เวลานั่งสมาธิแล้วเหมือนตาพยายามลืมขึ้นเองตลอดเวลา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย KamenRiderFourze, 21 มกราคม 2019.

  1. KamenRiderFourze

    KamenRiderFourze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    เท้าความครับว่าผมกำลังฝึกอานาปานสติอยู่ คือดูลมหายใจ พิจารณาลมหายใจ แต่ปัญหาคือ นั่งไปได้สักพักตาจะมีอาการเหมือนมีแสงลอดตลอดเวลา หลายครั้งก็ไม่สนใจครับ ปล่อยเลยและพิจารณาลมต่อ แต่กลายเป็นว่าลืมตาโพ่งเลยครับ พอคราวนี้ลองพยายามหลับตาให้สนิทตลอด กลายเป็นว่าแทบไม่ได้พิจารณาลมหายใจเราเลย ไม่ทราบว่าปัญหาคืออะไรครับ พยายามแก้ไขด้วยตนเองแล้ว ก็ยังหาทางออกไม่เจอครับ

    //หรือจริตผมเหมาะกับการเพ่งกสิณกันครับชี้แนะด้วยครับ
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    สมาธิไม่จำเป็นต้องหลับตา หรือ ลืมตาครับ
    จะหลับตา หรือ ลืมตา ก็สามารถมีสมาธิได้หมด

    ถ้าจะให้รู้จักกับสมาธิง่าย ๆ เลยก็คือ
    คุณเคย เล่นเกมส์ อ่านหนังสือ เล่นมือถือ ดูหนัง ฟังเพลง แล้ว "อิน" กับสิ่งนั้น
    จนทำให้รู้สึกอยากทำต่อไปไม่รู้เบื่อมั้ยครับ นั่นแหละครับ "
    สมาธิ"

    จะเห็นได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องหลับตาก็มีสมาธิได้
    เวลาเดินหรือวิ่งก็ต้องใช้สมาธิเช่นกัน ถ้าไม่มีสมาธิก็มีหวังเดินเข้าป่าเข้าพงไป
    หรือไม่ก็เดินแล้วขาอ่อน หกล้มหกนั่งไป ทั้ง ๆ ที่ยังแข็งแรงอยู่นั่นแหละ

    ส่วนที่ทำสมาธิแล้ว มีอาการตามันลืมขึ้นเองเพราะจิตกำลังเริ่มเป็นสมาธิครับ
    ไม่มีอะไรต้องกังวล เป็นอาการอย่างหนึ่งเวลาที่สมาธิกำลังรวมตัว
    บางทีก็จะมีอาการที่มันจะลืมตาขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้บังคับ แค่นั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
     
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    การเพ่งกสิณ ไม่ใช่การไปนั่งจ้องกสิณนะครับ
    ที่เขาจ้องกันเพื่อให้จำภาพกสิณได้เท่านั้น
    ยิ่งเห็นซ้ำ ๆ เห็นบ่อย ๆ เห็นมันทุกวันก็ยิ่งจำได้

    ส่วนการเพิ่งกสิณจริง ๆ ก็คือการที่เราชอบในสิ่งนั้น ๆ
    เมื่อชอบแล้วเราก็จะจำภาพได้ง่ายขึ้น
    เช่น ไฟ น้ำ ลม ดิน สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีขาว อากาศ แสงสว่าง
    เมื่อชอบแล้ว เราก็จะนึกถึงสิ่งนั้นอยู่เสมอ จนเกิดเป็นสมาธิขึ้นมา

    เช่น การที่เราชอบเล่นมือถือ เราก็จะนึกถึงแต่มือถืออยู่ตลอดเวลา
    ต่อให้ยืนพูดยืนคุยกันกับเพื่อนก็เถอะ ใจก็นึกอยากจะเล่นมือถือตลอด
    รอว่าเมื่อไหร่จะได้เล่นมือถือเพลิน ๆ อีก ยิ่งคิดยิ่งเพลิน ลักษณะนั้นแหละคือ
    "การเพ่ง"
    การนึกชอบในมือถือ อยากจะเล่นมือถือ ถ้าใช้ภาษาการเพ่งกสิณก็คือการเพ่งมือถือนั่นเอง

    ส่วนเรื่องกสิณ 10
    ตัวอย่างเช่น ถ้าเราชอบ ดิน เช่นไปเจอดินสีอรุณ เราก็คิดว่า เออ ดินนี้มันสีสวยดีแฮะ
    แล้วเราก็จำภาพดินนั้นได้ นึกชอบใจในดินนั้น ทำให้เรานึกถึงแต่ดินนั้นตลอดเวลา
    ยิ่งนึกยิ่งชอบ ยิ่งนึกยิ่งเพลิน นั่นแหละคือการ
    เพ่งกสิณดินครับ
    ยิ่งชอบมากเท่าไหร่ สมาธิก็แน่นขึ้นเท่านั้น คิดถึงมาก ๆ เข้า สมาธิก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
    เมื่อคิดอยู่แบบนี้ไม่หยุด จิตก็จะเป็นสมาธิมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนที่สุดก็จะถึงฌาน 4 ได้
    เมื่อได้ฌาน 4 ก็จะสามารถใช้ผลของกสิณได้แล้วนั่นเองครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ปรับพื้นความเข้าใจทางด้านกิริยากันหน่อยนะครับ
    ๑.จิตทำงานได้ เมื่อเกิดกรณี มีแสงนำ
    (เห็นแสงสีต่างๆได้ทุกสี) และ มีเส้นสายนำ
    (เห็นคลื่น เห็นอากาศได้) หรือ ทั้งสองอย่าง ก็จะเห็นเป็นรูปร่าง มีสีได้
    กรณีแบบนี้ จะเห็นได้ในระดับสมาธิ ช่วงอุปจารสมาธิ และไม่เกินปฐมฌาน
    ถ้านั่งสมาธิแล้วเห็นแสง แสดงว่าเป็นกรณีมีแสงนำ เป็นเรื่องธรรมดา
    ให้เฉยๆไม่ต้องไปสนใจ เด่วแสงนั้นจะค่อยๆดับลงไปเอง......
    ทริคคือ อย่าหลับตา อย่าลืมตา เพราะแม้ไม่ลืมตา มันก็มองเห็นได้
    กรณีที่มีแสงนำ มันจะสว่างเหมือนมีคนเอาสปอร์ตไล์มาเปิด
    แม้อยู่ในที่มืดๆเราจะมองเห็นชัดเจน
    (มันเป็นกิริยาปกติทั่วไปนะครับ
    ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหมือนคุณจะเรียนประถม ต้องผ่านชั้นอนุบาลมาก่อน)

    และถ้าทำได้ ไม่สนใจแล้ว นั่งต่อไปแต่ระบบหายใจต้องเปลี่ยนนะ จะบอกในข้อต่อไป
    เด่ว แสงจะเปลี่ยนจาก ที่สว่างจร้ามาเลยแบบในช่วงแรก
    กลายมาเป็น ค่อยๆสว่างขึ้นได้เอง เหมือนมีการปรับแสงได้
    นี่คือ ระดับสมาธิเราสูงขึ้นครับ


    ๒.อาปาฯ ถ้าเราไปตามลมหายใจ ทางกิริยาคือ จิตมันเกิด จิตเกิดเพราะไปตามลม
    สมาธิจะไม่เกิดปฐมฌาน
    (จิตมันไปตามลม มันส่งออก แล้วเมื่อไรมันจะสงบได้?
    มันไม่ใช่ตอนทำงาน ที่เราตั้งใจทำงาน นั้นคือ สมาธิไปจดจ่อที่งาน
    มันเหมาะสำหรับในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเอาไว้เสริม ป้องกันสมาธิที่เราได้
    จากตอนนั้นมันหายไป
    ในระหว่างวัน แต่มันไม่ใช่วิธีการในตอนั่งสมาธิครับ คนละส่วนกัน)

    และเมื่อจิตเกิดแล้วยิ่งไปพิจารณา ก็จะเป็นการ
    ที่จิตยกความคิดที่มีอยู่ในจิตขึ้นมาพิจารณาเอง ตรงนี้ไม่ใช่วิปัสสนา
    แต่จะเป็นวิปัสสนึกครับ...ซึ่งไม่ได้มีผลอะไรต่อการพัฒนาคุณภาพของจิต
    เพราะมันยังเป็นปัญญาทางโลกอยู่ เนื่องจากมันพิจารณาภายใต้สัญญาความจำได้นั้นเอง
    ให้แก้ ด้วย ถ้าทำอย่างนี้ ทำจนตายก็ไม่เกิดปัญญาทางธรรมครับ

    ๒.๑ เจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆ ในระหว่างวัน เช่น เวลาเดิน นับก้าวเดิน
    เวลานิ่งๆ ระลึกรู้ลมหายใจหยุดที่ปลายจมูก ส่วนทำงานก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ไป

    ๒.๒ ปรับระบบหายใจใหม่ ด้วยการหายใจเข้าให้ลึกจนท้องพอง
    หายใจออกจนท้องยุบ แต่ให้ระลึกลมหายใจเข้าออกหยุดที่ปลายจมูกพอ
    และห้ามตามลมหายใจ ผลักมันเฉยๆ ย้ำว่าห้ามไปตามดู ลมหายใจ

    (ในส่วน การรู้ลมหายใจเข้าเย็น หายใจออกร้อน หรือเห็นลมหายใจเป็นเส้น
    เป็นฝอย พวกนี้มันเป็นแค่ผล ของระบบลมหายใจ ที่ทำให้จิตสงบละเอียดขึ้น
    ไม่ใช่มาจากการพิจารณาใดๆ จำไว้ อย่าไปพิจารณาใดๆ
    ถ้าจิตยังเกิดอยู่ มันจะเป็นวิปัสสนึก จิตเกิดหมายถึง จิตมันยังรวม
    กับความคิด หรือ รวมกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่)


    ๓.คุณต้องสร้างสติทางธรรมให้เกิดก่อน จนกว่าจิตจะแยกรูปแยกนามได้

    (คือ เห็นได้ว่า จิต ความคิด ขันธ์ ๕ นามธรรม(ความคิดที่ฝุดขึ้นมา
    โดยไม่ได้ตั้งใจ)
    ซึ่งเป็นฝ่ายอารมย์
    ทั้ง ๓ ส่วนนี้ มันเป็นคนละตัวกัน จะต้องเข้าใจกิริยาแต่ละตัว
    ว่าแตกต่างกันอย่างไรให้ได้ก่อน และเดินปัญญาไปอีกซักระยะหนึ่ง
    แล้วค่อยมาดูว่า จะฝึกกสิณอะไร เพราะถ้าคุณมาฝึกกสิณเลยตอนนี้
    ไม่ว่า จะขึ้นด้วยกสิณกลาง หรือ กสิณสี โอกาสที่จะ วิปลาสทางจิตสูงครับ...
    แม้ว่า คุณจะมีเชื่อทางกสิณสี มาก่อนก็ตาม
    ๔.กิริยาทางนามธรรมที่เห็น แม้ว่าจะเป็นตัวบอกได้ ว่าเราเคยฝึกกสิณอะไรมา
    แต่ไม่ควรสนใจเลย หากจิตยังแยกรูปแยกนามและเดินปัญญาไม่ได้
    เพราะสติทางธรรมเรายังไม่พอ ที่จะแยกแยะและเข้าใจในกิริยาทางธรรม
    ต่างๆได้ด้วยตัวเราเอง และแม้จะฝึกตอนนี้ โอกาศที่จะสำเร็จก็ยากมากครับ

    ส่วนนี้เล่าให้ฟัง.....เรื่องกสิณ อ่านไว้ แต่ยังไม่ต้องสนใจ
    กสิณ การมองภาพเป็นเพียงอุบาย ให้จิตจำภาพในช่วงแรกๆ
    แต่ต่อมาก็ต้อง ทิ้งเพราะถ้ายังใช้การจำ สมาธิเราจะไม่เกิดปฐมฌาน
    และจะส่งผลให้ปวดศรีษะ ตึงศรีษะ และจะวิกลจริตได้
    หากยังมีความคิดร่วมในการสร้างภาพ......

    ดังนั้น เราจึงต้องหาอุบาย ให้จิตสร้างภาพด้วยตัวมันเองให้ได้ก่อน
    จากระบบลมหายใจที่แนะนำ และเวลานั่งสมาธิพอเราโน้มสายตา
    ปกติลงมามองที่ลิ้นปี่ จะมีเหมือนอีกตา มองผ่านเหนือระหว่างคิ้ว
    ขึ้นมาเอง เราจะใช้ช่องทางนี้ ในการการมอง(ช่องที่จิตจะสร้างภาพ
    ขึ้นมา แล้วผ่านตรงจุดนี้ ทำให้เรามองเห็น) แรกๆจะไม่ชัดเป็นเรื่องปกติ

    แล้วค่อยมาดูว่า เมื่อ เราสร้างภาพได้จากตัวจิตเองแล้ว
    (หลักสังเกตุ คือ ในเวลาปกติ ไม่ว่าที่ใด เมื่อไร สถานการณ์ใด
    ถ้าเรามองไปอากาศ
    แล้วระลึกภาพอะไร จะต้องปรากฏภาพนั้น อย่างน้อยเป็นขอบๆ
    ภายในเวลาไม่กี่วินาที ย้ำว่า ไม่กี่วินาที แสดงว่าจิตเริ่มสร้างภาพได้)

    ทำตรงนี้ได้ แล้วค่อย เข้าๆออกๆ จนสมาธิข้ามไประดับ ปฏิภาคนิมิตได้
    ซึ่งต้องมาจากการทำสมาธิ ไม่ใช่การคิด ย้ำว่า ไม่ได้คิดเอา หรือ คิด
    เอาไว้ทั้งวัน
    (กรณีนี้ จิตจะซื้อบื้อ พิการ เราจะใช้เฉพาะในกรณี
    พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น สำหรับคนไม่เคยฝึกมาก่อน เพื่อเป็นอุบาย
    ให้อยู่ในสมาธิ แต่ทั้งชาติ จะไม่เกินปฐมฌานครับ)



    พอไปปฏิภาคนิมิตได้ จะไปต่อได้ ๓ ทาง
    ๑. ปั่นปฏิภาคนิมิต จะได้ กำลังจิต เล่นกับพลังงานได้
    ๒. อฐิษฐานจิต จะได้ทางตาพิเศษ และเรื่องเจโต
    ( แต่วิธีนี้ต้องฟิตพอตัว)
    ไม่ใช่การสร้างภาพได้ ในขณะลืมตา แบบนี้ไร้กำลังจิต สมาธิไม่มาก
    และหลงตัวเองได้ อฐิษฐานจิตคือ อฐิษฐานอะไร จะต้องเกิดผลอย่างนั้น
    ๓.ไปทางอรูปฌาน ถ้าทิ้งภาพปฏิภาคนิมิตได้ เหมาะสำหรับ
    บุคคลที่มีระเบียบวินัยในการทำสมาธิ ส่วนมากจะเป็น จอมคาถาต่างๆ

    ทั่วไป กสิณ ถ้าเราใช้งานได้หรือทำได้แค่กองเดียว
    กองที่เหลือจะตามมาเอง เพราะกำลังที่ใช้มันเท่ากันนั้นเอง....

    แต่เวลาฝึกต้องขึ้นด้วยกองใดกองหนึ่งเท่านั้น
    (
    ลำพัง ขึ้นกองที่จิตสะสมมามากสุด ยังจะไม่ค่อยสำเร็จ
    หรือใช้งานกันได้ เพราะฉนั้น ถ้าจะขึ้นกองอื่นๆร่วมด้วย
    ชาตินี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จครับ)


    สุดท้าย ฟังหูไว้หู
    จริตคุณ ออกไปทางวิตกจริต
    ดังนั้น การเจริญสติสำคัญมากๆ
    จนกว่าจะแยกรูปแยกนามและเดินปัญญาได้ก่อนครับ
    ซักระยะหนึ่ง....ค่อยมาดูกันว่า
    จะฝึกกสิณดีไหม เพราะถ้าฝึกเลยตอนนี้
    โอกาสจะวิปลาสสูง เพราะมันมีวิบากเก่า
    ทางด้านพลังงานมาเกี่ยวข้องอยู่
    พูดง่ายๆคือ จะถูกแทรก จากพลังงาน
    ไม่ดีภายนอกต่างๆได้ง่ายนั่นเองครับ
    เนื่องจากกำลังสติทางธรรม เราจะยังไม่พอ
    ที่จะแยกแยะอะไรได้ทางด้านนามธรรม
    และกำลังสมาธิและกำลังจิตที่จะต้านทาน
    สิ่งต่างๆเหล่านี้ยังไม่ดีพอครับ
    พวกภายนอกเหล่านี้ จะหลอกหล่อด้วย
    ด้วยความสามารถพิเศษทำได้ต่างๆ
    จะทำให้เราหลงตามได้ง่ายอย่างคาดไม่ถึงครับ

    แค่เพียงแต่เล่าใหัฟังครับ
     
    • ถูกใจ ถูกใจ x 2
    • อนุโมทนา อนุโมทนา x 2
    • รักเลย รักเลย x 1
    • ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย x 1
    • ดูรายการ
  5. KamenRiderFourze

    KamenRiderFourze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22

    บอกตามตรงเลย ว่ามันสว่างจ้ามากๆ เหมือนโดนสปอร์ทไลท์ส่อง ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า หรือบางที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เหมือนมีอะไรสักอย่างออกน้ำเงินเวียนไปเวียนมา (ผมอาจคิดไปเองก็ได้) แต่คือไม่ได้ใส่ใจหรอกครับ ค่อนข้างงงกับตัวเองว่าหลับตา (ไม่ได้เกร็งด้วยซ้ำ) แล้วทำไมจู่ๆ เกิดจะลืมตาเสียให้ได้มากกว่าครับ

    เป้าหมายหลักๆ ของการทำสมาธิคือกดอารมณ์แย่ๆ ที่เวียนเข้ามาจากการใช้ชีวิตประจำวันด้วยแหละครับ ส่วนเรื่องอภิญญา (หรืออิทธิ์ฤทธิ์อันนี้ไม่ทราบว่าเรียกอะไรจริงๆขออภัยครับ) ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2019
  6. Username-chatreekain

    Username-chatreekain ใต้สรวงสวรรค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2018
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +58
    ส่วนตัวแล้ว ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่าอิทธิฤทธิ์อภิญญา คืออะไร แต่พอเลี้ยงเรียนไปแล้วรู้เรื่องก็มารับรู้ว่ามันเป็น อิทธิฤทธิ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เมฆฝนได้เซ็กไฟนผ้าได้ ได้มาจากการนั่งสมาธิและรับรู้ นั่งสมาธิเพื่อรับรู้สิ่งต่างๆที่เข้ามาจากภายนอกที่มาจากภายนอกเข้ามาสู่ตัวแล้ว จริงๆแล้วนั่งง่ายมากครับสมาธิ เราแค่นั่งมือขวาทับมือซ้ายขาขวาทับขาซ้าย หัวแม่มือนิ้วโป้งจดกันจะลดกัน แค่นี้ก็พอเข้าใจแล้วครับ ดูหลายๆโพสที่ผ่านมาแล้วแต่ละคนรู้สึกว่าเก่งเรื่องการรับรู้พวกนี้มากครับเลยครับ พวกเขาจะสอน สิ่งดีๆให้กับเรามาก เธอแต่ละโพสต์ที่เขาโพสต์รู้สึกว่ามีคำอธิบายที่ดีมากสำหรับการเรียนรู้ การฝึกอะไรสักอย่างหนึ่ง ในทางพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า กรรมฐาน 8 หรือ การเข้าใจในเรื่องอภิญญา ครับ เวลานั่งสมาธิเวลานั่งสมาธิแล้วเหมือนตาพยายามลืมขึ้นเองตลอดเวลาเผยแพร่โดยพลังจิตสมาธิไม่จำเป็นต้องหลับตาหรือลืมตาครับจะหลับตาหรือลืมตาก็สามารถมีสมาธิได้หอมธ ถ้าจะให้รู้จักกับสมาธิง่ายๆเลยก็คือคุณเคยเล่นเกมอ่านหนังสือเล่นมือถือดูหนังฟังเพลงแล้วอินกับสิ่งนั้น จนทำให้รู้สึกอยากทำต่อไปไม่รู้เบื่อไหมครับนั่นแหละครับสมาธิจะเห็นได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องหลับตาก็มีสมาธิได้เวลาเดินหรือวิ่งก็ต้องใช้สมาธิเช่นกันถ้าไม่มีสมาธิก็มีหวังเดินเข้าป่า หรือไม่ก็เดินแล้วขาอ่อนหกล้มหกนั่งไปทั้งๆที่ยังแข็งแรงอยู่นั่นแหละส่วนที่ทำสมาธิแล้วมีอาการตามวันลืมขึ้นเองพระอาทิตย์กำลังเริ่มเป็นสมาธิครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลเป็นอาการอย่างหนึ่งเวลาที่สมาชิกกำลังรวมตัว บางทีก็จะมีอาการที่มันจะลืมตาขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้บังคับแค่นั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง การเพ่งกสิณไม่ใช่การไปนั่งจ้องกะสินะครับที่เขาต้องการเพื่อให้จำภาพกสิณได้เท่านั้นยิ่งเห็นซ้ำๆเห็นบ่อยๆเห็นมันทุกวันก็ยิ่งจำได้ ส่วนการเพ่งกสิณจริงๆก็คือการที่เราชอบในสิ่งนั้นๆ เมื่อชอบแล้วเราก็จะจำภาพได้ง่ายขึ้นเช่นไปน้ำลงดินสีแดงสีเหลืองสีเขียวสีขาวอากาศแสงสว่าง
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2019
  7. KamenRiderFourze

    KamenRiderFourze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +22
    รู้สึกดีใจมากๆ ที่หลายท่านพยายามช่วยเหลือผม ถ้ามีคำแนะนำอื่นใด บอกได้เลยครับ ผมนี่หาเวลาไปฝึกวิปัสสนาไม่ได้จริงๆ เลยกลายเป็นขาดคนชี้แนะ

    โอเคจากที่ทำการบ้านมา เข้าใจว่ากสินนี่คือการเล่นแร่แปรธาตุหรือเปล่าครับ เช่น สร้างลม (รวมไปถึงเข้าใจคุณสมบัติของลมและแปรเป็นคุณสมบัติของตน แบบการเหาะ) เข้าใจแบเข้าใจแบบนี้ครับเลย ยังไม่ยุ่ยังไม่ยุ่งก่อนครับ เพราะดูแล้วยังไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ผมเผชิญเท่าไหร่

    แต่ผมไม่ปิดนะครับ อธิบายผมได้เลย อนุโมทนากับทุกท่านที่เข้ามาตอนนะครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ใช่มันสว่างมากๆนั่นหละครับ หลักสังเกตุแม้สว่าง
    แต่ว่ามันไม่เย็นครับ.....
    กิริยาพวกนี้ที่เกิด ส่วนตัวเล่าให้ฟัง เพื่อ
    จะบอกสาเหตุที่มันเกิดขึ้น
    เพื่อว่า ใครมาอ่านเจอจะได้ไม่ต้องสนใจกิริยา
    พวกนี้ เหตุเพราะมันเกิดขึ้นได้ปกติ
    และมันไม่มีประโยชน์อะไร
    ยกเว้นว่า จะต่อยอดไปต่อไป
    เพื่อให้สมาธิสูงขึ้นก็ทำได้
    ซึ่งได้เขียนทริคไว้แล้วครับ


    ส่วนนี้เล่าสู่กันฟังนะครับ
    ข้างบนนี่เป็นข้อความที่ส่วนตัว
    เขียนไว้ ส่วนเรื่องอภิญญา
    เรื่องฤิทธิ์ ส่วนตัวไม่ได้เขียนไว้นะครับ
    เพราะมองว่า แม้จะทำได้ เหมือนที่เขียน
    ไว้ในบทความก่อนหน้า ก็เป็นคนธรรมดาทั่วไป
    เพราะมันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ย้ำว่าเริ่มต้น

    และยิ้งถ้าออกไปภายนอก ไปเจอโลกท่านที่ใช้
    งานได้ปกติ จะพบว่า สิ่งที่ส่วนตัวเขียนไว้
    จะกลายเป็นเหมือน เด็กอนุบาล ทันที
    เรื่องพวกนี้ เจอกับตัวเองถึงรู้ครับ

    มันยังมีระดับในการพัฒนาเรื่อยๆครับ
    แล้วแต่จริตและแนวทางแต่ละคน

    และก็เห็นด้วยที่ยังไม่ควรไปสนใจมัน
    เพราะว่า แม้ว่า จะมีความสามารถทำได้จริง
    แต่ถ้าไม่เน้น ทางด้านปัญญาต่อ มันก็จบครับ
    ความสามารถพวกนี้ ถ้าไม่มาทางด้านปัญญา
    มันจะเสื่อม และไม่พัฒนา เผลอๆจะหลงตัวเอง
    กลายเป็น คนติด ลาภ ติดยศ ติดการสรรเสริญ
    และหลงตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ

    ถ้าส่วนตัวเลย ก็ยังมองว่า
    คุณ ควรฝึกเจริญสติ และสมาธิ
    เพื่อเน้นแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อน
    ที่จะไปพูดเรื่อง วิปัสสนาครับ.....

    เพราะกิริยาทางนามธรรมต่างๆ
    มันอาศัย ตัวสติทางธรรมที่เราได้
    จากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    นั่นหละครับ (คล้ายตัวที่ทำให้เรารู้ในเรื่อง
    นามธรรม พวกนี้รวมในฝันด้วย)....

    ทริค ทางด้านนามธรรม
    ถ้าเรา เจอกิริยาอะไรแล้ว
    เราไม่สามารถรู้ได้เลย ณ เวลานั้น
    หรือลืมตาแล้วยังไม่รู้
    ให้ลืมมันไปเลย เหมือนมันไม่เคยเกิดกับเรา
    แล้วมาเจริญสติให้ต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้น
    เด่วเราจะมีเครื่องย้อนรู้ ได้เองโดยไม่ต้อง
    ไปถามใคร

    ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องแสงสว่างมากๆแบบคุณ
    เมื่อก่อนส่วนตัวนั่งไม่ถึง
    นาทีก็เกิดแล้วครับ ยิ่งถ้าลืมตา
    ไม่ถึงครึ่งนาทีก็เกิดแล้วครับ
    หรือแค่นอนๆอยู่ก็เกิดแล้วครับ

    ก็เคยไปถาม พระเกจิฯ ท่านก็บอกว่า อย่าสน
    ให้มาเจริญสติต่อ เด่วรู้เองนั่นหละ

    แล้วเราจะพบว่า โห้ มันไม่มีอะไรเลย
    มันเป็นกิริยาแค่พื้นๆทั่วไป ที่ไม่ควรไปสนใจเลย
    เพราะมันยังไม่มีประโยชน์อะไรในการพัฒนา
    คุณภาพทางจิตครับ
    เช่น ไม่ได้ช่วยให้เราปล่อยวางไม่ว่ารูปธรรม
    และนามธรรมเลย เพราะเรามัวสงสัย
    แล้วไม่มาเจริญสตินั่นหละครับ....


    ปล. กสิณ เบื้องต้นอธิบายไว้แล้วครับ...
    การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นอีกระดับหนึ่งครับ
    ทางปฏิบัติ มี สอง ทางคือ
    ๑.อฐิษฐานจิต นั่นหมายความว่า
    คุณจะต้องหายใจครั้งเดียวไปพักในฌาน ๔ ได้
    แล้วถอยลงมาดึงความเป็นทิพย์ และย้อน
    กลับขึ้นไปถึงฌาน ๓ มันถึงจะเกิด
    ตรงนี้ เป็นวิธีการที่ยากสุด
    ที่ส่วนตัวเห็นจะเป็น พระสงฆ์ครับ
    ๒.ฝึกกสิณ ในด้านพลังงาน จนใช้งานได้ก่อน
    ไปซักระยะหนึ่ง อาจจะปี ถึง ๒ ปีเป็นอย่างน้อย
    (ใช้งานคือ ทำให้เกิดผลได้ ในเวลาปกติครับ)
    แล้วมาทิ้งมันและมาทางด้านปัญญา
    มันจะมีพัฒนาจนไปถึงระดับเล่นแร่แปรธาตุได้เอง
    ขึ้นอยู่กับ ระดับกิเลสในใจเราล้วนๆ ว่าคลายการ
    ยึดเกาะภายนอกได้มากน้อยแค่ไหน

    ส่วนการเข้าถึงอารมย์กสิณ
    นั่นคือหลักการทางพุทธฯครับ
    เหมาะทางด้านปัญญา
    ทางปฏิบัติ เข้าถึงอารมย์ได้คือสำเร็จ
    ไม่ใช่ใช้งานได้นะครับ.....
    เช่น นาย ก ใช้กสิณได้ ๑๐ กอง
    แต่ถ้ายังเข้าไม่ถึงอารมย์คือ ไม่สำเร็จ

    (เข้าถึงอารมย์คือ คุณจะต้องย้อนรู้ได้ว่า
    มันเกิดจากอะไรครับ ยกตัวอย่าง บางกอง
    เช่น กสิณน้ำ เกิดจากอนุภาคที่ ต่างกันที่ไม่เข้าพวกกัน ไฟเกิดจากอนุภาคที่มันเสียด
    สีกัน เล่าพอให้เห็นภาพนะครับ ไม่ใช่รู้สึกว่า
    ตัวเย็นเหมือนน้ำ นี่มันเป็นส่วนการใช้งานครับ
    แต่ถ้าน้ำมันเย็น มันเหลว มันไหล เป็นเส้นทาง
    ไปสู่การรู้ต้นกำเนิดมันครับ พอเห็นอะไรๆเพิ่ม
    นะครับ)


    สมาธิที่แท้จริง จะเป็นสมาธิที่เข้าได้เอง เป็นเอง
    ตามธรรมชาติ โดยไม่ใช้ความชำนาญ หรือ วิธีการ
    ใดๆในการเข้า มันเป็นผลมาจากด้านปัญญาครับ


    ประโยคที่ขีดเส้นใต้ คือ คุณพูดเองเนาะ
    ดังนั้น อย่าพึ่งสนใจเลยนะครับ...

    เครเนาะ......^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...