่การพิจารณาธรรมได้ เพราะระงับนิวรณ์ตัวคิดฟุ้งขวางจิตได้แล้วครับ แต่ถ้าเรายังภาวนาไม่ถึงกับคำภาวนาหายไปจากจิตเอง ก็ยังไม่ต้องรีบไปคว้าอะไรมาพิจารณาก็ได้ครับ เพราะถ้าสมาธิยังไม่ถึงฌานมาก่อน คิดพิจารณาอะไรก็ตามจะเหมือนกับคิดได้แต่จิตก็ยังยืดเหมือนเดิมอยู่ดี รู้ทุกอย่างเห็นธรรมะหมดแต่จิตละกิเลสจริงๆไม่ได้เลยนั่นเองครับ เพราะจิตไม่มีกำลังตัดกิเลสให้ขาดได้จริงๆ ตรงส่วนนี้ผมได้ยินพระอริยะสงฆ์รูปหนึ่งท่านกล่าวไว้ ว่าจิตที่จะตัดกิเลสได้จริงต้องมีกำลังตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แต่กรณีที่หลวงพ่อพุธแนะนำนั้น คือทุติยฌาน ถ้าทำได้ถึงตรงจุดนั้นก็ควรค่าแก่การนำกำลังฌานมาใช้ในการพิจารณาธรรมในอุปจาระสมาธิได้ครับ

    ปล.เป็นความเห็นนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2018
  6. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    ปล. ผมก็ไม่ทราบหลอกนะคับว่านั่งสมาธิไปเพื่ออ่ะไร
    สรุปๆ ต่อไปนี้ต้องเข้งคัดและส่วนที่พิมมาทั้งหมดเนี่ย
    อ่านจากหนังสือมาทั้งนั้นเลย...
     
  7. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ถ้าสังเกตุดูดีๆสายวัดป่าท่านจะถอดแบบปฏิบัติมาจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้เลยครับ คือขั้นแรกทำจิตให้ระงับความคิดความรู้ความจำอะไรทุกอย่างให้หมดก่อนคือตั้งหน้าทำจิตให้เป็นสมาธิให้ได้ฌานกันจริงๆนั่นเองครับ ท่านห้ามพิจารณาอะไรทั้งนั้น ตรงนี้ผมเคยไปบวชปฏิบัติอยู่วัดป่าแห่งหนึ่งมาท่านทำกันตามแบบจริงๆครับ ถ้ายังไม่ได้สมาธิจริงๆจะคิดพิจารณาไปถึงความสิ้นกิเลสอะไรก็ตามท่านจะบอกว่าเราฟุ้งซ่านใช้ไม่ได้ครับ ผมเคยโดนเทศน์มาแล้วเรียบร้อยหน้าแหก จำได้ถึงทุกวันนี้เลยครับ
     
  8. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    และวัดป่าที่เน้นปฏิบัติจริงๆท่านจะมีอาจารย์ใหญ่คอยสอบอารมณ์นักบวชหัดใหม่อยู่ครับ คือภูมิจิตระดับรู้เลยทันทีว่าเราได้สมาธิถึงขั้นไหน ขนิกกะ อุปจาระ ณาน รู้ความคิดว่าระหว่างวันเราคิดฟุ้งซ่านเรื่องอะไรด้วย อยากสึกนะคนนี้ก็รู้ เพราะงั้นไปหลอกท่านไม่ได้เลยครับ โดน...แน่นอน
     
  9. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    1. พระสัมมาสัมพุทธ คือ พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วและได้เทศนาธรรมสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม
    2. พระธรรม คือ คำสอน หรือ พระไตรปิฎก ประกอบด้วย
      • "); position: relative; line-height: 1.1;">พระวินัยปิฎก หรือ ธรรมหมวดระเบียบวินัยของศาสนิก สิกขาบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับภิกษุสงฆ์
      • "); position: relative; line-height: 1.1;">พระสุตตันตปิฎก หรือ ธรรมหมวดพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแก่ภิกษุสงฆ์และบุคคลต่าง ๆ ตามวาระและโอกาส เป็นรูปคำสนทนาบ้าง คำบรรยายบ้าง และ
      • "); position: relative; line-height: 1.1;">พระอภิธรรมปิฎก หรือ ธรรมหมวดวิธีปฏิบัติจิต ว่าด้วยหลักธรรมต่าง ๆ ที่อธิบายในแง่วิชาการล้วน ๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือ เหตุการณ์ เป็นหลักธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง
    3. พระสงฆ์ หรือ สงฺฆ ในภาษาบาลี แปลว่า หมู่ เช่นในคำว่า ภิกษุสงฆ์แปลว่า หมู่ภิกษุ ใช้ในความหมายว่าภิกษุทั้งปวงก็ได้ คือ บุคคลที่เรียกว่า พระสาวก หรือ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเลื่อมใส สละเรือนออกบวช ถือวัตร ปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย ที่พระบรมศาสดาสั่งสอนและกำหนดไว้ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ในทางพระพุทธศาสนาแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ สมมติสงฆ์และ พระอริยสงฆ์
    สมมติสงฆ์ คือ สงฆ์โดยทั่วไปที่เป็นหมู่ของภิกษุ เรียกว่า พระสงฆ์ หรือสมมติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมติ เพราะว่าเป็นภิกษุตามพระวินัยด้วยวิธีอุปสมบทรับรองกันว่าเป็นอุปสัมบันหรือเป็นภิกษุขึ้น เมื่อภิกษุหลายรูปมาประชุมกันกระทำกิจของสงฆ์ก็เรียกว่า สงฆ์

    พระอริยสงฆ์ หมู่ภิกษุชนที่ได้ฟังเสียงซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือได้ปฏิบัติตามธรรมะ ได้ความรู้พระธรรม คือ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงได้บรรลุโลกุตตรธรรม หรือธรรมะที่อยู่เหนือโลกตามพระพุทธเจ้า ซึ่งพระอริยสงฆ์คือคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ ๘ บุรุษ ได้แก่คู่ มรรค ผล
     
  10. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    หลวงปูุ : จ้า อันดับแรกน่ะ โยมจะเข้าหาความสงบ โยมให้กําหนดรู้ลม แต่ยัง ไม่ไปต้องภาวนา ถ้าโยมไปภาวนาเลยน่ะไม่ได้หรอกจ้า มันได้..แต่มันไม่ได้อะไร เพราะจิตในขณะที่โยมฟุูงอยู่ ถ้าโยมไปภาวนามันเหมือนเอาไปทับอารมณ์มัน ไว้..ไปข่ม นั่นเค้าเรียก เป็นการบังคับจิตอย่างหนึ่ง แต่โดยธรรมชาติเมื่อโยม กําหนดรู้แล้ว จะเข้าหาความสงบก็แค่ "กําหนดลม" ไปกําหนดอารมณ์ ที่ไม่ สงบเพราะอะไร ไปดูที่เหตุก่อน นั่นเรียกว่า "วิตกลม" ที่บอกว่าให้ไปดูอารมณ์ นั่นเรียกว่า สมถะบวกกับวิปัสสนา นี่เขาเรียกว่า สมาธิ บุคคลที่เขาฝึกมาแล้วมี พื้นฐานแล้วสามารถทําได้เลยแบบนี้..ไม่ต้องไป พุทโธ พุทโธ นี้สําหรับเด็กหรือ ประมาณนี้ป่ะคับที่เค้าเรียกว่าการปล่อยวาง
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    หึย์ หึย์
    จะเรียกว่าหลวงปู่ก็หลวงปู่
    เรียกให้เคลียร์ๆ งับ
     
  12. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    เป้าหมายในการทำสมาธิของแต่ละคนร้อยพ่อพันแม่แน่นอนว่าไม่เหมือนกันครับ บางคนทำสมาธิเพราะสงสัยว่าสมาธิเป็นยังไง บางคนทำเพราะอยากได้ฤทธิ์ บางคนอยากได้ฌาน ได้ฌาน บางคนอยากรู้เห็นสิ่งแปลกใหม่ภพภูมิผีเทวดา นรก สวรรค์ บางคนทำสมาธิเพื่อเอาความสุขในรสของสมาธิ บางคนทำเพื่อจะได้เป็นกำลังประหารกิเลสเข้าเขตพระอริยะ ซึ่งส่วนตัวจะไม่เห็นว่าใครผิดใครถูกไปกว่ากันครับ อยู่ที่เจตนาหลักของแต่ละคนที่ได้ตั้งใจไว้

    แต่สำหรับส่วนตัวผมแล้วสิ่งหลักที่ผมตั้งสัจจะอธิษฐานไปแล้วคือ ทำสมาธิภาวนาเพื่อแผ่บุญต่อภพภูมิวิญญาณ ที่อยู่รอบข้างเราทุกภูมิ ใครอยากได้บุญให้น้อมจิตมาเอาบุญกับผมได้ทุกบุญที่ผมทำตลอดชีวิต นี่คือจุดประสงค์หลักของการดำเนินชีวิตของผมในชาติๆนี้ ส่วนสมาธิจะได้มากได้น้อยยังไงจะถึงขั้นไหนมันไม่ใช่เป้าหมายที่ผมมองไว้แต่แรกอยู่แล้ว เพราะถึงแม้ว่าบางวันผมจะทำได้ขนิกกะ บางวันได้อุปจาระ หรือขึ้นไปถึงปฐมฌาน ก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจตนาหลักที่ผมตั้งสัจจะอธิษฐานจะภาวนาแผ่บุญให้กับภพภูมิวิญญาณรอบข้างไว้

    ผมปรารถนาโพธิ ใครจะว่ายังไงความปรารถนาผมก็ยังไม่ขาดเสื่อมคลายอะไร ผมก็ยังบำเพ็ญเมตตาบารมีแผ่บุญของผมไปทุกๆวันไม่เคยขาดตกบกพร่อง สมาธิผมถือว่าเป็นผลที่ได้มาจากการภาวนาแผ่บุญให้ภพภูมิเฉยๆครับ ชาตินี้ผมเอาบุญเอาเมตตาบารมีเน้นการให้การทำประโยชน์ในสิ่งที่ตนพึงทำได้เป็นหลัก ส่วนอย่างอื่นถือเป็นรองเป็นของแถม นี่มันต้องชัดเจนกับชีวิตแบบนี้นะครับ เราจะได้มีจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคระหว่างทางใดๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเราก็ทำหน้าที่ในส่วนของการบำเพ็ญบารมีแบบโพธิของเราต่อไปครับ เราต้องวางแผนชีวิตให้ชัดเจนครับว่าเราจะทำสมาธิเพื่ออะไร หรือทำอะไรเพื่ออะไรจะได้ไม่เสียเวลาป่าวไปชาติหนึ่งครับ
     
  13. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    สมัยไปเป็นนักบวชวัดป่าแห่งหนึ่งไปเพราะประเพณีครับ บวชตามประเพณี ไม่ได้จะไปเพราะอยากบรรลุหมดกิเลสอะไรหรอกครับ แบกตัวตนไปด้วยเต็มอัตตรา แต่บังเอินว่าหลวงพ่อผู้ดูแลวัดทั้งหมดท่านเป็นพระสายทางโพธิสัตว์ครับ องค์นี้บารมีมากท่านดูผมแปบเดียวท่านก็ทักเหมือนท่านรู้จักเราดี แต่ผมไม่รู้จักท่านหรอก เพราะตอนบวชแค่อยากเลือกวัดบวชที่เป็นสายวัดป่าเท่านั้นครับ เพราะวัดแถวบ้านไม่เคร่งไม่ค่อยภาวนากัน และไม่มีคนสอบอารมณ์ปฏิบัติด้วย วัดแถวบ้านเน้นสวดมนต์ไปงานกิจนิมนต์ครับส่วนตัวเลยเลี่ยงไปหาบวชกับวัดป่าปฏิบัติดีกว่า

    ไปถึงก็บอกกับหลวงพ่อว่าอยากเห็นผีเห็นเทวดาเคยฟังหลวงพ่ออีกองค์มาก่อนบวชท่านเล่าเรื่องนรกสวรรค์ไว้เยอะเราก็แบกความสงสัยไปถึงวัดธรรมยุต แต่โชคไม่เข้าข้างผมครับ ท่านสอนให้ ภาวนา พุทโธ ทำสมาธิเป็นหลัก ไม่เน้นรู้เห็นอะไรพวกนั้น ตอนแรกก็แอบเซงนิดๆ แต่ก็ไม่เป็นไร คือทั้งวัดผมชอบมาคุยกับหลวงพ่อผู้ดูแลทุกอย่างในวัด คือทางธรรมยุติองค์นี้จะใหญ่กว่าเจ้าอาวาสอีกชั้นหนึ่งครับ ผมมีอะไรก็ไปคุยเล่ากับท่านตลอด เพราะอะไรเพราะท่านรู้ใจผมทุกอย่างครับ เป็นโพธิสัตว์ที่มีเมตตามากๆ ท่านไม่พูดให้เราหมดหวังเลย ท่านรู้ว่าผมไม่ใช่สายตัดกิเลสท่านก็พูดให้กำลังใจไปทางด้านการสร้างบุญสร้างความดีครับ คือแค่อยู่ใกล้ๆก็เย็นใจสบายจิตแล้วครับ บารมีถึงขนาดนั้นเลย นั่นแหละผมก็เลยเห็นแบบอย่างแนวทางของหลวงพ่อโพธิสัตว์องค์นั้นมาตลอดการบวช คือผมไม่พูดเรื่องการตัดกิเลสกับใครเลย องค์อื่นท่านพูดเรื่องละตัวตนกัน ผมนี่คุยกับเขาไม่เข้าใจ คือวิธีคิดวิธีมองโลกมันคนละแบบอยู่แล้ว ก็ได้คุยปรึกษาหลวงพ่อผู้เป็นโพธิสัตว์องค์นั้นเท่านั้นครับ

    ที่เล่ามาก็จะบอกว่าทุกคนมีแนวทางเป็นของตนเองอยู่แล้วไม่มากก็ต้องมีบ้าง เพียงแต่บางทีอาจจะขาดกำลังใจ ท้อแท้ในการปฏิบัติ สิ่งที่ช่วยได้ก็ช่วยให้กำลังใจให้ไปสู้ต่อครับ การให้กำลังใจคนท้อในการปฏิบัติก็ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่าบุญจะบุญเล็กบุญน้อยก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเก็บหมดครับถือว่าสะสมไป จากบุญน้อยก็จะกลายเป็นบารมีใหญ่ขึ้นมาในสักวัน
     
  14. แผ่บุญ

    แผ่บุญ ชอบ~ศรัทธา 40 อสงไขย

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2018
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +307
    ส่วนตัวใช่จะอยากเป็นอาจารย์อะไรหรอกนะครับ ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมการเดินทางดีกว่า แต่ที่ชอบเข้ามาคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ถือเป็นวิสัยของพุทธภูมิที่ชอบแบ่งปัน จะถูกมากถูกน้อยนั้นทางพุทธภูมิไม่ถือว่าเสียหายอะไรครับ การเดินทางมันอีกยาวไกล แต่ก็ใช่จะยุยงส่งเสริมให้ใครไปทำผิดศีลผิดอะไร ก็คุยกันในกรอบของหลักของ ศีล สมาธิ ปัญญา

    เรื่องของความเห็นมันไม่มีใครบอกสอนกันได้ถูกต้องสะอาดปราศเปรื่องที่สุดครับ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระอรหันต์ และก็ยังไม่ใช่พระอริยะขั้นใดๆด้วย เพราะงั้นถ้าทำจิตให้เป็นกลางๆได้ ก็จะเห็นว่าทุกความเห็นย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา เขาไม่คิดเหมือนเรา เราไม่คิดเหมือนเขา คือความไม่เที่ยงที่กำลังแสดงสัจจะธรรมอยู่เนืองๆตลอดเวลา ถือว่าไม่มีอะไรเราก็ดำเนินตามทางของเราที่เลือกไปตามปกติต่อไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...