หอใน...

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย thermalx, 20 เมษายน 2019.

  1. thermalx

    thermalx สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2019
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีเพื่อนๆ ชาวพันทิปทุกคนค่ะ นี่เป็นอีกกระทู้ที่เราอยากจะเล่าและแชร์ประสบการณ์อีกครั้งให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน ต้องบอกก่อนเลยว่า เรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริงที่เคยผ่านวัยเฟรชชี่ปี 1 มาก่อน แต่ตอนนี้เราจบมาได้ 3 ปีแล้ว เริ่มเลยนะคะ..........
    ………………………………………………………………………………………………………………………......

    เมื่อปี 54 เราสอบติดและได้เข้าศึกษาที่ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในภาคอีสาน (เราเป็นคนอีสานค่ะ) และเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างใหญ่ และมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง หลังจากที่เราได้เข้ารับการรายงานตัว ณ ตอนนั้น ทาง ม. ได้แจ้งว่า นักศึกษาปี 1 ทุกราย ต้องพักที่หอพักของ ม. เท่านั้น (ซึ่งภายหลังเรามาทราบจากเพื่อนๆ ว่า จริงๆ แล้วทาง ม. ก็ไม่ได้ฟิกซ์อะไรนะ เพื่อนๆ ก็พักหอนอกกัน เรางงเลย...ว่าทำไมตอนเราเจออาจารย์ อาจารย์ถึงบอกให้พักหอใน) แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าพักที่ไหนก็เหมือนกันแหละ แถมอีกอย่าง พักหอในก็ราคาถูกกว่าหอข้างนอกด้วยเลยปล่อยผ่าน และในระหว่างที่นักศึกษาใหม่กำลังมอบตัว ก็จะมีทั้งเจ้าหน้าที่ อาจารย์ และรุ่นพี่นักศึกษาอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก เราเองก็น้องใหม่ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เลยถามรุ่นพี่ที่เรากำลังจะเข้าศึกษาสาขาเดียวกันกับพี่เขาว่า “พี่คะ พี่ว่าหนูพักหอไหนดีคะ **พร้อมกับยื่นกระดาษให้ดู” เหตุผลที่เราถามไปแบบนั้น เพราะว่าระหว่างการรายงานตัว จะมีพี่ จนท. เอากระดาษที่มีลิสต์รายชื่อหอพัก พร้อมระบุด้วยว่าอยู่ ม.เก่า หรือ ม.ใหม่ (ทาง ม. เรา จะมีแบ่งเป็นสองส่วน โดยทั่วไป จะเรียกกันง่ายๆ ว่า ม.เก่า กับ ม.ใหม่ ที่พึ่งสร้างขึ้นมาทีหลังค่ะ) มาให้เราเลือก เพื่อที่จะให้เราทำการชำระเงินค่าหอพัก พร้อมมัดจำ ทาง จนท. จะได้จัดเตรียมห้องพักให้เราพร้อมอยู่ ตอนนั้นเราเองก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าเลือกหอไหน เลยเลือกถามรุ่นพี่ รุ่นพี่เลยตอบว่า “ส่วนมากสาขาเราจะเรียน ม. เก่า นะ พี่ว่าพัก ม.เก่า ดีกว่า จะได้เดินทางสะดวก ไม่ไกล” หลังจากที่รุ่นพี่พูดจบ เราก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราเลือกหอพักที่อยู่โซน ม.เก่า ซึ่งก็มีด้วยกันอยู่หลายหอพัก หลายอาคาร ตอนนั้นเราเลือกหอพักที่มีชื่อนำหน้าขึ้นด้วยตัว พ. ค่ะ พอเลือกเสร็จ และทำธุระในการรายงานตัวทุกอย่างเรียบร้อย เรากับแม่ก็เดินทางกลับบ้าน อ่อ...ลืมบอกไป ว่าตอนไปรายงานตัว แม่เราพาไปนะคะ ไม่ได้ไปคนเดียว และบ้านเรากับ ม. ก็อยู่คนละจังหวัด นั่งรถมินิบัส 3 ชม. ถึงค่ะ แล้วหลังจากกลับบ้าน เราก็รอวันที่จะต้องย้ายของเข้าหอพัก ....พอถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเป็นนักศึกษาอย่างเต็มตัว และนอนห่างบ้าน ตอนนั้นเราแอบดีใจนิดๆ นะคะ กะว่าพอออกไปเป็นเด็ก ม. ไกลพ่อไกลแม่ ก็จะได้เที่ยวตามใจฉัน 5555 (นิสัยไม่ดีเลย) ....แต่มันก็คิดแบบนั้นได้ไม่นาน.....เพราะอะไรน่ะหรอคะ? ลองอ่านต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ
    วันแรกที่เราเข้าพักที่หอพักของ ม. แม่เรามานอนเป็นเพื่อน 1 คืน เพราะกลัวว่าเราจะกลัว แล้วเราเองก็ไม่เคยนอนทีไหนนอกจากบ้านของตัวเอง แม่ก็เลยค่อนข้างเป็นห่วง แต่คืนแรกก็ผ่านไปได้ด้วยดี จะมีก็แต่เพียงแค่เราฝัน ....คืนนั้นเราฝันว่าเรานอนอยู่ในหอพัก บรรยากาศภายในห้องเป็นแบบห้องจริงที่เราพักอยู่เลย สักพักมีผู้หญิงอายุราวๆ 35-40 ปี ผมสั้น ใส่ชุดสีขาวเหมือนชุดที่เขาใส่ปฏิบัติธรรมในวัด มายืนอยู่ข้างเตียงที่เรากำลังนอนอยู่ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ ก้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ กับหน้าเรา ก้มลงมาเรื่อยๆ จนเกือบชิดกับหน้าเรา ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเขากำลังสงสัยว่าเราเป็นใคร สักพักร่างของเขาเปลี่ยนเป็นผู้ชายใส่ชุดดำ ตอนนั้นเราตกใจสะดุ้งตื่นทันที! แล้วภาพที่เราได้เห็นตอนที่เราตื่น คือเรานอนเอาแขนไขว้กันเหมือนกากบาท ทำท่าประมาณว่ากันไม่ให้อะไรเข้ามาใกล้ ตอนนั้นเราตกใจตัวเอง แต่พอตื่นมาก็เช้าแล้วเลยไม่ได้คิดอะไรมากคงเป็นแค่เพียงฝัน ....พอช่วงบ่ายแม่เราบอกว่าจะขอกลับบ้านก่อน เพราะห่วงบ้านแล้วก็พ่อที่อยู่คนเดียว เราเองก็โอเค ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไร เราเลยให้แม่กลับบ้าน พี่ จนท. ก็แจ้งมาก่อนหน้านั้นแล้วว่า จะมีคนมาพักด้วยอีก 2 คน (หอพักเรา พักห้องละ 4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น) สรุปคือ ห้องที่เราพักอยู่ จะมีคนมาพักด้วยอีก 2 คน รวมเราด้วยเป็น 3 คน วันนั้นหลังจากที่แม่เรากลับบ้าน เราก็แอบคิดแล้วว่า คงต้องมีใครมาพักที่ห้องบ้างล่ะ (เพราะเราไม่เคยนอนหอพัก แล้วก็ไม่เคยนอนคนเดียว ใจแอบกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น) แต่ไม่เลยค่ะ ไม่เป็นอย่างที่คิดเลย คือ เราต้องนอนคนเดียวถึง 2 คืน กว่าจะมีคนเข้ามาพัก (ตอนนั้นเราค่อนข้างตื่นเต้น เลยเข้ามาพักที่หอพักก่อนมีเรียนและกิจกรรมต่างๆ และคิดว่าคนอื่นคงเป็นเหมือนเรา แต่เปล่า -_-) จะบอกว่าจำความรู้สึก 2 คืนนั้นได้แม่น คือไม่ได้เจอหรือได้ยินอะไรหรอกนะคะ แต่มันเป็น 2 คืนที่ยาวนานมากกกกก รู้สึกทรมาน อยากให้มีคนมาพักด้วยเร็วๆ กลัว หลอนตัวเองไปหมด เปิดไฟนอนทั้งคืน มีไฟกี่ดวง กี่หลอดเปิดหมด แม้กระทั่งไฟระเบียง ไฟห้องน้ำ 55555 ....พอหลังจาก 2 คืนนั้นผ่านพ้นไป ก็มีเพื่อนร่วมห้องเข้ามาพักด้วย ขอเรียกชื่อแทนว่า โบว์นะคะ วันนั้นมีแค่โบว์ที่เข้ามาพัก ส่วนอีกคนยังไม่มา .....วันนั้นเราเองก็ได้ถามไถ่โบว์ ว่าเรียนสาขาอะไร ปีไหน ชื่ออะไร บลาๆๆ คุยกันเรื่อยเปื่อย ตามประสาน้องใหม่ทั้งคู่ ได้ความว่าโบว์ เรียน การ รร. ปี 1 พอหลังจากอีก 1 วัน ก็มีคนเข้ามาพักเพิ่ม เขาเป็นรุ่นพี่ปี 2 เขาบอกว่าเขาพักห้องนี้ตั้งแต่ปี 1 แล้ว เรียน การ รร. เหมือนโบว์เลยค่ะ ขอแทนชื่อพี่เขาว่า ก้อย นะคะ หลังจากที่เราเข้ามาพักครบทั้ง 3 คนตามที่พี่ จนท. ได้แจ้งไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว พวกเราทั้ง 3 คน ก็ใช้ชีวิตเหมือนเด็กมหาลัยทั่วไป ไปเรียน ไปทำกิจกรรมต่างๆ วนอยู่อย่างนั้นในแต่ละวัน จนขึ้นปี 2 ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรผิดปกติ จะมีก็แต่พี่ก้อยที่เริ่มไม่ค่อยกลับห้อง นานๆ ทีจะกลับมาพักบ้าง ส่วนเรากับโบว์ก็ยังคงเหมือนเดิม ....แต่ไม่นาน หลังจากขึ้นปี 2 มันก็เริ่มไม่เหมือนเดิม ...คืนวันนั้นเป็นวันพระ(ที่เราจำได้ว่าวันพระ เพราะพอเช้ามาเราถามกันว่าเมื่อคืนวันพระหรือเปล่า) เรากับโบว์คุยกันเรื่อยเปื่อย เหมือนอย่างทุกๆ วัน ...สักพักมีกลิ่นแทรกเข้ามาในจมูก หือออออ!!! เรากับโบว์อุทาน “กลิ่นธูป” เรากับโบว์อยู่ในห้องกัน 2 คน ตอนนั้นพวกเราตกใจมาก!! ทั้งกลัว ทั้งสงสัย... หลังจากพูดจบโบว์ค่ะ โบว์วิ่งออกไปนอกห้องพร้อมกับกรี๊ดเสียงดัง เราเองก็บ้าจี้ตามกรี๊ดแล้วก็วิ่งตามโบว์ออกไป 55555 (ตอนนั้นคือทั้งอยากจะขำ ทั้งอยากจะร้องไห้)
    แทงบอลฟรี2019
    แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าพอเราทั้ง 2 คนกรี๊ด และวิ่งออกไปนอกห้อง ไม่มีใครเปิดประตูออกมาดูเราเลยสักคน ....พอหลังจากที่เรากรี๊ดและยืนอยู่ตรงประตูห้องสักพัก เราทั้ง 2 คนก็ตั้งสติ เพราะคิดว่าที่นี่คือห้องพักของเรา ยังไงเราก็ต้องพักที่นี่ เราทั้ง 2 คน เลยรวบรวมความกล้า เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แต่ไม่ปิดประตู 5555 ...พร้อมกับดมไปทั่วห้อง เพื่อหากลิ่นว่ามาจากตรงไหน... แต่หายังไงก็หาไม่เจอ สักพักกลิ่นก็เริ่มจาง เราทั้ง 2 คน เลยคุยกันว่ามันคงไม่มีอะไร คนเค้าคงจุดธูปไหว้อะไรกันมั้ง (ซึ่งมันก็เป็นไปได้) หลังจากเหตุเกิดในคืนนั้นได้ไม่กี่เดือนโบว์บอกกับเราว่า เขาจะย้ายเข้าไปพักที่ ม. ใหม่ เพราะว่าวิชาที่เขาลงไว้ ส่วนมากเรียน ม. ใหม่ จะได้เดินทางสะดวก ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเหตุผลนั้นจริงๆ หรือเปล่า เพราะเท่าที่เรารู้มา ตึก การ รร. อยู่ ม.เก่า แต่เขาอาจจะมีวิชาเลือกเรียนส่วนมากที่ ม. ใหม่ จริงๆ ก็ได้ เราเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเขามาก ....ตอนนั้นเราเองก็แอบใจหายนิดๆ เพราะว่าถ้าโบว์ย้ายออกไป ก็เท่ากับว่า เราต้องพักที่นี่คนเดียว เพราะปกติพี่ก้อยก็ไม่ค่อยได้กลับห้องสักเท่าไหร่ ....พอหลังจากที่โบว์ย้ายออกไป เราก็ใช้ชีวิตปกติ เรียน ไปเที่ยวกับเพื่อน ทำกิจกรรม กินข้าว นอน ดูทีวี วนอยู่แบบนี้แบบไม่ได้คิดอะไร แต่แล้วไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกครั้ง วันนั้นเราเลิกเรียนช่วงเย็น กว่าจะกลับมาถึงห้องก็เกือบมืดเพราะว่ารถวิ่งช้ามากกกๆๆ **เรานั่งรถโดยสารไปเรียนค่ะ เพราะไม่มีมอเตอร์ไซค์ (ที่เราเรียนปี 1-2 ส่วนมากจะเรียน ม.ใหม่ค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังงอยู่เลย ว่าทำไมวันนั้นรุ่นพี่ถึงบอกว่าส่วนมากเราเรียน ม.เก่า เห้อออ -_- **ม.เก่า กับ ม.ใหม่ ไกลกันเกือบ 10 ก.ม. ได้มั้งคะ) พอเข้ามาถึงห้องพักเราล้มตัวลงนอนเลยค่ะ เพราะรู้สึกเพลียและง่วงมากจนเผลอหลับไป แบบไม่ได้เปิดไฟ หรือเปิดทีวี โดยไม่รู้สึกกลัวเพราะอยู่ห้องนี้มาปีกว่าแล้ว เริ่มชิน ....พอเรานอนไปได้สักพัก เราได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงหัวเราะ แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นเสียงคนในหอพัก (เริ่มสะลึมสะลือตื่น) สักพักได้ยินอีกรอบ รอบนี้คือชัดเลยว่าเป็นเสียงผู้หญิงหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างหู หัวเราะแบบเนิบๆ ช้าๆ ออกแนวเหมือนคนหัวเราะเยาะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงเด็กหรือเปล่า เพราะเบามาก แต่มันก้องในหู วินาทีนั้นรีบลุกเลยค่ะ!!! เปิดทีวี เปิดไฟทุกดวง เหมือนวันแรกที่เข้ามาเลย... ตอนนั้น ทั้งงง ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทำอะไรไม่ถูกเลย เราเลยตัดสินใจโทรหาแม่ โทรคุยอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ได้บอกแม่เรื่องที่เราได้ยินนะคะ เพราะเรากลัวว่าถ้าเราพูดแล้วเขา(สิ่งที่มองไม่เห็น)จะได้ยิน แล้วยิ่งโกรธ บ้ามั้ยล่ะคะ ^^ แต่พอได้คุยกับแม่ความรู้สึกก็เริ่มโอเคขึ้น เราไปอาบน้ำ ต้มมาม่ากิน แล้วก็นอนดูทีวี เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย จนเผลอหลับ พอตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว เห้ออออ...โล่งงง >< เราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวันทั่วไป ....เย็นของวันนั้นพี่ก้อยก็กลับมาพักที่ห้อง เรา 2 คนนอนคนละมุมของห้องพัก แต่จะวางทีวีไว้ตรงกลางของห้อง เพื่อให้ได้ดูด้วยกัน เรานอนดูทีวีและเล่นโทรศัพท์เหมือนที่เคยทำ ตอนนั้นเราเองยังคาใจเสียงที่ได้ยินเมื่อเย็นวาน(ตามประสาสัญชาตญาณมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็นไม่มีวันจบสิ้น) เลยตัดสินใจเอ่ยปากถามพี่ก้อยออกไปแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะใจนึงก็กลัวเขา(สิ่งที่มองไม่เห็น)จะโกรธ ว่า “พี่ก้อยคะ พี่ก้อยเคยได้ยิน หรือเห็นอะไรแปลกๆในห้องเรามั้ยคะ” พอพูดจบ พี่ก้อยหันมามองหน้าพร้อมกับยิ้มให้ แล้วก็ขำเบาๆ แล้วพี่ก้อยก็ถามกลับว่า “ทำไมหรอ เห็น หรือ ได้ยินล่ะ” เรายิ้มแบบแห้งๆ แล้วตอบกลับไปว่า “ได้ยินเสียงหัวเราะค่ะ” แล้วพี่ก้อยก็ยิ้มตอบกลับมาอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า ....พี่ก็เคยได้ยิน แต่เป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้นะ ไม่ใช่หัวเราะ.... ตอนนั้นเราขนลุก ทั้งตัว ทั้งหัว หื่มมมม... แล้วพี่ก้อยก็เสริมมาอีกว่า “ไม่มีอะไรหรอก ของแบบนี้มีอยู่ทุกที่แหละ อย่าคิดมาก” ตอนนั้นเรายิ้มตอบรับแทนคำขอบคุณไปให้พี่ก้อย แต่ในใจก็นึกกลัว... แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปเหมือนทุกๆ วัน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จนกระทั่ง!!!...
     

แชร์หน้านี้

Loading...