ที่สุดของศาสนาพุทธคือความว่างเปล่า

เป็นความลับ ที่รู้ได้ เฉพาะตน..

 

ฉันพูด มาหลายรอบแล้วว่า ที่แกยกมาน่ะ...ถูกต้อง

แต่มันมาผิดตรงที่แก ดัน ไม่เข้าใจ แล้ว ตีความผิด เลย เข้าใจในความหมายผิด เพราะแกเองก็ยังทำไม่ได้...นั่นเอง

แกเข้าใจตีความผิดหมดแหล่ะ
แกว่ามรรคญาณคืออันเดียวกัน นี่ก็ผิด
มรรคของแกคือ 1 บวก 1 เท่ากับ 2
( 1 บวก1 เป็นมรรค) ( 2 เป็นผลคือ ญาณ) ไช่มั้ยที่แกเข้าใจ..มันเลยเป็น ผลที่ แกยึดมั่นถือมั่นได้ไง

ส่วนมรรคของพระพุทธเจ้าคือ
(1 ลบ 1 เท่ากับ 0 ) ( 1 ลบ 1 คือมรรค) (0 คือผล คือญาณ)

ดังนั้นมรรคแก กับมรรคของพระพุทธเจ้าจึงไม่เหมือนกัน
ผลหรือญาณ จึงไม่เหมือนที่แกคิดและเข้าใจ

มรรคของพระพุทธเจ้า เพื่อลด เพื่อละ เพื่อวาง เพื่อไม่มี ไม่เป็น

แต่มรรคของแก มันเพื่อมี เพื่อเป็น เพื่อความยึดมั่นถือมั่น

 

สนามพลังงานสากลนี้ เป็นคลื่นอนุภาค เป็นคลื่นความถี่ที่เล็กยิ่งกว่าอณู หากสนามพลังงานสกาลนี้ ถ้าไม่มีคลื่นความถี่ คือ เป็นความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรเลย จะไม่มีสิ่งใดอุบัติขึ้นมาได้ค่ะ แต่ว่าสนามพลังงานสากลนี้ เป็นความมีที่เหมือนไม่มี คือ ความว่างที่มิใช่ความว่างเปล่า มีคลื่นอนุภาคสั่นสะเทือน ที่เปรียบเสมือนมีลม แต่ลมมิได้พัดไหว เลยไม่แสดงสิ่งใด ๆ ให้เห็นว่ามีอยู่นะค่ะ

สนามพลังงานสากลนี้เป็นยิ่งกว่าอนัตตาค่ะ ที่เล็กละเอียดอย่างยิ่งยวดลึกลงไปในอีกมิติหนึ่ง สนามพลังงานสากลนี้จึงเป็นคลื่นพลังงาน มิได้ว่างเปล่าแน่ ๆ ค่ะ

 

นิสวาณ ..ไม่มีเครื่องร้อยรัด

แล้วแกรู้หรือยังว่า ไม่มีเครื่องร้อยรัด เป็นยังไง

อะไรคือเครื่องร้อยรัด.?
อะไรที่ถูกร้อยรัด?
เครื่องร้อยรัดมาจากไหน.?

 

ผมว่าจิตยิ้มรวน

สภาพเหมือนในหัวผมตอนนี้เลย พลังงานหมุนวนต่อเนื่อง น่าจะคือจักรวาลน้อยตามบทสวดมนต์ มันคืออะไรเหรอ คิดฝันแทบตายไม่เห็นมีผลต่อจักรวาลจริง รึมันเป็นเรื่องของกัปอะ ต้องจบกัปนี้ก่อนอะ

 

บอกแล้วไงว่า อนัตตา แกก็ยังไม่เข้าใจ ว่า อนัตตาคืออะไร แกก็ตีความหมายผิดๆอีก.. สนามพลังงานสากล จะมายิ่งกว่าอนัตตาได้ไง
สนามพลังงานสากลนั่นแหล่ะ แดนของวัฏกะ.. อนัตตาน่ะ มันอยู่นอกแดนนี้
ทุกอัตตา ทุกสนามพลังงาน มันคือเนื้อสะสารคือธาตุ คืออัตตา
ที่ทั้งหมด ล้วนแขวนลอย อยู่ใน ความอนัตตา ทั้งนั้น ..อนัตตาคลุมเอาไว้หมดแล้ว ทุกสนาม ทุกภพภูมิ ทุกอัตตา

 

มันมีคำตอบอยู่ค่ะ

ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนี้ ล้วนต้องหมุนรอบตนเองเพื่อสร้างความสมดุล หากหยุดหมุนเมื่อใดทุกสรรพสิ่งจะแตกสลายกระจัดกระจายไปดำรงอยู่ไม่ได้ค่ะ และการหมุนวนรอบตนเองก็เป็นการสร้างพลังอำนาจให้แก่ตนเองค่ะ เท่าจิตยิ้มเข้าใจนะค่ะ

ลองระลึกดูก็ได้นะคะ ยามใดที่จิตมีความสุขสงบ พลังงานตรงกลางหน้าอกจะนิ่งและสัดส่ายน้อยมาก บางท่านอาจนิ่งมากจนเหมือนไม่มีอะไรเลยค่ะ แต่บางคนมีอารมณ์กิเลสตัณหามากเสียจนเกิดการเสียสมดุล การเหวี่ยงหมุนกลางหน้าอกแบบจะกระเด็นกระดอนเหมือนจะหลุดออกจากเบ้าเลยล่ะค่ะ

ทุกสรรพสิ่งจึงต้องมีการเหวี่ยงหมุนเพื่อรักษาความสมดุลเอาและ และเหวี่ยงหมุนเพื่อสร้างพลังอำนาจให้ตนเองค่ะ

 

ทุกสนาม ทุกอัตตา จึงเหมือนมันไม่เที่ยง มันบดบัง อนัตตาอยู่ บดบังนิพพานอยู่...

อัตตามันเคลื่อนอยู่ สนามพลังมันบดบังอยู่ มายามันหลอกลวงอยู่ ภาพที่เห็นมันลวงตาอยู่ ..

 

ไม่ใช่ค่ะ สิ่งที่กล่าวไว้เป็นคำขององค์ธรรมมิกราชาค่ะ

 

กัปนี้พระเจ้าดุมาก พระพุทธเจ้าก็ไม่แสดงความแมนเลย ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น ซาตานคุมโลกนี้แล้วอย่างลับๆ ผมจำฝันก่อนจบกัปไม่ได้แล้วแต่เห็นมีโลกใบที่ 2 แค่นั้น ความหวังสุดท้ายของมวลมนุสยชาติ

 

อ้อทสรุปว่า...แกไม่ได้พูด แกไม่รู้ ไม่ชี้ แกก็ไม่เข้าใจ
แกแค่ เอามา เล่า..งั้นเหรอ..นาง ดอ ออ กอ

 

โรคจิตวิปลาส..

 

ไม่ใช่ค่ะ อวิชชาเกิดจากการรับรู้ผัสสะทางอายตนะแล้วยึดถือเป็นตัวตนที่แท้จริง ปล่อยวางความยึดมั่นทั้งหมดก็หลุดพ้นค่ะ

 

เอาข้อมูลมาจากไหน หนังสือ ในเน็ต ปากพระอรหันต์

 

อายตนะที่แกมี มันเกิดมาได้ยังไง...

 

องค์ไง องค์จิดทำมิกกะราด โรคจิดเหมือนกันเลย

 

แล้วจะให้ผมฝันทำไม รู้รึยังว่าฝันคืออะไร

 

มาจากไหนก็ จงกลับไปที่นั่นซะนะ

อันโต วารานะ กามันตระ โอนนิวายังกริน นะระกะ เซนวา

 

รู้สิ...ถ้าฝึกจิตมาดี ถูกทาง ก็จะไม่หลงไปกับมันไง..

มันก็ให้คำตอบ กับตัวเอง ได้นี่..

 

จากการพบธรรมโลกุตระ จากการหยั่งรู้และการล่วงรู้ความจริง และจากการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิก และหนังสือด้วยค่ะ และคำพุทธทำนายที่แสงสว่างจะส่องลงมาอีกครั้งในกึ่งพุทธกาล และจากที่ได้เรียนรู้จากพระโพธิสัตว์หลาย ๆ พระองค์ทั้งการฟังและจากอินเตอร์หลาย ๆ ท่านเลยค่ะ