อัพเดตข่าวสาร วัดท่าขนุนและหลวงพ่อเล็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ตอนที่-๖.jpg

    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๖ : เสียงเรียกกลางดึก


    คนโบราณมักมีคำสอนแปลก ๆ เช่น “กินข้าวเย็นแล้วหน้าจะนวล” บรรดาลูก ๆ ต่างก็อยากสวยอยากหล่อ เลยแย่งข้าวเย็นก้นหม้อแทบจะตีกันตาย กว่าจะรู้ว่าเป็นนโยบายประหยัด ก็หมดข้าวเย็นไปหลายเกวียน…

    “กวาดบ้านกลางคืนขโมยจะขึ้นบ้าน” ยุคนั้นมีไฟฟ้าใช้ซะเมื่อไรล่ะ เราเองนั่นแหละจะกวาดของมีค่าทิ้งเอง “หวีผมผัดหน้ากลางคืน ผีจะมาเอาตัวไป” อารามกลัวผีเลยแต่งตัวไปจู๋จี๋กันไม่ได้ ถูกผู้ใหญ่ต้มสุกสนิทเลย…

    “ได้ยินเสียงแปลก ๆ กลางคืนอย่าไปทัก” อันนี้สิสำคัญ เพราะของจำพวกไสยศาสตร์ คุณผีคุณคนนั้น ถ้าเราทักเข้าเท่ากับเปิดทางให้เขา มีของดีแค่ไหนก็หงายท้องทุกราย สมัยนี้ก็ระบาดมากไม่แพ้สมัยก่อน บรรดาหมอไสยศาสตร์มักจะร้อนวิชา ถ้าหาเป้าหมายให้ลงมือไม่ได้ในสิบวันครึ่งเดือน ต้องปล่อยของอาถรรพ์ออกไปทีหนึ่ง ของพวกนี้เขาเรียกว่า “ลมเพลมพัด” ได้ยินเสียงไปทักเข้าเราก็ซวยไป…

    ส่วนพวกอสุรกาย สัมภเวสี ที่หมอผีใช้มา มักทำให้เราตกใจแล้วฉวยโอกาสทับร่าง ถ้าเราอยู่ในบ้านก็พยายามทำให้เราทัก ถ้าเราทักเท่ากับอนุญาตให้เขาเข้ามา พระภูมิเจ้าที่หมดสิทธิ์ขวางเขา เราก็เสร็จอีกนั่นแหละ…

    อาตมาฝึกกรรมฐานตามแนวหลวงพ่อมาเกือบสองปี จึงเข้ามาทำงานกับพี่ชาย (คุณประสิทธิ์ เพชรชื่นสกุล) ในกรุงเทพฯ คืนหนึ่งอาตมานอนภาวนาจนอารมณ์ทรงตัว ก็ได้ยินเสียงพี่ชายคนโตซึ่งไปทำสวนอยู่จันทบุรี เรียกอย่างชัดเจน…

    เนื่องจากคำสอนที่จำขึ้นใจว่า “อย่าทัก” อาตมาจึงนอนฟังเฉยอยู่ ครั้นหมดความอดทนก็กระซิบกับแม่ว่า “แม่…พี่ใหญ่เรียก…” แม่รีบดุให้อาตมานอนเงียบ ๆ บอกว่ากำลังฟังอยู่เช่นกัน…

    อาตมานอนภาวนาไปเรื่อย เวลาผ่านไป…ผ่านไป เสียงรถราต่าง ๆ เงียบลง แสดงว่าดึกมากแล้ว ทุกคนคงหลับกันหมด ทันใดนั้น…วัตถุกลม ๆ อย่างหนึ่ง ลอยวืดเข้ามาทางหน้าต่าง…

    ของสิ่งนั้นตกตุ้บกลิ้งขลุก ๆ เข้ามาใกล้ อาตมาเพ่งมองในความมืดสลัว ก็เห็นว่ามันคือหัวกะโหลก…! เจ้าประคุณเอ๋ย…เพิ่งเคยถูกผีหลอกซึ่ง ๆ หน้าก็วันนี้แหละ…! เจ้าหัวกะโหลกทำปากพะงาบ ๆ หัวเราะแบบหนังใบ้…

    โยมแม่ของอาตมานั้นเคยถือไม้คานตามตีเปรต ที่มาขอส่วนกุศลกลางป่าไผ่ในพายุฝน อาตมาก็ลูกแม่คนหนึ่ง ไอ้เรื่องจะกลัวอะไรง่าย ๆ นั้นไม่มีเสียล่ะ ….

    อาตมากระโดดตะครุบเจ้าหัวกะโหลกทันที…! มันกลิ้งหลบแฮะ…อาตมาหมุนตัวตามผีหัวกะโหลกที่กลิ้ง เอาเถิดเจ้าล่อไปรอบที่นอน ไล่ตะครุบจนเหนื่อยไม่ได้ซักที จนมันกลิ้งหนีไปหลบที่มุมมืดของซอกตึก คล้ายจะบอกว่าขอพักก่อน…

    ที่นอนของอาตมาอยู่ข้างหน้าติดบันได แม่นอนห่างออกไปเกือบสิบเมตร อาตมานึกได้ว่า มีเครื่องทุ่นแรงอยู่ใต้บันได จึงควานได้แป๊บน้ำขนาดหนึ่งนิ้ว ยาวเมตรเศษ ๆ ขนาดกำลังเหมาะมือเลย…

    “คราวนี้แหละแกเอ๋ย…ข้าจะทุบให้กะโหลกกระจายเชียว อยากหลอกกันดีนัก…” ความโกรธที่ถูกหลอกบวกกับความพยาบาทจ้องจะล้างแค้น ทำให้อาตมาถ่างตารอเจ้าผีหัวกะโหลกโดยไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย…

    นาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงแมวจรจัดสองตัวขู่ตะคอกใส่กันจนแสบแก้วหู ฟังเสียงแมวอยู่ครู่หนึ่งก็มีเสียงเรียกชื่ออาตมาดังขึ้น… อาตมาเงื้อแป๊บน้ำสุดล้า..มาเลย…ไอ้ผีตัวแสบ..!

    “เฮ้ย..นี่ข้าเองนะ…!” เสียงพี่ประสิทธิ์โวยวายจนตื่นกันทั้งบ้าน ที่แท้พี่เขาจะปลุกอาตมาไปไล่แมว ดีที่ตาไวเห็นอาตมาเงื้อแป๊บน้ำจะบ้อมกบาล ไม่งั้นมีหวังถูกอาตมาฆาตกรรมแน่ ๆ…!

    อาจเป็นเพราะอาตมาไม่กลัว ไม่ทัก ไอ้ผีเลยทำอะไรไม่ได้ ต้องใช้ลูกไม้หลอกให้พี่น้องฆ่ากันเอง ซึ่งจังหวะเวลามันเหมาะเจาะพอดี ทำให้แผนการของมันเกือบจะสำเร็จ กว่าจะอธิบายกันรู้เรื่องก็เกือบสว่างคาตา…

    หากท่านผู้อ่านทั้งหลายหมั่นเจริญภาวนาจนจิตใจมั่นคง สิ่งลี้ลับอันเป็นภัยมืดเหล่านี้ย่อมทำอันตรายท่านมิได้ และการเจริญภาวนานั้น ยังเป็นการเพิ่มบุญเพิ่มบารมี ช่วยให้ท่านเข้าถึงจุดหมายในชีวิตได้โดยง่าย…

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    หากโดนไสยศาสตร์สะท้อนกลับจากยันต์เกราะเพชร แก้ไขอย่างไร ?


    ท่านใดก็ตามถ้าทำไสยศาสตร์ใส่คนที่มียันต์เกราะเพชร โดนอำนาจของยันต์เกราะเพชรสะท้อนกลับไปจนกระทั่งเดือดร้อนเอง วิธีแก้ง่ายที่สุด ก็คือ ตั้งใจกราบขอขมาพระรัตนตรัยและเลิกละวิชาการนั้นเสีย ท่านก็จะหายเป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าไม่ยอมขอขมาพระรัตนตรัย ท่านทำเขาหนักแค่ไหน ตัวท่านก็โดนหนักแค่นั้น ชาตินี้ไม่ต้องหวังว่าจะหายกัน

    อาตมาย้ำหลายครั้งว่า ถ้ารักษายันต์เกราะเพชรได้จะมีอานุภาพอย่างที่ว่ามา แต่ว่ารักษาอย่างไร ก็คือท่านที่รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ ข้อที่ ๑ ก็คือห้ามลักขโมย ข้อที่ ๒ ก็คือห้ามดื่มสุราเสพยาเสพติด อันนี้บุหรี่ยกให้อย่างหนึ่งนะ ยกเว้นว่ายาที่ผสมแอลกอฮอล์ตามสูตร กินเพื่อรักษาโรค อย่างพวกยาดองเหล้า แต่ว่ากินตามสูตรก็คือครั้งละไม่เกินครึ่งถ้วยตะไล ไม่ใช่กินเอาเมา ถ้าลักษณะอย่างนั้นยันต์เกราะเพชรยังอยู่

    แต่ถ้าท่านกินเหล้าหรือลักขโมย ยันต์เกราะเพชรจะเสื่อมอานุภาพทันที โดยเฉพาะท่านที่กินเหล้าเข้าไป ต่อให้เป็นอาหารที่ผสมเหล้าก็ตาม จะรู้สึกร้อนวาบออกผิวหนังเดี๋ยวนั้นเลย บางท่านความรู้สึกดี ๆ รู้สึกว่ายันต์เกราะเพชรระเบิดออกจากตัวไปเลย ก็ขอให้รู้ว่ายันต์เกราะเพชรไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว

    การรักษายันต์เกราะเพชร นอกจากต้องรักษาศีล ๒ ข้อ ก็คือ เว้นจากการลักขโมยและเว้นจากการดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดแล้ว ยังต้องอาราธนาไว้ทุกวัน เช้า ๆ ขึ้นมาก็ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระ ภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ พอกำลังใจทรงตัวแล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง อานุภาพของยันต์เกราะเพชรจะรักษาตัวท่านได้ทั้งวัน ในลักษณะของการที่ท่านรักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้ได้นั้น ถ้าเผลอไปกินอาหารที่มีสุราผสม ซึ่งระยะหลังนี้เยอะมาก ที่อาตมาเจอมามีทั้งช็อกโกแล็ตไส้บรั่นดี มีทั้งไอศกรีมรัมเรซิ่น มีทั้งเชอรี่แช่บรั่นดีประดับหน้าเค้ก โอ๊ย..ฟังแล้วเครียด ที่หนักกว่านั้นก็คืออาหารจีนและอาหารญี่ปุ่นที่ผสมเหล้า โปรดระมัดระวังว่ายันต์เกราะเพชรไม่ชอบเหล้า

    ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4651
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  3. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    แต่ว่าอานุภาพของยันต์เกราะเพชรที่แท้จริงนั้น อันดับแรก…ถ้าผู้รับยันต์ไปสามารถรักษาเอาไว้ได้จะไม่ตายโหง ก็แปลว่าท่านจะออกรบก็ดี จะเดินทางก็ตาม หรือทำหน้าที่การงานใด ๆ ก็จะไม่ตายด้วยอาการผิดปกติ อันดับที่สอง…ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้วรักษาไว้ได้ สามารถป้องกันพิษของสัตว์มีพิษได้ทุกชนิด อันดับที่สาม…ยันต์เกราะเพชรจะสะท้อนไสยศาสตร์ที่บุคคลอื่นตั้งใจทำใส่เรากลับคืนไปทั้งหมด

    วันนี้ตอนพุทธาภิเษก ก็มีนักเลงดีแอบเล่นอาตมาเข้า ป่านนี้ก็น่าจะตะเกียกตะกายไปโรงพยาบาลแล้ว สมน้ำหน้า..! ขอบอกวิธีแก้ที่ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องไปหาหมอคือ แค่ตั้งใจมากราบขอขมาพระรัตนตรัยก็จบแล้ว ถ้าหากว่าไม่ยอมมากราบขอขมาพระรัตนตรัยก็จงลำบากต่อไป

    ยันต์เกราะเพชรเป็นคู่ศึกของไสยศาสตร์โดยตรง เพราะว่าเป็นพุทธานุภาพ คืออานุภาพของพระพุทธเจ้าท่าน พุทธะ แปลว่า ตื่น ส่วน ไสยะ แปลว่า หลับ ในเมื่อตื่นกับหลับ ความสว่างกับความมืด จึงเป็นคู่ศึกแก่กันโดยตรง ท่านใดที่พกยันต์ติดตัวหรือว่ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้าสามารถรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อได้ ก็คือ การไม่กินเหล้า ซึ่งเป็นการเบียดเบียนตนเองและครอบครัว กับการไม่ลักขโมย ซึ่งเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ท่านก็จะสามารถรักษายันต์เกราะเพชรให้คุ้มครองตนเองเอาไว้ได้

    ท่านใดที่รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จึงควรที่จะเว้นขาดจากแอลกอฮอล์ทั้งปวงและการลักขโมย ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไปกินเอาเหล้าหรือว่ากินอาหารที่ผสมเหล้าเข้าไป วิธีสังเกตชัดที่สุดก็คือ จะรู้สึกร้อนวาบออกผิวหนังไปเลย แปลว่ายันต์เกราะเพชรกลับไปหาพระพุทธเจ้าท่านแล้ว ไม่มีอะไรคุ้มกันเราได้แล้ว ถ้ามีการเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อไร ท่านทั้งหลายก็มารับใหม่ หรือถ้าไม่มีอีกก็แปลว่าเราไม่สามารถที่จะรักษาของดีเอาไว้คุ้มครองป้องกันตนเองได้อีกต่อไป

    ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5115
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  4. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    เรื่องของเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าเป็นส่วนช่วยให้โลกเจริญขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อย่าให้ถึงกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา

    เป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่ ๆ ว่า ถ้าขาดคอมพิวเตอร์แล้วจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวตัวเอง เพราะอะไร ๆ ก็ให้คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลแทน แล้วตัวเองก็ไม่จำ กลายเป็นสมองกลวง ถ้าอยู่ ๆ เกิดพายุสุริยะขึ้นมา ข้อมูลโดนลบเกลี้ยงทั้งโลก ก็เสร็จเรียบร้อยเลย ทำอะไรไม่เป็นอย่างแน่นอน..!

    แค่รุ่นพวกเรา ที่อาตมาเคยไปพาเที่ยวบึงลับแลเมื่อ ๑๐ – ๒๐ ปีก่อน ไปกัน ๑๗ – ๑๘ คน เราก็เห็นว่าเยอะดี จะให้ช่วยเราทำงานแทน ถามว่า “ใครหุงข้าวเป็นบ้าง ?” เขาถามกลับมาว่า “เสียบปลั๊กตรงไหน ?” สรุปแล้วก็คือพระต้องไปหุงข้าวให้เขากิน..!

    พอเรายอมให้เทคโนโลยีเป็นทุก ๆ อย่างในชีวิตแล้ว สมรรถภาพก็เสื่อมไป เดี๋ยวนี้ต้มยำทำแกงก็ไม่เป็น เพราะมีประเภทสำเร็จรูปใส่ห่อมาให้เลย เทลงหม้อก็ใช้ได้ หรือไม่ก็อุ่นในเตาไมโครเวฟก็กินได้แล้ว สบายจังเลย

    นึกถึงที่พระยามารเขาคุย เขาบอกเราว่า “เสียเวลาที่ท่านจะไปสอน เพราะผมครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว” ฟังดูแล้วน่าท้อนะ แต่ขอโทษ..ท้อได้แต่ไม่ถอย..!

    สมัยก่อนเขาว่า “ด้วยหน้าที่ชีวิตรับผิดชอบ คือคำตอบที่รบอยู่มิรู้สิ้น” ที่รบไม่เลิกเพราะมันเป็นหน้าที่ ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  5. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    น้ำมนต์ยันต์เกราะเพชร

    พระอาจารย์กล่าวว่า “ยังเหลือน้ำมนต์เสาร์ห้าอยู่นิดหน่อย อาตมาขอบอกว่าอะไร ๆ อาตมาก็ไม่เก่งจริง เก่งแต่เรื่องน้ำมนต์อย่างเดียว …(หัวเราะ)… วิชาหากินที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านครอบครูให้ ท่านบอกว่า “ข้าเก่งอย่างนี้ เอ็งก็เอาอย่างนี้ไปก็แล้วกัน” น้ำมนต์เสาร์ห้าสำหรับรักษาโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือว่าใครต้องการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาก็เอาไปดื่มหรือผสมน้ำอาบได้”

    ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5115

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  6. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    พวกเราประกาศตัวว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไม่ว่าจะชื่อไหนก็ตาม นั่นคือครูบาอาจารย์ที่เราถือว่าเลิศแล้ว เป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพสุดจิตสุดใจแล้ว ไม่ต้องการให้คนอื่นมาปรามาสแม้แต่ กาย วาจา ใจ เพียงเล็กน้อย

    ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราดีขนาดนั้น เก่งขนาดนั้น แล้วตัวเราล่ะ ? เราไม่ต้องการให้คนอื่นดูถูกปรามาสครูบาอาจารย์ของเรา เรามีอะไรไปอวดเขาบ้าง ? คำหนึ่งก็หลวงพ่อ สองคำก็หลวงพ่อ แล้วเราได้อะไรจากหลวงพ่อไว้บ้าง ดังนั้น..ต้องเอาดีให้ได้ ถ้าไม่ดีแล้วเขาถามขึ้นมา มันน่าอายนะ
    ……………………………….

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  7. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ตอนที่-๗.jpg

    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๗ : กายกรรมบนเก้าอี้

    อาตมาติดนิสัยชอบการห้อยโหนโยนตัวมาตั้งแต่เด็ก ขนาดขึ้นไปเล่นไล่จับกับพี่ ๆ น้อง ๆ บนยอดไม้เป็นประจำ ทำไมไม่ตกลงมาคอหักตายซะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเคยเกิดเป็นลิงมาหลายชาติก็เป็นได้…

    โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นแฟนหนังทาร์ซาน ติดใจนายจอห์นนี่ ไวท์สมุลเล่อร์เป็นที่สุด แล้วมาเป็นแฟนยอดหญิงยิมนาสติคนาเดีย โคมานิซี่ มีการถ่ายทอดยิมนาสติคทีไร แทบต้องเอารถขุดมาขุดตัวจากหน้าจอทีวีเลยล่ะ…

    ความบันเทิงประเภทเดียวที่สามารถควักเงินจากกระเป๋าอาตมาได้ คือพวกกายกรรม หรือละครสัตว์ อย่างอเมริกันเซอร์คัส นั้นอยากดูแต่ไม่ได้ดู เพราะว่าบวชมาหลายพรรษาแล้ว ขืนแหกคอกไปดู มีหวังถูกขับออกจากวัดเป็นแน่แท้…

    เมื่อมาฝึกกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อ จะด้วยเป็นวิสัยเก่า ๆ ที่ชอบหกคะเมนตีลังกาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทำให้อาตมาต้องมาเล่นกายกรรมซะเอง เป็นการเล่นที่เป็นเองโดยไม่ต้องมาเสียเวลาหัดซะด้วยซิ…

    ปกติอาตมาใช้คำภาวนาว่า “พุทโธ” ซึ่งหลวงพ่อแนะนำว่าเป็นคำภาวนาที่ง่าย และมีผลใหญ่ถึงพระนิพพาน พอมีเวลาว่างจากงานประจำ อาตมาจะฉวยโอกาสภาวนาทันที โดยไม่ยอมหายใจทิ้งเปล่า ๆ อย่างเด็ดขาด…

    การภาวนาของอาตมานั้นแบ่งออกเป็นวันละสามเวลาคือ เช้ามืดตื่นตีสาม ออกกำลังกายแล้วอาบน้ำอาบท่า สวดมนต์นิดหน่อย อ่านกรรมฐาน ๔๐ วันละบท พออารมณ์ทรงตัวก็จับคำภาวนา จนหกโมงเช้าถึงเริ่มทำงาน…

    รอบกลางวันพักเที่ยง เสียเวลาไปกับการกิน ๑๕ นาทีแล้วมุดเข้าไปใต้ท้องรถ จับอารมณ์ภาวนาในอนุสติ ๑๐ ประการ เริ่มจากอานาปานุสติที่เป็นแม่บทใหญ่ คือนึกถึงลมหายใจ เข้า ออก จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว…

    แล้วใคร่ครวญถึงความดีอันหาประมาณไม่ได้ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เรื่อยไปถึงความดีของเทวดา ว่าต้องทรงความดีเช่นไรจึงสามารถเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ วิสุทธิเทพได้…

    จากนั้นตรึกตรองถึงอานิสงส์ใหญ่ของการบริจาคให้ทาน และการรักษาศีล คิดถึงสภาพร่างกายที่มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักน่าใคร่ ถ้าตายจากมันไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน จิตเกาะนิพพานเป็นจุดสุดท้าย…

    การภาวนาช่วงนี้มีเวลาแค่ ๔๕ นาที อารมณ์บางทีแนบแน่นจนแทบไม่อยากลุกไปทำงานเลย แต่ก็ไม่อาจจะอู้ได้ เพราะชักช้าแม้นาทีเดียว ตีนหนัก ๆ จะลอยมากระทบจนหลุดจากการภาวนาไปเอง…!

    รอบค่ำร่างกายเหนื่อยมากแล้ว หลังจากบริหารร่างกาย อาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยก็กราบพระ คิดตามที่หลวงพ่อสอนว่า เราอาจจะตายตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ได้เห็นวันใหม่ก็ได้ ถ้าเราตาย เราขอไปนิพพานแห่งเดียว…

    แล้วนึกถึงพุทโธ หงายหลังไม่ทันแตะพื้นก็หลับคร่อกไปเลย แต่ละวันภาวนาได้ไม่สมใจอยาก ต้องมาเพิ่มการภาวนาในวันหยุด คือวันอาทิตย์ ซึ่งการภาวนาในวันหยุดนี้เอง ที่อาตมาต้องเล่นกายกรรมอยู่เป็นนาน…

    อาตมานั่งภาวนาอยู่ที่โต๊ะบัญชี ครู่หนึ่งก็เห็นแสงสว่างแพรวพราวยังกับเพชรลอยอยู่ข้างหน้า (หลับตาเห็น) แสงสว่างนั้นมีแรงดึงดูดมหาศาล อาตมาต้านไม่อยู่ ถูกดูดจนสภาพร่างกายตัวเองก้มลงหน้าติดกับโต๊ะไปเลย…

    แสงนั้นยังคงดูดต่อไป จนหน้ากดลงบนมือที่วางราบบนโต๊ะ แรงกดหนักจนปวดมือเหมือนกระดูกจะแตก จึงเลิกการภาวนาถอนจิตคืนมา อาการก็หายไป ภาวนาใหม่เมื่อไรก็เป็นใหม่อีก…

    พอขยับเก้าอี้ห่างโต๊ะมาก ๆ มันดูดจนศีรษะติดกับปลายเท้า งอก่องอขิงไปเลย พอคิดว่าจะดูดไปถึงไหนวะ…? มันก็เปลี่ยนจากดูดเป็นผลักออกตัว ค่อย ๆ ยืดตรง แล้วหงายไปทีละน้อย จนศีรษะติดพื้นดิน…!

    ก้นอยู่บนเก้าอี้กลม ศีรษะกับเท้าติดพื้นอยู่คนละด้าน เป็นการติดท่าสะพานโค้งของยิมนาสติค บางทีติดอยู่เป็นครึ่ง ๆ ชั่วโมง บางทีก็ดิ้นตูมตาม ตกเก้าอี้ไปกองแอ้งแม้งกับพื้นก็บ่อยไป…

    แม้ร่างกายมันจะอาละวาดขนาดไหน จิตมันก็เป็นสุขแนบแน่นกับการภาวนา เป็นอยู่นานนับเดือนกว่าอาการต่าง ๆ จะหมดไป อาตมาทราบภายหลังว่าเป็น ๑ ในปีติทั้ง ๕ ชื่อว่า อุเพ็งคาปีติ ถ้าท่านผู้อ่านภาวนาแล้วเป็นแบบนี้ จงอย่ากลัว อย่าตกใจ ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่นานอาการต่าง ๆ ก็จะหมดไปเอง บางคนกลัวจนไม่กล้าภาวนา ทำให้ทิ้งความดีไปอย่างน่าเสียดาย….

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  8. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ยันต์เกราะเพชรนั้นเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ที่เมตตาสงเคราะห์แก่ผู้ที่มีความเลื่อมใส การเป่ายันต์เกราะเพชรหรือสร้างยันต์เกราะเพชร เป็นไปตามตำราพระร่วงที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย โดยการนำเอาบทพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯลฯ จนถึง ฯลฯ ภะคะวาติ จำนวน ๕๖ คำ มาเขียนลงเป็นแถว แถวละ ๘ คำ รวม ๗ แถวด้วยกัน แล้วชักสูตรสำเร็จเป็นยันต์เกราะเพชร

    ถ้าท่านใดที่รู้จักธงมหาพิชัยสงครามก็จะได้รู้ว่า ยันต์เกราะเพชรจริง ๆ แล้วก็คือยันต์ลูกของธงมหาพิชัยสงครามนั่นเอง ธงมหาพิชัยสงครามเป็นธงนำทัพในสมัยพระร่วง ผืนเดียวสามารถคุ้มได้ทั้งกองทัพ ระยะหลัง ๆ ครูบาอาจารย์หลายท่าน สร้างเครื่องรางที่ป้องกันบุคคลที่ร่วมรบได้ อาจจะป้องกันได้ครั้งละ ๑๐ คน ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คนแล้วแต่ความสามารถของตน เขาเรียกกันว่า ตะกรุดแม่ทัพ นั่นก็เป็นส่วนของยันต์เกราะเพชรเช่นกัน ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงครามนั่นเอง

    แต่ว่าตะกรุดแม่ทัพนี้ ถ้าเป็นหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านเรียกว่า ตะกรุดมหาโจร ก็คือถึงเวลาออกรบ ต้องแต่งกองโจรออกไปเพื่อตีปล้นค่ายของข้าศึก บุคคลที่เป็นหัวหน้าจะต้องคุ้มกันลูกน้องตัวเองได้ทั้งชุด ก็ต้องพกเอาตะกรุดนี้ติดตัวไป ซึ่งถ้าเป็นสายของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หรือวัดบ้านแค หรือหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ท่านจะเรียกว่า ตะกรุดแม่ทัพ แต่หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านเรียกว่า ตะกรุดมหาโจร ก็คือหัวหน้ากองโจรที่ออกไปปล้นค่ายข้าศึก

    ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วตำราของตะกรุดแม่ทัพ ก็ไปจากยันต์เกราะเพชรซึ่งมาจากธงมหาพิชัยสงครามนั่นเอง เป็นส่วนบทพุทธคุณที่จารึกอยู่บริเวณคอธง เมื่อนำมาชักสูตรสำเร็จเป็นยันต์เกราะเพชรแล้ว ก็มีอุปเท่ห์วิธีการใช้ที่แตกต่างกันไป

    ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5115
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  9. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ยากที่จะ.jpg

    ทำกรรมไว้แล้ว…ยากที่จะหนีกรรมนั้นได้

    มีอยู่สมัยหนึ่งมีพระอยู่หลายคณะ พอออกพรรษาแล้วก็เดินทางไปกราบพระพุทธเจ้าที่เชตวันมหาวิหาร

    คณะหนึ่งเดินมาทางพื้นราบ ชาวบ้านเขาเห็นก็นิมนต์ไปรับภัตตาหาร ตอนที่เขากำลังประเคนอาหารพระอยู่ ปรากฏว่าไฟไหม้ไปติดเสวียนหญ้าที่เขาเอาไว้รองหม้อ สมัยก่อนจะใช้หม้อดิน เขาจะเอาหญ้ามามัดขดเป็นวงกลม ๆ สำหรับเอาหม้อวางไว้ จะได้ไม่แตก ไม่หก ไม่ล้ม ไฟไหม้ไปติดเสวียนหญ้าแล้วลมตีลอยขึ้นไป ปรากฏว่าอีกาตัวหนึ่งบินผ่านมา ถูกเสวียนหญ้าสวมเข้าพอดีเลย จึงโดนไฟคลอกร่วงลงมาตาย

    พระท่านก็แปลกใจว่า “เออหนอ..ขนาดอยู่บนอากาศอย่างนั้นยังโดนไฟไหม้ร่วงลงมาตายได้ จะต้องมีอะไรที่เป็นเบื้องหลังชนิดที่คิดไม่ถึงแน่นอน จำเราจะต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าดู” ฉันเสร็จแล้วก็ลาญาติโยมเดินทางต่อไป

    อีกคณะหนึ่งมาทางทะเล อาศัยเรือเขามา ปรากฏว่าเรือที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล ทั้ง ๆ ที่ลมส่งก็แรงดีแต่เรือไม่ไป ติดอยู่เหมือนกับว่าทิ้งสมอไว้อย่างนั้น แก้ไขอย่างไรก็ไปไม่ได้ นายเรือก็เลยคิดว่าคนกาลกิณีจะต้องเกิดขึ้นแล้วในสถานที่ของเรา จึงทำฉลากให้จับ

    ปรากฏว่าไปเจอะเอาเมียสาวสวยเช้งของนายเรือพอดี ให้จับใหม่ถึงสามครั้ง ปรากฏว่าจะจับก่อน จับหลัง จับตรงกลาง ก็ได้คนเดียวกันนั่นแหละ นายเรือก็เลยตัดสินใจ เพื่อให้คนทั้งหลายอยู่รอดก็จำต้องสละภรรยาตัวเอง เลยจับภรรยาโยนน้ำไปเสีย เรือก็แล่นต่อไปได้ พระที่ติดเรือไปด้วยก็คิดว่า “นางทำกรรมอะไรเห็นปานนี้หนอ ต้องมาถูกทิ้งกลางทะเล จำเราต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าดู”

    ส่วนอีกคณะมาทางป่าและเขา พอค่ำลงก็มาขอพักที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดป่า มีถ้ำใหญ่อยู่ พระเจ้าถิ่นก็จัดที่ให้นอนกันอยู่ในถ้ำ พระท่านมาด้วยกันเจ็ดรูป ปรากฏว่ากลางคืนขณะที่นอนกันอยู่ มีก้อนหินใหญ่ บาลีท่านใช้คำว่า “ใหญ่เท่าเรือนยอด” เรือนยอดนี่หมายถึงกุฏิประเภทมณฑปมียอดของสมัยนี้ หินใหญ่เท่าเรือนยอดกลิ้งตกจากเขามาอุดปากถ้ำไว้พอดี

    พอตอนเช้าพระเจ้าถิ่นมาเห็นเข้าก็ตกใจ รีบเกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันงัด ช่วยกันแงะ อย่างไรก็ไม่ออก พระท่านก็อดอาหารอยู่ข้างในนั้น พอถึงวันที่เจ็ดปรากฏว่าหินใหญ่นั้นกลิ้งออกไปเฉย ๆ ไม่ต้องให้ใครทำอะไรเลย พระทั้งเจ็ดรูปก็หิวโซออกมา จนกระทั่งชาวบ้านเลี้ยงกินอิ่มหนำมีเรี่ยวมีแรงดีแล้ว ก็คิดว่า “เออหนอ..พวกเราทำกรรมอะไรมาหนักขนาดนี้หนอ ถึงต้องมาอดข้าวอดน้ำตั้งเจ็ดวัน จำเราจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าดู..”

    พอไปถึงพระเชตวันมหาวิหาร ต่างคนต่างกราบปฏิสันถารเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ทูลถามว่าเกิดอะไรขึ้น พวกกรรมต่าง ๆ อย่างนี้ถึงได้มีอยู่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อีกาตัวนั้นสมัยหนึ่งเป็นชาวนา วัวของแกดื้อมาก ทำอย่างไรก็ไม่ยอมไถนา แกเลยเอาฟางมาม้วนพันคอวัวไว้ แล้วจุดไฟเผา วัวทนไม่ไหวก็ตายไป แกต้องตายเพราะไฟตามกรรมที่สร้างไว้มาตลอด ๕๐๐ ชาติ

    รายที่เป็นภรรยาของนายเรือนั่น หลายชาติที่แล้วเป็นภรรยาของนายพราน คราวนี้สามีตาย ตัวเองก็อยู่กับหมา หมาพรานเป็นนักล่าอยู่แล้ว นางไปไหนก็ตามไปด้วย คนก็พูดแซวไปเรื่อยเปื่อยว่า พรานผู้หญิงเขามาแล้ว เดี๋ยวล่าสัตว์ได้เราจะขอแบ่งไปกินบ้าง แซวกันไปแซวกันมา พอหลายวันเข้าพรานหญิงก็อาย เลยใช้วิธีจับหมาแล้วเอาหม้อผูกคอ เอาทรายใส่หม้อแล้วผลักลงน้ำ หมาก็โดนหม้อถ่วงจมน้ำตาย

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า หมาตัวนั้นในอดีตชาติเคยเป็นสามีของผู้หญิงคนนั้น คราวนี้พอเกิดมาเป็นหมาแล้วยังจำได้ จึงคอยติดสอยห้อยตามไม่ห่าง ใครเข้าใกล้มาก็คอยป้องกัน ทำด้วยความรักความผูกพันจากอดีตชาติมา แต่ผู้หญิงเขาโดนแซวอยู่บ่อย ๆ เข้าเลยทนไม่ไหว จึงจับถ่วงน้ำไปเลย ชาตินี้กรรมก็เลยพาให้ตัวเองต้องมาชดใช้บ้าง เรือวิ่งอยู่กลางทะเลแท้ ๆ ไปไหนไม่ได้ ต้องจับฉลากว่าใครเป็นตัวกาลกิณีที่ทำให้เกิดเหตุนี้ แกก็จับได้ทั้งสามครั้ง นี่เป็นกรรมจากอดีตมา

    ส่วนพระอีกเจ็ดรูปที่ไปติดอยู่ในถ้ำ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในหลายอัตภาพที่แล้วมา พวกท่านเกิดเป็นเด็กเจ็ดคน มีหน้าที่ต้อนวัวไปเลี้ยง ถึงเวลาก็ตามประสาเด็ก มีหนังสติ๊กก็ไล่ยิงนกตกปลาของตัวเองไปเรื่อย ไปเจอเหี้ยตัวใหญ่เข้า คิดว่าจะกินก็ไล่ต้อน เหี้ยไม่มีทางหนีก็ผลุบเข้าไปรูที่จอมปลวก พวกนี้เห็นว่าค่ำแล้วไม่สามารถที่จะขุดเอาออกมาได้ในวันนี้ ก็หาไม้มาอุดรูเอาไว้ เสร็จแล้วก็กลับบ้านไป คราวนี้วันต่อมาลืมว่าตัวเองขังเหี้ยเอาไว้ ก็ต้อนวัวไปหากินทางอื่น ต้อนไปต้อนมา พอวันที่เจ็ดย้อนกลับมาทางเดิมพอดี เห็นจอมปลวกนึกได้ ก็รีบไปดึงไม้ที่อุดอยู่ออกมา ปรากฏว่าเหี้ยคลานออกมาผอมสะโหลสะเหล จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เลยหมดความน่ากิน เพราะอดมาเจ็ดวันแล้ว ไม่อ้วนเหมือนเดิมแล้ว เด็กก็เลยปล่อยไป โทษที่ตัวเองขังเขาไว้เจ็ดวันไม่ได้กินอะไร ชาตินี้เลยเป็นเหตุให้ไปติดอยู่ในถ้ำเสียเจ็ดวัน ต้องอดข้าวอดน้ำเหมือนกัน

    พอพระทั้งหมดได้ยินก็เกิดสลดใจว่า เออหนอ… คนเราทำกรรมขึ้นมาแล้ว ถึงจะบินอยู่บนฟ้า ลอยอยู่กลางทะเลก็ดี หลบซ่อนอยู่ในถ้ำก็ดี ไม่สามารถที่จะหนีกรรมนั้นได้เลย เกิดสลดใจขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านเลยเทศน์สงเคราะห์จนกลายเป็นพระอริยเจ้า คือท่านแสดงให้เห็นชัด ๆ ว่า ไม่ว่าคุณไปทำอะไรไว้ก็ตาม ถึงเวลาผลลัพธ์นั้นจะเกิดขึ้นกับตัวเองแน่นอน เป็นอย่างไร ? ฟังแล้วสยองไหม ?

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  10. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    พวกเราถ้าหากว่ายึดคนเป็นที่พึ่งจะลำบาก เราต้องยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ยึดการปฏิบัติเป็นที่พึ่ง อย่างเช่น ถ้าเรายึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งแล้วไปยึดร่างกายของท่าน เราก็ต้องมานั่งเสียอกเสียใจเมื่อท่านจากไป แต่ถ้าเรายึดในสังฆานุสติคือคุณความดีที่ท่านทำไว้ ระลึกถึงเมื่อไรท่านก็เด่นชัดอยู่ในใจของเราเสมอ
    ……………………………….

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  11. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ตอนที่-๘.jpg

    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๘ : ท่องสวรรค์


    อาตมามุมานะฝึกกรรมฐานตามแบบของหลวงพ่อ ก็ด้วยความอยากมีฤทธิ์มีเดช อยากไปเที่ยวนรกสวรรค์ คร่ำเคร่งกับการฝึกแบบเอาเป็นเอาตาย ดีที่ทางบ้านศรัทธาหลวงพ่อทุกคน ไม่งั้นคงจับอาตมาส่งโรงพยาบาลบ้าไปแล้ว….

    เย็นวันหนึ่งของปลายปี ๒๕๒๑ พี่ชาย (คุณประสิทธิ์ เพชรชื่นสกุล) ชวนอาตมาไปฝึกมโนมยิทธิ ที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) โดยบอกว่า ใครฝึกวิชานี้ได้สามารถไปนรกสวรรค์ได้เลย…

    อาตมาแทบเหาะไปด้วยความดีใจ โธ่…เสียเวลาฝึกแทบล้มประดาตายก็เพราะเหตุนี้ พอรู้ว่ามีครูฝึกสอนให้จะไม่ให้อาตมาดีใจได้อย่างไร กระนั้นก็ยังไปแทบไม่ทันเวลา เพราะเขาจะลงมือฝึกกันแล้ว…

    ผู้เข้ารับการฝึกรวมอาตมากับพี่ชายแล้ว มีอยู่แค่เจ็ดคนเท่านั้น ได้รับความเมตตาจากพี่ ๆ ทุกท่าน จัดหาเครื่องบูชาครูมาให้ทุกอย่าง ยกเว้นเงินหนึ่งสลึงที่อาตมาพาซื่อไปหาแลกมาจนได้ มารู้ทีหลังว่าใส่เกินก็ได้ ขายหน้าชมัดเลย…

    พอสมาทานกรรมฐานเสร็จ ครูฝึกก็ให้ทุกคนภาวนา “นะมะพะธะ” ครู่หนึ่ง พออารมณ์ทรงตัว ก็มีครูฝึกมานั่งอยู่ข้างหน้า แนะนำให้ทำตัวสบาย ๆ สอนให้ทำใจเลิกห่วงร่างกาย แล้วสอบถามว่า… “เห็นแสงสว่างมั้ย…?” “ไม่เห็นครับ” “เห็นภาพพระพุทธเจ้ามั้ย…?” “ไม่เห็นครับ” สารพัดจะไม่ครับ…

    อาตมาก็อยากเห็นอยู่หรอก แต่มันมืดตี๊ดตื๋อ แมวสักตัวก็ไม่เห็น แล้วจะให้บอกว่าเห็นอะไรได้ ทำเอาครูฝึกท้อใจ นั่งเงียบไปเลย… พอดีได้ยินเสียงครูฝึกอีกท่านที่กำลังสอนศิษย์ของท่าน กล่าวกับลูกศิษย์ขึ้นที่ข้างหลังอาตมาว่า “คุณนึกถึงภาพพระพุทธรูป ที่คุณรักชอบที่สุดดูซิคะ…เห็นชัดมั้ย…?”

    โอ๊ย…แบบนี้ก็หวานเท่านั้น…! อุตส่าห์จับภาพพระมาตั้ง ๓-๔ ปี มีหรือที่จะไม่ชัด เลยบอกครูฝึกว่าเห็นภาพพระแล้ว พลางอธิบายจ๋อย ๆ ไม่ขาดปาก พุทธลักษณะเป็นอย่างไรอธิบายซะละเอียดยิบ จนครูฝึกก็งงว่าอยู่ ๆ อาตมาผีเข้าหรืออย่างไร…?

    ครูฝึกค่อย ๆ ตะล่อมกำลังใจของอาตมา ให้เข้าที่เข้าทางที่ท่านต้องการ จนถึงตรงที่ว่า “นึกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ขอพระองค์โปรดประทับยืนขึ้นด้วย…” เหตุการณ์มหัศจรรย์พันลึกก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา…!

    ภาพพระที่อาตมาจับเป็นกสิณนั้น เป็นภาพวาดตอนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ วาดโดยคุณคำนวณ ชานันโท เป็นภาพนั่งสมาธิแท้ ๆ แต่พออาตมากำหนดจิตตามที่ครูฝึกสอน… องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับยืนขึ้นจริง ๆ …! พุทธลักษณะกลายเป็นปางลีลา พระวรกายเหลืองอร่ามดังทองคำ สว่างไสวจนหาประมาณไม่ได้ อาตมาขนลุกซ่าเห่อไปทั้งตัว…!

    น้อมจิตกราบลงแทบพระยุคลบาท พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์งดงามสุดพรรณา…โอ…สมเด็จพ่อของลูก…! น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากลงทันที… ยามนี้แม้ตายลงในทันทีอาตมาก็ยินดี ชีวิตนี้ไม่เสียดายอีกแล้ว เรามีโอกาสพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว…

    ครูฝึกแนะนำให้ตามเสด็จพระองค์ท่านไปยังพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์… ขอบารมีพระองค์ท่านขอให้พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณในทุก ๆ ชาติ ที่เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระบนนิพพาน ได้โปรดมาประชุมรวมกัน ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด…

    ภาพที่ปรากฎพรึ่บขึ้นมาทำเอาตกใจ ทำไมช่างมากมายมหาศาลอะไรอย่างนี้ แน่นขนัดไปหมดในทุกที่ทุกทาง กราบลงแทบเท้าของทุก ๆ ท่าน แล้วตั้งใจดูพระอินทร์ตามที่ครูฝึกบอก อยากเห็นมานานแล้ว…

    เห็นลุงแก่คนหนึ่ง ครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนขวานอยู่บนแท่น ลุงแก่อ้วนพุงพลุ้ย ไว้หนวดยาวโง้ง นุ่งกางเกงขาสามส่วนไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดชายอยู่สองบ่า สูบบุหรี่มวนเบ้อเริ่มควันโขมงเลย…

    “นี่น่ะเหรอ…พระอินทร์….?” คิดแค่นั้นลุงกำนันก็ลุกนั่งตัวตรงถามว่า “จะเอาแบบไหนล่ะ…?” พริบตาเดียวท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อยเป็นพันแบบ ในที่สุดก็ทรงเครื่องเต็มอัตรา มหามงกุฎยอดแหลมรัศมีสีเขียวสวยจนบอกไม่ถูก…

    กราบลาท่านตามพระไปยังจุฬามณีเจดียสถาน เห็นเจดีย์แก้วสีเขียวอ่อน สว่างไสวดุจอาทิตย์ยามเที่ยง รายรอบด้วยราชวัตรฉัตรธง และวิหารเจดีย์มณฑป สวยงามเหลือที่จะบรรยาย รู้สึกเย็นฉ่ำชื่นใจจนบอกไม่ถูก…

    พบเทวดาร่างใหญ่ดังภูเขาเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณี ท่านบอกว่าชื่อ “มเหสักข์” เรียกท่านว่าพี่ก็ได้ จึงขอให้ท่านนำเข้าไปภายใน เพื่อกราบพระเขี้ยวแก้ว และพระเกตุมาลา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า…

    ภายในพระจุฬามณีที่กว้างขวางใหญ่โตนั้น เต็มไปด้วยเหล่าเทวดา พรหม และพระอรหันต์ มาถวายนมัสการเป็นพุทธบูชา เป็นหมวดหมู่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านแบ่งหมู่กันเองตามลักษณะของกายทิพย์… พระทันตธาตุเขี้ยวแก้วเป็นเพชรสว่างสดใส พระเกตุมาลานั้นเป็นคล้ายแก้วสีดำละเลื่อม ต่างเปล่งฉัพพรรณรังสีละลานตา อาตมากราบบูชาด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด นับว่าไม่เสียทีที่เกิดมา…!

    ท่านผู้อ่านทุกท่านจะเชื่อหรือไม่…? บรรดานักปราชญ์ที่โลกยกย่อง ท่านบอกว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี แล้วที่อาตมาพบเห็นอยู่นี่เป็นอะไร ขอทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญดูเถิด…!

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  12. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    สำหรับยันต์เกราะเพชรแล้ว แอลกอฮอล์หรือสุราที่อนุญาตให้มีอยู่อย่างเดียว ก็คือ ยาดองเหล้าหรือว่ายาผสมเหล้าตามสูตร ถ้ายาผสมเหล้าตามสูตรสามารถกินได้ แต่ต้องกินตามที่หมอสั่ง ซึ่งสูงสุดก็ไม่เกิน ๓๐ ซีซี หรือโบราณเรียกว่า ๑ เป๊ก ถ้ากินมากกว่านั้นยันต์เกราะเพชรก็ไม่อยู่ด้วยเหมือนกัน

    ดังนั้น…จำวิธีรักษายันต์เกราะเพชรไว้ให้แม่น ๆ ว่าพวกเราต้องรักษาศีลให้ได้อย่างน้อย ๒ ข้อ ก็คือ ไม่ลักขโมยและไม่กินเหล้า ไม่ว่าจะเป็นเบียร์เป็นไวน์ก็เหมือนกัน หรืออาหารที่ผสมเหล้าทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแล็ต ไอศกรีม ขนมเค้ก หรือว่าบรรดาอาหารป่าที่นิยมใส่เหล้า โปรดงดเว้นอย่างเด็ดขาด

    ถ้าหากว่าเรารักษายันต์เกราะเพชรได้แล้ว ยังต้องคอยปลุกเอาไว้ทุกวัน ท่านใดที่มีความขยัน ตื่นเช้าขึ้นมาก็ให้ภาวนาอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เต็มบทสัก ๓ จบ ให้กำลังใจของเราทรงตัวมั่นคง แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ยันต์เกราะเพชรจะคุ้มครองรักษาท่านได้ทั้งวัน หรือถ้าใครมีเวลาน้อย ให้ภาวนาพุทโธจนกำลังใจทรงตัวก็ได้ แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง อำนาจยันต์เกราะเพชรก็จะรักษาท่านได้ทั้งวัน

    ตัวอย่างบุคคลที่รับยันต์เกราะเพชรไปแล้วมีอานุภาพตามที่ได้กล่าวมา อาตมายกตัวอย่างโยมแม่ตนเองอยู่เสมอ เพราะว่าโยมแม่ของอาตมามีบารมีมาก อยู่ห่างจากถนน ๓๐ เมตรยังมีราชรถสิบล้อมาเกย กระดูกด้านขวาตั้งแต่กรามลงไปจนถึงหน้าแข้งหักหมดทุกชิ้น นอนอยู่ห้องไอซียูจนถึงวันที่ ๑๘ อาตมาก็ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อวัดท่าซุง กราบเรียนว่า “ไม่ทราบเหมือนกันว่าแม่จะรอดหรือเปล่า ? กระผมขออนุญาตถวายสังฆทานทำบุญให้แม่ล่วงหน้าเลยครับ”

    หลวงพ่อท่านถามว่า “แม่แกรับยันต์เกราะเพชรไปบ้างหรือเปล่า ?” กราบเรียนท่านว่า “รับหลายครั้งแล้วครับ” ท่านบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นรับรองว่าไม่ตาย” และก็เป็นความจริง จากที่ใคร ๆ เห็นก็บอกว่าตายแน่นอน รักษาตัวอยู่ ๓ ปีก็หายเป็นปกติตามเดิม
    ก็แปลว่าบุคคลที่ไม่ถึงอายุขัย ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้วจะไม่ตายโหงจริง ๆ ตัวอย่างบุคคลอีกท่านหนึ่งก็คือ ดาราที่ชื่อ จารุณี สุขสวัสดิ์ ซึ่งสมัยประมาณปี พ.ศ. ๒๐ กว่า ๆ ขึ้นมา ช่วงนั้นโด่งดังมาก หนังทุกเรื่องถ้าไม่มีนางเอกชื่อจารุณี สุขสวัสดิ์ จะขายสายหนังไม่ได้ ไปเล่นหนังเรื่องลูกสาวกำนัน ขับเรือด่วนชนตอม่อสะพานกระดูกสันหลังหัก แต่ปรากฏว่าจารุณีมารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุงไปแล้ว รักษาตัวไม่นานก็หาย แต่ว่าทุกวันนี้ก็บ่นว่าปวดหลังอยู่เป็นประจำ เพราะแตกหักไปแล้วจะให้ดีเหมือนเดิมก็คงจะยาก

    สำหรับการป้องกันสัตว์มีพิษนั้น อาตมาเป็นคนลองมาด้วยตัวเองโดยไม่เจตนา เพราะวันนั้นงูกะปะมากินลูกไก่ อาตมาก็จับยัดใส่ไว้ในกรงดักหนู เนื่องจากว่าเป็นเวลาค่ำคืนแล้วไม่สามารถจะเดินทางไปปล่อยที่ไหนได้ ตอนเช้าหลังจากฉันเช้าเสร็จจะเอาไปปล่อย ก็เปิดกรงดักหนูล้วงเอางูออกมา เจ้างูก็เลื้อยดิ้นหนี ดิ้นจากมือขวาอาตมาก็เอามือซ้ายจับ ดิ้นจากมือซ้ายก็เอามือขวาจับ พอดิ้นจากมือขวาเอื้อมมือซ้ายอีกทีโดนฉกเข้าที่ชีพจรข้อมือพอดี ๔ เขี้ยวเต็ม ๆ..!

    อาตมาก็จัดแจงบีบปากให้ง้างออก แล้วก็เอาไปปล่อย หลังจากนั้นก็กลับมาเอาน้ำประปาล้างแผล ทาด้วยยาเบตาดีน สบายดีมาจนทุกวันนี้ทั้งที่ไม่เคยไปหาหมอ แปลว่าถ้าท่านทั้งหลายรักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้ได้ จะสามารถป้องกันสัตว์มีพิษได้ทุกชนิดจริง ๆ

    ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5115
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  13. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg
    .jpg

    ขอน้อมรำลึกและถวายความอาลัย แด่พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี เจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ พระเครือข่ายพระธรรมทูตอาสาจังหวัดนราธิวาสและพระสงฆ์ที่มรณภาพทุกรูป จากกรณีคนร้ายยิงถล่มวัดรัตนานุภาพ

    ทางวัดท่าขนุน นำโดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ได้เห็นคุณความดีและสนับสนุนพระอาจารย์สว่างท่านเสมอมา

    ขอน้อมรำลึกในคุณความดีของคุณพระสงฆ์ในพุทธศาสนา
    ขอยกท่านเป็นแบบอย่างให้สาธุชนดำรงในความดีเฉกเช่นพระอาจารย์ท่านสืบไป

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มกราคม 2019
  14. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -พระค.jpg

    ขอถวายความอาลัยแด่ พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี เจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ ตลอดถึงพระสงฆ์ที่มรณภาพทุกรูป จากกรณีผู้ก่อการร้ายอิสลามยิงถล่มวัดรัตนานุภาพ

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    สหธรรมิกและเพื่อนร่วมรุ่นพระอุปัชฌาย์

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  15. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ในเรื่องของการภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้น ถ้าเรามีความอยากได้ อยากรวย ความอยากที่เป็นความฟุ้งซ่าน ทำให้สมาธิไม่รวมตัวจริง ๆ โอกาสที่ทำพระคาถาให้ขึ้นหรือว่าทำให้เกิดผลก็จะมีน้อย และโดยเฉพาะว่าเรื่องของพระคาถาต่าง ๆ นั้น เป็นบาทฐานของอภิญญา บุคคลที่จะเล่นอภิญญาสมาบัติ ต้องเป็นคนจริงจังและสม่ำเสมอ

    คำว่า “จริงจัง” ก็คือ ตั้งอกตั้งใจทำกันจริง ๆ ทำกันแบบทุ่มเท ทำกันแบบแลกด้วยชีวิต ถ้าหากว่าไม่ได้ผลก็ให้ตายไปเลย อย่างนี้เป็นต้น ส่วนในคำว่า “สม่ำเสมอ” นั้น ก็คือต้องทำอยู่ทุกวันเท่า ๆ กัน อย่างเช่นว่าเราตั้งใจภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ ก็ต้องให้ได้ ๑๐๘ จบเท่ากันทุกวัน ถ้าหากว่าเรามีความจริงจังและสม่ำเสมอเช่นนี้ โอกาสที่พระคาถาจะให้ผลก็มีมาก

    ความจริงจังนั้นเป็นสัจจบารมี เป็นหนึ่งในบารมี ๑๐ อย่างที่สำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราทำอะไรทำจริง แสดงว่าสัจจบารมีของเราเต็ม หน้าที่การงานทุกอย่างก็จะประสบความสำเร็จได้ง่าย เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมีคติประจำใจว่า กยิรา เจ กยิรา เถนัง แปลเป็นภาษาไทยว่า “เมื่อจะทำอะไรก็ต้องทำให้จริง” ก็คือต้องทำให้ประสบความสำเร็จ

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน กองกรรมฐานต่าง ๆ อย่างน้อยก็มีถึง ๔๐ กอง ถ้าหากว่าเราทำกองใดกองหนึ่งอย่างจริงจังสม่ำเสมอจนประสบความสำเร็จ สามารถเข้าถึงจุดสูงสุดของกองกรรมฐานนั้น ๆ กองกรรมฐานอื่นที่เหลือก็ใช้กำลังใจเท่ากัน ในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์ในการใช้ หรือว่าเปลี่ยนวิธีคิด วิธีภาวนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนของกำลังใจใช้เท่าเดิมก็เกิดผลเช่นเดิม

    เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะใช้พระคาถาเงินล้านเป็นพระกรรมฐาน เราก็ต้องภาวนาอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะตัดความโลภออกจากใจของเราให้ได้ และอย่าลืมที่สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย หรือท่านปู่ท้าวสันดุสิตเทวาธิราชได้ให้การรับรองไว้ ว่าถ้าพวกเรามีการปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ เป็นปกติ ยังคงประกอบด้วยคุณความดีคือกตัญญูกตเวทีอยู่เช่นนี้ ถ้าพลาดจากพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ไปเกิดในสมัยของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านรับอาสาที่จะนำพาทุกท่านเข้าสู่พระนิพพานเอง

    ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๘

    ที่มา www.watthakhanun.com
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  16. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    ถ่ายทอดสดงานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ บูชาพระคุณครู วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
    เริ่มสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ บูชาพระคุณครู เวลา ๗.๔๕ น.
    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  17. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -๑.jpg
    งานสวดพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ถวายบูชาพระคุณครู
    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๒
    ณ หอประชุมใหญ่ ทีโอที สำนักงานใหญ่ แจ้งวัฒนะ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  18. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    หนังสือของหลวงพ่อวัดท่าซุงทุกเล่ม เทปทุกม้วน ลองไปอ่านดู ฟังดู เราจะได้อะไรใหม่ ๆ จะเป็นจุดที่สะดุดหูเราอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นอ่านแล้วไม่เจอ ฟังแล้วไม่ได้ยิน เพราะว่าเราทำถึงตรงไหนกำลังจะจดจ่ออยู่ตรงนั้น พอหลวงพ่อกล่าวถึงก็จะกระทบใจเรา กระทบตาเรา แต่ถ้าเรายังทำไม่ถึงก็จะผ่านไปเฉย ๆ ดังนั้นตำราอย่าทิ้ง โดยเฉพาะตำราของหลวงพ่อ

    ตำราของหลวงพ่อแทบทั้งหมดท่านจะแทรกวิปัสสนาญาณไว้เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาเอง อ่านแล้วฟังแล้วตัดสินใจตามไปได้เลย ได้ประโยชน์ล้วน ๆ ถ้าเราไปพิจารณาเองบางทีปัญญาไม่ถึง นึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำไปว่าจะนึกต่ออย่างไร
    ……………………………….
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม #แบ่งปันธรรมะ
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม

    .jpg

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  19. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ตอนที่-๙.jpg

    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๙ : นิมิตจากในหลวง


    ประเทศไทยของเราโชคดีกว่าทุกประเทศในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นหลักชัยของมหาชนทั้งแผ่นดิน ยิ่งองค์ภูมิพลมหาราชด้วยแล้ว เป็นสุดยอดของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมเลยทีเดียว…

    “ท่านผู้รู้” เมตตาเล่าว่า องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานั้น เป็นพระโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยบารมี ได้ทิพยจักขุญาณตั้งแต่พระชนมายุ ๗ พรรษา ทรงปฏิบัติธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก สามารถทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ..!

    หลังจากออกจากพระจุฬามณีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จนำอาตมา ไปยังดินแดนแห่งเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน อาตมาได้พบเห็นเมืองแก้ว แพรวพราวงามระยับจับตา สูงส่งสง่า สงบ เยือกเย็น เป็นสุขสบายจนบอกไม่ถูก…

    อาตมาได้มีโอกาสได้เข้าไปกราบสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสุด พร้อมด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันตเจ้าทั้งหมด…

    ถ้าใครบอกว่าเป็นการสะกดจิต เป็นการนึกฝันเอาเอง อาตมาก็ยอมให้สะกดจิต ยอมเพ้อฝันเอาเอง ขอให้มีคนสามารถสะกดจิตให้คนไปพระนิพพานได้จริง ๆ เถอะน่า จะยอมให้สะกดทั้งชาติเลยสิเอ้า…ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็อย่าแสดงความโง่ด้วยการปฏิเสธเลย…!

    ออกจากวิมานขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อาตมาก็ตรงไปยังวิมานของตน ที่หน้าวิมานนี่เอง อาตมาพบองค์ในหลวงในเพศพระภิกษุห่มจีวรเหลืองอร่าม ในพระหัตถ์ทรงบาตร ประทับยืนขวางทางอยู่…

    อาตมาถวายบังคมอย่างปลาบปลื้มใจ ทูลถามว่า เสด็จมาด้วยพระประสงค์ใด พระองค์ชี้พระดัชนีลงในบาตร อาตมาเห็นว่ามีน้ำอยู่ครึ่งบาตร และมีเรือสำเภาลำน้อยลอยวนอยู่…

    ทันใดนั้น…อาตมาลงไปอยู่ในเรือได้อย่างไรไม่รู้ น้ำในบาตรกลายเป็นมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา กระแสน้ำกลายเป็นวังวนมหึมา หมุนวนเชี่ยวกรากน่าสะพรึงกลัว ดูดเอาเรือสำเภาที่มีอาตมาอยู่ในนั้นเข้าไปใจกลางวังวนอย่างรวดเร็ว…!

    “ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้…!” อาตมาตะโกนด้วยความตกใจ องค์ในหลวงมีพระดำรัสว่า “หาทางขึ้นมาซิ…” พริบตานั้น…ปรากฏเส้นเชือกใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพาดจากฝั่งมายังเรือ อาตมาเลือกเชือกเส้นใหญ่ที่สุด ปีนกลับขึ้นมาบนฝั่งอย่างง่ายดาย กราบทูลถามว่า “นิมิตนี้หมายถึงอะไรพระเจ้าข้า..?” ทรงตรัสว่า “นานไปแล้วเธอจะรู้เอง”….

    หลังจากนั้นหลายปีมีผู้รู้พยากรณ์นิมิตนั้นว่า เรือสำเภาหมายถึงพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร แสดงว่าอาตมาคงบำเพ็ญบารมีมาในด้านนี้ แต่การที่สละเรือขึ้นสู่ฝั่งแปลว่า อาตมาต้องลาจากพุทธภูมิ…!

    เชือกเส้นใหญ่ที่สุดที่อาตมาเลือกเพื่อปีนขึ้นฝั่ง คือหนทางปฏิบัติที่อาตมาเห็นว่ามั่นคงที่สุด ที่จะพาตนพ้นจากวัฏสงสารเข้าสู่ดินแดนแห่งพระนิพพาน คือการที่อาตมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นเอง…!

    องค์ในหลวงของเราทรงปฏิบัติภารกิจ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทุกถ้วนหน้า อย่างมิคำนึงถึงความเหนื่อยยากของพระองค์ เกียรติคุณของพระองค์ท่าน ขจรขจายไปทั่วโลก ทุกชาติทุกภาษาทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใส ที่เรามีผู้นำที่วิเศษเห็นปานนี้…

    ดวงแก้ววิเศษอยู่กับเราแล้ว อีกกี่ยุคกี่สมัยจึงจะมีเช่นนี้อีก ขอทุกท่านจงคำนึงและยึดมั่นปฏิบัติตามในพระราชดำรัสของพระองค์ สิ่งใดที่เป็นการแบ่งเบาพระราชภาระ และแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ขอทุกคนจงทำสิ่งนั้นอย่างเต็มสติกำลังโดยถ้วนหน้ากันเถิด…

    บารมีพระมากพ้น รำพัน
    พระพิทักษ์ยุติธรรม์ ถ่องแท้
    บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก ไซร้แฮ
    ทวยราษฎร์รักบาทแม้ ยิ่งด้วย บิตุรงค์


    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  20. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    .jpg

    พระอาจารย์กล่าวสอนในเรื่องความสกปรกของอาหารว่า “ถ้าใครเคยไปดูเขาหมักเหล้าองุ่นแล้ว ที่คิดจะกินเหล้าองุ่นอยู่อีก ก็คงจะหมดอารมณ์ เพราะเหล้าองุ่นที่ได้รสชาติที่สุด ต้องย่ำด้วยตีน..! ถึงเวลาก็เหยียบ ๆ

    เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว อาหารมีพื้นฐานจากความสกปรก หลวงตาปรีชา สมัยที่ยังจำพรรษาด้วยกันที่เกาะพระฤๅษี สอนเรื่องกรรมฐาน ท่านก็บอกว่า “อาจารย์ครับ..อาหารอื่นผมพอจะพิจารณาได้ว่าสกปรก แต่พวกผลไม้สีสันน่ากิน ดูแล้วไม่เห็นว่าสกปรกตรงไหน ?” ก็เลยบอกว่า “คุณคิดง่าย ๆ ก็แล้วกันว่า ผลไม้ที่เราเอามากิน ก็คือผลไม้ที่กำลังเน่า เพียงแต่ว่าคนเราฉลาด รอให้เน่ากำลังดีแล้วก็กิน ถ้าเน่าเกินนั้นก็จะไม่กิน”

    ตอนที่เน่ากำลังได้ที่ จริง ๆ แล้วก็คือการแปรสภาพ ถ้าเน่า ดำ ช้ำกว่านั้น เราก็จะไม่กิน เรารอตอนที่กำลังเหลืองอร่ามจึงกิน แปลว่าเรากำลังกินของเน่านั่นแหละ หรือไม่ก็พิจารณาดูว่าผลไม้เกิดจากปุ๋ยที่เป็นซากพืชซากสัตว์ที่เป็นความสกปรกก็ได้”

    พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา www.watthakhanun.com

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2019
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...