ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    มรดกธรรม

    FB_IMG_1549877344355.jpg
     
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องฤกษ์ผานาที มีความสำคัญมาแต่โบราณกาล ปัจจุบันมักอ้างเอาฤกษ์สะดวก

    ในฐาณะที่เป็นศิษย์วัดท่าซุงคนหนึ่ง ขอเชิญชวนให้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมนี้ไว้ต่อไปครับ

    ฤกษ์พรหมประสิทธิ์

    สมัย ก่อนหลวงพ่อฤๅษีท่านต้องไปเทศน์จังหวัดนั้นบ้าง จังหวัดนี้บ้าง ถ้าทางน้ำก็แจวเรือไป ทางบกถ้ามีเกวียน ก็นั่งเกวียน ถ้าไม่มีก็เดินไป หรือบางทีก็นั่งเรือไป แล้วก็เดินตัดทุ่งไป ปรากฏว่าเส้นทางที่ท่านไปเทศน์ที่อ่างทอง มันจะต้องผ่านเพิงขายกล้วยทอดกล้วยแขก ท่านบอกว่าปีแรกผ่านไปตรงนั้นก็ไปขอน้ำเขาฉัน "โยมขอน้ำหน่อย" โยมเขาก็เอาน้ำมาถวาย ปีรุ่งขึ้นก็คืออีกปีหนึ่งถัดไป เพิงกล้วยแขกกลายเป็นตึกสองคูหา ขายกล้วยแขกผสมขายยาบ้าหรือไรมันรวยได้ขนาดนั้น

    ไปถามโยมว่าโยมทำอะไรถึงรวยขนาดนี้ โยมบอกว่า ได้ฤกษ์เศรษฐีมาจากหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อก็สอบถามจนมั่นใจพอรู้ว่าหลวงพ่ออะไร อยู่วัดไหนก็ตามไป (อันนี้อาตมาไม่ได้ถามรายละเอียด) ตามไปเจอหลวงพ่อองค์นั้น หลวงพ่อฤๅษีก็ถามว่าท่านได้ฤกษ์นี้มาจากไหน ขอศึกษาตำรานี้ด้วยได้ไหม หลวงพ่อองค์นั้นบอกว่า ผมไม่หวงหรอก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันฤกษ์นี้มันมีที่มายังไง ว่าแล้วก็ไปงัดตำรามาให้เป็นใบลานแผ่นเดียว มีอยู่แผ่นเดียว ข้างหน้าวันหนึ่ง ข้างหลังวันหนึ่ง แสดงว่าเขาเขียนหน้าละวัน แล้วหลวงพ่อท่านนั้นได้มาแค่นั้น หลวงพ่อฤๅษีท่านก็เลยขอจดทั้งหมด แล้วก็เลิกรับกิจนิมนต์จนกว่าจะหาฤกษ์นี้ที่เหลือเจอ

    หลวงพ่อฤๅษีท่านเข้ามาหอสมุดแห่งชาติค้นกันหูดับตับไหม้จนกระทั่งเจอแล้วท่านก็เอามาบอกต่อพวกเราท่านบอกว่าฤกษ์นี้ถ้าเอาไปทำงานทำการอะไรก็ตามจะมีความเจริญคล่องตัวมาก เรียกว่า ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ก็คือพระพรหมท่านให้มา

    แต่ คราวนี้ตอนที่หลวงพ่อบอกพวกเรานั้น ท่านบอกไม่ครบ นิสัยหลวงพ่อท่านเป็นคนช่างค้นคว้า หลวงพ่อท่านเรียนหนังสือนักธรรมตรี คนอื่นอ่านหนังสือแค่ ๔ เล่ม ได้แก่ เรียงความแก้กระทู้ธรรม ธรรมวิภาค พุทธประวัติ และพระวินัย แต่หลวงพ่ออ่านหนังสือครึ่งห้อง !!! ท่านบอกว่าตำรามันอ้างอิงเล่มไหน ท่านไปค้นอ่านจนหมด

    ใน เมื่อท่านชอบค้นคว้าขนาดนั้นท่านก็ค้นจนเจอ แต่ตอนบอกลูกศิษย์ท่านบอกไม่ครบ ท่านอยากรู้ว่ามีลูกศิษย์คนไหนมันจะชอบสงสัยค้นคว้าบ้าง แต่ปรากฏว่าทุกคนให้ความเคารพและไว้วางใจหลวงพ่อมาก ให้เท่าไหร่กูใช้แค่นั้น !!!อาตมาเองแรกๆก็สงสัยเหมือนกันมันมีฤกษ์หนึ่งหลวงพ่อท่านให้ฤกษ์๑๔ ค่ำวันศุกร์ อาตมาไปค้นดูแล้ว เขาเรียกว่า ฤกษ์วันสมตน แปลว่าเสมอตัว ทำแล้วไม่ดีไม่ชั่ว เจ๊ากันไป

    กราบ เรียนถามหลวงพ่อว่า ทำไมให้ฤกษ์นี้เขาไป หลวงพ่อบอกว่าบุญมันมีแค่นั้น ถามว่าแล้วให้ที่ดี ๆ ไปเลยไม่ได้หรือ ท่านบอกว่าถ้าเกินบุญมันจะแย่ ก็สงสัยว่าแย่อย่างไรครับของดี ท่านบอกว่าเหมือนเราแบกข้าวสารได้ถังหนึ่ง แล้วเขาโยนมาให้กระสอบหนึ่ง

    หลวงพ่อก็สั่งไว้ด้วยว่าวันเสาร์ขึ้น๕ค่ำห้ามทำการมงคลใดๆทั้งสิ้น ตายละหว่า...แล้ววันเสาร์ที่เป็นวันลาภวันชัยมันจะไปทำมาหากินอะไร ในเมื่อพ่อค้นได้ ก็เอาบ้าง อาตมาก็ค้นจนเจอ ถึงได้ทราบว่าในแต่ละฤกษ์นั้น มันจะมีสิทธิโชค มหาสิทธิโชค อมฤตโชค ราชาโชค

    แล้วก็จะมีพวกสมตนกาลกิณีเมื่อสรุปลงมาอย่างน้อยวันหนึ่งต้องมี ๓ ฤกษ์ ก็คือ สิทธิโชค มหาสิทธิโชค อมฤตโชค ฤกษ์เหล่านี้จะให้ผลในด้านดีเท่านั้นส่วนวันห้ามต่าง ๆ ขอให้จำไว้ด้วยว่า ถ้าขึ้นบ้านใหม่ให้เว้นวันอาทิตย์โบราณถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันร้อน ขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่เขาใช้ฤกษ์วันศุกร์เดือนคู่ คือ เดือนยี่ เดือน ๔ เดือน ๖ เดือน ๘ ข้างขึ้น เดือน ๑๒ เดือน ๘ กับ เดือน ๑๐ ข้างแรมเขาไม่นิยมใช้เพราะถือว่าอยู่ในพรรษา

    ถ้าหากว่าแต่งงานให้เว้นวันพฤหัสกับวันเสาร์ฤกษ์พวกนี้หลวงพ่อไม่ได้เจาะจงแต่อาตมาเป็นคนช่างจดและก็ช่างจำหลวงพ่อบอกอะไรจะจดไว้หมดท่านบอกว่าแต่งงานวันพฤหัสฯไม่เกิน ๓ ปี เลิกกันแน่ ถ้าแต่งงานวันเสาร์ชีวิตจะมีรสชาติมากทะเลาะกันทุกวัน ให้เปลี่ยนไปแต่งวันอื่นซะ

    ถ้าหากว่าจะออกรถออกเรือใหม่ให้ใช้ฤกษ์ออกวันพฤหัสแล้วเอาไปประเดิมวันอาทิตย์หรือ ว่าออกวันอาทิตย์แล้วเอาไปประเดิมวันพฤหัสอันใดอันหนึ่ง แต่อาตมานิยมให้ออกวันพฤหัสแล้วประเดิมวันอาทิตย์เพราะระยะเวลามันไม่ห่าง กัน ถ้าออกวันอาทิตย์กว่าจะถึงพฤหัสรอตั้ง ๕-๖ วัน

    วันเสาร์ ๕ ห้ามทำการมงคลใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นการพุทธาภิเษก

    วันศุกร์ขึ้น ๙ ค่ำ กับวันเสาร์ขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ เป็นฤกษ์สร้างโบสถ์โดยเฉพาะ อย่าเอาไปสร้างบ้านหรือทำสิ่งอื่น

    ฤกษ์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีชุดหนึ่งที่เรียกว่า ดิถิพิฆาตไม่ใช่ไม่ดีแต่ดีเกิน ไม่ควรใช้ หลวงพ่อบอกว่ามีหมอดูอยู่ท่านหนึ่ง อยู่บ้านโพธิ์นางดำ จังหวัดชัยนาท เอาฤกษ์สร้างบ้านวันศุกร์ขึ้น๙ค่ำ หลวงพ่อท่านเห็นก็เตือน บอกว่าฤกษ์นี้เขาใช้สร้างโบสถ์อย่าสร้างบ้านเลย นั่นก็รั้น มั่นใจตำรามัน มันบอกว่าในเมื่อดีขนาดสร้างโบสถ์ได้ ทำไมมันจะสร้างบ้านไม่ได้ หลวงพ่อบอกว่าถ้าโยมไม่เชื่อก็รอดูผลแล้วกัน เพราะว่าหลวงพ่อของฉัน (หลวงปู่ปาน) ว่ามาอย่างนี้ หมอดูท่านนั้นก็รับคำท้า

    ปรากฏว่าบ้าน หลังนั้นพอตั้งเสา ขึ้นเครื่องบนยังไม่ทันจะมุงหลังคา ท่านบอกว่าพายุมันมากวาดบ้านหลังนั้นไปหลังเดียว ไม่แตะที่อื่นเลย หมอดูรายนั้นถึงได้ยอมเชื่อ

    อาตมา อยากจะบอกกว่า พวกฤกษ์นี่ เหมือนกับการข้ามถนน ถ้าเราข้ามตอนรถว่างปลอดภัยแน่นอน แต่คนเก่ง ๆ รถมากก็ข้ามได้ เพียงแต่ประมาทไปหน่อย เผลอเมื่อไหร่มันจะโดนชนเดี้ยง ถ้ามันไม่เกินวิสัยนับถือฤกษ์ไว้หน่อยก็ดี

    ฤกษ์ ทั้งหลายเหล่านี้ที่หลวงพ่อท่านบอกท่านห้ามไว้ แปลว่าแต่ละอย่างท่านโดนมาจนเข็ดแล้ว ไม่อยากให้พวกเราไปทดลองด้วยตัวเอง ถ้าใครไม่เชื่อว่าหลวงพ่อโดนจนเข็ดแล้วอนุญาตให้ลองได้ เพราะว่าหลวงพ่อท่านชอบทดสอบมากกว่าพวกเราเยอะฤกษ์ทั้งหลายเหล่านี้พวกเราศึกษาไว้บ้างก็ดีเนื่องจากว่าถ้าอาตมาป๊อก!!! เงียบไป เราจะได้หาฤกษ์เป็น

    ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
    อาตมาจะเรียง อมฤตโชค สิทธิโชค และมหาสิทธิโชค
    วันอาทิตย์จะเป็นฤกษ์ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๑ ค่ำ
    วันจันทร์ ๓ ค่ำ ๕ ค่ำ ๑๒ ค่ำ
    วันอังคาร ๙ ค่ำ ๑๓ ค่ำ ๑๔ ค่ำ
    วันพุธ ๒ ค่ำ ๔ ค่ำ และ ๑๐ ค่ำ
    วันพฤหัส ๔ ค่ำ ๗ ค่ำ ๙ ค่ำ
    วันศุกร์ ๑ ค่ำ ๑๐ ค่ำ ๑๑ ค่ำ
    วันเสาร์ ๕ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๔ ค่ำ

    ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นข้างแรม ไปค้นคว้าหาเอาเอง เผื่อว่าอาตมาเบลอ

    อย่างปีนี้รีบ ๆ คิดปรากฏว่าพลาดไปครึ่งปี เลยต้องมาคิดวันใหม่ เนื่องจากว่าปีนี้เป็นปีประหลาด เขาเรียกอธิกวารมีวันเพิ่มก็คือเพิ่มวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ มา ถ้าหากว่าเป็นปกติจะไม่มีแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ เพราะว่าข้างแรมของเดือนที่เป็นเลขคี่ เดือนอ้าย เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๗ เดือน ๙ เดือน ๑๑ ปกติจะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำ เท่านั้นแต่ปีนี้เดือน๗มีแรม๑๕ค่ำเพิ่มมาวันหนึ่ง

    ถ้า หากว่าจะคิดตำราทั้งหลายเหล่านี้ ขยันเสร็จก็เอาอย่างอาตมา ก็ไล่ขึ้นแรมถ้าไม่ขยันก็ไปเปิด ปฏิทิน ๑๐๐ ปีหรือ ๑๕๐ ปี แต่ว่าเท่าที่อาตมาตรวจดูปฏิทินก็มีผิด เล่มที่น่าจะรอบคอบมากที่สุด คือปฏิทิน ๑๕๐ ปีของห้องโหรศรีมหาโพธิ์ ที่หน้าปกขาว ๆ และมีสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินอยู่ตรงกลาง

    ฤกษ์พรหมประสิทธิ์หรือว่าฤกษ์เศรษฐีของหลวงพ่อ ก็มีความเป็นมาและความเป็นไปด้วยประการฉะนี้

    ที่มา http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=48382
    และ จากเก็บตกที่บ้านอนุสาวรัย์ โดยหลวงพ่อเล็ก
    00_62.jpg 01_62.jpg 02_62.jpg 03_62.jpg 04_62.jpg 05_62.jpg 06_62.jpg 07_62.jpg 08_62.jpg 09_62.jpg 10_62.jpg 11_62.jpg 12_62.jpg total62_750.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2019
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    คาถาคุ้มกันภัย ก่อนออกจากบ้าน โดย หลวงพ่อโอภาสี
    กุมภาพันธ์ 12, 2019 - by admin - Leave a Comment
    %B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2.jpg

    http://www.billionnews99.com/archives/8829

    0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-Google.png
    หลวงพ่อโอภาสี เจ้าอาวาสวัดดัง วัดพุทธบูชาโดยหลวงพ่อโอภาสี ได้จากบทสวดมนต์เป็นบทสวดมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์

    สามารถส่งได้ทุกที่ ทุกเวลา ใครที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงที่ลำบาก แนะนำให้สวดบทนี้ได้เลย

    บทคาถาเจริญสมาธิภาวนา

    อะระหังพุทโธ เมตตาธัมโม สังโฆรักษา นะโมพุทธายะช่วยข้า ดินน้ำลมไฟ

    สร้างกายขึ้นมา บิดามารดา ชุบเลี้ยงอินทรีย์ ร่างกาย กายี ปะฐะพีเอาไป


    ใช้บูชา เจริญภาวนา ระลึกถึงพระพุทธคุณ และพระคุณของบิดามารดา อันหาที่สุดมิได้ เจริญภาวนาไว้ ทุกลมหายใจ

    เข้าออก ให้รู้สภาวะ รู้จักตัวตน ถึงซึ่งอนัตตา

    •••คาถาประจำตัวหลวงพ่อโอภาสี•••

    อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ

    ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง


    คาถานี้คือยอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา

    •••สวดอยู่กับบ้านป้องกันอัน ตร าย•••

    •••สวดก่อนออกจากบ้าน คุ้มกัน อันต รา ยตลอดการเดินทางไปต่างถิ่น•••

    •••สวดป้องกัน ภยันอัน ตรา ยต่าง ๆ จากเทวดา ภู ติ ปี ศา จ•••

    •••หรือเดินทางไปที่เปลี่ยว ให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย•••

    •••อานุภาพขอคาถา นี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว•••

    ที่มาของคาถาหลวงพ่อโอภาสี

    คาถาของท่านนี้แท้จริงแล้วก็คือคาถายอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมา ย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธานิยม

    ใช้สวด หากอยู่กับบ้านก็ใช้ป้องกันอันตรายที่จะเข้ามา…

    0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-Google.png

    0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-Google.png

    •••หากใช้สวดก่อนออกจากบ้านก็จะคุ้มกันภัยอันตรายตลอดการเดินทาง•••

    •••หากไปต่างถิ่นก็ใช้สวดป้องกันอันตรายต่างๆจากเหล่าภู ต ปี ศา จที่อาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรขัดขวาง•••

    •••เมื่อเดินทางไปที่เปลี่ยว ให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือบริเวณศาลเจ้าขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย•••

    •••คาถาของหลวงพ่อโอภาสีบทนี้ยังให้พุทธคุณในด้านความร่ำรวยเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก•••

    •••คนทำงาน คนที่ค้าขายสวดทุกครั้งที่เปิดร้านจุดธูปบอกเจ้าที่อธิษฐานให้ขายดีมีกำไร•••

    •••เดือดร้อนใจก็สวดอโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วย•••

    •••อธิษฐานสิ่งใดเทวดาท่านจะอนุเคราะห์สุดความสามารถ•••

    •••เจ้ากรรมนายเวรได้ยินจะยอม อโหสิกรรมให้•••

    •••และที่สำคัญอย่าลืมอุทิศบุญไปให้หลวงพ่อโอภาสีด้วยหลังจากการ สร้างบุญทุกครั้ง•••

    •••อานุภาพของคาถาหลวงพ่อโอภาสีนี้เชื่อกันว่าให้พุทธคุณกันแบบครอบจักรวาลเลยทีเดียว•••

    •••ขอให้ผู้ที่สวดตั้งใจ ให้ทาน รักษาศีลเป็นพื้นฐานอย่างมั่นคงแล้วการสวดมนต์ย่อมได้ผลช่วยเหลือคุ้มครอง และสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน•••

    พุทธคุณ

    •••ขอขมาพระรัตนตรัย แม่พระธรณี แม่พระคงคา เทวดาเจ้าที่•••

    •••ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย•••

    •••แม่ชีทศ พร เทวาพิทักษ์ธรรม บอกว่า คาถานี้เหมาะสำหรับคนขี้โกรธ ขี้โมโห เพื่อให้ดับความโกรธได้•••

    •••ภาวนาทุกครั้งที่นึกขึ้นมาได้ อย่างน้อยควร 2 ครั้ง คือ เมื่อตื่นนอนตอนเช้า และหลังสวดมนต์ก่อนนอน ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข•••

    •••คาถาปราบคุณไสย หลวงพ่อโอภาสี

    นิพพานะ สัมปัตโต ระโต โสสัตตะมะโน

    สัตตะโมจะโน สะมาเปตีธะ สัตเต โย สะมะทานัง

    นิพพานะ สัมปัตโต ระโต โส ปฏิจฐา โหตุ ปาณินัง•••


    •••เป็นพระคาถาที่หลวงปู่โอภาสีท่านใช้ในการปราบพวกคุณไสย•••

    •••บทแรกเป็นบทถอน•••

    •••บทหลังส่งกลับ พวกหมอทำคุณไสย•••

    •••ท่านได้ถ่ายทอดให้หลวงอาน้องชายท่าน ปรากฏผลดีมาก•••

    0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-Google.png

    ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ เจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูล…

    ขอขอบคุณ…นิตยสารโลกทิพย์

    ขอบคุณที่มา…www.postsara.com
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องเล่าจากพระอาจารย์

    #คาถากันฝน
    .
    ตอนที่ได้รับการทูลฟ้องว่า “ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามพระวินัย

    สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งยังเป็นที่ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ได้ขอออกธุดงค์กับพระอาจารย์กงมาเพียงสองต่อสอง และทรงขอร้องไม่ให้บอกผู้ใดว่าพระองค์เป็นใคร จากนั้นพระอาจารย์กงมาได้นำพาสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเคยออกธุดงค์มาแล้ว
    .
    วันหนึ่งได้ไปปักกลดพักอยู่ที่เชิงเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี เกิดลมพายุฝนตก กลดไม่สามารถป้องกันน้ำฝนได้ อนึ่ง การปักกลดของพระธุดงค์ก็ต้องอยู่ห่างกันพอสมควร สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเปียกปอนไปหมด ส่วนพระอาจารย์กงมาก็นั่งตากฝนแต่บริขารไม่เปียก เมื่อฝนหยุด ท่านก็ครองผ้าเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทำให้พระองค์เกิดความฉงน สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ จึงตรัสถามว่า ทำไมจึงไม่เปียก ได้รับคำตอบว่า มี “คาถาดี”
    .
    ภายหลังเสด็จกลับจากเดินธุดงค์สู่วัดทรายงาม จังหวัดจันทบุรีแล้ว พระองค์จึงตรัสถาม “สามเณรวิริยังค์ บุญฑีย์กุล (พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร)” จึงได้ทราบว่า เมื่อเวลาฝนตกพระองค์ต้องเก็บของทั้งหมดใส่ลงไปในบาตร แล้วปิดฝาบาตรให้สนิท ถึงตอนนี้ทำให้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเข้าใจชัดว่า คาถาดีป้องกันฝนได้นั้นคืออย่างนี้เอง
    .
    หลังจากธุดงค์หนึ่งอาทิตย์เศษ พระองค์ก็ตรัสว่า “การธุดงค์ของท่านกงมาและพระปฏิบัติกรรมฐานนี้ได้ประโยชน์เหลือหลาย อย่างนี้ธุดงค์มากๆ ก็จะทำให้พระศาสนาเจริญยิ่ง” นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงให้ความสนับสนุนคุ้มครอง และสรรเสริญพระอาจารย์กงมาโดยตลอด

    *********
    รูปภาพ(จากซ้าย) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต),
    พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ และพระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร
    FB_IMG_1550129728502.jpg
    ขอบคุณ เรื่องและภาพจาก
    เฟสบุ้คของ WatRachadham Ottawa Canada
     
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ผลัดกันไปงานอุปสมบท
    คราวนี้ ผมไปร่วมงานอุปสมบท ของหลวงตาม้า ที่วัดพุทไธสวรรค์ อย ครับ
    20190218_085926.jpg
     
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1550806777033.jpg

    “อีก ๑๐ ปี … ค่อยพบกัน”
    คือคำที่หลวงปู่ดู่…ได้พูดทิ้งท้ายไว้ให้กับลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่ง
    ก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่นาน

    เรื่องราวต่อไปนี้เป็น “กรณีศึกษา” ที่มีคุณค่าไม่น้อยเลยทีเดียว
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ทันเห็นสังขารขันธ์ของหลวงปู่
    ก็จะพอทำให้เห็นภาพปฏิปทาท่านชัดเจนขึ้น

    ลูกศิษย์หลวงปู่คนนี้ได้มาพบหลวงปู่
    และเกิดศรัทธาท่าน นับแต่ครั้งแรกที่เพื่อนพามากราบท่านที่วัดสะแก
    ถ้าว่าทางโลกก็ต้องเรียกว่า “รักแรกพบ” กันเลยทีเดียว

    คำพูดหลวงปู่ ที่ก้องกังวานอยู่ในใจเขาตลอดก็คือ “ภาวนาไป ๆ”
    ไม่ว่าจะมีปัญหาชีวิต หรือ ประสบอุปสรรคใด ๆ
    หลวงปู่ท่านก็ให้ “ภาวนา” ลูกเดียว
    ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว ที่ท่านจะบอกว่าให้ไป “สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม” อะไรเทือกนั้น

    เขาภาวนา…ที่บ้าน
    พอมาที่วัด หลวงปู่ก็มักให้เขา “รายงานผลการปฏิบัติ” ให้ท่านฟัง
    นัยว่า ให้เกิดความละอายใจ…หากขี้เกียจปฏิบัติ
    เพราะถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ก็ย่อมไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติ ที่จะมาสนทนากับท่านนั่นเอง
    เขาปฏิบัติก้าวหน้ามาเป็นลำดับ
    กระทั่งหลวงปู่ละสังขาร…จากเขาไป

    เขา และ ครอบครัว…ไม่เคยคิดเลยว่า “จะมีวันที่เขาลืมหลวงปู่ไปถึง ๑๐ ปี”
    ตรงตามที่หลวงปู่ได้พูดทิ้งท้าย…ก่อนมรณภาพ

    นับแต่หลวงปู่ได้มรณภาพไป
    ชีวิตครอบครัวของเขาพบอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย การค้าการขายก็ย่ำแย่
    พอมีคนมาทักว่า ถูกคุณไสย์
    เขาก็พากันไป “สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม”
    กลับมาดีขึ้นไม่ทันไร เดี๋ยวก็ฝันร้ายว่า…มีเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้อีก
    ก็ต้องไป “สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม” กันอีก

    ไปสะเดาะเคราะห์บางแห่ง ต้องทำบุญเทียนต้นละ ๔-๕ หมื่นบาทก็มี
    เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไปแก้คุณไสย์บางแห่ง ก็ถูกคุณไสย์ของใหม่เข้าให้อีก
    เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรมที่จังหวัดระยอง
    เทียวไปเทียวมาทุกสัปดาห์อยู่อย่างนี้ เป็นเวลาถึง ๑๐ ปีเต็ม

    “การปฏิบัติภาวนา” ไม่ต้องพูดถึง…เพราะ “ลืม” ไปสิ้น
    ในหัวสมองรู้แต่ว่า ต้องไป “สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม”
    และแล้วเมื่อย่างเข้าปีที่ ๑๐ ที่เขา “ลืมหลวงปู่” ไป
    …เหมือนอย่างศิษย์ไร้ครูอาจารย์ หรือ เหมือนลูกไร้พ่อแม่

    ณ ที่สำนักทรงแห่งหนึ่ง
    แทนที่คนทรงจะทำการรักษาเขา เหมือนที่รักษาให้คนอื่น
    คนทรงคนนั้น กลับด่าเขาว่า…
    “มีครูอาจารย์ดีอยู่แล้ว
    ท่านคอยตามดูแลและเป็นห่วง กลับไม่สำนึก กลับลืมท่านไปได้
    ให้รีบกลับไปขอขมาท่านเสีย”

    ศิษย์หลวงปู่ เมื่อได้ฟังคำด่านั้นแล้ว พลันนึกถึงหลวงปู่ขึ้นมา
    โอหนอ…เวลา “เวรกรรม” มันจะให้ผล มันปิดบังสติปัญญาเสียสิ้น
    ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่เตือนเขาไว้ว่า
    “อย่าทิ้งการปฏิบัติ
    อย่าทิ้งพุทธัง ธัมมัง สังฆัง
    ถ้าแกทิ้งพุทธัง ธัมมัง สังฆัง…ชีวิตแกจะลำบาก”

    ถึงขนาดนี้แล้ว…เขาก็ยังลืมไปได้

    นับแต่วันนั้น เขาได้เดินทางกลับมาวัดสะแกอีก
    และแม้บัดนี้ จะไม่ได้พบสังขารขันธ์ของหลวงปู่อีก
    แต่เขาก็เริ่ม “รื้อฟื้นการปฏิบัติธรรม” อีกครั้ง

    เขา “เพียรนั่งสมาธิภาวนา”…ทั้งที่บ้าน และ ที่วัด
    พอถึงวันพระ ก็รักษาศีลแปด
    ทำเช่นนี้ไม่นาน ฝันร้ายก็หายไป
    ธุรกิจของเขาก็กระเตื้องขึ้นเป็นลำดับ
    กระทั่งกลับมามี “ความสุข” ดังเดิม…อีกครั้ง

    การกลับมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ มันมีคุณค่าสำหรับชีวิตเขามาก
    และเขาเองก็เห็นคุณค่าแห่งการปฏิบัติ ด้วยประสบการณ์ผ่านชีวิตที่ลำเค็ญ
    เพราะ “ผลอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติ”… ดังที่หลวงปู่กล่าวเตือนไว้แล้ว

    เวลาประสบทุกข์ ประสบเคราะห์ใด ๆ
    คำหลวงปู่…จะก้องกังวานมาทันทีว่า… “ภาวนาไป ๆ”

    การปฏิบัตินี้แหล่ะ…ตัวสะเดาะเคราะห์แก้กรรมที่ได้ผลดีที่สุด

    และไม่ทำให้เขาตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ไม่ว่าพระ หรือ ฆราวาส
    เขาเล่าให้ฟังว่า เขาเที่ยวเดินทางไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรม เป็นเวลาถึง ๑๐ ปีเต็ม
    เสียเงินไปร่วมล้าน และมันก็ไม่จบไม่สิ้นสักที
    กระทั่งหลวงปู่ไป “ดลใจคนทรง” ให้กล่าวเตือนสติเขา

    เขาจึงระลึกถึง “หลวงปู่” ขึ้นมาได้
    พร้อมกับคำสอนหลวงปู่…ที่ให้สะเดาะเคราะห์แก้กรรม ด้วยการ “ปฏิบัติสมาธิภาวนา”

    ทุกยุคทุกสมัย พิธีการสะเดาะเคราะห์แก้กรรม ย่อมลวงคนโง่ให้ตกเป็นเหยื่อ
    บัดนี้ หลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าศิษย์ชั้นหลังจะได้รับทราบหรือไม่ว่า…
    หลวงปู่ไม่เคยส่งเสริมพิธีสะเดาะเคราะห์ใด ๆ เลย มีแต่…”ภาวนาไป ๆ”

    หากใครกล่าวอ้างว่า หลวงปู่ส่งเสริมสิ่งเหล่านี้
    ก็ให้รู้ว่า…เขากล่าวตู่คำสอนหลวงปู่ เขาขาดความเคารพในหลวงปู่
    และเขาอาจเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ต้องการทรัพย์จาก “คนที่ยังไม่มีหลักใจ”
    ให้ต้องมาเสียเงินเสียทอง สะเดาะเคราะห์แก้กรรม
    อันไม่ใช่ทางของการปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์ที่แท้จริง
    ตามแนวทางที่หลวงปู่กล่าวสอนแต่อย่างใดเลย

    *** จากบทความของ คุณสิทธิ์
    ขอบคุณเพจ พรหมปัญโญ หนุนดวง
     
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    “” ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒””
    น้อมรำลึกถึงวันครบรอบ ๔๒ ปี มรณภาพ
    หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค
    “””อุ อา อา นะเมตตา สังฆัง”””
    FB_IMG_1550909841168.jpg
     
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ฟังถึงการปลุกเสกหรืออธิษฐานวัตถุมงคลของท่านว่า นอกจากการมีพลังจิตจิตเเล้ว ที่ใช้อยู่เสมอคือบทสวดมนต์ตาม ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน ซึ่งท่านบอกว่าดีกว่าคาถาอาคมมากมาย เพราะเป็นเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น ไม่จัดเป็นเดรฉานวิชา บทที่ท่านทำทุกครั้งคือ บทพระพุทธเจ้าทรมานพญาชมพูบดี หรือที่เรียกว่าชมพูปติสูตรืซึ่งเเสดงถึงอำนาจบารมีของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูของมนุษย์เเละเทวดาทั้งปวง เเสดงถึงธรรมที่ชนะอธรรม ท่านเรียกบทนี้ว่า มหาจักรพรรดิ พญาชมพูทวีปเป็นจักรพรรดิมีอิทธิฤทธิ์มากเเต่พ่ายเเพ้บุญฤทธิ์ ในที่สุดก็ได้อุปสมบทได้เป็นพระอรหัตตผล หลวงพ่อปานได้กล่าวว่า ข้าเป็นคนโลภมากทำอะไรอยากทำให้ได้มากที่สุด ดีที่สุดเดียวนี้ใช้เเค่บทนี้เท่านั้น ใครนั่งคุมเวลาข้าเสก ข้าก็รู้เองเเหละว่าทำจิงหรือไม่ทำจิง ท่านเคยมีลูกศิษย์คนนึงเป็นพระ ต่อมาท่านไม่สามารถมาหาหลวงพ่ออีกเนื่องจากหลวงพ่อพูดว่า ยังไม่นิพพาน เพราะต้องโปรดคน เเต่องค์นี้ตีความหมายว่าพ่อพ่อหลวงพ่อยังติดอยู่กับลาภยศ ชื่อเสียง ซึ่งความจริงท่านมีเมตตาเเเละบอกความปรารถของท่านให้ทราบว่าท่านเป็โพธิสัตว์ผู้เขียนคัดลอกเกี่ยวกับบทชมพูปติสูตรหรือบทมหาจักรพรรดิมาลงไว้ เนื่องจากปัจุบันขาดผู้สนใจเห็นเป็นเรื่องเหลวไหล เเม้เเต่พระบางองค์ยังกล่าวว่า เกินความจริง โดยท่านลืมนึกถึงเรื่องอจินไตยคือสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะไม่สามารถนำเหตุผลทางโลกหรือทางทฤษฎี มาทำให้เกิดความกระจ่างได้ เป็นเรื่องผู้ปฎิบัติพึงได้รู้เอง ถ้า คิดมากอาจทำให้เป็นบ้าได้สิ่งนี้ได้เเก่

    ๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า เช่นทำไมท่านถึงตรัสรู้ได้ ? ท่านมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์จริงหรือ?
    ๒. วิสัยของกรรม เข่นทำไมคนนั้นคนนี้ถึงรวย จน สมบูรณ์ กำพรัา?
    ๓. วิสัยของพระอรหันต์ เช่นท่านหมดโลภ โกรธ หลง หรือ?
    ๔. วิสัยของโลก เช่นโลกเกิดมาได้อย่างไร?
    ๕. วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น ลักษณะทีสงบเป็นอย่างไร ? สงบจิงหรือไม? ท่านผู้อ่านทั้งหลายลองคิดดู พระเจ้าแผ่นดินที่เกิดมาภายใต้เศวตฉัตร ถ้าพระองค์ไม่มีบุญญาธิการแล้วท่านจะเป็นได้อย่างไร เพราะคนไทยมีเป็นสิบล้านแต่มีผู้ที่กษัตริย์มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ****เฟส หลวงปู่ดู่ อาจารย์ศุภรัตน์ หลวงตาม้า *** จากหนังสือกายสิทธิ์ยุคอภิญญา
    FB_IMG_1551237800635.jpg FB_IMG_1551237798410.jpg FB_IMG_1551237796066.jpg FB_IMG_1551237793290.jpg FB_IMG_1551237790828.jpg FB_IMG_1551237788503.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง (๖) โดย พระเล็ก

    ถ้าได้มีการบันทึกที่สุดของพระเกจิอาจารย์ ที่เข้าร่วมงานพุทธาภิเษกมากที่สุดในกินเนสบุ๊คล่ะก็ ผู้เขียนเชื่ออย่างเต็มร้อยเลยว่า "หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง" ท่านต้องติดอันดับหนึ่งแน่นอน เพราะจะปรากฏชื่อของท่านอยู่ในรายการพระเกจิที่เข้าร่วมพิธีปลุกเสกแทบทุกงานก็ว่าได้ ยิ่งพิธีสำคัญๆ ซึ่งเป็นพิธีใหญ่ หรือพิธีหลวงด้วยแล้ว จะขาดท่านเสียมิได้เลย ท่านมักจะไปร่วมปลุกเสกกับ "หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม." เสมอ โดยเฉพาะวัด หรือพิธีที่จัดในเขตภาคกลาง ภาคตะวันออก หากจะนิมนต์ท่านทั้งสององค์ ต้องนิมนต์ล่วงหน้าข้ามปีเลยทีเดียว

    ในพิธีที่วัดเตาถ่าน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกเสกที่นั่น เมื่อผู้คนรู้ข่าวก็พากันหลั่งไหลกันไปร่วมงานพิธีชนิดมืดฟ้ามัวดินเลยทีเดียว เพราะหลวงพ่อแพท่านเป็นมิ่งขวัญของทหารเรือทั้งกรมกอง ขณะเดียวกันก็มีทหารจี.ไอ. (ทหารอเมริกัน) ไปกราบ และรับของขวัญ คือ เหรียญรูปเหมือนของท่าน และด้วยปฏิปทา กิริยาที่ยิ้มเสมอ เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ศีลาจารวัตรที่หมดจดงดงาม พูดน้อย แต่พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่กลัวคนเกลียดปาก จึงเป็นที่ถูกใจ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาต่อผู้พบเห็น และได้เข้าไปกราบท่านยิ่งนัก

    หลวงพ่อหอม วัดชากหมากป่าเรไร อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พระเกจิชื่อดังในอดีตองค์หนึ่ง ซึ่งวงการพระเครื่องรู้จักกันดี และมักจะได้รับกิจนิมนต์ร่วมงานพิธีพุทธาภิเษกร่วมกับท่านหลายครั้ง ได้เล่ากิตติคุณของหลวงพ่อแพไว้ดังนี้

    "ลูกหลานจำไว้นะ พระองค์นั้นแหละ คือ พระมหาแพ ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ดี มีบารมีมาก มีดีในตัว เป็นพระภิกษุผู้ได้ของวิเศษจาก สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม นิสัยของท่านนั้นไม่หลงโลภ ท่านมีสติปัญญาเป็นผู้ริเริ่มนะ นี่ขนาดหลวงพ่อเอง ยังเอาแบบท่านไม่ได้" (ท่านเปรียบเทียบว่า แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังมีบารมีไม่เท่ากับหลวงพ่อแพ)

    "ท่านริเริ่มได้ดี เคยพบกันหลายครั้ง เคารพกันในจิตใจ อายุมากแล้ว ไปมาหาสู่กันไม่ค่อยไหว แต่ท่านก็เป็นพระที่ปล่อยวางได้ปกติ ท่านปรึกษาได้ ให้ความคิด และช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ พอพวกโยมกลับกัน ท่านก็ไปนั่งที่สบายๆ ของท่านอย่างเก่า"

    "ลูกหลานจำไว้ พระองค์นี้ไม่ชอบพูด ไม่ชอบคนเพ้อเจ้อ ไม่ชอบคนกระโดกกระเดก คนไม่มีระเบียบวินัย ท่านตำหนิให้ได้"

    "แต่ท่านก็เป็นพระที่ชอบทำงานให้กับพระศาสนา ถ้าลองได้กุศลแล้วล่ะก็เอาทั้งนั้น เห็นกันก็รู้แล้วว่าไม่ติดไม่หลง มีสติปัญญาดี ไม่เห่อเหิม มีความปกติทางจิตมากที่สุดองค์หนึ่ง เพราะท่านได้ถูกอบรมมาดี"

    นี่เป็นคำสรรเสริญจากปากคำของ "หลวงพ่อหอม หรือท่านพระครูภาวนานุโยค" วัดชากหมากป่าเรไร อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหานับถือทั่วประเทศองค์หนึ่ง ยังออกปากชมหลวงพ่อแพอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา ดุจดัง "ปราชญ์ย่อมเข้าใจในปราชญ์" นั่นเอง

    ตอนนี้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เห็นทีจะไม่มีใครไม่รู้จัก "หลวงพ่อจรัญ" หรือ พระเดชพระคุณ "พระธรรมสิงหบุราจารย์" เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อแพเป็นอย่างมาก ได้กล่าวถึงหลวงพ่อแพไว้ว่า

    "หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองนี้ อาตมาเรียกว่าท่าน หลวงพ่อวัดพิกุลทอง ท่านเป็นเพชรน้ำเอกจริงๆ อาตมาเคยไปอินเดียด้วยกันนะ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ให้ท่านนำหน้าไปเมืองแขก"

    "หลวงพ่อวัดพิกุลทองนั้น ท่านเป็นพระที่น่าเคารพ น่าบูชามาก และท่านก็เป็นพระเพชรน้ำเอกจริงๆ ด้วย คือ ท่านเกิดมามีบิดา มารดาแท้ๆ คู่หนึ่ง และมีบิดา มารดา (บุญธรรม) อีกคู่หนึ่ง ตกลงท่านมีโยมพ่อสองคน โยมแม่สองคนดีกว่าเรา เกิดมาแล้วก็เป็นผู้สละเรือน อยู่วัดแล้วบวชเรียน บวชแล้วก็ได้ศึกษาเล่าเรียน ต้องต่อสู้กับชีวิตในสภาวะที่บ้านเมืองยังไม่สงบสุขนัก จนได้เปรียญธรรม นำไปสงเคราะห์หมู่พ้องให้ได้ดีอีกด้วย"

    "เรื่องสู้งาน ก็เอาจิตใจที่เป็นเพชรนั้นแหละ ไม่เคยบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยบอกว่าทุกข์ สู้มันเป็นแถบๆ ไป จนสำเร็จผลที่หมดจดงดงาม เป็นสง่าราศีให้กับชาวบ้านวัดพิกุลทองอย่างเต็มความภาคภูมิใจ ใครนิมนต์ท่าน ท่านใจดีนะ ถ้าว่างล่ะก็ไม่ผิดหวังเลยเชียวละ เก่งจริงๆ ท่านไปช่วยเสมอ"

    "ยิ่งคนที่สร้างวัดวาอารามด้วยแล้ว หลวงพ่อชอบ เพราะเป็นมหากุศลสืบต่อพระศาสนา ท่านไปให้ได้ จะไกลแค่ไหนก็เมตตาเสมอ ชาวเมืองสิงห์บุรีนั้นมีความภาคภูมิใจกับท่านมาก ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ในวัยวุฒิ คุณวุฒิ มีความสามารถมาก หาได้ยากจริงๆ"

    "สำหรับพระพุทธศาสนา ถ้าพระภิกษุสงฆ์ทุกๆ องค์ มีจิตใจและความคิดที่จะบำรุงพุทธศาสนาเยี่ยงท่าน ศาสนาพุทธคงเป็นศาสนาแห่งความศรัทธาของประชาชนโดยแท้จริง" หลวงพ่อจรัญ กล่าวทิ้งท้าย

    หลวงพ่อแพ ท่านเป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ ๑ ใน ๙ องค์ ในยุคนั้น ที่ได้รับการแนะนำจาก "หลวงปู่ดู่ วัดสะแก" พระเกจิชื่อดังที่วัตถุมงคลของท่านมีมูลค่าการเช่าหาสูง ให้ลูกศิษย์ของท่านไปสร้างเหรียญรุ่น "จตุรพิธพรชัย" ซึ่งเป็นพรที่จะทำให้เกิดความสวัสดีมีชัย ๔ ประการ เป็นพรที่พระสงฆ์ให้แก่ชาวบ้านเป็นปกติ หลังจากทำบุญแล้ว พร ๔ ประการนี้คือ ๑.อายุ ให้มีอายุยืน มีชีวิตที่ดี ๒.วรรณะ ให้มีความสวยงาม มีชื่อเสียงเกียรติยศ ๓.สุขะ ให้มีความสุขกายสบายใจมีความสะดวก ๔.พละ ให้มีกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ มีพวกพ้องบริวาร

    พร ๔ ประการนี้เป็นพรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จึงถือว่าศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัดต่อเพิ่มเติม พระสงฆ์ใช้มาเป็นพันปีแล้ว

    "เหรียญจตุรพิธพรชัย ๙ พระอาจารย์" คือ การจัดสร้างเหรียญพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณทางเวทมนตร์คาถา ๙ รูปพร้อมๆ กัน แล้วจัดพิธีพุทธาภิเษกที่ "วัดรัตนชัย" เมืองกรุงเก่า เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๘ สำหรับความเป็นมาในการจัดสร้าง "นายเรียน นุ่มดี" อดีตผู้บัญชาการเรือนจำกลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านผู้นี้เป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างใกล้ชิด สมัยที่ท่านเป็นผู้บัญชาการเรือนจำเมืองกรุงเก่า ได้ใฝ่ใจในการพระศาสนาตามวัดวาอารามต่างๆ มาโดยตลอด

    ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตท่านที่จะเกษียณอายุราชการ และกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดที่อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี แต่เนื่องด้วยวัดเขาใหญ่ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ และเป็นวัดที่ใกล้บ้านเกิด มีเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมเนื่องจากไม่ได้รับการบูรณะมานาน

    ดังนั้น นายเรียนจึงมีความตั้งใจจะหารายได้ส่วนหนึ่งไปปฏิสังขรณ์วัดเขาใหญ่ให้สวยงาม จึงได้นำความเบื้องต้นเข้ากราบเรียนขอคำแนะนำจาก "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ" วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในเรื่องการจัดสร้าง "เหรียญจตุรพิธพรชัย" และพระพิมพ์ต่างๆ

    หลวงปู่ดู่ จึงได้เมตตาแนะนำ และให้คำปรึกษาในการจัดสร้างวัตถุมงคล ตลอดจนการนิมนต์ครูบาอาจารย์มาร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลในพิธีนี้อย่างละเอียด

    วัตถุประสงค์เพื่อจัดจำหน่ายแด่สาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในวัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้น เพื่อนำเงินรายได้ไปก่อสร้างวิหารจตุรพิธพรชัย และอาคารเสนาสนะต่างๆ ที่วัดเขาใหญ่เป็นสำคัญ

    วัตถุมงคลที่จัดสร้าง อาทิ พระสมเด็จ ๙ ชั้น เนื้อผง, พระแก้วมรกต ๓ ฤดู เนื้อผง, พระสามสมัยเนื้อผง พิมพ์เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง พระภควัมบดี (พระปิดตามหาลาภ) พระสมเด็จหลังรูปเหมือนสมเด็จโต พระพุทธศรีมณฑป อ่างทอง ปี ๒๕๑๗

    นับว่าโดดเด่นเป็นที่เล่นหาอย่างแพร่หลายก็คือ "เหรียญจตุรพิธพรชัย ๙ พระอาจารย์" หมายถึง การจัดสร้างเหรียญพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษ ๙ รูป คือ ๑.หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค จังหวัดนครสวรรค์ ๒.หลวงพ่อนอ วัดกลาง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๓.หลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี ๕.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู จังหวัดลพบุรี ๖.หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท ๗.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๘.หลวงพ่อโกย วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ๙.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี

    เหรียญจตุรพิธพรชัย ๙ พระอาจารย์ จำนวนสร้างองค์ละ ๕,๕๙๙ เหรียญ รวมจำนวนเหรียญทั้งสิ้น ๕๓,๙๙๑ เหรียญ มีแค่ ๒ เนื้อ คือ เนื้อเงิน (มีเฉพาะบางพระอาจารย์) ทองแดง กะไหล่ทอง เงิน และรมดำ เป็นเหรียญรูปไข่ความกว้างประมาณ ๒.๔ เซนติเมตร สูง ๓.๓ เซนติเมตร ด้านหน้า แต่ละอาจารย์ประทับนั่งครึ่งองค์ ห่มจีวรลดไหล่ ที่สังฆาฏิมีเลข ๙ ไทย และมีหนังสือไทย จารึกนามพระอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของเหรียญแต่ละองค์

    ด้านหลังเป็นอักขระยันต์ประจำองค์ของแต่ละอาจารย์ โดยรอบอักขระยันต์มีหนังสือไทยความว่า "อายุ วรรณะ สุขะ พละ" ทุกเหรียญ ริมขอบเหรียญโดยรอบมีหนังสือไทยความว่า "เหรียญจตุรพิธพรชัย ที่ระลึกในการปฏิสังขรณ์ วัดเขาใหญ่ สุพรรณบุรี" นายเรียน นุ่มดี ผู้เป็นประธานดำเนินงาน ได้มีวิริยะอุตสาหะอย่างเอกอุ เป็นผู้เสียสละทั้งกำลังทุนทรัพย์และกำลังกาย มิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาราธนาพระอาจารย์เจ้าผู้ทรงวิทยาคมขลังตามวัดในต่างจังหวัดซึ่งเป็นผู้เลื่องลือกิตติคุณในสมัยนั้นมาร่วมพิธีพุทธาภิเษก มีการประชุมปรึกษา และกลั่นกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่ายังไม่เป็นที่มั่นใจก็ได้นำข้อขัดข้องเข้ากราบเรียนหลวงปู่ดู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นที่แน่ใจจึงได้ลงมือดำเนินงานตามขั้นตอน

    โดยเริ่มต้นจากการสร้างเหรียญจตุรพิธพรชัยให้ครบทั้ง ๙ พระอาจารย์ ตลอดทั้งพระพิมพ์แบบต่างๆ ให้ครบตามจำนวน เสร็จแล้วต้องนำเหรียญของแต่ละอาจารย์ไปขอความเมตตาให้ท่านช่วยปลุกเสกเดี่ยวตามวัดต่างๆ ถึง ๙ วัด เมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนจึงไปรับเหรียญคืน และได้จัดพิธีพุทธาภิเษกในวันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๘ ตรงกับวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ เวลา ๑๕.๐๙ น. พระสงฆ์เถระ ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์ในพิธี พระพิธีธรรม ๔ รูป เจริญพระคาถาพุทธาภิเษก พระคณาจารย์ ๑๖ รูป เข้าประจำอาสนะปรก เพราะนอกจากพระเกจิเจ้าของเหรียญแล้ว ยังมีพระเกจิชื่อดังในยุคนั้นเข้าร่วมอีกด้วย เช่น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ, หลวงพ่อใหญ่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา , หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ ฯลฯ เป็นต้น

    แหล่งที่มาของข้อมูล เครดิต :::
    http://www.sereechai.com/index.php/2013-05-01-06-36-40/2013-05-01-07-41-35/3971-2015-09-23-18-52-30
    FB_IMG_1551322932653.jpg FB_IMG_1551322934659.jpg
     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เพื่อการศึกษาครับ

    (เครดิตข้อมูล.. บ้านพุทธฉัตร)
    ****************************
    ท่าน อ. ศุภกฤษณชัยวงค์ แสงจันทร์ (อ.ศุภรัตน์)
    เล่าเรื่อง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2559

    เรื่อง.. กำหนดจุด 9 ฐาน ของหลวงปู่ดู่

    ลูกศิษย์ : อาจารย์ครับ มีพี่บางท่านฝากถามเรื่องการกำหนดจุด 9 ฐานของหลวงปู่ดู่ ว่าทำแล้วได้ผลทางไหนบ้างครับ

    อจ. : (อธิบายดังนี้)
    1. ทำให้ฐานของลมหายใจแต่ละจุดได้รับการชำระให้มีพลัง เมื่อตั้งจิตไว้ ณ ที่ตรงนั้น เกิดความสงบ สะอาด และสว่าง ในแต่ละวันการวางจิตแต่ละจุดเข้มข้นไม่เหมือนกัน ให้สังเกตุเอาเอง

    2. แต่ละฐานจะเกี่ยวข้องอวัยวะภายใน มี 4 ฐานเกี่ยวกับ ตับ ไต ใส้ ปอด ส่วนอีก 5 ฐายเกี่ยวกับสมอง ช่วยเกี่ยวกับสุขภาพ

    3. ทำได้สว่างเกิน 3 จุดในเวลาเดียวกัน จะเกิดเป็นฉัตรพระพุทธเจ้าครอบเศียร จะดีทางคุ้มครอง และทำให้จิตรับพลังคุณพระได้ดี พลังเหล่านี้จะชำระสะสางทั้งร่างกายและขิตใจเพราะเป็นพลังอัปมาโณ

    ลูกศิษย์ : ถ้าจุดที่ 3 ตรงหัวใจถ้าทำจนเห็นเป็นน้ำใสแต่ละครั้งจะมีพลังเข้ามาไม่เท่ากัน ถ้าได้กำหนดเห็นพระพุทธเจ้า นำ้จะเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาล จะมีไว้ป้องกันอย่างเดียว หรือว่ามีพลังท่านผ่านเข้ามาสะสมในกายด้วยครับ

    อจ. : พลังงานพระ (ภูติพระเจ้า) อันเป็นพลังอัปมาโณ (Infinity) จะช่วยชำระสะสาง ธาตุขันธ์รวมทั้งจิตด้วยพลังบริสุทธิ์ของคุณพระในขณะปฎิบัติและสะสมเป็นบุญ จนบารมีแก่กล้าเกิดเป็นคุณในที่สุด(พระอริยะบุคคล)

    คนมีบุญถึงพระด้วยศรัทธา เมื่อสะสมบุญจนแก่กล้าเป็นบุญญาบารมี บุญเหล่านี้จะมีภูติพระเจ้า (คุณพระ) คอยรักษาดูแล กลายเกิดเป็นถึงพระด้วยปัญญา เมื่อเปลี่ยนความคิดธรรมดา ที่เข้ามาในจิตทุกเมื่อเชื่อวัน เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อารมณ์ โลภ โกรธ หลง กลายเป็นอารมณ์ฉุกใจคิด เกิดเป็นอารมณ์สะเทือนใจ เข้าใจเรื่องโลกธรรม การถึงพระเป็นไปด้วยปัญญา บุญที่สะสมอยู่จะกลายเป็นเนื้อนาบุญอันเกิดจากจิตที่เปลี่ยนสถานะเป็นพระอริยะบุคคลนั้นเอง

    ภาพเมื่ออาจารย์ยังเป็นพระภิกษุอยู่ครับ
    FB_IMG_1551345621697.jpg
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    ผู้ซึ่งมีพลังจิตสูงสุด ในหมู่ศิษย์หลวงปู่มั่น

    ท่านสอนว่า ....

    ..... การปฏิบัติไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่วาจาของเรา อยู่ที่ใจของเรา นี่หละ

    ต่างคนต่างมา ต่างถิ่นต่างฐาน ต่างบ้านต่างช่อง รวมกันแล้ว จุดประสงค์นั้นคือเราทั้งหลายต้องการความสุข ต้องการความเจริญและต้องการความพ้นทุกข์

    เราต้องทราบว่าความสุขอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่กายของเรา ที่ใจของเรา

    ความพ้นทุกข์ก็พ้นจากกายจากใจของเราเท่านี้ มันไม่ได้พ้นจากอื่น

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่อื่นเป็นทุกข์ พากันพิจารณาดูซิ ไม่ได้ทุกข์กับการงาน กับข้าวของ กับบ้านช่อง ทุกข์ที่กายกับใจนี่เท่านั้น เกิดมามีเท่านี้ อันนี้พระพุทธเจ้าจึงวางศาสนาไว้

    ศาสนาเป็นเครื่องแก้ทุกข์และเป็นเครื่องชำระทุกข์

    . FB_IMG_1551400154762.jpg
     
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    • #อํานาจกสิณน้ำ
    “การที่อาตมาเพ่งปีตกสิณสีเหลืองนี้ ได้พบความสงบแล้ว ก็ได้ไปกราบเรียนให้ท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ท่านได้ทราบ

    ท่านก็บอกว่า... เออ...เราเองก็ไม่ค่อยจะเชี่ยวชาญเลยนะในเรื่องกสิณนี้ แต่ก็มีพระรุ่นเดียวกัน (สหธรรมิก) มีมากมาย พระที่เป็นศิษย์อาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต มีแยะได้นิมิตกันมากเหมือนกันนะ

    ก็เวลานี้ท่านเข้าป่าไปแล้ว เป็นเพื่อนกับเรา จะเล่าให้ฟังเอาไหม?

    ท่านถามอาตมาก็สนใจว่า...
    “เกล้าขอรับไว้เป็นความรู้ครับ พระอาจารย์”

    ท่านก็เล่าให้ฟังว่า...
    “สมัยนั้นมีเพื่อนพระด้วยกันหลายองค์เดินป่า (ธุดงคกรรมฐาน) เวลานั้นเป็นฤดูร้อนแห้งแล้งมากที่สุดในภาคอีสาน

    เดินๆ ไปมันก็หิวน้ำ พระรุ่นเล็กๆ มีความอดทนน้อย ก็หิวกระหายมาก ร้อนก็ร้อนจริง ๆ

    ขณะเดินๆ อยู่ ก็มีพระเพื่อนองค์หนึ่งท่านพูดขึ้นว่า “ผมไปก่อนละ”

    ท่านเดินแยกไปล่วงหน้า ขบวนหลังมีพระเด็กมาก ก็พักจนหายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป

    พระองค์แรกแยกตัวหายไปเลย เรามีพวกอยู่ข้างหลังก็ต้องรอกัน พอมีกําลังก็เดินต่อจนได้พบบึงน้ำน้อยๆ แห่งหนึ่ง ก็ได้อาศัยน้ำนั้นดื่ม จนหายกระหายหิว มีความร่าเริงยินดีกันทั่ว

    จากนั้นก็เดินทางต่อไป จนได้ไปพบกับพระผู้สหธรรมิกของเรา ท่านนั่งยิ้มมองพวกเราเดิน เข้ามาหาท่าน

    ขณะเดียวกันก็มีพระเด็กๆ ได้เล่าความจริงให้ฟังว่า..
    “โอ...พวกเราสบายได้ดื่มน้ำ ไปพบแอ่งน้ำเข้า ดื่มจนอิ่มทุกรูป”

    เราก็ได้มาถามพระเพื่อนนั้นว่าไม่พบแอ่งน้ำนั้นหรือ?

    ท่านก็กระซิบบอกว่า...
    “นั่นมันเป็นแอ่งน้ำกสิณ กระผมเอาน้ำลายนี้ แล้วก็เพ่งให้เป็นน้ำให้ได้แอ่งเล็กๆ นั้นเพื่อพระเด็กๆ จะได้ฉันมีกําลังเดินต่อไป”

    วิธีของท่านก็คือ เอาน้ำลายบ้วนลงพื้น แล้วเพ่งด้วย อาโปกสิณ จนเป็นแอ่งน้ำ

    ก็แปลกน้ำในแอ่งก็สะอาดดีมากเหมือนกัน นี่เป็นกสิณน้ำนะ”

    เมื่อท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ท่านเล่าให้ฟังอย่างนั้น อาตมาเป็นพระหนุ่มมันก็อยากได้วิชา ก็พยายามถามเอาความจริงกับท่านอยู่หลายวันนะ

    ก็เราเองเพ่งกสิณดวงจันทร์ได้แล้วนี่ ก็คิดอยากจะได้หลายๆ อย่างละซี

    ที่นี้ท่านจะทําอย่างไร ก็เลยชวนเพ่งกสิณแสงสว่าง อาโลกกสิณ

    ท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ท่านทนรบเร้าไม่ไหว ท่าน ก็บอกว่า...
    “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราไปเพ่งไม่ต้องลืมตา เอาหลับตานิ่งเสีย

    ก็เราทําความเพียรมานานแล้ว ถ้าจะเพ่งกสิณคืนเดียวก็คงได้แล้ว เพ่งให้เกิดสว่าง”

    ท่านบอกให้ทําอย่างนั้นอาตมา ก็นําไปฝึกอบรมหลังป่าช้า ทําอยู่สองคืนก็กลับมาหาท่าน พร้อมทั้งกราบเรียนท่าน

    บังเอิญมีพระมาอยู่ด้วยเพียง ๒-๓ องค์ เงียบสงบดี ไฟฟ้าก็ไม่มี จุดแต่ตะเกียง อาตมาก็บอก
    “เกล้ากระผมทําได้แล้วครับ”

    ท่านก็บอกว่า “เอ้าถ้างั้น มองลงไปในลําคอ เข้าไปในท้อง ดูซี”

    พอท่านพูดอย่างนั้น อาตมาก็ทําตาม กําหนดนิ่ง

    พอจิตวางปั๊บเดียว ก็บังเกิดแสงสว่าง เหมือนกับไฟฉายเลย ข้างในนั้น

    พอเกิดแสงสว่างแล้ว มันก็เย็นสบายดีจริงๆ

    ขณะที่เพ่งอยู่นั้น อาตมามีความรู้สึกว่า ในดวงตา (นัยน์ตา) นี่มันเป็นประกายเหมือนอย่างกับ เราเรียกว่า “ไฟฟ้าช็อต”

    มันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย มันเป็นเพียงมีสีม่วง สีเขียว สีน้ำเงิน เกิดขึ้นในดวงตา

    จะว่าตําราไม่ได้เรื่องไม่มี ประโยชน์เสียเลยก็ไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะประโยชน์บางครั้ง ก็มีมาก

    ส่วนปีติน่ะ มันเป็นของต้นๆ โดยเฉพาะผู้ที่ทําภาวนามันมีมากเหลือเกิน

    นักภาวนาที่ไม่รู้จักหลักสติ อันเป็นของสําคัญที่สุดในการบําเพ็ญ ก็พากันไปยึดปีติ ไปยึดนิมิต

    มันก็ทําให้เกิดความเสียหาย เสียเวลา จิตคลาดเคลื่อน (วิปลาส) ดีไม่ดีก็ไม่กลับ หลงหนักๆ ก็บ้า!

    ดังนั้นเมื่อเกิดปีติ เกิดนิมิต ก็อย่าให้มันมาจูงเอาไป เราไม่สนใจทําเฉยเสีย มันก็หายไปเอง

    นั่นอาตมาได้เพ่งอาโลกกสิณ คือได้เพ่งแสงสว่างต่อหน้าท่านพระอาจารย์กู่ สําเร็จในเวลานั้น

    อาตมาไปฝึกฝนจนเกิดความ สบายใจ เพราะได้ดวงกสิณแล้ว ไม่ว่าหลับตาหรือจะลืมตามันสบายมาก

    เวลาอาตมาเดินทางขึ้นรถไฟ สมัยนั้นสงครามสงบใหม่ๆ ผู้คนก็อพยพกลับถิ่นฐานของตน รถไฟก็แน่นขนัดไปหมด กระดุกกระดิกไม่ได้หรอก คนมันล้นหน้าต่าง

    ร้อนก็ร้อน เหม็นสาบก็ไม่ปาน เสื้อผ้าเสื้อผ่อนไม่เคยได้ซัก ถูกแดด มันก็เหม็นมาก อาตมาก็หลบความวุ่นวายด้วยการเพ่งดวงกสิณ

    พอกําหนดดวงกสิณแล้ว สบาย นั่งอยู่ตรงไหน ก็นั่งเฉยอยู่ ใครจะทําอะไรก็ช่างเขา เราสบายใจ นั่งลืมตาเฉยอยู่ ไม่มีใครรู้ว่า อาตมาทํากสิณทําความสงบ

    ไม่วุ่นวายเหมือนคนอื่น เรื่องที่จะลุกไปจากที่ ไปหนักไปเบาไม่มี ไม่ต้อง มันไม่มีอาการของเวทนานั้น ไปจนถึงที่สุดทาง

    • #กสิณน้ำ
    กสิณน้ำ ยังประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เมื่อครั้งอยู่ภาวนากับหลวงปู่กู่ ธัมมทินฺโน และเป็นคราวฤดูแล้งจัด ทั้งร้อนทั้งกระหายน้ำ จึงได้ศึกษากสิณน้ำได้สำเร็จ ครั้นเมื่อคราวอาพาธอยู่กลางป่าดงขาดผู้ดูแล ทั้งยากจะหาเภสัชมาเยียวยาได้ ดังนั้นท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ จึงได้อาศัยธรรมะเข้าระงับทุกขเวทนาอันเกิดมาจากไข้ป่ามาลาเรีย เพ่งความว่างปล่อยอารมณ์เป็นหนึ่ง รักษาจนหายเบากายเบาใจ ในที่สุดก็สามารถฟื้นฟูสภาวะสังขารให้แข็งแรงดุจเดิมได้

    อีกครั้งหนึ่งท่านได้รับบัญชาจากพระเถระเดินทางไปตั้งสำนักสงฆ์ ณ นิคมควนกาหลง จังหวัดสตูล ห่างไกลตัวจังหวัดมากในครั้งนั้น ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า อยู่กลางดงพงไพร มีโรงเลื่อยอยู่โรงเดียว อาศัยคนงานเหล่านี้ใส่บาตรให้ได้ฉัน

    ณ ที่นั่น ท่านพระอาจารย์บุญฤทธิ์ได้ประจักษ์ผลของความจริงและความศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์พระกรรมฐาน เมื่อท่านล้มป่วยเป็นไข้ป่า ท่านป่วยหนักถึงกับวิญญาณออกจากร่าง สลบไป ๓ วัน ๓ คืน ท่านเห็นผลกรรมฐานว่ากรรมฐานช่วยยกจิตมนุษย์ให้สูงขึ้นได้จริงๆ มีสติดีเยี่ยม

    • #กสิณไฟ
    กสิณไฟ ท่านก็สามารถเพ่งให้เกิดแสงสว่างเป็นดวงไฟยังสามารถทำความอบอุ่น ต่อสู้กับอากาศอันหนาวเหน็บ ซึ่งปรากฏในครั้งปี พ.ศ.๒๕๐๒ บนยอดเขาสูง บ้านบง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และที่ภาคเหนือ เช่น สำนักภาวนาผาแด่น และผาเด็ง ครั้งนั้นก็ต้องผจญกับสภาวะอันทุกข์ยากลำบาก อากาศหนาวบาดจิตบาดใจ ซ้ำร้ายยังมีน้ำค้างทำให้บริเวณอับชื้นเป็นอันมาก กสิณที่ท่านเคยเรียนมาสามารถยังประโยชน์ได้เมื่อคราวความจำเป็นมาถึง แต่ท่านก็มิใช่ว่าจะใช้ตลอดไป บางคราวก็ต้องปล่อยวาง

    คัดลอกจากหนังสือชีวประวัติ พระบุญฤทธิ์ ปัณฑิโต ; นิตยสารโลกทิพย์ ฉบับ ๑๓๐ ปีที่ ๗ ; ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๑ ; สัมภาษณ์โดยคุณดำรง ภู่ระย้า ขออนุญาตพิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทานครับ . . . ส า ธุ

    • #อ่านชีวประวัติหลวงปู่บุญฤทธิ์_ปัณฑิโต ได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ


    #แอดมินท่องถิ่นธรรมจะทยอยพิมพ์ให้อ่านจนถึงวันงานพระราชทานเพลิงฯนะครับ

    _/\_ _/\_ _/\_

    FB_IMG_1553296828017.jpg
     
  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    สาธุ สาธุ สาธุ

    หลวงปู่แหวนพบหลวงปู่สี ที่จังหวัดเลย ปี๒๔๕๓

    จากคำบันทึกบอกเล่าของหลวงปู่แหวน ท่านได้กล่าวว่า เมื่อปี ๒๔๕๒ ตอนที่ท่านอายุได้ ๒๒ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ วัดสร้างถ่อ จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปแต่ลำพังผู้เดียวด้วยใจเด็ดเดี่ยว

    ท่านได้จาริกไปเรื่อยๆ หยุดพักตามถ้ำบ้าง ป่าบ้าง โคนต้นไม้ตามชายทุ่งบ้าง ช่วงนั้นท่านได้ธุดงค์แถบถิ่นอุบลราชธานีเข้าสู่จังหวัดเลย

    แล้ววันหนึ่งท่านได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ อายุ ๖๒ ปี ลักษณะเป็นผู้ที่มีเมตตาเต็มเปี่ยม มีปฏิปทาสูง นั่งปฏิบัติธรรมอยู่บนหน้าผาในหุบเขาจังหวัดเลย

    ในเย็นวันนั้นท่านได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระภิกษุรูปนั้น เพราะตลอดระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ท่านนั่งปฏิบัติอยู่ หลวงปู่แหวนมิได้เข้าไปรบกวนเลย จนเมื่อมีโอกาสจึงได้เข้าไปกราบ

    หลวงปู่สีเพ่งมองหลวงปู่แหวนอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยถามพระภิกษุแหวนว่า “ท่านมาจากไหน” หลวงปู่แหวนได้ตอบว่า “มาจากจังหวัดเลยครับ ผมเข้าป่ามาตั้งใจจะแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมครับ” หลวงปู่สีได้พูดว่า “ตั้งใจดี หมั่นภาวนานะ”

    ในวันต่อมา หลวงปู่สีท่านได้สอนกรรมฐานให้กับหลวงปู่แหวน ทำให้การปฏิบัติของหลวงปู่แหวนก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งสององค์ได้ร่วมธุดงค์ร่วมกันถึงสองปี ก่อนที่หลวงปู่แหวนจะแยกย้ายไปหาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตต่อไป

    จากบันทึกข้อความนี้ แสดงให้เห็นว่า หลวงปู่แหวนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่สี ก่อนที่จะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น

    อุอาอา นะเมตตา สังฆัง #บารมีพระอรหันต์
    FB_IMG_1553498325346.jpg FB_IMG_1553498323489.jpg
     
  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    พระอาจารย์รุ่นใหม่อีดกองค์ ที่น่านับถือ ติดตามนะครับ

    หลวงพ่อบัวลอย ญาณรกฺขิโต หรือในสมณศักดิ์พระราชทินนามที่ พระครูสถิตธรรมานุรักษ์ วัดน้อย ต.งิ้วราย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เก็บตัวยังไม่เปิดเผยตัวมากนัก เรียกได้ว่าคมในฝัก ที่งดงามด้วยปฏิปทาศีลวัตรสัจคุณ ดำรงสมณเพศอย่างสมถะ เป็นพระนักปฏิบัติอีกทั้งเป็นพระนักพัฒนาทำความ เจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดน้อย

    ชีวประวัติ ชาติภูมิ

    หลวงพ่อบัวลอย ถือกำเนิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ แต่ตามใบเกิดลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๓ เนื่องจากคนในสมัยก่อนแจ้งเกิดช้าเพราะลูกจะได้เข้ารับเข้าเกณฑ์ทหารช้ากว่าเกณฑ์เพื่อช่วยครอบครัวให้นานที่สุด และไม่มีการจดบันทึกวันเดือนปีเกิดที่เป็นลายลักษณ์อักษรจึงทำให้ไม่รู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง หลวงพ่อเป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๖ คน ของคุณพ่อกด และคุณแม่บุญมี สกุลหอกเพ็ชร ณ บ้านดอนโพธิ์ ต.งิ้วราย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

    ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น

    ชีวิตในปฐมวัยมีความเป็นอยู่เหมือนๆ กับเด็กในชนบททั่วไป คือได้ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพทางด้านเกษตร ทั้งช่วยเหลือด้านการเกษตรเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย มาโดยตลอด

    ส่วนการศึกษา ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนวัดน้อย จนมีความรู้อ่านออกเขียนได้ มีความรู้เทียบได้ชั้นประถมปีที่ ๔ ก็ออกจากโรงเรียน

    สู่เพศพรหมจรรย์

    เมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดน้อยโดยมีหลวงพ่อเตี๊ยม เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดที่ครองเพศพรหมจรรย์ ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยในด้านพระคันถธุระ (พระปริยัติธรรม) และได้มีโอกาสเดินทางไปพบหลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่ แล้วพบกับความมหัศจรรย์ของพลังจิต ครั้งเมื่อหลวงพ่อเตี้ยมได้นำผ้ายันต์หงส์ ตะกรุดต่างๆ มาให้หลวงพ่อมุ่ยอธิษฐานจิต แต่หลวงพ่อมุ่ยไม่ได้นั่งอธิษฐานจิตให้แค่วางไปข้างๆท่าน แล้วบอกหลวงพ่อเตี้ยมว่าเสร็จแล้ว หลวงพ่อบัวลอยก็คิดในใจหลวงปู่อธิษฐานตอนไหน แค่คิดกล่องไม้ขีดไฟในย่ามก็เกิดติดไฟขึ้นมาควันขึ้นมาเยอะมากหลวงพ่อรีบเข้าไปเอาย่ามเพื่อจะเอาของออกแต่ก็พบว่าของในย่ามไม่มีอะไรไหม้ ไม้ขีดในกล่องไหม้แค่หัวที่จุดไฟ หลวงพ่อได้มองไปที่หลวงปู่มุ่ย หลวงปู่มุ่ยก็ยิ้มแล้วก็บอกว่าเสร็จแล้วกลับวัดได้แล้ว นี่เป็นปฐมเหตุให้หลวงพ่อสนใจวิชาอาคม

    อายุครบบวช ราว พ.ศ.๒๕๒๐ ก็อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเฉลิมมาศ โดยมีเจ้าคุณอินทโมลี เจ้าอาวาสวัดเฉลิมมาศ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ไม่ทราบชื่อ ได้รับสมณฉายาว่า “ญาณรกฺขิโต”” ครั้นอุปสมบทแล้ว ได้เดินทางเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดบวรนิเวศ ได้มาพบกับความมหัศจรรย์แห่งเจโตวิมุตติแห่งครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น นั้นก็คือหลวงปู่หลุย วัดถ้ำผาปิ้ง ที่เดินทางแสดงธรรมที่วัดบวรนิเวศ แล้ววันนั้นหลวงพ่อกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะเรียนพระปริยัติธรรมต่อหรือจะศึกษาทางวิปัสสนาธุระ หลวงปู่หลุยเดินผ่านหลวงพ่อได้กล่าวกับหลวงพ่อว่ามาเรียนวิปัสสนากับเราสิ เรียนปริยัติพอแล้ว ตอนนั้นหลวงพ่อสอบได้นักธรรมโท หลวงพ่อปลื้มปิติความมหัศจรรย์ของจิตที่ฝึกมาดีแล้ว จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปเรียนวิปัสสนากับหลวงปู่หลุย ที่วัดถ้ำผาปิ้ง เมื่อศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่หลุยแล้ว ก็ได้เดินธุดงค์ไปตามภูเขาลำเนาไพรแถบภาคเหนือ อีสานและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น และระหว่างที่เดินธุดงค์ก็ได้พบครูบาอาจารย์ระหว่างเดินธุดงค์หลายองค์

    สืบทอดพุทธาคม

    หลังจากจบนักธรรมเอกแล้ว ท่านคิดว่าเพียงพอสำหรับด้านคันถธุระแล้ว เพราะพระที่อยู่ตามชนบทบ้านนอกพอที่จะรักษาพระธรรมวินัยเพศพรหมจรรย์ให้ รุ่งเรืองและเป็นนำสอนชาวบ้านบ้านได้แล้ว ท่านก็หันมาสนใจทางด้านวิปัสสนาธุระโดยมองเห็นประโยชน์ในด้านการปฏิบัติ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ออกเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเรียนพระกรรมฐานกับครู บาอาจารย์เก่งๆ ในยุคนั้น อาทิเช่น
    ท่านได้สืบทอดพุทธาคมมาจากหลายสำนักเช่น
    ๑.หลวงพ่อเตี้ยม วัดน้อย ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ซึ่งถือว่าเป็นครูบาอาจารย์สายพุทธาคมองค์แรกของหลวงพ่อ โดยหลวงพ่อเตี้ยม มีศักดิ์เป็นอาของหลวงพ่ออีกด้วย
    ๒.หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ และหลวงพ่อคง วัดใหม่บำเพ็ญบุญ และตำราสายวัดประดู่ทรงธรรม
    ๓.หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย ศิษย์มือขวาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    ๔.คุณพ่อชุม ไชยคีรี ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากสำนักตักศิลาเขาอ้อ
    ๕.หลวงพ่อช่อ วัดฤกษ์บุญมี ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    ๖.หลวงพ่อสุเทพ วัดแสงดาว ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อแจง วัดเกาะแก้ว ผู้สืบทอดวิชาสายหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
    ๗.หลวงปู่ทอง พระอภิญญาเหนือโลก ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากสำเร็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์
    ๘.ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตจากหลวงปู่หลุย วัดถ้ำผาปิ้ง
    ซึ่งสายวิชาที่หลวงพ่อร่ำเรียนมาเป็นพระบุรพาจารย์ที่โด่งดังเลื่องลือกิติศัพท์ในอดีตจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น
    ซึ่งครูบาอาจารย์ทุกท่านได้ถ่ายทอดสรรพวิชาให้หลวงพ่อบัวลอยทุกอย่าง อาศัยความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจมุ่งมั่นจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนวิชาที่เล่าเรียนปฏิบัติเข้มขลังในพลังแห่งวิทยาคม

    กิตติคุณของหลวงพ่อบัวลอยที่รู้กันในหมู่ลูกศิษย์ว่า
    เป็นพระที่เปี่ยมเมตตาธรรมสูง มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เชี่ยวชาญสรรพเวทวิยาคม วัตถุมงคลเข้มขลังเปี่ยมพลังพุทธคุณมากประสบการณ์ แคล้วคลาดนิรันตราย และเมตตา มหานิยม โชคลาภ เรียกได้ว่าครบเครื่อง

    ศิษย์หางแถว

    FB_IMG_1553535152614.jpg
     
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    บันทึกไว้เป็นตำนาน
    ปิดจองหมดแล้วนะครับ

    มีดหมอปากกาชุดนี้ สร้าง 100 เล่ม
    1.ใบมีดตีจากเหล็กกุฎิสังฆราชแพ วัดสุทัศน์
    2.ไม้ที่มาทำด้ามเป็นไม้ศาลาวัดโคกเดื่อ หลวงปู่เดิมมาสร้างไว้
    3.อุดผงพุทธคุณตามตำรา ผงงากำจัดงากำจาย ผงเขี้ยวเสือกลวงเขี้ยวหมูตัน ผงกะลาตาเดียวกะลาไม่มีตา
    4.อุดมีดด้วยครั่งตามตำราโบราณ

    รอเข้าพิธีงานไหว้ครูประจำปี 2562เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งบายศรีเครื่องสังเวยแด่ครูบาอาจารย์ ให้ครูบาอาจารย์ช่วยเมตตาแผ่บารมีให้มีดหมอปากกา ให้เข้มขลัง

    เปิดจองวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2562 เวลา 9.39 น. จำกัดคนละ 1 เล่ม

    #ทำอะไรให้นึกถึงครูอย่าลืมครู
    #ตั้งดีพลีถูก
    #ศรัทธาจริงย่อมใช้ได้จริง

    ศิษย์หางแถว
    FB_IMG_1553535678512.jpg FB_IMG_1553535804219.jpg FB_IMG_1553535798854.jpg FB_IMG_1553535785173.jpg FB_IMG_1553535776597.jpg
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เก็บเล็ก เก็บน้อย ไว้อ่านยามว่างครั

    #หลวงตาดำองค์อัครมหาบูรพาจารย์แห่งดินแดนโลกุตระพระเหนือโลกในดง ตอนที่๑.

    หลังพระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานล่วงแล้ว๒๓๔ปี พระเจ้าอโศกมหาราชได้กระทำการชำระพระไตรปิฏกขึ้นเป็นครั้งที่๓ ได้อาราธนาพระโมคคลีบุตร ติสเถระ องค์อรหันต์เป็นประธานเลือกพระอรหันต์เถระออกเผยแพร่พุทธศาสนายังนานาประเทศ ในหนังสือพงศาวดารลังกา กล่าวนามพระอรหันต์ที่แยกย้ายออกเผยแพร่ศาสนาเป็น๘ทิศ(ต้นกำเนิดของยันต์และคาถาอรหันต์๘ทิศ)ในประเทศต่างๆดังนี้.
    ๑.พระมัชณันติกะเถระเจ้า ไปยังกัสมิระและคันธาระประเทศ(แคชเมียร์และอัฟกานิสถาน)
    ๒.พระมหาเทวะเถระเจ้า ไปยังมหิสมะมณฑล(ดินแดนทางใต้ของแม่น้ำโคทาวดี)
    ๓.พระรักขิตเถระเจ้า ไปยังวนวาสีประเทศแคว้นกะนาราเหนือ(เขตเมืองบอมเบย์ในปัจจุปัน)
    ๔.พระธรรมรักขิตเถระเจ้า ไปยังปรันตกะโยนะประเทศ(ชายทะเลด้านเหนือเมืองบอมเบย์ปัจจุปัน)
    ๕.พระมหาธรรมรักขิตเถระเจ้า ไปยังมหารัฐประเทศ(ดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำโคทาวารี)
    ๖.พระมหารักขิตเถระเจ้า ไปยังโยนะโลกะประเทศ(ดินแดนเปอร์เซียและส่วนหนึ่งของประเทศจีน)
    ๗.พระมัชฌิมะเถระเจ้า ไปยังหิมวันตประเทศ(เชิงเขาหิมาลัยรวมทั้งประเทศเนปาล)
    ๘.พระโสณะเถระเจ้าและพระอุตรเถระเจ้า ไปยังดินแดนสุวรรณภูมิ(นักประวัติศาสตร์คนสำคัญ ศาสดาจารย์เดวิดส์อธิบายว่า เริ่มจากดินแดนมอญในอดีตจรดเวียตนาม พม่า ลงไปทางใต้จรดมลายูและต่อไปถึงอินโดนิเซียบางส่วน)
    เรื่องที่น่าสนใจและเกี่ยวพันกับ"หลวงตาดำและหลวงปู่โลกอุดร" คือสายที่มายังดินแดนสุวรรณภูมิและได้มีการค้นพบศิลาจารึกเป็นอักษร"เทวนาคีโบราณ"ขุดพบที่เมืองโบราณคูบัว จ.ราชบุรี ปรากฏเป็นข้อความที่ผู้เชี่ยวชาญได้แปลเรียบเรียงมีใจความดังนี้
    คณะพระธรรมทูตจากอินเดียโบราณได้เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยทางเรือ โดยมี พระโสณะเถระ พระอุตรเถระ พระฌานิยะ พระภูริยะ พระมูนิยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุนะ สามเณรนิตตยะ เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์ นางอดุลยา พราหมณ์และนางพราหมณ์มณี และบริวารผู้ติดตามอีก๓๘คน ได้มาพักที่นครศรีธรรมราช(วัดช้างค่อม)เมื่อวันขึ้น๑๔ค่ำเดือนอ้าย พศ.๒๓๕ ออกบิณฑบาตร วันขึ้น๑๕ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตรพร้อมได้วางอุปสมบทญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและวางเพศชีไทยโดยถือแบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นแบบภิกษุณี ได้วางวิธีสวดปาฏิโมกข์ อุโบสถกรรม ปวารนากรรม พระเจ้าโลกละว้า(ผู้ครองเมือง)ได้ในขณะนั้นได้รับสั่งให้สร้างวัดมหาธาตุและได้วางกำหนดนิมิตผูกขันธสีมา พศ.๒๓๘ เดือน๕ ขึ้น๑๕ค่ำ และได้วางรากฐานพุทธศาสนาสืบต่อมาจนทุกวันนี้
    นั่นคือหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์ในทางโบราณคดีที่จารึกไว้ให้ทราบถึงการเข้ามาของพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิครั้งแรก ต่อมาเรื่องราวของพระโสณะเถระเจ้า พระอุตรเถระเจ้า ได้ถูกกล่าวถึงเสมอๆจากครูบาอาจารย์ผู้ทรงจิตทรงคุณธรรมทั้งในสายปัญญาวิมุติ(พระป่าสายกรรมฐาน)และเจโตวิมุติ(สายในดงนอกดง)โดยเฉพาะเรื่องราวที่สอดคล้องกับประวัติการเข้ามาของคณะพระธรรมทูตทั้ง๕องค์และความเชื่อที่ว่าท่านคือ"คณะพระโลกอุดรทั้ง๕องค์"ซึ่งประกอบด้วย
    ๑.พระอุตรเถรเจ้าหรือหลวงปู่โลกอุดร(รูปในท่านั่งวางมือที่เข่า)
    ๒.พระโสณะเถรเจ้าหรือหลวงปู่ตีนโต(รูปที่ถ่ายที่ยืนและหลวงพ่อจรัญนั่งคุกเข่า)
    ๓.พระมูนียะหรือหลวงปู่อิเกสาโร หลวงปู่เดินหน
    ๔.พระฌานียะหรือหลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา
    ๕.พระภูรียะหรือหลวงพ่อโอภาสี
    แล้วสามเณรทั้งสามรูปที่เข้ามาพร้อมกับคณะพระธรรมทูตทั้ง๕ในครั้งนั้นคือสามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ
    สามเณรนิตตยะ ท่านคือใคร..ปริศนานี้แทบไม่มีการกล่าวถึง..แต่เรื่องของสามเณรองค์หนึ่งในยุคนั้นได้เกิดมาในยุคปัจจุปันและได้เป็นบิดาของพระป่ากรรมฐานในยุคนี้ และเรื่องราวนี้ถูกบันทึกจากพระอรหันต์องค์หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน..หลวงปู่อุ่น ชาคโร วัดป่าหนองคำ(ดอยบันไดสวรรค์) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี..จากหนังสือบูรพาจารย์จัดพิมพ์โดย มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    #บันทึกส่วนตัวของหลวงปู่อุ่น_ชาคโรเปิดเผยความลับของหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต

    #เรื่องอดีตชาติของหลวงปู่มั่น..ท่านอาจารย์มั่นพูดว่า..สมัยพระโสณะกับพระอุตระมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในแคว้นสุวรรณภูมิคือนครปฐมเดี๋ยวนี้ ท่านอาจารย์มั่นนี้เคยเป็นสามเณรน้อยมาด้วย ท่านว่าสมัยนั้นข้องคาอยู่ในการปรารถนา..พุทธภูมิ ท่านจึงไม่สำเร็จมรรคผลอะไร ท่านกล่าวว่าสมัยนั้นน้ำทะเลขึ้นไปจรดกับจังหวัดสระบุรีหรือเขาวงพระจันทร์ #ส่วนพระโสณะและพระอุตระนั้นชอบใช้ไม้เท้าทางกกหรือตันเป็น๘เหลื่อมทางปลายเป็น๑๖เหลื่อม
    นี่คือบันทึกเรื่องอดีตชาติของหลวงปู่มั่นที่เคยเกิดเป็นสามเณรองค์หนึ่งในการเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศไทยแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสามเณรองค์ไหนในสามองค์นั้น แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่อง"คณะพระโลกอุดรทั้ง๕"นั้นมีจริงแน่นอนแต่สิ่งที่เรากำลังค้นหานั้นคือเรื่องของ"หลวงปู่ใหญ่หรือหลวงตาดำมหาบูรพาจารย์ในดินแดนโลกุตระ(ในดง)ที่ถูกแยกแยะให้เข้าใจที่มาที่ไปว่าถ้าพูดถึงพระสายเหนือโลกสาย(ในดง)คือผู้ที่เคยเข้าไปเรียนสรรพวิชากับหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงตาดำในดินแดนโลกุตระที่เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมก็คือท่านพระอาจารย์ชาญณรงค์ สมบัติศิริหรือท่านอภิชิโต ภิกษุ หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต หลวงปู่วัย จัตตาลโย หรือสายนอกดงที่ท่านจะสอนทางจิตอาทิ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี พระอาจารย์บุญเดช ญานเตโช บนภูรังกา หลวงพ่อมโนธรรม สหบุญญาราม จ.อุตรดิษย์
    หลวงพ่อบัวลอย วัดน้อย และอีกมากมายหลายองค์

    #หลวงตาดำคือใคร ขนาดลูกศิษย์ของท่านคือคณะพระโลกอุดรที่มีพุทธกิจค้ำชูบำรุงศาสนาพุทธไปจนสิ้นพุทธธันดร๕๐๐๐ปี.. หาคำตอบและเหตุผลในทางโลกและทางธรรมและบันทึกทางประวัติศาสตร์ในฉบับหน้า ที่จะเจาะลึกว่าท่านคือใคร..จากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ท่านหลายองค์ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ละสังขารแล้ว

    #อ่านแล้วช่วยให้กำลังใจกดติดตามกดแชร์กดไลท์ร่วมกันเผยแพร่เป็นธรรมทานจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
    FB_IMG_1553566042318.jpg FB_IMG_1553566045513.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พระเหนือโลกยุคสองที่ทรงอภิญญาบารมีศิษย์อีกองค์ของหลวงปู่โลกอุดร

    คลื่นลูกหลังย่อมทยอยไล่คลื่นลูกแรกนั่นเป็นสัจจธรรมจริงแท้แน่นอน พระเหนือโลกยุคแรกก็เดินตามกฎของพระไตรลักษณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทิ้งเพียงคุณธรรมความเป็นพระสุปะฏิปันโนเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานให้มหาชนเคารพกราบไหว้คุณธรรมและความดีงาม พระเหนือโลกยุคสององค์นี้ท่านเป็นผู้ชอบศึกษาค้นคว้าพระเวทย์วิทยาคมกับครูบาอาจารย์องค์สำคัญในอดีตมากมายจนแทบจดจำไม่หมดท่านเริ่มเรียนวิทยาคมตั้งแต่เริ่มบวชและเดินทางเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ทั่วประเทศทุกภาคไม่เว้นแม้พระป่าสายปฏิบัติท่านก็ยังไปขอเป็นศิษย์รับอุบายธรรม
    ลองมาดูว่าท่านเรียนพระเวทย์วิทยาคมสายไหนมาบ้างเริ่มต้น ดังนี้
    1.หลวงเงินบางคลานเทพเจ้าแห่งพิจิตร ท่านไปขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อสุเทพ วัดแสงดาวซึ่งหลวงพ่อสุเทพเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแจงวัดเกาะแก้วซึ่งเป็นทายาทพุทธาคมจากหลวงพ่อเงินบางคลานโดนตรง
    2.หลวงปู่ศุขปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเรียนวิชาจากหลวงพ่อมหาโพธิวัดคลองมอญหลวงพ่อมหาโพธิเป็นศิษย์หลวงพ่อบุญยังวัดหนองน้อยลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ศุขปากคลองมะขามเฒ่า
    3.หลวงพ่อคงวัดใหม่บำเพ็ญบุญท่านเรียนวิชานี้จากหลวงพ่อเชื้อวัดใหม่บำเพ็ญบุญ
    4.หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิท่านเรียนวิชาของหลวงพ่อเดิมจากหลวงพ่อเชื้อวัดใหม่บำเพ็ญบุญอาจารย์ที่ท่านอยู่เรียนวิชานานที่สุด
    5.หลวงพ่อปานวัดบางนมโคท่านเรียนวิชาสายหลวงพ่อปานมาจากหลวงช่อ(ฤาษีลิงขาว)ศิษย์สายตรงหลวงพ่อปานคู่กับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    6.วิชาสายวัดประดู่ทรงธรรมอยุธยาตักศิลาแห่งพุทธาคมตั้งแต่โบราณ ท่านเรียนวิชาสายนี้จากหลวงพ่อเฉลิมวัดพระญาติ
    7.สรรพวิชาสายเขาอ้อตักศิลาพระเวทย์วิทยาคมที่ยิ่งใหญ่สุดสายใต้ ท่านเรียนพุทธาคมเขาอ้อจากท่านอาจารย์ณรงค์ฤทธิ ชัยคีรีลูกชายของฆราวาสชื่อดังตำนานเขาอ้อ อ.ชุม ชัยคีรี
    8.หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่จากหลวงพ่อเตี๊ยมวัดน้อยศิษย์เอกหลวงพ่อมุ่ย
    9.ศึกษาวิทยาคมจากหลวงพ่อผินะ วัดสนมลาว
    10.ศึกษาวิทยาคมจากหลวงปู่โต๊ะ วัดกำแพงเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งสิงห์บุรี
    11.ศึกษาวิทยาคมจากหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี องค์นี้หลวงพ่อฤาษีลิงดำรับรองคุณธรรมท่านเล่าว่าไปเจอหลวงพ่อจวนวัดหนองสุ่ม บนพระเกษแก้วจุฬามณี
    12.ศึกษาวิทยาคมจากครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า จ.ลำพูน
    13.ศึกษากรรมฐานจากหลวงปู่หลุย วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย ศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัติโตแม่ทัพธรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานปัจจุปัน
    #ที่สำคัญสุดยอดคือหลวงปู่โลกอุดรได้มาสอนวิชชาด้วยกายเนื้อในถ้ำที่อำเภอวิเชียรบุรีเพชรบูรณ์ จะเห็นได้ว่าท่านศึกษาพระเวทย์วิทยาคมมาจากทุกสายในแผ่นดินนี้ พระเวทย์วิทยาคมสรรพวิชาต่างๆที่ท่านเรียนมาไม่ใช่ใครจะเรียนได้ง่ายๆบางวิชาก่อนเรียนครูบาอาจารย์จะทดสอบด้วยการให้ท่านเพ่งใส้เทียนให้ขาดใน(ตัวเทียนภายนอกจะไม่ขาด)ถึงจะให้เรียนวิชา ท่านเล่าว่ากว่าจะเพ่งใส้เทียนให้ขาดได้ต้องใช้เวลาถึง7เดือนกว่าจะสำเร็จได้เริ่มเรียนวิชา บางวิชาต้องไปเรียนในป่าช้าเป็นเดือนๆบางวิชาเป็นสุดยอดของวิชาด้านเมตตาใครเห็นใครรักใครเห็นก็หลงจนท่านต้องนำวิชาที่เรียนสำเร็จนี้ปั้นใส่ดินเหนียวแล้วทิ้งน้ำ(อาจารย์ท่านสั่งให้ทิ้งน้ำหากไม่ทิ้งท่านจะต้องสึกหาลาเพศไปเป็นฆราวาสแน่นอน)
    #สรรพวิชามากมายที่ท่านร่ำเรียนมาท่านทำได้ให้เห็นจริงๆเช่นเสกตะกรุดลอยน้ำได้..วิชาน้ำมนต์มหาจินดามณีที่ท่านต้องเสกให้ทีละคนของใครของมันซึ่งใครจะอาบน้ำมนต์ต้องไปพบท่านก่อนแค่เพียงท่านมองหน้าท่านก็จะรู้ถึงปัญหาและวิธีแก้ไข ครั้งหนึ่งท่านไปทำพิธีเจิมป้ายภาพขณะที่ท่านกำหนดจิตรัศมีธรรมปรากฏให้เห็นยืนยันถึงพลังงานทางจิตที่สูงลึกล้ำ ทุกงานพิธีพุทธาภิเษกที่ท่านถูกนิมนต์ไปหลังเสร็จพิธีท่านจะบอกว่ามีกายทิพย์ของครูบาอาจารย์องค์ใดมาร่วมพิธีเทวดาองค์ใดมาอนุโมทนา
    #ท่านเป็นพระเหนือโลกยุคสองอีกองค์ที่เป็นศิษย์หลวงปู่โลกอุดรที่นับวันจะหายากขึ้น.."ท่านคือหลวงพ่อบัวลอย ญานรักขิโต วัดน้อย อ.อินทรบุรี จ.สิงห์บุรี เรื่องราวของท่านมีมากมายที่ยังไม่เคยเปิดเผย..ติดตามตอนหน้าต่อครับ

    #ขอบคุณที่ติดตามบทความนี้และหากเห็นว่าสาระดีมีประโยชน์ช่วยกดไลด์กดแชร์เผยแพร่เป็นวิทยาทานด้วยกันครับ
    FB_IMG_1553566491021.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พระเหนือโลกยุคสองทรงอภิญญาบารมี2
    หลวงพ่อบัวลอย ญาณรักขิโต วัดน้อย สิงห์บุรีท่านเล่าประสพการณ์การเรียนสรรพวิชาจากครูบาอาจารย์ของท่านตั้งแต่เริ่มบวชเณรครั้งยังเป็นวัยรุ่นว่าตัวท่านเองท่านชอบเกี่ยวกับเรื่องพระเวทย์วิทยาคมตั้งแต่จำความได้ครั้นพอบวชเณรกับหลวงพ่อเตี่ยม วัดน้อยหลวงพ่อเตี่ยมซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ซึ่งหลวงพ่อเตี่ยมนอกจากจะสอนพุทธาคมแล้วท่านยังจับสักยันต์ตามที่ท่านได้เรียนเต็มหน้าอกจนหลวงพ่อบัวลอยเจ็บจนระบม(จนในภายหลังท่านจึงไม่ขอไปเรียนวิชาโดยตรงกับหลวงพ่อกวยด้วยช่วงนั้นหลวงพ่อกวยดังมากในเรื่องการสักยันต์ขนาดคนมารอสักตั้งแต่เช้ายันค่ำยังสักไม่ครบคนเลย) เมื่ออายุครบบวชท่านจึงได้บรรพชาแล้วมุ่งหน้าออกแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อร่ำเรียนพุทธาคม โดยครั้งแรกได้ไปอยู่ยังวัดร้างไม่ไกลจากวัดน้อยมากนักเน้นภาวนาให้จิตเป็นสมาธิเป็นหลักจนเห็นว่าจิตเริ่มนิ่งสงบมีกำลังสามารถนั่งสมาธิได้นานครั้งละหลายๆชม.ท่านจึงเข้ากราบขอเป็นศิษย์หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อเชื้อท่านเป็นพระที่เป็นสหธรรมมิกกับกลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามถึงขนาดหากใครไปกราบท่านหากรู้ว่สใครมาจากอ.สรรพยา จ.ชัยนาท ท่านจะบอกให้ไปหาหลวงพ่อเชื้อ "เชื้อเขาเก่งนะไปหาเขาซิ" หลวงพ่อเชื้อท่านเป็นพระที่สมถไม่สะสมเงินทองไม่ยินดีในลาภใครสร้างกุฏิให้ท่านก็ไม่อยู่ ท่านจะจำวัดที่มุมศาลาวัดมีแค่มุ้งกลดเท่านั้นท่านบอกสะดวกดีแต่จริงแล้วพอถึงเวลาที่พระทั้งวัดปิดไฟจำวัดแล้ว หลวงพ่อเชื้อจะถือเสื่อแล้วเข้าไปในป่าช้านั่งปฏิบัติธรรมจนเกือบสว่างเมื่อได้ยินเสียงไก่ขันท่านก็ออกจากสมาธิเก็บเสื่อกลับมาที่ศาลา หลวงพ่อบัวลอยเมื่อเห็นคุณธรรมการปฏิบัติของหลวงพ่อเชื้อจึงเจริญรอยตามพอค่ำลงท่านก็จะตามหลวงพ่อเชื้อเข้าไปปฏิบัติในป่าช้าตลอดถึงสองปีเต็ม
    ที่วัดใหม่บำเพ็ญบุญมีฆราวาสผู้ทรงวิทยาคมเป็นศิษย์สายหลวงปู่ศุขปากคลองมะขามเฒ่าอยู่ท่านหนึ่งเป็นที่เรื่องลือในเรื่องหุงสีผึ้งเมตตามหาเสน่ห์ชงัดนักท่านจึงขอเรียนวิชาหุงสีผึ้งนี้ การหุงสีผึ้งนี้หากไม่มีพื้นฐานสมาธิที่ดียากที่จะเรียนได้เพราะต้องหาศพผีตายท้องกลมซึ่งไม่ใช่หาง่ายๆนานๆจึงจะมีก่อนอื่นต้องตั้งเครื่องบวงสรวงไหว้ครูแล้วขอขมาศพ จากนั้นนำสีผึ้งแท้มาพอกที่ใบหน้าผีตายทั้งกลมพร้อมทั้งลงอักขระกำกับพระเวทย์จนครบเจ็ดวันก็พลีสีผึ้งออกมาจากใบหน้าผีตายทั้งกลม(สภาพศพที่กำลังบวมขึ้นอืดน้ำเลือดน้ำหนองเนื้อที่กำลังหลุดหนอนที่ไต่ยั้วเยี้ยกลิ่นที่เหม็นเน่าสุดๆหากสมาธิไม่ดีพอเกิดความกลัวขึ้นมาคุมสติไม่อยู่อาจเป็นบ้าได้)เมื่อได้สีผึ้งมาแล้วก็หาฤกษ์ทำพิธีหุงจนสำเร็จ สีผึ้งนี้ท่านเล่าว่าเป็นสุดยอดของมหาเสน่ห์แตะใครเขาจะรักจะหลงไปจนตายห้ามนำไปใช้เรื่องที่ผิดศิลธรรมเด็ดขาด
    หลังจากที่ท่านหุงสีผึ้งสำเร็จมีคนมาขอนำไปใช้และได้แต่งงานอยู่กินกันจริงๆทั้งที่ไม่เคยชอบพอกันมาก่อนวันหนึ่งครูบาอาจารย์ท่านได้เตือนว่า"ให้ทิ้งวิชานี้เสียเพราะมันเป็นวิชาที่เป็น..โลกิยะ..หากไม่ทิ้งวิชานี้ท่านจะต้องสึกหาลาเพศพรหมจรรย์ออกไปมีครอบครัวแน่นอน" จวบกับท่านก็มานั่งทบทวนว่าหากมีใครนำไปใช้ในทางที่ผิดก็จะเป็นบาปเป็นกรรมอีกทั้งท่านได้พิสูจน์และได้ทำสำเร็จแล้วหมดสิ้นความสงสัย ท่านจึงถอนทิ้งวิชานี้ด้วยการนำวิชานี้พร้อมทั้งสีผึ้งที่เหลือโยนทิ้งน้ำไปแล้วเริ่มออกแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อเรียนสรรพวิชาอีกมากมายที่เคยได้ยินมาในอดีต
    *ติดตามตอนหน้าประสพการณ์เดินธุดงค์หาครูบาอาจารย์สิบกว่าปี พบครูบาอาจารย์พระเหนือโลกหลายองค์*
    หากบทความดังกล่าวยังประโยชน์แด่สาธุชนขอได้โปรดกดไลท์กดแชร์เผยแพร่เป็นวิทยาทานสืบต่อไปด้วยครับ
    FB_IMG_1553566566434.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พระเหนือโลกยุคสองทรงอภิญญาบารมีหลวงพ่อบัวลอยตอนที่3
    หลังจากที่ท่านมั่นใจว่าเอาตัวรอดได้แล้วจึงกราบลาครูบาอาจารย์เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นตามแบบพระป่าสะพายบาตรแบกกลดถือผ้าสามผืนสมาทานธุดงควัตรออกเดินธุดงค์มุ่งหน้าสู่ภาคอิสานที่เป็นตักกะศิลาวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่นและสายพุทธาคมในอดีตหลวงปู่สมเด็จลุนบ้านเวินไซที่มีลูกศิษย์มากมายในดินแดนอีสานใต้ หลวงพ่อบัวลอยท่านเดินขึ้นมาตามเส้นทางผ่านป่าเขาพักปักกลดตามถ้ำหรือป่าช้าห่างไกลจากผู้คนจนมาถึงอำเภอวิเชียรบุรี เพชรบูรณ์จึงได้แวะปักกลดยังถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ไม่ลึกมากแต่เงียบสงบสัปปายะดีทั้งยังไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนักขณะที่กำลังจะเตรียมทำวัตรเย็นก็พบพระภิกษุรูปหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งเกษาสีขาวดูน่าเคารพศรัทธายืนอยู่ที่ก้นถ้ำที่เป็นทางตันไม่มีทางเดินที่ผ่านมาได้ เมื่อหลวงพ่อบัวลอยเห็นพระภืกษุลึกลับในใจคิดว่าท่านคงไม่ใช่พระธรรมดาแน่จึงก้มลงกราบนมัสการ
    ขณะที่เงยหน้าขึ้นมากำลังจะถามพระลึกลับองค์นั้นได้กล่าวว่าเรามารออยู่นานแล้วตั้งใจจะมาแนะนำสั่งสอนเรื่องการปฏิบัติที่ยังติดขัดอยู่ เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้นหลวงพ่อบัวลอยจึงไม่กล้าซักถามอะไรเพราะแค่คิดจะถามท่านก็พูดคำตอบออกมาก่อนทุกครั้งจนเรื่องที่ติดขัดในการภาวนาได้ถูกขจัดออกไปหมดสิ้นฟังไปปฏิบัติตามไปจนเรื่องที่สงสัยหมดสิ้นจิตใจดื่มด่ำกับข้อธรรมมะและการปฏิบัติจนลืมเวลาว่านานเท่าไร พระภืกษุลึกลับองค์นั้นจึงได้บอกว่าให้เร่งปฏิบัติมีอะไรให้นึกถึงเราแล้วพระภิกษุลึกลับองค์นั้นก็เดินหายเข้าไปในผนังถ้ำต่อหน้าต่อตาเหมือนภาพในทีวีที่ถูกปิด พระภิกษุลึกลับองค์นี้ก็คือ"หลวงปู่โลกอุดร"บรมครูที่อยู่ดูแลศาสนาให้ครบห้าพันปีตามพุทธทำนาย
    จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์ต่อไปเรื่อยเจอครูบาอาจารย์ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงๆท่านก็จะแวะกราบขอแนวทางการปฏิบัติหรือขอเรียนพุทธาคม จนมาถึงพระธาตุพนมท่านได้พบพระเหนือโลกองค์หนึ่งเป็นพระภิกษุจากฝั่งลาวอายุ80กว่าพรรษาชื่อหลวงปู่ทอง ท่านองค์นี้หลวงพ่อบัวลอยเล่าว่าจิตของท่านเร็วมากคิดอะไรท่านรู้หมดแค่คิดอะไรยังไม่เอ่ยปากถามท่านก็พูดออกมาก่อนเลยดูท่านถูกชะตากับหลวงพ่อบัวลอยมากท่านได้สอนคาถาและแนวทางปฏิบัติให้ถึง3วัน3คืนจนท่านบอกท่านต้องข้ามแม่น้ำโขงกลับฝั่งลาวแล้ว หลวงพ่อบัวลอยท่านจึงถามว่าแล้วผมจะเจอหลวงปู่อีกมั้ยถ้าอยากเจอจะไปหาหลวงปู่ที่ไหน "หลวงปู่ทองบอกว่าอยากเจอเราให้จุดธูปแล้วเราจะมา" หลวงพ่อบัวลอยจึงบอกว่าหลวงปู่ยังไม่ตายให้ผมจุดธูปเรียกยังกับเป็นผีหลวงปู่ทองก็หัวเราะหลังจากนั้นหลวงปู่ทองก็แนะนำให้ไปหาหลวงปู่คำสหธรรมมิกของท่านที่บึงกาฬ หลวงปู่ทองบอกว่าสหธรรมมิกองค์นี้ไม่ธรรมดาวิชาลองไปกราบดูแล้วจะรู้เอง
    *เรื่องราวของหลวงปู่คำเก่งขนาดไหนและหลวงพ่อบัวลอยพิสูจน์ว่าจุดธูปแล้วหลวงปู่ทองจะมามั้ย ติดตามตอนหน้าอีกสองสามวันครับ*
    หากข้อเขียนนี้มีประโยชน์แก่ผู้อ่านขอให้ช่วยกดไลด์กดแชร์เพื่อเผยแพร่เป็นวิทยาทานด้วยครับ.
    FB_IMG_1553566635594.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #พระเหนือโลกยุคสองหลวงพ่อบัวลอยตอนที่4

    หลังจากกราบนมัสการลาหลวงปู่ทองพระอภิญญาชาวลาวแล้วหลวงพ่อบัวลอยก็เดินมุ่งหน้าเรียบเลาะตามลำน้ำโขงแสวงหาโมกขธรรมความหลุดพ้นถึงอ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ตั้งใจจะแวะกราบสักการะพระธาตุท่าอุเทนสักครั้ง คืนนั้นก่อนถึงพระธาตุท่าอุเทนท่านปักกลดเสร็จท่านนึกถึงหลวงปู่ทองที่บอกว่าถ้าอยากเจอเราให้จุดธูปดอกเดียวแล้วระลึกถึงเราๆจะมาหาหลังจากนั้นก็เข้าสมาธิภาวนาจนสมควรแก่เวลาพักผ่อนท่านจึงออกจากสมาธินั่งคิดว่าทำไมไม่เจอหลวงปู่ทองหรือหลวงปู่ทองพูดล้อเล่น
    เช้าวันใหม่ท่านเก็บกลดอัฐบริขาล8เรียบร้อยก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปที่พระธาตุท่าอุเทนพอพ้นประตูวัดเท่านั้นเสียงที่คุ้นเคยทักมาแต่ไกล"ทำไมมาช้าจังมารออยู่นานแล้ว"เสียงนี้ก็คือหลวงปู่ทองที่ท่านจุดธูปเรียกเมื่อคืนนั่นเอง หลังจากที่ท่านเข้าไปกราบสนธนาถามเรื่องข้อสงสัยเรียบร้อยท่านจึงมั่นใจว่าหลวงปู่ทององค์นี้ท่านไม่ใช่พระธรรมดาแน่นอนท่านต้องสำเร็จฌาน๔หรือสมาบัติ๘อย่างแน่นอน
    จากนั้นท่านจึงเดินทางขึ้นไปบึงกาฬเพื่อหาหลวงปู่คำพระสหธรรมิกที่หลวงปู่ทองแนะนำให้ไปหาพอถึงปากทางเข้าวัดที่หลวงปู่คำอยู่ท่านก็ได้พบกับ"หลวงปู่โลกอุดร"อีกครั้งหลวงปู่โลกอุดรบอกว่ามารอพบเพื่อแนะนำเรื่องที่หลวงพ่อบัวลอยติดขัดในการปฏิบัติท่านสอนอยู่ประมาณชั่วโมงแล้วหลวงปู่โลกอุดรก็กลับไปหลวงพ่อบัวลอยจึงเดินท่างเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่คำขอเรียนวิชาซึ่งหลวงปู่คำก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด
    วัดที่หลวงปู่คำอยู่ติดกับแม่น้ำโขงมีหมู่บ้านเล็กๆไม่กี่หลังคาเรือนพอบิณฑบาตรได้พอขบฉันท์แต่ที่แปลกคือเมื่อถึงวันพระใหญ่อาหารที่หลวงปู่คำบิณฑบาตรมาเป็นอาหารคาวหวานที่คนในเมืองใส่บาตรกัน หลวงพ่อบัวลอยเกิดความสงสัยตลอดมาวันหนึ่งจึงเรียนถามหลวงปู่คำถึงเรื่องนี้ท่านก็บอกว่าไปบิณฑบาตรมาจากฝั่งโน้นอีกฝั่งของแม่น้ำโขงยิ่งทำให้หลวงพ่อบัวลอยสงสัยมากขึ้นเพราะที่วัดก็ไม่มีเรือแล้วท่านข้ามไปได้อย่างไรที่สำคัญฝั่งลาวที่ตรงข้ามกับวัดก็มีแต่ป่าดงล้วนๆในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งหลวงปู่คำจึงบอกให้หลวงพ่อบัวลอยไปตัดไม้ไผ่มา5ลำแล้วผูกเป็นแพเล็กๆพอทำเสร็จดูแล้วไม้ไผ่แค่ห้าลำไม่น่าจะรับน้ำหนักได้หลวงพ่อบัวลอยก็ลองลงไปเหยียบแพ ไม้ไผ่ห้าลำก็ไม่สามารถทานนน.ได้จมลงน้ำทันทีไปบอกหลวงปู่คำท่านก็บอกว่าท่านไปได้แน่นอน
    เช้าขึ้นหลวงปู่คำก็สะพายบาตรแล้วก็เดินลงแพที่ทำไว้แต่คราวนี้แปลกแพกลับไม่จมหลวงปู่คำใช้ไม้ถ่อแค่ไม่กี่ครั้งแพก็ข้ามถึงอีกฝั่งเหมือนแพวิ่งข้ามฝั่งได้เองท่านเดินขึ้นขึ้นไปบนตลิ่งแล้วเดินหายเข้าป่าไปสักครึ่งชม.ท่านก็กลับมาที่ตลิ่งแล้วลงแพข้ามกลับมาพร้อมอาหารเต็มบาตรหลังฉันท์เสร็จหลวงพ่อบัวลอยก็ยังไม่สิ้นสงสัยกลับไปที่ริมตลิ่งลงไปในแพอีกแพก็จมน้ำอีกเปียกปอนทั้งตัว ท่านบอกว่าหลวงปู่คำท่านสำเร็จวิชาธาตุของสมเด็จลุน วิชาธาตุนี้สมเด็จลุนใช้ลอยข้ามแม่น้ำโขงมาไหว้พระธาตุพนมโดยยืนบนขอนไม้ท่อนเดียวต่อหน้าพระอาจารย์เกียน ฑีฆายุโก วัดสว่างวนาราม จ.สกลนครศิษย์หลวงปู่โลกอุดรที่เคยเรียนวิชาที่ภูเขาควายหนึ่งปีเต็ม ในตอนเป็นสามเณรศึกษาธรรมอยู่ที่วัดพระธาตุพนม(เล่าให้ผมกับสหายธรรมอีกสองท่านฟัง)หลังจากหลวงพ่อบัวลอยได้อยู่เรียนเรื่องธาตุกับหลวงปู่คำจนสิ้นความรังเลสงสัยแล้วหลวงปู่คำจึงแนะนำให้ไปขอเรียนวิชากับหลวงปู่คำคะนิง จุลละมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานีเพื่อขอเรียนวิชาสายสมเด็จลุนคือวิชาธรรมเก้าโกฏิที่คือสุดยอดสรรพวิชาของสมเด็จลุน
    *ตืดตามตอนหน้าหลวงพ่อบัวลอยพบหลวงปู่คำคะนิงครับ*
    #หากบทความนี้มีสาระประโยชน์ช่วยกดไลด์กดแชร์ด้วยครับ_ขอขอบคุณ
    FB_IMG_1553566705949.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...