ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…หลวงปู่จันทา ถาวโร ใช้คาถาปราบผีโป่ง…ที่ผาอีเมย อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร…”

    “…เมื่อพักอยู่ที่ดงผาลาดพอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน

    ครูบาอาจารย์ท่านก็แนะนำพร่ำสอนว่า เรื่องการเจริญสมณธรรมนั้น ให้ไปสู่สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นสถานที่เผ็ดร้อน แล้วการเจริญภาวนามันก็เยือกเย็น จิตสงบได้เร็ว บางภูมิ บางสถานที่เป็นเปรต เป็นผี เป็นยักษ์โขโมฬีร้ายกาจ ทำพิษต่าง ๆ นา ๆ แต่แล้วท่านก็สอนว่า เมื่อไปอยู่สถานที่นั้น ก็จงชำระศีลให้บริสุทธิ์แล้วจะไม่เป็นอันตราย เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็รู้เหมือนกันว่า เป็นพระปลอมหรือพระจริง

    นั่นแหละก็เลยเดินทางถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้วทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่ได้เดินจงกรมเพราะเดินทางไกลมาแล้ว

    พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียงเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้นขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดังตึ้ง…ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้าวิ่งหนีเข้าป่าไป

    โอ๋…นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาเพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวนหวังเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะมาลองดูกันว่า คาถาอาคมใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาได้ระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า….

    อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเสพุทธะนาเม อิอิเมนาพุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธปิติอิ ตะโจ พระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสัง พระธรรมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฎฐิ พระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด…

    จบแล้วก็เป่าพึ่บ…ไฟนั้นก็แตกกระจายไปสีแดง ๆ หายไปกลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคนโป่งไปเลย

    คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเข้ามาหา (บ้านดงนาซอนเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกันแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้นก็อธิบายธรรมะให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า…

    “โยม…เมื่อเย็นนี้ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้าแล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย และไม่นานก็เป็นนิมิตเป็นไฟป่ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?”

    “อ๋อ…ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่หัวล้านเพ่อเว่อนั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันมาก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน”

    นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันไปเข้าสิงชาวบ้าน แล้วมันก็พูดว่า…

    “แหม…เราเป็นเจ้าของโป่งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโปโน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมาก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผี มาเฝ้าโป่งอยู่ที่นี่นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่า พระจำพวกนี้มีธรรมะจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้นแต่เราก็สู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา”

    นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงคางดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมณ์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิงใช้ทำน้ำมนต์กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้น ขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท อันนี้เป็นดีเลิศประเสริฐแท้…”

    จากหนังสือ “ชีวประวัติ หลวงปู่จันทา ถาวโร ที่ระลึกงานถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -ถาวโร-ใช้ค.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “…นิยมปักธูป ๓ ดอก , ๕ ดอก และ ๙ ดอก…หมายถึงการบูชาอย่างไร ?..”

    “…พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเราทำบุญรักษาศีล ให้มีศีล ให้เจริญภาวนา ท่านสอนตามขั้นตอน เมื่อภาวนาจนจิตใจสงบ แล้วก็มาพิจารณารูปร่างกาย เรียกว่า สติปัฎฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม คือมาดูหน้าตาของกิเลสที่อยู่ในใจของเรา เพื่อจะชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากจิตใจของเรา คือความทุกข์ที่มีอยู่ในจิตใจของเรา เราได้ละ ปล่อยวาง นี่เป็นจุดเป้าหมาย พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อสัตว์โลกหมด มีมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก เวลาเราปักธูปจึงนิยมปักกัน ๓ เล่ม เล่มที่ ๑ บูชาปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าที่ท่านมีปัญญามาก เล่มที่ ๒ บูชาพระบริสุทธิ์คุณหมดจดจากกิเลส ไม่มีกิเลสอยู่ในดวงใจของพระองค์ ท่านกำจัดได้หมด เล่มที่ ๓ บูชามหากรุณาธิคุณ พระองค์มีความเมตตาต่อสัตว์โลก จึงได้เทศนาแนะนำสั่งสอนให้นำไปปฏิบัติ ครั้นจะปักอีก ๒ เล่ม ก็ขอบูชาคุณพ่อขอบูชาคุณแม่ ที่ทำให้เราเกิดมา เลี้ยงดูเรามาจนได้มาปฏิบัติธรรม ถ้าปัก ๙ ดอก ก็คือ นวโลกุตตรธัมมานุภาเวนะ คือ โสดามรรค โสดาผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตมรรค อรหัตผล นิพพาน…”

    จากหนังสือ “ถาม – ตอบปัญหาธรรมะ” พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

    -๓-ดอก-๕-ดอก-และ.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พระกรรมฐานที่ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่านั้น ท่านมีความมุ่งมั่นมุ่งหวังอะไร ท่านเหล่านั้นดำเนินรอยตามปฏิปทาขององค์พระศาสดา ถึงแม้ว่าปฏิปทาที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินจนพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วนั้นจะเป็นปฏิปทาที่อดอยากลำบาก แต่พระองค์ก็ทรงแนะนำเหล่าบรรดาพระสงฆ์สาวกของพระองค์ให้ดำเนินตามแนวแถวอันนั้นของพระองค์

    คือให้พระสงฆ์พึงเป็นผู้ที่มีหิริโอตตัปปะ ให้อยู่ในศีลาจารวัตร ให้พึงเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ให้รู้จักพอประมาณในการเป็นอยู่ ให้ฉันมื้อเดียว ให้พึงอยู่ในป่า อยู่ในเสนาสนะอันสงัด ให้อยู่องค์เดียวในกุฏิหลังเดียว ให้พูดน้อย ไม่ให้อยู่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ให้มุ่งหวังในลาภยศ สรรเสริญ นอกจากนี้แล้ว ก็ให้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ให้มีสติอยู่กับตัวเองในทุกอิริยาบถให้มากที่สุด เมื่อมีศีลแล้วให้ฝึกสมาธิ ทีนี้เมื่อมีสมาธิแล้ว ก็ให้ฝึกหัดวิปัสสนาพิจารณาทางด้านปัญญา

    นี่แหละ อันนี้คือชีวิตของพระกรรมฐาน แต่ที่ไปในทางอื่นจุดอื่นก็มีตั้งแต่ในครั้งพุทธกาล ที่พอเข้ามาบวชแล้วจิตใจเอนเอียงไปทางอื่น จนผลสุดท้ายต้องลาสิกขาไป อันนี้ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน เพราะเหตุใด อันนั้นเรียกว่าเสียหลัก คือสู้กิเลสภายในใจของตัวเองไม่ได้ กิเลสเข้ามาทำลายจุดมุ่งมั่นของตนเอง ทำเอาเสียศูนย์ เสียหลักไปมันก็มี แต่ผู้เข้ามาบวชแล้ว เข้ามาศึกษาหลักธรรมแล้ว กลับสนใจสละชีวิตทางโลก อันนั้นก็มีมากต่อมากเหมือนกันนะ

    หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
    คัดจาก “ความมุ่งหวังพระกรรมฐาน”
    จากหนังสือ “แนวทางครูบาอาจารย์พาดำเนิน” เล่ม ๑ หน้า ๑๑๖ – ๑๑๗

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะ “ไม่ว่าง” จาก “พระอริยบุคคล”

    “พระอริยบุคคล” มีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะ “ไม่ฉิบหาย” ด้วย “ภัยแห่งสงคราม”

    ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า

    พระแก้วมรกตหล่อที่ลังกาทวีป ผู้เป็นประธานหล่อคือ พระจุลนาคเถระ เป็นชาวลังกา หล่อเมื่อศาสนาล่วงมาได้ 300 ปี

    วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ

    หลวงปู่มั่นได้เล่าว่า

    ได้มีการอัญเชิญจากกรุงลังกาสู่นครศรีธรรมราชโดยทางเรือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่า (คำว่า เถรเจ้าป่า หมายความถึง พระกัมมัฏฐานที่ชอบออกปฏิบัติภาวนาอยู่ตามป่าเขา)

    ต่อจากนั้นจึงอัญเชิญไปสู่นครวัด นครธม ประเทศเขมร เพื่อเผยแผ่พระศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่าอีกนั่นแหละ

    จากนครวัด นครธม สู่กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต (ประเทศลาว) ปัจจุบันคือเวียงจันทน์ จากนครเวียงจันทน์ก็ได้เสด็จสู่นครลำปาง และนครเชียงใหม่

    กลับไปประดิษฐานอยู่ที่เวียงจันทน์อีกเป็นครั้งที่สอง เกิดกลียุค ราชวงศ์และราชบุตรเป็นศัตรูกัน

    พระตาและพระวอก็ได้ถอยร่นลงมาสู่ดอนมดแดง คือจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน กองทัพทางเวียงจันทน์ ที่ยกทัพมาตี พระตาและพระวอ

    สมัยนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ จึงส่งกองทัพม้าเป็นทัพหน้าเดินทางไปก่อน

    กองทัพหลวงนำโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1 ) เป็นแม่ทัพยกตามไป เพื่อ ตีกองทัพทางเวียงจันทน์ ที่ยกทัพมาตี พระตาและพระวอ

    พระตาและพระวอก็ได้ถอยร่นลงมาสู่ดอนมดแดง คือจังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน อีกครั้งที่สอง ชาวดอนมดแดงได้ต่อสู้ถวายหัวเต็มกำลังความสามารถ

    พอกองทัพหลวงยกมาถึง กองทัพทางเวียงจันทน์จึงแตกพ่ายกลับไป ทั้งทัพม้าศึกและทัพหลวงแห่งบางกอก พร้อมกองอาสาสมัครแห่งดอนมดแดง ก็ติดตามไล่ตีไม่ลดละ จนถึงฝั่งโขง และข้ามโขงเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ทั้งหมด

    หลังจากชนะศึกแล้ว ชาวลาวได้ยินยอมพร้อมใจมอบพระแก้วมรกตและพระบาง ให้มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ นี่คือสาเหตุที่พระแก้วมรกตมาประดิษฐานในประเทศไทย

    วัดพระแก้ว เป็น “วัดพระพุทธเจ้า” โดยเฉพาะ

    “ผู้ใด” ย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้ว “เป็นบุญทุกขณะ”

    พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด “ไม่รู้พุทธอัธยาศัย” “พุทธธรรมเนียม” เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้ง “กษัตริย์” และ “ผู้สุขุมาลชาติ” เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้ พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว

    การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้น มีปัจจัย 3 อย่าง คือ “เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา” “เกิดกลียุคในประเทศนั้น” และ “ด้วยความรัก”

    พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็น “หน่อเนื้อพุทธางกูร” คือ จะได้ “ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า” ในกาลข้างหน้า

    “ผู้ใด” ย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้ว “เป็นบุญทุกขณะ” ที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ “ชาวต่างชาติ จะเป็นฝรั่ง อังกฤษ อเมริกา มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วย “ศรัทธา” หรือ”ไม่ก็ตาม” ก็ได้เข้ามาสู่ “วงศ์พระพุทธศาสนา” โดยปริยาย หรือ จะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมี สำเร็จมรรคผลได้

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร

    .jpg
    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ภูริทัตชาดก” (ศีลบารมี)

    ๐ ครั้งพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพญานาคราช

    พระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า “พรหมทัต” ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโอรสทรงดำรงตำแหน่งอุปราช อยู่ต่อมาพระราชาทรงระแวงว่าพระโอรสจะคิดขบถแย่งราชสมบัติ จึงมีโองการให้พระโอรสออกไปอยู่ให้ไกลเสียจากเมือง จนกว่าพระราชาจะสิ้นพระชนม์จึงให้กลับมารับราชสมบัติ

    พระโอรสก็ปฏิบัติตามบัญชา เสด็จไปบวชอยู่ที่บริเวณแม่น้ำชื่อว่า “ยุมนา” มีนางนาคตนหนึ่งสามีตาย ต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เกิดความว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้ จึงขึ้นมาจากน้ำท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งมาจนถึงศาลาที่พักของพระราชบุตร นางนาคประสงค์จะลองใจดูว่า นักบวชผู้พำนักอยู่ในศาลานี้ จะเป็นผู้ที่บวชด้วยใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงจัดประดับ ประดาที่นอนในศาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จากเมืองนาค

    ครั้นพระราชบุตรกลับมา เห็นที่นอนจัดงดงามน่าสบายก็ยินดีประทับนอนด้วยความสุขสบายตลอดคืน รุ่งเช้าก็ออกจากศาลาไป นางนาคก็แอบดูพบว่าที่นอนมีรอยคนนอน จึงรู้ว่านักบวชผู้นี้มิได้บวชด้วยความศรัธรา เต็มเปี่ยม ยังคงยินดีในของสวยงาม ตามวิสัยคนมีกิเลส จึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก

    ในวันที่สาม พระราชบุตรมีความสงสัยว่า ใครเป็นผู้จัดที่นอนอันสวยงามไว้ จึงไม่เสด็จออกไปป่าแต่แอบดูอยู่บริเวณ ศาลานั่นเอง เมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน พระราชบุตรจึงไต่ถามนางว่า นางเป็นใครมาจากไหน นางนาคตอบว่า นางเป็นนาคชื่อมาณวิกา นางว้าเหว่าที่สามีตายจึงออกมาท่องเที่ยวไป

    พระราชบุตรมีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากนางพึงพอใจจะอยู่ที่นี่ พระราชบุตรก็จะอยู่ด้วยกับนาง นางนาคมาณวิกาก็ยินดี ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา จนนางนาคประสูติโอรสองค์หนึ่ง ชื่อว่า “สาครพรหมทัต” ต่อมาก็ประสูติพระธิดาชื่อว่า “สมุทรชา”

    ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต บรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายไม่มีผู้ใดทราบว่าพระราชบุตรประทับอยู่ ณ ที่ใด บังเอิญพรานป่าผู้หนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่า ตนได้เคยเที่ยวไปแถบ แม่น้ำยมุนา และได้พบพระราชบุตรประทับอยู่บริเวณนั้น

    อำมาตย์จึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่า จะไปอยู่ เมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่ นางนาคทูลว่า

    “วิสัยนาคนั้นโกรธง่ายและมีฤทธิ์ร้าย หากหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในวัง แล้วมีผู้ใดทำให้โกรธ เพียงหม่อมฉันถลึงตามอง ผู้นั้นก็จะ มอดไหม้ไป พระองค์พาโอรสธิดากลับไปเถิด ส่วนหม่อมฉันขอทูลลากลับไปอยู่เมืองนาคตามเดิม”

    พระราชบุตรจึงพาโอรสธิดากลับไปพาราณสี อภิเษกเป็นพระราชา อยู่มาวันหนึ่งขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ เกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่ง พระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไปทิ้งที่วังน้ำวนในแม่น้ำยมุนา เต่าจมลงไปถึงเมืองนาค เมื่อถูกพวกนาคจับไว้ เต่าก็ออกอุบายบอกแก่นาคว่า “เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี พระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐ พระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายา ของท้าวธตรฐ เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นไมตรีกัน”

    ท้าวธตรฐทรงทราบก็ยินดี สั่งให้นาค ๔ ตนเป็นทูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัว พระธิดามาเมืองนาค พระราชาทรงแปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคว่า “มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธุ์กัน จะแต่งงานกัน นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้”

    เหล่านาคได้ฟังดังนั้น จึงกลับไปกราบทูลท้าวธตรฐว่า พระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธุ์งู ไม่คู่ควรกับพระธิดา ท้าวธตรฐทรงพิโรธ ตรัสสั่งให้ฝูงนาค ขึ้นไปเมืองมนุษย์ ไปเที่ยวแผ่พังพานแสดง อิทธิฤทธิ์อำนาจ ตามที่ต่างๆ แต่มิให้ทำอันตรายชาวเมือง ชาวเมืองพากันเกรงกลัวนาคจนไม่เป็นอันทำมาหากิน

    ในที่สุดพระราชาก็จำพระทัยส่งนางสมุทรชาให้ไปเป็นชายาท้าวธตรฐ นางสมุทรชาไปอยู่เมืองนาคโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองนาค เพราะท้าวธตรฐให้เหล่าบริวารแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด นางอยู่นาคพิภพด้วยความสุขสบาย จนมีโอรส ๔ องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ

    อยู่มาวันหนึ่ง อริฏฐะได้ฟังนาคเพื่อนเล่นบอกว่า พระมารดาของตนไม่ใช่นาค จึงทดลองดูโดยเนรมิตกายกลับเป็นงู ขณะที่กำลังกินนมแม่อยู่ นางสมุทรชาเห็นลูกกลายเป็นงูก็ตกพระทัยปัดอริฏฐะตกจากตัก เล็บของนาง ไปข่วนเอานัยน์ตาอรฏฐะบอดไปข้างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมานางจึงรู้ว่าได้ลงมาอยู่เมืองนาค

    ครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง ๔ เติบโตขึ้น ท้าวธตรฐก็ทรงแบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขต ทัตตะผู้เป็นโอรสองค์ที่สองนั้น มาเฝ้าพระบิามารดาอยู่เป็นประจำ ทัตตะเป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดได้ช่วยพระบิดาแก้ไข ปัญหาต่างๆอยู่เป็นนิตย์ แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทวดา ทัตตะก็แก้ไขได้จึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญว่า เป็นผู้ปรีชาสามารถ ได้รับขนานนามว่า ภูริทัตต์ คือ ทัตตะผู้เรืองปัญญา

    ภูริทัตต์ได้เคยไปเห็นเทวโลก ว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์จึงตั้งใจว่า จะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลก จึงทูล ขออนุญาตพระบิดาก็ได้รับอนุญาต แต่ท้าวธตรฐสั่งว่ามิให้ออกไปรักษาอุโบสถนอกเขตเมืองนาค เพราะอาจเป็นอันตราย

    ครั้นเมื่อรักษาศีลอยู่ในเมืองนาค ภูริทัตต์รำคาญว่าพวกฝูงนาคบริวารได้ห้อมล้อมปรนนิบัติเฉพาะในตอนเช้าเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมา ภูริทัตต์ก็ขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวกใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา ภูริทัตต์ตั้งจิตอธิษฐานว่า แม้ผู้ใดจะต้องการหนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้ได้รักษาศีลให้บริสุทธิ์

    ครั้งนั้นมีนายพรานชื่อ เนสาท ออกเที่ยวล่าสัตว์ เผอิญได้พบภูริทัตต์เข้า สอบถามรู้ว่าเป็นโอรสของราชาแห่งนาค ภูริทัตต์เห็นว่าเนสาทเป็นพรานมีใจบาปหยาบช้า อาจเป็นอันตรายแก่ตนจึงบอกแก่พรานเนสาทว่า “เราจะพาท่านกับลูกชาย ไปอยู่เมืองนาคของเรา ท่านทั้งสองจะมีความสุข สบายในเมือง นาคนั้น”

    พรานเนสาทลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นาน เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารภกับภูริทัตต์ว่า “ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้อง แล้วจะออกบวช รักษาศีลอย่างท่านบ้าง”

    ภูริทัตต์รู้ด้วยปัญญาว่าพรานจะเป็นอันตรายแก่ตน แต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงต้องพาพรานกลับไปเมืองมนุษย์ พรานพ่อลูกก็ออกล่าสัตว์ต่อไปตามเดิม

    มีพญาครุฑตนหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วทางมหาสมุทรด้านใต้ วันหนึ่งขณะออกไปจับนาคมากิน นาคเอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ ท้ายศาลาพระฤาษี จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นครุฑฉีกท้องนาคกินมันเหลวแล้วทิ้งร่างนาคลงไป จึงเห็นว่า มีต้นไทรติดมาด้วย ครุฑรู้สึกว่าได้ทำผิดคือถอนเอาต้นไทรที่พระฤาษีเคยอาศัยร่มเงา จึงแปลงกายเป็นหนุ่ม น้อยไปถามพระฤาษีว่า เมื่อต้นไทรถูกถอนเช่นนี้ กรรมจะตก อยู่กับใคร พระฤาษีตอบว่า

    “ทั้งครุฑและนาคต่างก็ไม่มีเจตนาจะ
    ถอนต้นไทรนั้น กรรมจึงไม่มีแก่ผู้ใดทั้งสิ้น”

    ครุฑดีใจจึงบอกกับพระฤาษีว่าตนคือครุฑ เมื่อพระฤาษี ช่วยแก้ปัญหาให้ตนสบายใจขึ้นก็จะสอนมนต์ชื่อ อาลัมพายน์ อันเป็นมนต์สำหรับครุฑใช้จับนาคให้แก่พระฤาษี

    อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์ซึ่งเป็นหนี้ชาวเมืองมากมายจนคิดฆ่าตัวตายจึงเข้าไปในป่า เผอิญได้พบพระฤาษีจึงเปลี่ยนใจ อยู่ปรนนิบัติพระฤาษีจนพระฤาษีพอใจ สอนมนต์อาลัมพายน์ให้แก่พราหมณ์นั้น

    พราหมณ์เห็นทางจะเลี้ยงตนได้จึงลาพระฤาษีไปเดินสาธยายมนต์ไปด้วย นาคที่ขึ้นมาเล่นน้ำได้ยินมนต์ก็ตกใจ นึกว่าครุฑมา ก็พากันหนีลงน้ำไปหมด ลืมดวงแก้วสารพักนึกเอาไว้บนฝั่ง พราหมณ์หยิบดวงแก้วนั้นไป

    ฝ่ายพรานเนสาทก็เที่ยวล่าสัตว์อยู่เห็นพราหมณ์เดินถือดวงแก้วมา จำได้ว่าเหมือนดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดู จึงออกปากขอ และบอกแก่พราหมณ์ว่า หากพราหมณ์ต้องการอะไรก็จะหามาแลกเปลี่ยน พราหมณ์บอกว่าต้องการรู้ที่อยู่ของนาค เพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสาทจึงพาไปบริเวณที่รู้ว่าภูริทัตต์เคยรักษาศีลอยู่ เพราะความโลภ อยากได้ดวงแก้ว โสมทัตผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาไม่ซื่อสัตย์คิดทำร้ายมิตร คือภูริทัตต์ จึงหลบหนีไประหว่างทาง

    เมื่อไปถึงที่ภูริทัตต์รักษาศีลอยู่ ภูริทัตต์ลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่า พราหมณ์คิดทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ ถ้าพราหมณ์เป็น อันตรายไป ศีลของตนก็จะขาด ภูริทัตต์ปรารถนาจะรักษาศีล ให้บริสุทธิ์จึงหลับตาเสีย ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว พราหมณ์ก็ร่ายมนต์อาลัมพายน์ เข้าไปจับภูริทัตต์ไว้กดศีรษะอ้าปากออก เขย่าให้สำรอกอาหารออกมา และทำร้าย จนภูริทัตต์เจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต แต่ก็มิได้โต้ตอบ

    พราหมณ์จับภูริทัตต์ใส่ย่ามตาข่าย แล้วนำไปออกแสดงให้ประชาชนดูเพื่อหาเงิน พราหมณ์บังคับให้ภูริทัตต์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ให้เนรมิตตัวให้ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ให้ขด ให้คลาย แผ่พังพาน ให้ทำสีกายเป็น สีต่างๆ พ่นไฟ พ่นควัน พ่นน้ำ ภูริทัตต์ก็ยอมทุกอย่าง ชาวบ้าน ที่มาดูเวทนาสงสาร จึงให้ ข้าวของเงินทอง พราหมณ์ก็ยิ่งโลภ พาภูริทัตต์ไปเที่ยวแสดง จนมาถึงเมืองพาราณสี จึงกราบทูล พระราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์ถวายให้ทอดพระเนตร

    ขณะนั้นสมุทรชาผิดสังเกตที่ภูริทัตต์หายไปไม่มาเฝ้าจึงถามหา ในที่สุดก็ทราบว่าภูริทัตต์หายไป พี่น้องของภูริทัตต์ จึงทูลว่าจะออกติดตาม สุทัศนะจะไปโลกมนุษย์ สุโภคะไปป่าหิมพานต์ อริฏฐะไปเทวโลก ส่วนนางอัจจิมุขผู้เป็นน้องสาว ต่างแม่ของภูริทัตต์ของตามไปกับสุทัศนะพี่ชายใหญ่ด้วย

    เมื่อติดตามมาถึงเมืองพาราณสี สุทัศนะก็ได้ข่าวว่ามีนาคถูกจับมาแสดงให้คนดู จึงตามไปจนถึงบริเวณที่แสดง ภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื้อยไข้าไปหาซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้าของสุทัศนะแล้วจึงเลื้อยกลับไปเข้าที่ขังของตนตามเดิม พราหมณ์จึงบอกกับสุทัศนะว่า

    “ท่านไม่ต้องกลัว ถึงนาคจะกัดท่านไม่ช้าก็จะหาย”

    สุทัศนะตอบว่า
    “เราไม่กลัวดอก นาคนี้ไม่มีพิษถึงกัดก็ไม่มีอันตราย”

    พราหมณ์หาว่าสุทัศนะ ดูหมิ่นว่าตน เอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุทัศนะจึงท้าว่า
    “เขียดตัวน้อยของเรานั้นยังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีก จะเอามาลองฤทธิ์กันดูก็ได้”

    พราหมณ์ กล่าวว่าหากจะให้สู้กัน ก็ต้องมีเดิมพันจึงจะสมควร สุทัศนะจึงทูลขอพระราชาพาราณสีให้เป็นผู้ประกันให้ตน โดยกล่าวว่า พระราชาจะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่างนาคกับเขียดเป็นการตอบแทน พระราชาก็ทรงยอมตกลงประกันให้แก่สุทัศนะ สุทัศนะเรียก นางอัจจิมุขออกมาจากมวยผมให้คายพิษ ลงบนฝ่ามือ ๓ หยด แล้วทูลว่า
    “พิษของเขียดน้อยนี้แรงนัก เพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐ ราชาแห่งนาค หากพิษนี้หยดลงบนพื้นดิน พืชพันธุ์ไม้จะตายหมด หากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนจะไม่ตกไป ๗ ปี ถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด”

    พระราชาไม่ทราบจะทำอย่างไรดี สุทัศนะจึงทูลขอให้ ขุดบ่อ ๓ บ่อ บ่อแรกใส่ยาพิษ บ่อที่สองใส่โคมัย บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อแรก ก็เกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ ลามไปติดบ่อที่สองและสาม จนกระทั่งยาทิพย์ไหม้หมด ไฟจึงดับ พราหมณ์ตัวร้าย ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อถูกไอพิษจนผิวหนังลอก กลายเป็นขี้เรื้อนด่างไปทั้งตัวจึงร้องขึ้นว่า
    “ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั้นให้เป็นอิสระ”

    ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็เลื้อยออกมาจากที่ขัง เนรมิตกายเป็นมนุษย์ พระราชาจึงตรัสถามความเป็นมา ภูริทัตต์จึงตอบว่า

    “ข้าพเจ้าและพี่น้องเป็นโอรสธิดาของท้าวธตรฐราชาแห่งนาคกับนางสมุทรชา ข้าพเจ้ายอมถูกจับมา ยอมให้พราหมณ์ทำร้ายจนบอบช้ำ เพราะปราถนาจะรักษาศีล บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นอิสระแล้ว จึงขอลากลับไปเมืองนาคตามเดิม”

    พระราชาทรงดีพระทัยเพราะทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของนางสมุทรชา น้องสาวของพระองค์ที่บิดายกให้แก่ราชานาคไป จึงเล่าให้ภูริทัตต์และพี่น้องทราบว่า เมื่อนางสมุทรชาไปสู่เมืองนาคแล้ว พระบิดาก็เสียพระทัยจึงสละราชสมบัติออกบวช พระองค์จึงได้ครองเมืองพาราณสีต่อมา

    พระราชาประสงค์จะให้ นางสมุทรชาและบรรดาโอรสได้ไปเฝ้าพระบิดาจะได้ทรงดีพระทัย สุทัศนะทูลพระราชาว่า “ข้าพเจ้าจะ กลับไปทูลให้พระมารดาทราบ ขอให้พระองค์ไปรออยู่ที่อาศรมของพระอัยกาเถิด ข้าพเจ้าจะพา พระมารดาและพี่น้องตามไปภายหลัง”

    ทางฝ่ายพรานเนสาท ผู้ทำร้ายภูริทัตต์เพราะหวังดวงแก้วสารพัดนึก เมื่อตอนที่พราหมณ์โยนดวงแก้วให้นั้น รับไม่ทัน ดวงแก้วจึงตกลงบนพื้นและแทรกธรณีกลับไปสู่เมืองนาค พรานเนสาทจึงสูญเสียดวงแก้ว สูญเสียลูกชาย และเสียไมตรี กับภูริทัตต์ เที่ยวซัดเซพเนจรไป

    ครั้นได้ข่าวว่าพราหมณ์ผู้จับนาคกลายเป็นโรคเรื้อนเพราะพิษนาคก็ตกใจกลัว ปราถนาจะล้างบาปจึงไปยังริมน้ำยมุนา ประกาศว่า “ข้าพเจ้าได้ ทำร้ายมิตร คือ ภูริทัตต์ ข้าพเจ้าปราถนาจะล้างบาป”

    พรานกล่าวประกาศอยู่ หลายครั้ง เผอิญขณะนั้น สุโภคะกำลังเที่ยวตามหาภูริทัตต์อยู่ ได้ยินเข้าจึงโกรธแค้น เอาหางพันขาพราน ลากลงน้ำให้จมแล้ว ลากขึ้นมาบนดินไม่ให้ถึงตาย ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งพราน จึงร้องถามว่า “นี่ตัวอะไรกัน ทำไมมาทำร้าย เราอยู่เช่นนี้ ทรมาณเราเล่นทำไม”

    สุโภคะตอบว่าตนเป็นลูกราชานาค พรานจึงรู้ว่าเป็นน้องภูริทัตต์ ก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยและกล่าวแก่สุโภคะว่า “ท่านรู้หรือไม่ เราเป็นพราหมณ์ ท่านไม่ควรฆ่าพราหมณ์ เพราะพราหมณ์เป็นผู้บูชาไฟ เป็นผู้ทรงเวทย์ และเลี้ยงชีพด้วยการขอ ท่านไม่ควรทำร้ายเรา”

    สุโภคะไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร จึงพาพรานเนสาทลงไปเมืองนาค คิดจะไปขอถามความเห็นจากพี่น้อง เมื่อไปถึงประตู เมืองนาค ก็พบอริฏฐะนั่งรออยู่ อริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ ครั้นรู้ว่าพี่ชายจับพราหมณ์มา จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพราหมณ์ สรรเสริญความยิ่งใหญ่แห่งพรหม และกล่าวว่าพราหมณ์เป็นบุคคล ที่ไม่สมควรจะถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ การฆ่าพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้บูชาไฟนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง สุโภคะกำลังลังเลใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไร

    พอดีภูริทัตต์กลับมาถึง ได้ยินคำของอริฏฐะจึงคิดว่า อริฏฐะ นั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ และการบูชายัญของพราหมณ์ จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาหักล้าง มิให้ผู้ใด คล้อยตามในทางที่ผิด

    ภูริทัตต์จึงกล่าวชี้แจงแสดงความเป็นจริง และในที่สุดได้กล่าวว่า “การบูชาไฟนั้น หาได้เป็นการบูชาสูงสุดไม่ หากเป็นเช่นนั้นคนเผาถ่าน คนเผาศพก็สมควรจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บูชา ไฟยิ่งกว่าพราหมณ์ หากการบูชาไฟเป็นสูงสุด การเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากการบูชายัญจะเป็นบุญสูงสุดจริง พราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองถวายเป็นเครื่องบูชา แต่พราหมณ์กลับบูชาด้วยชีวิตของผู้อื่น เหตุใดจึงไม่เผาตนเองเล่า”

    อริฏฐะกล่าวว่า พรหมเป็นผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างโลก ภูริทัตต์ตอบว่า “หากพรหมสร้างโลกจริง ไฉนจึงสร้างให้โลก มีความทุกข์ ทำไมไม่สร้างให้โลกมีแต่ความสุข ทำไมพรหม ไม่สร้างให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เหตุใดจึงแบ่งคนเป็น ชั้นวรรณะ คนที่อยู่ในวรรณะต่ำ เช่น ศูทร จะไม่มีโอกาสมีความสุข เท่าเทียมผู้อื่นได้เลย พราหมณ์ต่างหากที่พยายามยกย่องวรรณะของตนขึ้นสูง และเหยียดหยามผู้อื่นให้ต่ำกว่า โดยอ้างว่าพราหมณ์เป็นผู้รับใช้พรหม เช่นนี้จะถือว่าพราหมณ์ ทรงคุณยิ่งใหญ่ได้อย่างไร”

    ภูริทัตต์กล่าววาจาหักล้างอริฏฐะด้วยความเป็นจริง ซิ่งอริฏฐะ ไม่อาจโต้เถียงได้ ในที่สุดภูริทัตต์จึงสั่งให้ นำพรานเนสาทไปเสียจากเมืองนาคแต่ไม่ให้ทำอันตรายอย่างใด จากนั้นภูริทัตต์ก็พาพี่น้องและนางสมุทรชาผู้เป็นมารดา กลับไปเมืองมนุษย์ เพื่อไปเฝ้าพระบิดา พระเชษฐาของนางที่รอคอยอยู่แล้ว

    เมื่อญาติพี่น้องทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับบ้านเมือง ภูริทัตต์ขออยู่ที่ศาลากับพระอัยกา บำเพ็ญเพียร รักษาอุโบสถศีล ด้วยความสงบ ดังที่ได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะมั่นคงในการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะไม่ให้ศีลต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะต้องเผชิญความ ทุกข์ยากอย่างไร ข้าพเจ้าจะอดทน อดกลั้น ตั้งมั่นอยู่ ในศีลตลอดไป”

    (ข้อมูลจาก www.dhammathai.org)

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “การท่องเที่ยวในวัฏสงสาร
    กับท่องเที่ยวในหลุมถ่านเพลิง
    ก็มีความหมายอันเดียวกัน
    เพลิงแก่ เพลิงเจ็บ เพลิงตาย
    เพลิงโลภ เพลิงหลง”

    – หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...