ตอบปัญหา-นักภาวนา:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 26 มิถุนายน 2018.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    EBE9CF61-9D2E-4CC0-904B-7C7E71B826C4.jpeg

    ด้วยมีคณะศิษยานุศิษย์ได้ขอโอกาสจาก
    องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร สอบถามปัญหา
    จากการปฏิบัติ บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑
    หากขาดตกบกพร่อง ลูกขอขมากรรมต่อ
    องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร ด้วยเศียรเกล้า

    บทสนธนาธรรมดังต่อไปนี้มีความยาว ข้าพเจ้าจึงขอทยอยนำมาลงเป็นตอน ๆ เพื่อความสะดวกในการอ่าน

    สนทนาธรรม
    "องค์หลวงปู่น้อย : ถ้าจิตเห็นจิตจริง ๆ นะ มันรวมกันเป็นอันเดียวแล้ว แต่ถ้าจิตเห็นความคิดใช่ ครูบาอาจารย์จึงว่าจิตคือตัวปรุงตัวแต่ง ลองให้จ้องจิต จิตดูจิตเพียงเป็นสมมติให้เราทราบ ความเป็นจริงแล้วจิตจริงๆมันไม่มีตัวปรุงตัวแต่ง เวลาที่เอามาสอนไม่รู้จะสอนว่าอย่างไร เอ้า..สอนให้มันง่ายนี่แหละให้เอาจิตดูจิตนะ จิตคืออะไรจิตคือความคิดแล้วตัวดูละ ตัวดูก็คือตัวดูว่าตัวนี้ปรุงแต่ง มันก็มีความคิดดูเท่าเก่ามันใช่ไหมละ เพิ่นก็เลยใช้ว่าจิตดูจิตง่ายไหม ก็สอนเป็นสมมติเฉย ๆ
    ถ้าลูกไปอยู่สภาวะนั้นให้ลูกนิ่งอยู่จุดนั้นให้ตัวรู้มันมากขึ้น ๆ ๆ ๆ ลูกจะคิดว่าต้องการให้เป็นสิ่งนั้นถ้าตัวรู้เป็นสิ่งนั้น ถ้าลูกคิดว่าลูกจะทำให้เป็นสิ่งนั้นแสดงว่าตัวรู้ของลูกเริ่มกระจายแล้ว ลูกต้องรู้สภาวะความเป็นจริง รู้อย่างเดียวมันจะเป็นอะไรก็ช่างมันตรงนั้น พอเข้าใจไหม มันจะเป็นอะไรก็ได้ให้มันรู้ มันจะเป็นโน่น เป็นนี่ เป็นอะไรก็ช่างมัน คือปล่อยมันไปอย่าไปคิดว่าเหมือนที่ลูกพูดว่า เวลาตัวรู้แบบนั้นทำไมมันจึงทำไม่ได้ ถ้าลูกคิดตัวรู้ลูกก็จะเบาลงมีตัวอื่นมาแฝง แต่ถ้าลูกรู้เฉย ๆ รู้อยู่อย่างเดียวทนอยู่อย่างเดียวที่ตัวรู้ไม่คิดที่จะไปหน้า ไม่คิดที่จะกลับหลัง หรือไปซ้ายไปขวาตัวรู้มันจะมากขึ้น เหมือนกับน้ำเราเทใส่ถังมันไม่รั่วซักทีถ้าลูกจะใช้ว่าน่าจะไปนี่น้ำมันก็ไหลออกไปเหมือนเปิดก๊อกน้ำไหลออกไป แต่ถ้าลูกปิดไม่ยอมเปิดเทน้ำใส่เรื่อย ๆ รู้เรื่อย ๆ ตัวรู้มันจะใหญ่ เขาเรียกว่าเป็นความรู้ที่สามารถต้านทานกับความคิดได้ลูกจะเข้าใจเองว่าสิ่งที่ลูกเคยเจอคืออะไร พอเข้าใจไหมถ้าไม่เข้าใจถามนะเดี๋ยวจะว่าไม่ได้ถามพ่อหลวงปู่ ถามเลยมาไกลนี่ถามอนุญาตให้ถาม

    โยม : คืออย่างนี้ดิฉันนะเคยปฏิบัติสมถะก็ปฏิบัติมาแล้วแต่ก็ยังไม่อะไรเลย แล้วก็กสิณก็เคยปฏิบัติมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าถึงไหนแล้ว เพราะไม่เคยอ่านหนังสือไม่เคยถามใคร แล้วตอนนี้ในเมื่อเรานั่งเราทำสมถะเนี่ยมันได้แต่นิ่งเฉย ๆ มันไม่เกิดอะไรขึ้นเลย มันนิ่งไปเลยมันไม่มีอะไรเลยมันสุขอย่างเดียว มันไม่ทุกข์มันไม่เหมือนก็เลยคิดว่ามันไม่เกิดอะไรมันไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ก็เลยเลี้ยวมาวิปัสสนา ก็เลยไปเจอครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งแต่ก่อนเจอครูบาอาจารย์นี่ทำมาแล้วแต่ไม่ได้อะไรเลย วิปัสสนาทำมาก่อนเพราะลูกชายสอนแล้วก็พอเจอครูบาอาจารย์ก็ถามว่าเนี่ยฉันปฏิบัติมาอย่างเนี่ยวิปัสสนาตามดูจิตเนี่ยแล้วก็ฉันก็ไม่เกิดอะไรเลยแล้วครูบาอาจารย์ก็เทศน์ไปสอนไปจนเข้าใจในวันนั้นก็มีความปิติมากเลยจนกลับจากปล่อยปลาแล้วก็ตั้งใจจะทำให้ยิ่งๆให้เต็มที่ อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเรียบร้อยนั่งไปซักประมาณ ๑๐ นาที โอโห้มันเกิดความขี้เกียจอย่างกะทันหัน ขี้เกียจชนิดทำต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็เลยเลิก ยังไม่ละความพยายามวันต่อมาก็ทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันเกิดร้อนแค่ข้อเท้า ร้อนเหมือนกับไปเหยียบเหล็กร้อน ๆ อันนี้ก็เลยบอกครูบาอาจารย์ว่าไม่ไหวแล้วนะจะเลิกทำแล้วฉันทนไม่ไหว ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจะไปเอามาทำไมมันไม่ใช่ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็เข้าบ้านก่อน ก็ท่านก็สอนมาว่าให้เข้าบ้านก่อนแล้วก็ชำเลืองดูถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็เข้าบ้านก่อนท่านก็สอนมาอย่างนี้เข้าใจแต่ยังไม่ได้ทำ แต่ว่าจะถามหลวงปู่ว่ามันจะเกิดอีกไหม หนทางวิปัสสนาทำไมมันไม่มีสุขเลยเหรอมันมีแต่ความทุกข์ใช่ไหม

    องค์หลวงปู่น้อย : หลวงปู่จะตอบตั้งแต่เริ่มต้นที่พูดมาเมื่อกี้นี้ ที่บอกว่าให้จิตดูจิต ตอนแรกเนี่ยเราไม่เห็นมันเพราะเรายังไม่ได้ดูว่ามันคืออะไร พอเรามาดูเราก็เห็นมันเห็นความขี้เกียจ เห็นความร้อน น่าจะภาคภูมิใจว่าเราได้เห็นมันแล้ว

    โยม : นั่นหรือมัน

    องค์หลวงปู่น้อย : ใช่มันมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเรายังไม่เคยเห็นมัน ทีนี้เราลองพิจารณาดูและก็ลองดูว่ามันคืออะไร ที่ใช้สมมติพูดให้ฟังเมื่อกี้ว่าใช้จิตดูจิต ก็เลยไปเห็นตัวที่มันปรุงมันแต่ง ตัวขี้เกียจ พอเห็นตัวขี้เกียจแล้วก็เลยขี้เกียจตามมัน นั่นละเขาเรียกว่าไม่ใช่การวิปัสสนาให้มันเห็นแจ้ง เห็นแจ้งก็เห็นว่าตัวขี้เกียจมันเป็นอย่างนี้เองมนุษย์ทุกคนก็มีตัวขี้เกียจ และก็พิจารณาไปอีกมนุษย์ก็มีตัวขยันแล้วก็มีตัวขี้เกียจเสริมกันไป ความคิดมันก็มีขยันมันมีขี้เกียจ ความคิดมันมีสุขแล้วก็มีทุกข์ แล้วเอาจิตพิจารณามันเมื่อพิจารณาโดยท่องแท้แล้ว อ๋อ..ความจริงความขี้เกียจความไม่ขี้เกียจเนี่ยมันอยู่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่ก่อนเราเพียงแต่ทำสมถะเพื่อกลบมันไว้ โดยความตั้งใจคือปิติตัวนั้นความขยันมันโผล่มาก่อนโดยที่เราไม่เห็นว่าตะกอนมันนอนก้นอยู่ตรงนั้นคือความขี้เกียจที่มีเยอะมากกว่าที่น้ำใสมันไหลออกมา เมื่อมันเป็นลักษณะนั้นครูบาอาจารย์จึงบอกให้วิปัสสนาโดยการใช้จิตดูจิตใช่ไหมละ เมื่อใช้จิตดูจิตตัวน้ำใสนั้นมันมีไม่มากเรากินแล้วตั้งแต่เราได้สมถะเราก็เลยไปเห็นตัวน้ำที่มันนอนก้นตัวที่เป็นน้ำขุ่นตัวขี้เกียจ มันนอนไม่รู้ไปไหนละนอนลูกเดียว พอยายไปเจอยายก็ขี้เกียจเลยทั้งที่ยายเห็นมันแล้วตัวนี้เองตัวขี้เกียจที่ทำให้คนวุ่นวายก่ายกองไม่เอามันอีกแล้ว มันก็ปล่อยได้เลย มันสะสมตั้งแต่หลายภพหลายชาติ มันเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ว่าเราจะได้ขี้เกียจอีก ก็เห็นมันแล้วทำไมต้องไปกลัวมัน มันน่ากลัวเหรอ
    หลวงปู่จะพูดให้ฟัง หลวงปู่อยู่บ้านหลวงปู่มีแต่สมถะเหยียบไว้เลยความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง เป็นฆาราวาสเหมือนลูกนี่ละเป็นหนุ่ม เหยียบเลยตั้งแต่ 20 ปี เหยียบ ๆ ๆ คราวนี้เวลามันจะโผล่ไม่รู้จักว่ามันคืออะไรเพราะมันกินในหัวใจตัวนี้ไงต้องไปตามมัน ก็กลับไปหลงทางโลกกว่าที่จะเห็นตัวมันจริง ๆ เห็นแบบไหนเห็นแบบบังคับมันได้ชีวิตทั้งชีวิตต้องแลกเลย
    สมถะมันสบายถ้าจะพูดถึงมันสบายชั่วครู่ชั่วคราว แต่มันไม่สบายตลอดคือมันไม่สบายตลอดเราคิดว่าเราจะอยู่สมถะอย่างนี้ตลอดไป มันก็ไม่ตลอดไปเหมือนกับที่คิด ก็เหมือนเรานอนหลับ จะนอนทั้งวันทั้งคืนมันก็ไม่ยอม มันอิ่มแล้วมันก็ต้องลืมตาขึ้นมาแล้วนอนอีกมันก็ไม่ยอมหลับ สมถะก็เฉกเช่นเดียวกันทำอย่างไรมันก็ไม่สามารถที่จะได้ตามใจเราต้องการเพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรานี่มันก็เลยเป็นวิปัสสนาญาณ อยากทราบว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เราทิ้งทุกอย่าง ไม่เอา เมื่อทิ้งทุกอย่างตัวจิตที่มันยึดถือมันก็จะปล่อยไปตัวขี้เกียจก็ไม่เอา ตัวขยันก็ไม่เอาวางภาระทุกสิ่งอย่างมันจึงเข้าสู่จิตเดิมที่ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นจิตตัวนั้นเรียกว่าจิตอรหันต์

    โยม : แล้วที่มันเกิดขึ้นมันร้อนมาที่ข้อเท้าร้อนแบบเหยียบเหล็กร้อน ๆ หลวงปู่ว่าจะแก้ไขอย่างไร

    องค์หลวงปู่น้อย : มันร้อนมาอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เรายังไม่เข้าไปรู้ไปเห็นเพราะวิปัสสนาญาณยังไม่หยั่งทราบ

    โยม : อย่างนี้ไม่น่าจะเรียกว่าวิปัสสนา

    องค์หลวงปู่น้อย : วิปัสสนาคือการทราบตามความเป็นจริง ร้อนก็คือความจริง หนาวก็เป็นความจริง ร้อนแค่ข้อเท้าหรือร้อนแค่จุดนิดหนึ่ง หรือร้อนทั่วตัวมันก็เป็นสภาวะความเป็นจริงเพราะว่ามันเป็นธาตุทั้งสี่ ที่ร้อนก็คือธาตุไฟ ที่เย็นก็คือธาตุน้ำ จะว่าไงก็พูดตามหลักคำสอนแล้วก็พูดตามที่ได้รู้ได้เห็นมา หลวงปู่จึงตัดสินใจทิ้งขันธ์ ทิ้งความร้อน ฟังนะที่หลวงปู่ทิ้งได้ ลูกๆก็ฟัง ที่หลวงปู่พูดถึงว่าจิตเดิมเป็นจิตผ่องใส จิตตัวนั้นที่ผ่องใสแต่ว่ายังไม่ใช่จิตเดิม ไม่ใช่จิตอรหันต์ เป็นจิตเดิมที่มีการยึดมั่นถือมั่นแต่มันผ่องใสไม่มีเพศหญิงเพศชายแค่นั้นไง แต่ที่หลวงปู่บอกว่าเข้าสู่จิตเดิมที่เรียกว่าเป็นจิตเดิมที่เป็นอรหันต์ที่เรียกว่าจิตไม่มีความยึดมั่นถือมั่นใช้สมมติว่าจิตเดิม เดิมคือบริสุทธิ์ แต่บริสุทธิ์ตัวนั้นต้องแยกออกเป็นสองด้วยที่เป็นปภัชรมันจะเข้าสู่จุดนั้นแต่ว่ามันไม่ยึดมั่นถือมั่นแค่นั้นเอง แต่ตัวเดิมจริง ๆ ปภัชรตัวนั้นมันมีตัวยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับคนเราที่มันมีเงาโดยที่เราไม่ทราบว่าเรามีเงา” (ต่อตอน ๒)

    โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
    ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑
     
  2. thna

    thna สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +73
    นมัสการพระคุณเจ้าครับ นมัสการเรียนถามท่านว่าจิตดูจิตก็คือใช้ความคิดตามดูความคิดใช่ไหมครับ แล้ววิธีการเริ่มทำยังไงครับนั่งนิ่งๆดูความคิดหรือต้องมีองค์ภาวนาจนมีความคิดผุดขึ้นจึงตามดูครับขออภัยถ้าล่วงเกินท่านด้วยรู้เท่าไม่ถึงการในคำถามนี้ขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...