ทำยังไงจะเจอจิตผู้รู้ เพื่อแยกกายและจิตได้คับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฮักตัวน้อย, 13 ธันวาคม 2018.

  1. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แล้วถ้านั่งแล้วไม่มีใครมาจะคิดถึงท่านที่มาหาไหมคับ
     
  2. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    อันนี้เล่าให้ฟังเฉยๆ เมื่อก่อนเคยนั่งกรรมฐานประมาณสักสองสามชัวโมงได้ อยู่ๆภาพมันก็เห็นเป็นกองไฟมองลึกลงไปเห็นเป็นถ่านก้อนแดงในกองไฟแต่จิตมันชอบลองทั้งสภาพที่รับรู้ก็ร้อนแรงเหมือนดังนั่งอยู่ใกล้กองไฟเห็นดังนั้นจึงพิสูจน์ว่านี่จริงๆตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ถ้าเราอยู่ที่นี่จริงๆมันคงร้อนมากเพราะนั่งติดกองไฟแถบจะลงไปในนั้น จึงเอามือล้วงลงไปให้มันรู้ว่านั่นคืออะไรถ่านแดงๆของจริงกรือของปลอมคว้าหมับ ตอนแรกมันทำท่าจะร้อนเหมือนมือจะไหม้แต่พอจับค้างไว้ก็พบว่ามันไม่ได้ร้อน เพราะมันคือมายา จึงถอยออกมาจากจุดนั้นกลับมาที่เดิม เหมือนเคยพูดไปแล้วเลยอะไรแบบนี้ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆนะคับ
     
  3. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เห็นคำว่าจิตโพธิหรือจิตโพธิสัตว์ เวลานึกถึงคำนี้สิ่งแรกที่เห็นเสมอคือขันติ ความอดทนอดกลั้นซึ่งบรรดาผู้ซึ่งประกอบไว้ด้วยจิตนั้นจะมีสิ่งนั้นและได้สิ่งนั้นมาเป็นสิ่งแรกๆของทั้งหมด ถ้ามีน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับคนปกติก็ไม่แน่อาจไม่ใช่แต่ต้องดูจากสิ่งอื่นด้วยเพราะรอบของการสั่งสมอาจเป็นทาน อาจเป็นศีล อาจเป็นเนขขัม หรืออาจเป็นความเพียรหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มักมีพื้นฐานมาจากความอดทน ตรงอื่นคงทำยากถ้าไม่รู้จักอดทนและยอมรับสภาพจริงของชีวิตอันนี้ก็เป็นข้อคิดเห็น ตามประสาคนธรรมดานะคับ
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เท่าที่ทราบมีคนบอกว่าเวลานี้พระโพธิสัตว์หลายพระองค์ลงมาจุติเพื่อสร้างบารมี ข้อนี้ดูเหมือนจะจริงเพราะทุกครั้งที่มีเหตุเพศภัยหรือกำลังจะมีเหตุ ท่านจะมาปรากฏเสมอหลายพระองค์ เหตุที่มาปีจจุบันคือ คนมีจิตใจเสื่อมหลงในสิ่งต่างๆ ท่านเหล่านั้นจึงมา เกิดความทุกข์เข็ญท่านเหล่านั้นจึงมา แต่สังเกตว่าท่านมาช่วยไม่ได้มาซ้ำเติมท่านมาดีแม้จะมีชาติกำเนิดต้อยต่ำหรือสูงส่งเพียงใด แต่ถ้าเป็นท่านผู้มีบารมีล้นคงไม่ทำร้ายทำลายใครไม่ว่าจะด้วย กาย วาจา ใจ เพราะท่านมีเมตตาต่อทุกสิ่งจริงๆ ตอนนี้เห็นหลายท่านแล้ว ท่านอื่นๆเห็นบ้างหรือยัง...
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คือ ถ้าสามารถนั่งสมาธิได้ถึงระดับที่ สามารถ
    ค่อยๆลุกออกจากร่างกายตัวเองได้
    (หมายถึงมองเห็นได้เลยว่า มีอีกกายนั่งอยู่)
    ในแบบที่สามารถสร้างกายอุปโลกน์ ตามสภาวะธรรม
    หรือที่บุคคลทั่วไปเรียก กายทิพย์ กายอะไรก็แล้วนั้น
    ก็ถือว่า กำลังสมาธิอยู่ในระดับที่ดี พวกนี้เป็นสมถะครับ
    และไม่ได้ปฏิเสธนะครับ ถ้าทำได้แบบนี้
    รับประกันได้ว่า แค่เสียงลมฟัด
    จะได้ยินเหมือนหูแทบแตก
    เหมือนไปยืนใกล้ๆ ใบพัดเครื่องบินโบอิ้ง
    แต่จะปลอดภัยจริงๆ ต้องชัวว่ามีพันธมิตรทางภพภูมิ
    ที่เป็นบารมีที่สร้างสมเฉพาะตนนะครับ
    และมีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิร่วมด้วยนะครับ
    ถ้ากรณีจะไปสถานที่ต่างๆ....
    หรือต้องทำภายใต้การขอบารมีนะครับ
    เพราะไม่งั้น หากมีภูมินิสัยไม่ดี
    มากระทำอะไร กับเส้นสายใยที่เชื่อมกับกายอุปโลกน์เราด้านหลังแล้วหละก็
    ถึงขั้นเพี้ยนหรือวิปลาสได้เลยนะครับ...

    แต่ถ้ากรณีที่ เราไม่ได้ข้องเกี่ยวกับระบบภาคทิพย์
    (เช่น กลุ่มผู้โปรด กลุ่มที่เรียนวิชาเฉพาะต่างๆ
    กับครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิ ในกำลังระดับสูง)
    ก็ไม่ควรทำและเข้าไปยุ่งเกี่ยว ควรเอากำลังตรงนี้
    มาหนุนทางด้านวิปัสสนาดีกว่า จะได้เปรียบ
    กว่าในกำลังระดับไม่สูงมาก เพราะความเข้าใจ
    ทางด้านนามธรรมจะชัดกว่า เห็นได้ละเอียดกว่า

    ส่วนการออกไปนั้น มันจะดูเหมือนไม่ยึดติด แต่มันเป็นกิเลสธรรม
    คือ จะทำให้เราสนใจแต่เรื่องนามธรรมพิเศษต่างๆ
    และจะไม่สนใจเรื่องสติเรื่องปัญญาครับ
    ความสามารถระดับนี้ ยังถือว่าเป็นสมถะอยู่
    ถ้ายังมีตัวไปกระทำ เช่น จากกำลังสมาธิ
    จากความชำนาญ ส่วนบุคคคล....
    ยกเว้น บางท่านที่จะทำได้โดยธรรมชาติ
    ซึ่งหาได้ยาก (ธรรมชาติแบบค่อยๆลุกไปนะครับ)


    มีกายเนื้อไว้ให้สร้างสติทางธรรมดีกว่า
    ส่วนนี้เป็นส่วนที่ภพภูมิทำไม่ได้ครับ....

    ส่วนการส่งตัวจิตออกไปข้างนอก
    ถ้าไม่ทันในขณะที่ ตัวจิตกำลังเดินทาง
    หรือไม่ทราบ ไม่เข้าใจ วัตถุประสงค์ นามธรรม
    ที่ตนเองสัมผัส ทางปฏิบัติถือว่า กำลังสติทางธรรมยังไม่พอ
    แม้ว่า ท่านจะมีความสามารถในการส่งจิตออกไป
    ท่องเที่ยวได้ ภายในไม่กี่วินาที แต่มันฟ้องว่า กำลังสติทางธรรมท่านไม่ดี
    ทางที่ดีคือ ถ้ามันจะออกต้องไม่ให้มันออก
    และถ้ามันจะออกไปไหน กำลังสติจะต้องตาม
    ตัวจิตไปได้ทุกๆที่ ทุกเวลา ถึงจะปลอดภัย
    ไม่กลายเป็นกิเลสธรรม แต่ก็ยังเป็น สมถะอยู่ ไม่ใช่ปัญญาครับ



    แยกรูปแยกนาม

    (เห็นได้ว่า ๑.จิต ๒.ความคิด ๓.ความคิดที่มาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    หรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือวิบากกรรม แต่ในกลุ่มพวกญานวิถี
    จะเรียกว่า กระแสแหย่ หรือ วิบากที่แปลว่าเป็นกระแสจร ทั้ง ๓
    ส่วนนี้ที่เป็นฝ่ายอารมย์ เป็นนามธรรมนั้น
    เห็นได้ว่ามันแยกกันได้ เป็นคนละส่วนกัน
    และแยกกันอยู่ในกายเรานี่หละครับ ไม่ใช่ไปแยกข้างนอก
    หรือส่งจิตไปข้างนอกนะครับ)

    เป็น
    แนวทางพื้นฐานเพื่อไปทางด้านวิปัสสนาครับ
    เพื่อใช้สำหรับการเดินปัญญา เพราะถ้าตัวจิต
    แยกรูปแยกนามยังไม่ได้
    การวิปัสสนาของเราจะยังไม่พ้นความคิด
    และสัญญา ที่มาจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    จะกลายเป็นวิปัสสนึกได้อย่างไม่รู้ตัว
    และใช้สำหรับการไปต่อยอดสำหรับไปทางด้าน
    สติปัฎปัฏฐาน ๔ หรือ กรรมฐานใดๆก็ได้
    ที่เน้นเกี่ยวกับการเข้าถึงอารมย์เป็นหลัก

    คือ ถ้าเราจะปฏิบัติ จนกระทั่งค้นหาสาเหตุ
    ของการเกิดดับได้นั้น หรือ ที่เรียกทั่วไปว่า
    รอบรู้ในกองสังขารได้นั้น ถ้าไม่ได้สนใจว่า
    จะต้องถึงระดับนี้ก็ไม่ต้องสนใจครับ

    มันจะต้องอาศัยการปฏิบัติในระดับที่เรียกว่า
    ปัญญาญานครับ..ซึ่งมันจะต้องหาสมดุลย์
    ให้เจอด้วยตัวเราเอง ระหว่างสมถะกับวิปัสสนาครับ
    เพราะถ้า เราหนัก ด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป
    เราจะยังมองไม่เห็น ชัดทุกกระบวณการปรุงแต่ง

    เราจะเผลอคิดว่า ในกระบวณการที่ปรุงแต่งอยู่นั้น
    ที่มันแสดงผลออกมาเป็นกิริยาทางด้านนามธรรม
    ที่พิเศษ เช่น เห็นกระบวณการเกิดได้ เห็นนามธรรมโน้นนี่นั้น
    มีสัมผัสโน้นนั่นนี่เกิดขึ้น มีความสามารถนั่นโน้นนี่
    เป็นผู้รู้ ตัวรู้จริง เป็นการรู้จริง เป็นเครื่องรู้ อะไรก็แล้วแต่ได้อยู่ครับ.....
    ซึ่งแม้ว่า มันจะสามารถนำไปใช้งานได้อยู่


    แต่มันไม่ใช่ การรู้ ตัวรู้ เครื่องรู้ หรืออะไรก็ตาม
    ที่เป็นไปตามธรรมชาติของตัวจิตมันเอง
    ซึ่ง ลักษณะธรรมชาติของตัวจิตเองนั้น
    มันจะเป็นการรู้ ละ คลายๆ ที่ค่อยๆส่งผล
    ให้จิตมันค่อยๆกลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมัน
    หรือธรรมชาติดั้งเดิม ก่อนที่มันจะหลงยึดจนมาเกิด

    หนักปัญญาอย่างเดียว ก็ไม่พอ เพราะเห็นไม่รอบด้าน
    หนักสมถะอย่างเดียว ก็ยิ่งห่างไกลด้านปัญญา
    เพราะไม่ได้สร้างให้จิตเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมา......

    ความสมดุลย์ตรงนี้ต้องหาเองครับ

    ปล. มายาจิต เป็นเพียงแค่กลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นนามธรรมได้ด้วยตาเปล่า ก็ยังยึดไม่ได้ครับ
    ฝากไว้พิจารณาครับ.....

    จิตกับความคิดที่เกิดจากจิตมันไม่ได้แยกกันหรอกครับ
    มันอยู่ร่วมกันมานาน หลักสังเกตุคือ
    เพราะถ้ามันไม่ได้อยู่ร่วมกันมานาน
    คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
    เช่น จะบอกว่า นาย ก ดำหรือไม่ดำ หรือหล่อไม่หล่อก็ได้
    พูดง่ายๆว่า จะบอกว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกุศล
    หรืออกุศล ถ้ามันแยกกันอยู่แล้ว จิตจะไม่สามารถไปบังคับ
    มันให้เปลี่ยนแปลงตามที่ใจเรานึกได้ครับ พอมองภาพออกนะครับ


    จนเราต้องมาเจริญสติ
    จนถึงระดับที่เห็นมันกำลังขึ้นจากจิตได้นั้นหละครับ
    มันถึงจะดีดตัวออกจากกันได้ครับ


    ส่วนขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม ที่ประกอบด้วย
    สัญญา วิญญาน เวทนา สังขารนั้น
    ตัวนี้ แท้จริงแล้วมันมาจากภายนอก
    อยู่ข้างตัวจิตเรา ถ้าไม่ได้สังเกตุดีๆ
    หรือไม่ถึงกำลังสมาธิระดับที่ แยกกายกับจิต
    ให้ขาดนิ่งๆในกายได้แล้ว เราจะคิดว่า
    มันคือตัวเดียวกับจิตเราเองครับ........

    หลักสังเกตุ ที่บอกว่า ทำไมมันไม่ใช่ตัวเดียวกับจิตเรา
    ถ้าตัวเดียวกับจิตเรา จิตเราจะต้องบังคับให้มันเป็น
    อย่างที่เราคิดได้ซิครับ

    เช่น ถ้าเราเห็น อุจจาระ เราต้องสั่งกายได้ได้ว่า เราจะต้องกินมันได้
    เหมือนข้าวทั่วไป และรู้สึกว่า อร่อยเหาะ...
    แต่ด้วยที่มัน มีสัญญา มีการรับรู้ผ่านตัววิญญานมาก่อน
    ทางตา ทางหู จมูกนั้น มันเลยมีการปรุงแต่งไปได้ว่า ไม่ชอบ และรู้สึกว่า
    ขยะแขยง ตัวอย่างพูดพอให้เห็นภาพรวม


    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง....
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    กรรมใครกรรมมันเนาะ....ตรรกะไปหมดแระ
    พอพูดตรงๆเด่วก็จะหาว่าดูถูกอีก
    ส่วนตัวอ่านแล้ว และเว้นวันพระให้วันหนึ่ง
    ได้อ่าน ถึงได้อ้างอิง
    และพูดด้วยเหตุด้วยผลนั่นหละครับ
    ตัวคุณไปอ่านบ้างนะครับ
    และก็อ่านให้คบ ในทุกๆบริษทด้วย
    เพื่อว่าจะมีสำนึก ระลึกอะไรได้บ้าง

    บอกแล้วเตือนแล้ว....อธิบายก็แล้ว..
    ว่าอย่าทำแบบนี้
    ไม่คิดว่า วิบากคุณมันจะเร็วขนาดนี้
    ขอเชิญ คุณ สติ ทิฐิ สัญญา ตรรกะ วิปลาส
    และก็ปัญญาวกวน รวมทั้งฝึกกรรมฐาน
    อะไรก็ตาม ที่ไปแนะไม่สำเร็จทั้งชาติ
    ต่อไปของคุณคนเดียวเหอะครับ..... ^_^

    ปล. สมาชิกเคยเจอตัวข้าพเจ้าเป็นๆมาเยอะ
    เค้ารู้หมดแระครับ ว่าข้าพเจ้าเป็นยังไง
    ทำอะไรได้บ้าง ไม่ว่าก่อนหน้านั้น
    จะเคยเถียง เคยมีเรื่องกับใครมาก็ตาม
    ....ว่าแต่คุณ
    อย่าพึ่งเพี้ยนก่อน ที่จะได้เจอกันนะครับ
    ดูถูกว่า ข้าพเจ้ากระจอก ดิสเครดิส ปรามาสไว้เยอะ
    เด่วรู้กันในอนาคตอันใกล้นี่หละ.....โชคดีเด้อ
     
  7. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เล่าแบบไม่คิดมากนะคับ ผมเคยได้ยินคำว่าส่งจิตออกนอกจากหลวงปู่ดูลย์ ผมมานั่งนึกเสมอว่าจิตออกนอกคืออะไร ผมสงสัยมาระยะนึงที่สงสัยเพราะจิตมันจะไปข้างนอกได้ยังไง พอเห็นอีกสิ่งนึงเลยรู้ว่าที่อยู่ข้างนอกมันไม่ใช่จิตและเราเล่นตามอะไรไป เหตุนี้จึงจำเป็นจะต้องหาจิตให้เจอ หลวงปู่ยังเคยกล่าวว่าเห็นพระพุทธเจ้าให้ฆ่าเสีย ไม่ได้หมายความว่าให้ทำลายแต่หมายความว่าให้รู้ว่านั่นไม่ได้เป็นจริงเพราะเราแล่นตามสิ่งที่ไม่ใช่จิตจริงจึงเห็นอะไรก็ได้ต่างๆนานา อันนี้ที่ผมเข้าใจนะคับ
     
  8. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ที่เหลือทำเอาเองนะคับจิตคืออะไรทำไมต้องใส่ใจลงไปในจิตใส่แล้วได้สติหรือได้ภาพมายาก็พิจารณาอย่ารีบร้อนค่อยๆทำนะคับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ชวนคุยนะ เป็นคนปกติธรรมดาเหมือนกัน
    ส่วนตัวมองว่า ถ้าเนื้อหา และแนวทาง
    ในกระทู้นี้ คงมากพอสมควรแระ
    เชื่อว่าทั่วไปเลยนะครับ
    หลายคนดูไม่ออกหรอกครับ
    ว่าใครตอนนี้ มาทางโพธิสัตว์ซึ่งอยู่ในช่วงสร้างบารมีอยู่
    หรือว่าท่านนั้นมีปฏิปทาว่าจะเป็นพระปัจจุเจกพุทธเจ้า
    หรือท่านใดมาทางแนวพระพุทธฯ
    หรือมาทางแนวผู้โปรด

    ถ้าเกิดมีคำถามว่า ในประเทศไทยท่านใด
    ที่มาทางโพธิสัตว์ที่มีกระแสเมตตาหนาแน่น
    ที่สุด ถามว่า มีใครตอบได้ไหม
    ถ้าตอบได้ แสดงว่าไม่ต้องสนใจคนนั้นหละ
    ส่วนตัวเชื่อว่า ดูคนออกแน่นอน



    เราควรแยกกันดีๆ ระหว่างดวงจิตที่เป็นโพธิสัตว์
    ลงมาเกิดเพื่อสงเคราะห์ผู้คน ช่วยเหลือผู้คน
    กับ ดวงจิตที่เป็นระดับผู้โปรดที่ลงมาเกิด
    ที่เน้นลงมาทางด้านสงเคราะห์ผู้คนทางด้านธรรม
    และก็อย่าเอาไปปนกับท่าน ที่อยู่ ณ ชั้นดุสิตตอนนี้
    และก็อย่าได้เอาเรื่องการลงมาเกิดของท่านเหล่านั้น
    ไปปนโยงเกี่ยวกับเรื่องภัยธรรมชาติอะไร
    เพราะว่า ไม่ใช่ปฏิปทาหลักของ เหล่าดวงจิตโพธิเหล่านั้นครับ
    หรือว่าลงมาเพื่อเตือนภัยพิบัติอะไรนะครับ




    รู้ไหมว่า ทำไมศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียว
    ที่มีรอบปีเป็นนักษักตรต่างๆ พอทราบไหม..

    นัยยะทางปฏิบัติมันคือ ปฎิบัติตนจากความเป็นสัตว์ให้
    กลายเป็นมนุษย์ จากมนุษย์เป็น โพธิสัตว์
    อย่างเช่น โพธิสัตว์ท่านหนึ่ง ที่ชื่อว่า สมเด็จ ชื่อ ย่อ ต
    ที่พระเครื่องปัจจุบัน ของแท้ราคาเป็นแสนเป็นล้านนั่นหละครับ

    ทั่วๆไป สำหรับบุคคลที่เข้าถึงได้
    ดวงจิตที่จะเป็นหรือพอเรียกได้เป็น ดวงจิตโพธิสัตว์
    ในมุมด้านพลังงานนั้น คือ กลุ่มดวงจิต ที่มีกระแส
    เมตตาจากภายในออกไปภายนอกกาย
    กระแสตรงนี้ อยู่ส่วนไหนของกาย และออกไปอย่างไร
    บุคคลที่เข้าถึงได้จะทราบกันดี...แต่มักไม่พูดอะไร

    ไม่ใช่มีกระแสออกฝ่าเท้า ฝ่ามือได้ แล้วจะเป็นโพธิ
    เหมือนพวกสายพลังงานจักรวาลชอบเอาไว้
    หลอกบรรดาสมาชิกนะครับ..ตรงนี้มันแค่
    ผลปกติของวิชาพลังงานจักรวาล เอามาชี้วัดไม่ได้

    หรือ แค่คิดว่า ตนเองเป็น หรือ ประกาศบอกใครว่าตนเองเป็น
    หรือสร้างภาพ ทำความดีต่างๆนาๆ เพื่อให้คนเข้าใจว่า
    ตนเองเป็น แล้วจิตดวงนั้น จะเป็นโพธิสัตว์นะครับ
    เพราะพวกนี้ ถ้ามันเป็นจะเป็นตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆ
    ที่ได้สร้างสะสมมาเฉพาะดวงจิตครับ


    ถ้าไม่งั้น เราจะพลาด เช่น เห็นคนรวยๆ บริจาคเป็นพันล้าน หมื่นล้าน
    หรือแจกจ่ายของให้คนจน ช่วยน้ำท่วม ทำความดีมากมาย
    แต่คุณจะไม่เห็น ในอีกมุม ในการได้มา ของรายรับ
    ที่ได้เบียดเบียน ทำลาย ทำร้าย เอาเปรียบผู้คนอื่นๆ
    มาอีกมากมายนับไม่ถ้วน
    เพราะ ถ้าจะเป็น จิตโพธิ มันจะเป็นของมันเอง
    โดยผู้ที่เป็นจริงๆนั้น
    ไม่มีท่านใดมาสนใจหรอกครับ
    ว่าตนเองเป็นแบบไหน แนวไหน
    แต่พฤติกรรมทางจิตของท่านนั่นหละ
    ที่มันบอกว่า ดวงจิตท่านเป็นโพธิ

    ไม่ใช่เป็นโพธิจากนิมิต จากกิริยาทางนิมิตที่เห็น
    ที่ได้ยิน หรือ สร้างให้ตนเป็นโพธิจากกิริยาทาง
    นามธรรมที่เป็นมายาจิตต่างๆ พวกนี้ต้องทำลายทิ้งเสีย
    เพราะว่ามันยัง สภาพเดิมแท้ของจิตจริงๆ

    หรือจะเป็นจากการอยากเป็น เพราะอ่านมา
    ได้ยินมา ได้ฟังมา ว่าเป็นแล้วอนาคต
    จะกลายเป็นโน้นนี่นั้น แบบนี้
    ยิ่งห่างไกล..........

    มันจะต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมันเองครับ


    และกระแสเมตตา ที่จะออกจากภายในไปภายนอกได้นั้น
    มันมาจาก การไม่เลือกข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
    คือ ช่วยเหลือทุกคนได้หมด โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร
    มันถึงจะเกิดกระแสแบบนี้จากภายในไปภายนอกได้
    ของมันเอง บ้างเรียกว่า บารมี พวกที่สายตาดีมักเรียก ออร่า
    บารมีตรงนี้ นี่หละครับ ว่าใครจะมีมากหรือน้อย
    ก็ดูที่ว่า ดวงจิตใดกว้างกว่ากันครับ
    และไม่ได้ดูที่ภายนอก ไม่สามารถเอาภายนอกมาชี้ชัด
    ตัวสินได้เลย และท่านเหล่านั้นไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพวกใคร
    เชื้อชาติใด ท่านก็ไม่ได้สนใจหรอก เพราะวิสัยปกติ
    เรียกว่า มองชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
    ได้เท่าเทียบกับ มองมหาเศรีษฐีคนหนึ่งนั่นหละครับ
    หรือมองมนุษย์โลก ได้เท่าเทียมกันหมด


    ถ้าเป็นในรูปห่มเหลืองนะ ดูง่ายๆไม่ยากหรอก
    อย่างน้อย ความสามารถทางจิตจะสูงกว่าปกติทั่วไป
    เพราะต้องนำกำลังตรงนี้ ไปใช้สงเคราะห์มนุษย์

    และความสามารถทางธรรมก็ละเอียดลึกในกรณี
    ที่ท่านเลือกเป็นผู้โปรด เน้นสอนธรรม แต่ความสามารถ
    ทางธรรมท่านก็มีฐานมาจากความสามารถพิเศษภายใน
    ระดับที่ล้ำลึกพิศดารเช่นกัน เพียงแต่ท่านไม่ได้เน้น
    ตรงนี้ให้ชาวโลกทั่วไปได้รับรู้

    ปล. ค่อยๆเป็นค่อยๆเข้าใจไป
    ตามแต่วาระการปฏิบัติ
    ตามเหตุและปัจจัยแห่งตนเอง
    แล้วกันครับ.....ถือว่าเล่าสู่กันฟังเฉยๆ

    เรื่องนามธรรมพูดมันพูดยากครับ.....
    มันไม่ง่าย เหมือนการสร้างการไปดึงนามธรรม
    ให้เป็นรูปธรรมหรืออัตตาตัวตน
    ซึ่งพวกนี้เป็นกิเลสมันเข้าถึงง่ายๆครับ



     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อ่านแล้วดูเท่ห์ดีครับ สาวๆกรี๊ดสลบเลยครับ ตุ็ดแต๋ว กรี๊ดกร้าด
    ข้อความเดิมๆ ก๊อปปี๊มาลงอ้างอิง ถึง ๓ ครั้ง ในกระทู้เดียวกันนี้
    รวมทั้ง ข้อความชุดนี้ ยังไปใช้ในกระทู้อื่นๆอีก ไม่ต่ำกว่า ๒ ครั้ง
    โดยไม่ให้เครดิส ที่มาของบทความเลย....


    คือ เครื่องยืนยันพฤติกรรมที่คุณเคยเขียน และข้อความเดิมๆ
    ที่คุณ เคยดูถูก กล่าวหา ดิสเครดิสข้าพเจ้าไว้ คือคุณไม่เคยทำหรือครับ?
    และสิ่งต่างๆที่บรรยายไว้ข้างบนมันคือ พฤติกรรมคุณ
    ตอนนี้หรือครับ ?

    สมมุติ ว่าคุณ เป็นบุคคลที่ ๓ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
    เรื่องการปะทะคารม ระหว่างกันมาก่อนเลย
    แล้ว ก๊อบปี๊ ข้อความนี้มาลง เอ่อ นั่นบอกได้ว่า
    คุณมีเจตนาที่ดี ที่ต้องการยุติ ความขัดแย้งทั้ง ๒ ฝ่าย
    ถึงแม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะไม่ยอมรับ แต่ยังถือว่า อยู่บน
    เจตนาที่ดี.......


    ถ้าคุณเข้าใจแบบนี้อยู่ แสดงความเห็น
    และยังอ้างแบบเดิมๆนี้อยู่ หละคิดว่าใช่ ?
    มันเป็นเพียงข้ออ้าง และ ข้อแก้ตัว ที่พยายาม
    เอาชนะอีกฝ่าย และยกตนเองให้ดูดีครับ

    และคุณครับ วิธีแก้ปัญหาและแนวคิดแบบนี้
    มันฟ้องว่า สติ ทิฐิ สัญญา ตรรกะ คุณ วิปลาสแล้ว ^_^
    วิปลาสคือ เห็นต่างจากชาวโลกทั่วไป...
    ดูถูก กับมองถูก ต่างกันนะครับ แยกดีๆ
    ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ก็รู้จักถ่อมตัวบ้าง รู้จักเจียมตัวบ้าง
    อย่าคิดว่า ตนเองเก่งกว่าใคร
    โดยขาดการพิจารณาให้รอบคอบ ถ้ายังไม่แน่จริง...
    และก็อ่านเยอะๆครับ เพื่อจะฉลาดขึ้นบ้างครับ


    โชคดี
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ไอ้ แผ่บุญ ขี้โม้จริงๆ โม้แบบไม่สำนึกพฤติกรรมตนเอง
    ปากบอกปล่อยวาง
    เขียนตอบที ๔ ถึง ๕ โพส ต่อการตอบ ๑ โพส
    แล้วกล้าเอาคำว่า ปล่อยวาง มายกตน บ้านญาติมะรึงหรือ
    นี่คือ ปล่อยวาง ที่คิดเอา เหมือนที่แนะนำ
    การปฏิบัติ แบบกระบือๆนั่นหรือครับ

    พูดเอาแต่ดีเข้าตัว เอาชั่วเข้าคนอื่นๆ
    ไม่ได้เจียมตัว เจียมความสามารถตนเอง
    ฝึกอะไรไม่เคยสำเร็จ ยังโม้ขึ้คุยขนาดนี้

    และส่วนตัวบอกว่า ไม่เคยบอกว่า ตนเองดี
    มันก็ยังโชว์โง่ เอาเรื่องความดีมายกตน มาข่มได้
    ครั้งที่ ๖ แล้ว ถึงบอกว่า ตรรกะ สัญญา วิปลาสไปแล้ว.....

    ทำเป็นพูดว่า ข้าพเจ้าไปดูถูก ก็ตัวมะรึง
    ไม่มาก่อน ไม่แสดงกล้าม
    ทำดูถูกว่า ข้าพเจ้ากระจอก
    อยู่ดีๆ จะไปท้า ตัวคุณแสดง
    ความสามารถทำไม
    ใช้สมองบ้าง เวลาตอบ

    ก็เวลา ตัวคุณ โม้ เวลาพูดดิสเครดิสคนอื่นๆ ยกตนทำไมคิด
    สุดท้าย ก็มีแต่แถ ไม่กล้าพิสูจน์ความจริง
    โม้ไปวันๆ ปากปล่อยวาง
    แล้วก็ไปพูดแซะ ในกระทู้อื่นๆ นี่คือปล่อยวาง ถุยยย
    คือ จะบอกว่า ตัวเองเป็นคนดี
    เที่ยวสอนคนอื่นๆ ปล่อยวาง


    เข้าใจหรือยัง คำว่า กระจอก เป็นอย่างไร
    แบบ คุณ นั่นหละ





    มีแต่ทำตนเองให้ดี ไม่ใช่ทำให้คนดี นี่หละ สัญญาวิปลาส...
    เป็นตรรกะ พวกชอบสร้างภาพ อวดตน



    ตอแหลสร้างภาพจริงๆ ....๑๐ ปีคือ ปีเริ่มสมัคร อย่าโง่ครับ
    แล้วบอกว่าอ่านทุกคำ คือ คุณนี่ ไม่รู้ว่าโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่นะ
    ทำไม ตรรกะ เหตุผล ง่ายๆ อ่านไม่เคยไม่เข้าใจ เหมือนพูดให้ กระบือฟังจริงๆ

    พื้นที่นี้มัน สาธารณะ การตอบคำถาม จะถือว่าเป็นส่วนบุคคลไม่ได้หรอก ฟายยย
    มีสมองคิดได้ไหม เรื่องแค่นี้ ถ้าอยากส่วนบุคคล ไปตั้งเวบเอง ไปตอบ
    ใน ข้อความส่วนตัวโน้น ไอ้ ทิฐิ วิปลาส

    ตอนที่คุณ ว่าข้าพเจ้ากระจอก กล่าวหาว่า ข้าพเจ้าลอบกัด แทงลับหลัง
    แถมโม้ว่า ตนมีความสามารถระดับอุปจารสมาธิ
    ขึ้คุยว่า เป็นจิตโพธิ ทำเป็น อโหสิกรรมให้
    อโหสิ บ้านญาติมะรึงหรือ หลังจากพูดเพื่อให้ตนเองดูหล่อเสร็จ

    ก็ก๊อบปี๊ข้อความซ้ำๆ
    ไร้มารยาท ลงแล้วลงอีก
    ทางการให้เครดิสเจ้าของข้อความ
    และตอบที ๔ ถึง ๕ คำตอบ
    ปากคุยเป็นโพธิ
    อโหสิฯ


    ก็อยากจะพิสูจน์ไง รับคำท้ามาเลย
    อย่าเก่งแต่ปาก เอาแต่สร้างภาพ
    ความสามารถ ในการทำได้นั่นหละ
    มันบอกว่า จิตใครปล่อยวางได้


    ทำไม คิดว่า การเข้าถึงผลกรรมฐาน
    คิดเอาเองได้หรือไง
    หรือใช้ปากพูดมันจะเก่งหรือไง
    .....โง่ ฉิบหาย....




    ข้างบนนี่คุณพูดเองนะ



    พูดเหมือนคน ไม่มีตรรกะเนาะ พูดย้อนแย้งตัวเอง หรือ ถ่มน้ำลายรดน้ำตัวเอง
    พูดอะไรไปก็ย้อนเข้าตัวเองหมด
    ข้างบน ก็พูดเองนะ โอเครลองอ่านดู แล้วจะเข้าใจว่า
    สติ ทิฐิ ตรรกะ สัญญา วิปลาสเป็นอย่างไร พูดเองยังหลงประเด็นเอง
    แล้ว ทำเสนอหน้า มาพูดยกตนเองให้ดูดี...........ขำ
    ตลลง คือ ข้าพเจ้าดูคุณถูกนะ....ไม่ใช่ดูถูก...เครเนาะ
    หลักฐานมันมีเห็นอยู่.....ยังแถอยู่ได้



    พ่อขี้โม้สร้างภาพ เรื่องความดี พูดไป ๖ รอบ แต่ก็โชว์โง่เอามาเล่น
    เรื่อง ท้าก็แถไปเรื่อย ไม่รู้กี่รอบ
    เรื่อง เอาคำสอนมาแปะเพื่อเอาชนะก็ไม่รู้กี่รอบ แบบไร้มารยาท
    เรื่องพูดวกวน เข้าเรื่องเดิมๆไม่รู้กี่รอบ
    ยังกล้า มาโม้สร้างภาพอีก ในใจ คิดแต่เรื่องสร้างภาพ
    ยกตัวเองให้ดูดี...เรื่อง ปล่อยวาง มันเป็นอารมย์ปกติ
    คนที่ใช้งานทางสมาธิทำได้ปกติอยู่แล้ว......

    ตัวเองไม่มีความสามารถด้านนี้ อย่าขี้โม้มากหนัก
    สมาธิมันคิดเอาไม่ได้หรอก...อย่าขี้ฝอยมาก....
    นี่หละ สัญญา ทิฐิ สติ ตรรกะ วิปลาส
    พูดว่าอะไรใคร ย้อนเข้าตัวเองหมด




    เห้ย !!! ไม่ได้พยากรณ์ ไม่ได้สาปแช่งนะ
    เค้าเรียกว่า พูดตามความจริง ถ้าไม่ใช่ ก็พิสูจน์มาซิ จะยากอะไร
    ถ้าไม่เป็นเหมือนที่ข้าพเจ้าพูด ก็แสดงว่า ข้าพเจ้าไปกล่าวหา
    ไปดิสเครดิสคุณ ไปพยากรณ์คุณมั่วๆไง จริงไหม....
    แต่ถ้า เกิดจริงอย่างที่ข้าพเจ้าพูดขึ้นมาหละ คุณจะว่าไง อิอิ

    ไม่เกี่ยวว่า จะรับไม่รับหรอก เพราะไม่ได้ด่า
    ตรรกะอย่าเพี้ยน การพูด
    แบบดิสเครดิสแบบคุณ
    เช่น มาบอกว่า ข้าพเจ้าลอบกัด แทงข้างหลัง แบบนี้เค้าเรียก กล่าวหา
    การกล่าวหา คือ ไม่พูดความจริง พูดความเท็จ ใส่ความ
    การพูดตามความจริงคือ คุณ เป็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
    จะให้บอกว่า คุณเก่ง คุณดีหรือ นี่คือ การตอแหล
    ทำไม่เป็นหรอก มีแต่คุณหละ ที่ทำได้..สำนึกด้วย


    สมมุตินะ ข้าพเจ้าสอนกรรมฐาน ชื่อ กสิณ อยู่ อธิบายไป
    มีคนไม่เชื่อ เข้ามาบอกว่า ไอ้นี่ แมร่ง ขี้โม้ ขี้คุย ฉิบหาย
    เอาคำสอนท่านอื่นๆมาคุยข่มด้วย ยกตัวเองมาข่ม
    แถมมาบอกว่า สอนผิด ด่าว่า ไอ้นี่มะรึงกระจอกวะ มั่วนี่ว่า
    แบบนี้ไม่ใช่เว้ย แสดงว่า คนนี้ มันต้องเก่งทางด้าน กสิณ
    กว่าเราแน่นอน มันถึงกล้าพูดแบบนี้ จริงไหม...


    วิธีการง่ายๆ ในการพิสูจน์คือ
    มาเจอกันเลย แล้วแสดงความสามารถกันเลย นี่ไง
    ง่ายๆ จะมามัว ขี้ฝอย อวดสรรพคุณ จะแถยกตัวเองเพื่ออะไร
    ทำได้ก็จบ ทำไม่ได้ก็โดนข้อหา ขี้โม้ กระจอกไป
    เหมือนที่คนนั้น มาด่า ก็แสดงว่า ไอ้คนที่เข้ามาด่า
    มันพูดตามจริง เราก็ยอมรับไป...นี่คือ การรับความจริง
    ยอมปล่อยวาง อัตตาตัวตน เพราะรู้ว่า ตนเองกระจอก
    เจือกขี้โม้ สอนอยู่ได้ ขึ้คุยอยู่ได้ เข้าใจไหมมันคือปล่อยวาง


    และจะไปสนใจทำไม ถ้าทำไม่ได้
    มันก็คือ เรามันกระจอกจริงไง
    จะได้เจียมตัว รู้ตัวเองว่า กระจอก
    อนาคตยังสามารถฝึกฝนพัฒนาได้
    แต่ไม่รู้ตัว ยังดื้อว่า ตนเองเก่ง
    ยังโม้ ยกตนอยู่เรื่อยไป
    แล้วเมื่อไรจะทราบความจริงในตนเองซักที


    จะได้ ระวังในการจะไปแนะนำคนอื่นๆ
    ถ้าไม่รู้ ก็หาแหล่งอ้างอิง ไม่ใช่คิดเอา แบบกระบือๆ
    เพราะถ้าตัวเองทำไม่ได้ จะเสนอหน้าไปแนะนำคนอื่นๆเพื่อ?
    และถ้าทำได้ คุณก็ได้ไปต่อ แค่นั้นเอง
    คิดได้ไหมแค่นี้ ตรรกะระดับปฐม คิดได้ไหม
    ไปอ่านดู ในลิงค์ หนึ่ง ที่คุณ ปี๊แปะมาลง
    ก็มีการเขียน บริษทนี้ไว้ ไม่ใช่ ตัดแปะมาแค่บางส่วน
    แล้วเอามาลงเพื่อชนะคนอื่นๆ


    คือ ถ้าผิดตรงไหน ก็แย้งมาเลยเช่น
    คุณว่า ผมกระจอก แต่ผมบอกว่า คุณ ชาตินี้ฝึกอะไรไม่สำเร็จ
    ถ้าคิดว่า ตนเองไม่รับ และไม่เป็นอย่างที่ ข้าพเจ้าพูด
    ก็รับคำท้าแสดงความสามารถมาเลยซิ จะได้จบ
    ถ้าไม่รับ ก็แสดงว่า จริง อุตสาห์ให้เอาระดับอุปจารสมาธิ
    ที่คุณโม้ไว้เองด้วยนะ...ถ้าเอากรรมฐานที่ส่วนตัวเลือก
    เด่วจะหาว่า ไปรังแกคุณ ถ้าแน่จริง คือ เก่งให้เหมือนปาก
    ตอนที่ว่าคนอื่นๆหน่อย ไม่ใช่เก่งแต่คุยโม้
    เล่าเรื่องตนเอง ว่าเป็นโพธิ ทำบารมี สร้างบารมี เมตตา
    แบบเพื่อ ยกตนเองให้ดูดี...ไปวันๆ
    คนไม่ได้สนใจ ในสิ่งที่โม้หรอก เพราะใครก็โม้ได้
    ดูที่ โม้แล้ว ทำได้จริงๆหรือเปล่า
    มีความสามารถ กล้าพิสูจน์จริงหรือเปล่า ?
    รับคำท้า พิสูจน์มาก็จบ.....
    ครรกะง่ายๆ ไม่คิด จะแถให้เปลื้องน้ำลายทำไม
    พูดไป ก็ย้อนมาเข้าตัวเองหมด....ฟายยย





    ดีมาก ที่ปล่อยได้ อยู่ต่อการตามสดวก ไม่มีใครว่าหรอก
    ตรงนี้พื่นที่สาธารณะ อยู่แล้ว..
    ขอให้ทำได้ อย่างที่ปาดพูดโม้จริงเหอะ

    เพราะออกแนว พูดแต่ปาก แต่พฤติกรรมทางจิตตรงข้าม
    ตั้งแต่โม้ ทิ้งท้ายว่า ตนเป็นโพธฺิ อโหสิให้
    แต่
    วันพระยังไม่เว้น ยังก๊อบปี๊คำสอนมาเอาชนะ
    ...เจอแจ๊กพอพอดี สมนะหน้า ลำพังปกติ
    ก็ปฏิบัติไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว เลยซ้ำไปอีก...สม..



    นึกว่า จะบอกให้ปล่อย ตั้งแต่ ก๊อบปี๊คำสอนซ้ำๆ
    ลงในกระทู้เดียวหลายๆครั้งโดยไม่ให้เครดิส
    นึกว่า จะบอกให้ปล่อยวาง แต่ตัวเอง
    ไปแซะในกระทู้อื่นๆแทน
    นึกว่า จะบอกให้ปล่อยวาง แต่ตัวเอง
    ก๊อบปี๊คำสอนเดิมไปแปะในกระทู้อื่นซ้ำๆ โดยไม่ให้เครดิส
    นึกว่า จะบอกให้ปล่อย ตั้งแต่ที่เที่ยวประกาศ
    ว่าตนเป็น โพธิ อโหสิให้........

    ความสามารถทางจิต
    ความสามารถทางสมาธิและการปฏิบัติ
    ปัญญาทางธรรมที่มี
    ลักษณะการปฏิบัติ
    พฤติกรรมการประพฤิตตน
    ลักษณะของ สติ ทิฐิ สัญญา ตรรกะ
    วิธีคิด ระบบความคิด
    พี่ว่าน้องปฏิบัติให้พ้นจากความเป็นสัตว์
    ่ให้ขี้นมาเป็นมนุษย์
    ให้ได้ก่อนนะน้อง....

    เก่งแล้ว ทำได้แล้ว...
    มีบารมีมากพอแล้ว
    ค่อยมาโม้ก็ได้...
    บักหำน้อย เอ้ย...

    ปล. เด่วจะดูว่า ที่มันกล่าวหาว่า ข้าพเจ้าอาฆาต
    และมันบอกว่า มันจะปล่อย มันจะทำได้จริงไหม
    ถ้ามัน ทำได้ ก็ดีไป รำคาญ ขึ้เกียจคุย
    กับคน ขาดตรรกะ่ ทางความคิด
     
  12. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    “การสู้เวทนา” จะทำให้ “จิต" เห็นธรรมง่าย ถ้าหากจะสู้กันจริง ๆ จัง ๆเชื่อมั่นว่าคนนั้นไม่ถึง 7 วันจะต้องเห็นในจิตในใจของตน

    คือ เราสู้เอาชีวิตเป็นประกัน มันจะปวดขนาดไหนก็ปวดไป จะไม่ยอมขยับเขยื้อน เรานั่งอยู่ขาใด มือใดท่าใด เราจะนั่งอยู่อย่างนั้น

    เวลามันจวนจะตายจริง ๆ มันเจ็บมันปวดนั้น เวทนาใหญ่เกิดขึ้น มันเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่บอกไม่ถูก เหมือนนั่งอยู่ในกองไฟ หรือเหมือนเอาหลาวทิ่มขึ้น ไปบนอากาศ แล้วนั่งอยู่บนปลายแหลน ปลายหลาว

    ถ้าหากจิต “ไม่รวม” ให้ใจไม่เป็นธรรม มันก็ทำท่าจะตายถ่ายเดียว คนที่ใจไม่เด็ด ไม่ยอมเสียสละชีวิต มันก็อยู่ไม่ได้ จะต้องลุกต้องหนี ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ

    “อิริยาบถ” นี้ปิดบัง “ทุกข์” เอาไว้ไม่ให้เราเห็นชัดเจน ถ้าเราสู้ทนเอา เรานั่งก็ท่านี้แหละ

    พิจารณาดู “ตามเป็นจริง” ของมัน “กาย” นี้มัน “ไม่ทราบอะไร” ตายเอาไปเผาไฟ ฝังดิน มันก็ไม่เห็นบ่น

    หาก “จิต” ไม่รู้ไม่เห็นตามเป็นจริงเมื่อไร ตายก็ให้มันตายไป ถ้าหาก “มันไม่ตาย” “สิ่งที่เหนือตาย” คืออะไร เราจะทราบ

    “สิ่งใดมันตายไปก็ให้มันตายไป” “สิ่งใดที่มันเหลืออยู่” เราจะเอา “อันนั้น” แหละ “เป็นตัวของเรา” “เป็นของของเรา”

    นี่...”นักสู้” ต้องสู้แบบนั้น เวลาต่อสู้กันจริงจัง ระยะนั้นแหละ “ธรรมอัศจรรย์” จะเกิดขึ้น ถ้าเราต่อสู้ได้

    เราจะทราบเรื่องของจิตของใจว่าเป็นอย่างไร “ความอัศจรรย์” ที่ไม่เคยเห็น เคยเป็นมาก่อน มันปรากฏขึ้น มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสว่างไสว โล่งอกโล่งใจ เมื่อเวลามันจะตายจริงจังมันก็แบบนี้แหละ
    ถ้าเรา “สู้มันได้” เรา “เข้าใจ” “ตามเป็นจริง” “เวทนา” หน้าไหนมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร “จิตใจ” ของเราจะ “ไม่ลุ่มหลง” อีก (กลางคืนสว่างยิ่งกว่ากลางวัน)

    ขอทุกท่านจงพากเพียร กระทำบำเพ็ญ ติดต่อกัน ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้หยุด ไม่ให้ถอย จนให้เห็นประจักษ์ในตัวของตัวว่า “จิตที่ละขันธ์ได้” “ถอนได้” “ไม่ติดไม่ข้องกับขันธ์” นั้นบรมสุขอย่างไร....

    พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
    วัดป่าแก้วบ้านชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
     
  13. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    น่าเห็นใจนะครับ อย่าไปทำสมาธิจนไปรู้จิตผู้อื่น ความซวยจะมาเยือน ถ้าจิตยังไม่ถอดถอน ธรรมโลก 8 ประการ มันจะตามจองเวร เล่นงานเป็นมืออาชีพ พอชาติต่อไปแย่เลยเป็นวิบากกรรม

    ก็เปรียบเหมือนคนรวยล้นฟ้านั้นแหละ พอมีมากเกินความจำเป็นก็เป็นแบบนี้

    รู้จิตตัวเองดีที่สุดแล้ว มีหลงบ้าง มีเผลอบ้าง อาศัยเพื่อนธรรมระลึกถึงกันน้อมนำไปสู่อริยสัจ4ได้
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เอาที่แนะนำไป เลือกที่จะเสพ
    ทำให้ได้จริงๆก็หรูแล้วครับ..
    เรียบเรียงระบบความคิดดีๆครับ
    สร้างสติทางธรรมไว้รองรับ
    สร้างสะสมบุญเอาไว้ดีๆ เตรียมฐานให้แน่นๆ
    เรื่องอื่นๆถือว่าเป็นเรื่องรองครับ


    อนาคต.
    ถ้าเราเตรียมพื้นฐานทางจิตไว้ให้ดีแล้ว
    แล้วค่อยมาเจอตัวกันเป็นๆ
    คนเราถ้าวาระมาถึง มันจะเข้าถึงได้เองครับ
    เราจะรู้เองได้หละครับ
    ว่าใครเป็นอย่างไรครับ.....


    การพูดยกตนให้ดูดี
    สร้างสภาพแวดล้อมยกตนเอง สร้างเรื่อง
    สมาธิ สร้างเรื่องความสามารถในการทำได้ต่างๆ
    เรื่องปัจจัตตังบางอย่างที่เอาไว้โม้ยกตนนั้น
    ตลอดจนการรับรู้ต่างๆ........
    มันคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความเอาได้
    เพราะมันไม่เห็นหน้ากัน ไม่เคยเจอตัวกันเป็นๆ
    ส่วนความสามารถที่โม้เหมือนว่าตนทำได้จริงๆนั้น
    มันสร้าง เอาเองไม่ได้ คิดไม่ได้หรอกครับ
    ไม่ต้องห่วงครับ......


    พูดมากจะเจ็บคอครับ....
    แน่จริงทำให้ดู แสดงให้ดู พิสูจน์รับรับรู้ได้ครับ
    ทำไม่ได้จริง ก็รับรางวัลไอ้ขี้โม้สร้างภาพประจำเวบไปครับ

    สิ่งที่บุคคลนั้นทำได้ นั่นหละครับ
    คือตัวบุคคลนั้น..ครับ

    พอเข้าใจที่สื่อนะครับ

    สุขสันต์วันปีใหม่ครับ ^_^


     
  15. pattcmt

    pattcmt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +195
    มาชมเฉยๆนะไม่ได้มาเชียร์ อิอิ

    จขกท.อย่าเพิ่งตกใจกระทู้หมวดนี้
    ที่มีบทบู้มากเป็นพิเศษ เพราะหมวดนี้สามารถดึงอัตตา
    ภายในออกมาได้ถ้าเห็นไม่ตรงกันก็ฟัดกันนัวแบบนี้แหละ
    เหมือนคนที่ชอบสีแดงสีเหลือง(หรือสีเขียว)จะให้เปลี่ยนไปเลือกสีอื่นก็ย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ 55
     

แชร์หน้านี้

Loading...