ที่สุดของศาสนาพุทธคือความว่างเปล่า

คุยด้วยใจไง
ทำไมไม่รู้เรื่อง..

ใจว่างเปล่า...()

 

หึย์

 

คนมารอดูคนบ้าเยอะหน่าฮับ55

 

หึย อะไร ถ้าใจว่างเปล่าจริง
มันต้องสื่อสารทางใจ ได้สิ..ที่เขาเรียกโทรจิตไง..อย่าเซาะกราว

อ้อโทรใจ ดีกว่า ดีกว่าโทรจิต

 

รอองค์ธรรมมิกราชไง...เห็นแว้บๆ
จะเสวนา ภาษาเทพ จั๊กหน่อย..

 

อูนาตัมปิ๊ก อน โตรย...อนโตรย..
อันดูวา เอตาปันตา ปูเรนะ อันโต

อูวาเร อูวาเร

 

ทูนา เทพาอนโตรย อะรูวา เซเด.
อันดูวา คาเรนะ อนโตรย

 

ลุงแมว กดไลค์นี่ เข้าใจเหรอ.?

 

มีเพื่อนเคยพูดให้ฟังแต่
ไม่เคยเข้าใจฮับ

 

มันบินออกมาจากจอมือถือได้ใช่ป่ะ ระวังยุงผีนะบินทะลุมุ้งได้ ผมยังโดนมันก่อกวนเลยเพราะย้ายข้างมาก

 

ยุงผีที่ไหน...นั่นมันสปายของมนุษย์ต่างดาว
มันเป็นผู้นำสาร ขโมยข้อมูล ..แอบแลกเปลี่ยนข้อมูล ไส่ความฝัน
ทำให้เราฝัน เป็นเรื่องราวต่างๆ ไง..ฉีดน้ำยาอุปทาน
ทำให้ท่านซุปสติแตก จนต้องหาที่พึ่ง ไปเป็นเบ๊ พวกมันไง
ระวังให้ดีล่ะ ยาฉีดกันยุง มันก็ไม่ตาย

 

บอกให้ท่อง...(สัพเพ จิตตัง อนัตตา)..สลายจิตเหล่านั้น
นี่คาถา ..สลายจิต เลยนะ

 

ส่วนลุงดิบกล้วย..ให้ท่อง..(สัพเพ มโนโลเก อนัตตา)..คาถาสลายใจ...
สลายใจที่มันแสลง..

 

ความว่างเปล่า..กับ ความเหงา..ปนความเศร้า ในใจเรา คุ้นเคยกับการมีเขา
จึงเหลือเพียงเรา กับความสับสนในใจ...

ชีวิตหนึ่งกับความฝัน ฉันก็ยังฝันในใจ..ซักวันหนึ่งสิ่งที่ฝัน จะหวนคืนวัน
กลับเป็นดั่ง กำลังใจ...

ไม่เป็นไร..มาเริ่มกันใหม่..จะไม่ยอมให้วันใด ปล่อยให้ใจ ฉันต้องขาดเธอ
จะผูกพัน สองเรา ให้เป็นหนึ่งเดียว

เพราะเรานั้น..คู่กัน

 

เนื้อธาตุ อวกาศนี้ (Dark Matter) เป็น "สนามพลังงานที่ละเอียดอ่อนมาก" ที่เป็นความมีที่เหมือนไม่มี เป็นยิ่งกว่าอนัตตาซึ่งดำรงอยู่ในมิติที่สูงกว่า มันก็คือ แก่นแท้ของสรรพสิ่งเป็นอนัตตา (หรือแก่นแท้ของความว่าง) ที่ลึกละเอียดลงไปอีกมิติหนึ่ง

ก็คือ เป็นสนามพลังงานนี้แหละค่ะ ที่มีอนุภาคของคลื่นความถี่สูง ๆ และละเอียดอ่อนมาก มันเป็นความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า มันเป็นอณาเขตหรือบริเวณสนามพลังงานที่ยังมีบางสรรพสิ่งดำรงอยู่ แต่เป็นความมีที่เหมือนไม่มี เพราะว่าถ้าหากว่าพลังงานที่มีแต่ความว่างเปล่าจริงคือไม่มีอะไรอยู่ในสนามนี้เลย รูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลอย่างหนึ่งย่อมจะอุบัติขึ้นมา และดำรงอยู่นี้ จะเป็นความว่างเปล่าจนไม่มีอะไรมิได้เป็นแน่แท้

สนามพลังงานนี้จึงเป็นสนามพลังงานสากล ที่ท่านธรรม-ชาติ เรียกว่า "เนื้ออวกาศทั้งหมด"


แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา (แก่นแท้ของความว่าง) ก็คือ สนามพลังงานสากล เปรียบแล้วก็คือ เนื้ออวกาศทั้งหมด มีรูปธรรมทางพลังงานที่มีความสมดุลในตนเองอุบัติขึ้นมาจากแก่นแท้ของความว่างนี้เอง (จิตจักรวาลดวงใหญ่)

ในสนามพลังงานสากลอันเป็นสถานที่สิ่งหนึ่งก่อนจะอุบัติขึ้นมา มันจะมีแก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตาซึ่งมีความเล็กละอียดอย่างยิ่งยวดดำรงอยู่ทั่วไปหมด ไม่ต่างไปจากมวลหยาบ ๆ ที่เล็กละเอียดของเม็ดทรายที่แขวนลอยอยู่กับโมเลกุลของน้ำในแก้ว หรือฝุ่นผงที่ลอยอยู่ในอากาศนั่นเอง เพียงแต่ว่าขอบเขตสนามพลังงานมันกว้างใหญ่ไพศาลจนหาที่สุดมิได้

สนามพลังงานสากลที่ว่านี้ จะมีคลื่นความถี่อันเกิดจากอนุภาคของคลื่นที่เล็กละเอียดยิ่งกว่าคลื่นความถี่ทางพลังงานใด ๆ ในเอกภพอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วนโดยต่างลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่และเคลื่อนไหลตาม ๆ กันไปในทิศทางเดียวกัน โดยพากันหมุนวนเข้าหาจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากลอันไพศาลนี้เรื่อยไป นานเท่าใดมิอาจรู้ได้ ผลลัพธ์จาการหมุนวนของคลื่นพลังงานเข้าหาจุดศูนย์กลาง มันต่างก็ได้นำพาเอา แก่นแท้ของสรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา (แก่นแท้ของความว่าง) ที่ติดไปกับคลื่นความถี่ต่าง ๆ ซึ่งทะยอยเข้าไปรวมตัวกันตรงจุดศูนน์กลางในการหมุนวนของสนามพลังงานสากงดังกล่าวนี้ในลักษณะของการสั่งสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายการตกผลึกหรือตกตะกอนนั่นเอง จนถึงจุดหนึ่งที่เกิดความลงตัวอย่างเหมาะสมแล้ว การสร้างความมีอัตตาตัวตนเกิดเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลก็อบุติขึ้นมาในที่สุด และรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุลนี้ มีคุณสมบัติ "มหาสุญญตา" จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่งตั้งแต่มิติอนัตตาไปจนถึงมิติที่มีอัตตา

คุณสมบัติมหาสุญญตา ที่เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่สมดุล เป็นรูปธรรมที่เป็นแก่นแท้อนัตตา เพราะเป็นศูนย์รวมของแก่นแท้ของความเป็นอนัตตารูปธรรมเดียว

ทีนี้จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่สามส่วน....

1.สนามพลังงานสากล เป็นสนามพลังงานแต่เดิมที่มีอยู่ก่อนที่จิตจักรวาลดวงใหญ่จะอุบัติขึ้น มันเคยเหวี่ยงหมุนบนจุดศูนย์กลางการหมุนวนของสนามพลังงานสากลนี้อย่างไรมันก็ยังคงเหวี่ยงหมุนดังเดิมโดยมิได้หยุดการเหวี่ยงหมุน มิได้หมุนช้าลง หรือว่าหมุนเร็วยึ้นแต่อย่างใด มันยังคงเหวี่ยงหมุนไปในทิศทางเดิมด้วยอัตราเร็วคงที่ตามความเร็วในการเหวี่ยงหมุนเหมือนเดิม

2.รูปธรรมทางพลังงานที่เกิดจากแก่นแท้ของความว่าง ที่มีคุณสมบัติมหาสุญญตา ที่อุบัติขึ้นครั้งแรกและมีคุณสมบัติเดียวกันกับสนามพลังงานสากล เพราะเกิดจากแก่นแท้ของความว่าง อย่างไรก็เป็นคุณสมบัติมหาสุญญตา

3.คลื่นอนัตตา ที่สร้างความมีอัตตาตัวตนขึ้นมา และม้วนพลังงานเร้นตนเองอยู่ข้างในอัตตาตัวตนนั้น

แล้วสภาวะนิพพานคือส่วนใด ระหว่างในสองสิ่งนี้...คือ....

ข้อ 1 คือ สนามพลังงานสากลที่อยู่นอกระบบเอกภพ หรือ แดนสุญญตา นั่นเอง

ข้อ 2 และ ข้อ 3 คือ จิตจักรวาลที่อยู่ในระบบเอกภพ

หรือ .......

ข้อ 2 (จิตจักรวาลดวงใหญ่) ที่มีคุณสมบัติมหาสุญญตา คือ แดนสุญญตา ที่อยู่นอกระบบเอกภพ

และ ข้อ 3 คือ คลื่นอนัตตาที่สร้างอัตตาขึ้นมา แล้วเกิดหลุมดำที่เป็นเขตแบ่งนอกระบบเอกภพ และในเอกภพคือ กาแล๊กซี่ทางช้างเผือก นะค่ะ

ท่านธรรมชาติคิดว่าอย่างไรคะ?

 

แก่นแท้ของอนัตตา ไม่ไช่สนามแม่เหล็ก
และความว่าง ถ้าเป็นอนัตตา ก็ไม่ไช่สนามแม่เหล็ก
ดังนั้น ความว่างในอะตอม ความว่างระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบ จึงเป็นความว่างที่ไม่ไช่อนัตตา

 

ในสนามพลังงานสากลที่ว่า มันคือจิตจักรวาล มัน ไม่ไช่อนัตตา..สิ่งที่พูดถึงนี่แหล่ะ ที่สร้างให้เกิดมีนั่นมีนี่ มันคือ จักรวาลมันคือโลกวัฏฏะ
มันภพภูมิที่มองไม่เห็น..มันไม่ไช่อนัตตา มันคือปัจจัยคือแหล่ง คือสะสารคือแหล่งพลังงาน ที่ทำให้เกิดอัตตา....มันไม่ไช่อนัตตา

 

เราเป็นร่างทดลองต่างดาวรึนี่ รู้ได้ไงว่าผมฝันซุปเปอร์โบรี่ นายก็เป็นต่างดาวด้วยรึ

 

เราลองพิจารณาความหมายนี้ดูอีกครั้งก็ได้ค่ะ

นิพพานคือการหลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา ซึ่งแสดงออกในรูปของโลภะ โทสะ และโมหะ

นิพพาน หมายถึงความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องผูกพันร้อยรัดทั้งปวง ซึ่งเรียกว่าเป็นความทุกข์

คำว่า นิพพาน หรือ นิรวาณ ในภาษาสันสกฤต มาจาก 2 บทคือ นิสฺ (ไม่มี)+วาณ (เครื่องร้อยรัด) ประกอบกัน จึงแปลว่าไม่มีเครื่องร้อยรัด อีกนัยหนึ่งว่ามาจาก นิสฺ (ออก)+วา (พัดแล้ว) จึงแปลว่าพัดออกแล้ว หมายถึงความดับ

ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ธาตุสูตร พระพุทธเจ้ากล่าวถึงนิพพานธาตุ 2 ประเภท[4] คือ

1. สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานโดยที่อินทรีย์ 5 ยังคงอยู่ จึงยังเสวยสุขและทุกข์อยู่เมื่อประสบกับประสบอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์
2. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานทั้งดับภพและเวทนาได้สิ้นเชิงแล้ว

ในพระวินัยปิฎก ปริวาร สมุฏฐานสีสสังเขป ระบุว่า อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา(สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา)[5]

นิพพานก็อยู่ใน อริยสัจ 4 ด้วย คือเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา ได้แก่ อริยสัจข้อ 3 ที่เรียกว่า "นิโรธ" คำว่านิโรธนี้เป็น ไวพจน์ คือใช้แทนกันได้กับ "นิพพาน" พระไตรปิฎกเล่ม 31 ระบุว่าอริยสัจ 4 ทั้งหมดซึ่งรวมทั้งนิโรธ คือนิพพาน ด้วยนั้น เป็นอนัตตา ดังนี้ อนตฺตฏฺเฐน จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฏิเวธานิ . . . นิโรธสฺส นิโรธฏฺโฐ อนตฺตฏฺโฐ. (ขุ.ปฏิ. 31/546/450) แปลว่า: "สัจจะทั้ง 4 ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) มีการตรัสรู้ด้วยกันเป็นอันเดียว ( คือด้วยมรรค ญาณเดียวกัน ) โดยความหมายว่าเป็นอนัตตา . . . นิโรธมีความหมายว่าดับ ( ทุกข์ ) ก็มีความหมายว่า เป็นอนัตตา "

ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรคระบุว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" และในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาตมีระบุว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ซึ่ง "ธรรม" ในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายต่อว่า "หมายรวมถึงนิพพานด้วย" นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกอีกหลายแห่งทั้งที่ระบุโดยตรงและโดยอ้อมที่มีนัยบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"

 

1สนามพลังงานสากล ไม่ไช่ ของที่มีอยู่เดิม
2. มหาสุญตาไม่ไช่แก่นแท้ของความว่าง
3.อนัตตา ไม่ไช่คลื่น....ไม่ไช่สนามพลัง

สนามพลังงานสากลหรือแดนสุญตา ไม่ไช่นิพพาน
จิตจักรวาลดวงใหญ่ที่เป็นมหาสุญตา ไม่ไช่นิพพาน
คลื่นอนัตตาไม่มี อนัตตา ไม่สร้าง อัตตา

นางเดรัดสาน..คนละยำ