แค่มีสติสักกะว่ารู้สิ้นทุกข์ได้ไหม?

อ้อ
ที่มาหลายคนนี่
คือคุณเรียกมานั่นเอง

เรียกมาเลยจิ
ผมจะพยายามเข้ามาดู
พวกคุณด่าผมทุกวัน
แต่อาจจะไม่ตอบนะ

แล้วอย่าเลิกด่าล่ะ
เลิกด่าเมื่อไรคือคุณแพ้
เล่นด้วยกันไหม เกมนี้เคนนี่

 

ปัง แล้วถ้าสมมุติพระทุศีล (สมมุติไม่ร้ายแรงมาก)
กับฆราวาส ชาย หญิง สมมุติได้โสดาแล้ว แต่พระยังไม่ได้ อย่างงี้พระก็มีบารมีมากกว่าฆราวาสที่เป็นโสดาหรอ ฆราวาสยังต้องไหว้พระไหม

 

บัณเฑาะก์

....

ในเรื่องของบุคคลที่ห้ามบวช ต้องเอาโทษพระอุปัชฌาย์ก่อน แต่ถ้าหากบวชมาแล้วไม่ใช่บุคคลที่วิบัติจนต้องให้นาสนะ ก็คือ จนต้องสึก เขาปรับโทษเฉพาะพระอุปัชฌาย์ แต่ว่าบุคคลผู้นั้นสามารถที่จะทรงความเป็นพระอยู่ได้ พูดง่าย ๆ คือ ต้องเก็บอาการให้อยู่ ถ้าเก็บไม่อยู่ท่านก็บอกให้นาสนะ (สึก) เสีย


บัณเฑาะก์ ที่เขาหมายถึงบุคคลสองเพศ แท้จริงแล้วไม่ได้หมายถึงบุคคลสองเพศเพียงอย่างเดียว เขากล่าวถึงบุคคลหลายประเภทด้วยกัน มีอุภโตพยัญชนก คือ มีสองเพศโดยสมบูรณ์ ตรงนี้ก็เป็นความอัจฉริยะของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง เพราะว่าจะมีอยู่เกาะหนึ่งที่มีคนซึ่งมีสองเพศโดยสมบูรณ์ คนในเกาะนั้นจะเป็นพ่อก็ได้เป็นแม่ก็ได้ ถ้าเลือกเป็นแม่ก็ท้องได้

ประเภทที่สองเป็นเรื่องอัศจรรย์ คือ ปักขบัณเฑาะก์ จะเป็นผู้ชายครึ่งเดือน ผู้หญิงครึ่งเดือน ทำให้นึกถึงเวมาณิกเปรต ที่เป็นเปรตครึ่งเดือนเป็นเทวดาครึ่งเดือน

ประเภทที่สาม ท่านบอกว่าเป็นผู้ประกอบด้วยกามราคะแรงกล้า ขาดเซ็กส์ไม่ได้ ท่านบอกให้นาสนะเสีย ก็คือให้อยู่ไม่ได้ เดี๋ยวจะสร้างปัญหา แต่ถ้าหากอาการไม่ถึงขนาดนี้ก็อยู่ไปเถอะ แต่ช่วยเก็บอาการหน่อย อย่าไปออกอาการมากก็แล้วกัน เพราะจะทำให้คนไม่เลื่อมใส แต่จริง ๆ แล้วเขาปรับโทษที่พระอุปัชฌาย์

https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=232

 

จะเหตุผลกลใดก็บ่อฮู้ แต่นี่นอกจากชักมหาสมุทร ยังเจือกไปคิดแทนพระพุทธองค์อีกเนอะ ดัดจริตจิมๆ คำท่านกล่าวตรงแล้วว่าแพ้ ห้ามบวช และจับสึก จะไปตีความแทนท่านอีก เลิกสาละวนชักใบเรือกลับได้ละ หน้าด้าน ดัดจริต พลิกลิ้น วนเป็นตุ้ดเลย กลับมาแม่น้ำสินธุได้แล้วลูก อย่าเฮียไปตีความแทนพุทธองค์ เพื่อจะอ้างให้ตุ้ดแบบเอ็งถูกเลย มันน่าสังเวชนะฮับ

 

ยิ่งพิมพ์ก็ยิ่งขำ พระศาสดานี่นะรอให้เกิดอธิกรณ์ มันหลงยุคแล้ว ละมั้ง ในศาสนาคริสต์มีพระคัมภีร์เก่ากับพระคัมภีร์ใหม่ ในพุทธเรียกสังคายนา แต่ขึ้นกับบุคคลผู้ถือครองว่าจะยึดตามตอนแรกหรือตอนหลัง เคยบอกไปแล้ว ที่เห็นไม่ใช่ไม่มีและไม่เกิด หลายอย่างเกิดตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เรื่องความผิดปกติเหล่านี้ ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วละ

 

ถาม : ขั้นตอนหนึ่งของพิธีอุปสมบท โดยเฉพาะในช่วงที่พระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ จะถามอันตรายิกธรรมต่อผู้ขออุปสมบทที่เป็นเพศที่สามว่า "ปุริโสสิ ?" กระผมอยากทราบว่าหากผู้ขออุปสมบทกล่าวตอบว่า "อามะ ภันเต" นั้น จะถือว่าผู้ขออุปสมบทกล่าวมุสาวาจาตั้งแต่ยังไม่ได้ครองสมณเพศเลยหรือไม่ ? และถือว่าพิธีอุปสมบทนั้นเป็นโมฆะหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าเป็นผู้ชายจะไปโกหกตรงไหน ? ถ้าเป็น ๒ เพศทางกายภาพโดยชัดเจน ไม่สามารถที่จะบวชได้อยู่แล้วเพราะเป็นอุภโตพยัญชนก ส่วนบัณเฑาะว์ที่ว่านั้นเกิดจากเพศเดียวก็จริง แต่ว่ามีอาการทางกามวิปริตไม่เหมือนคนทั่วไป พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามเอาไว้ ก็สรุปว่าถ้าอยากบวชจริง ๆ แล้วอยู่ในภาวะที่เขาใช้คำจำกัดความว่าเพศที่สาม ก็ให้บวชลักษณะหัวดำดีกว่า คือตั้งใจปฏิบัติในชีวิตฆราวาสง่ายกว่าเยอะเลย ศีลมีแค่ ๕ ข้อเท่านั้น

ถาม : แล้วที่เขาอยากบวช แต่เขาไม่ได้กามวิปริตขนาดนั้น ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงแปลงเพศไม่ถือว่าโกหก บวชไปแล้วเก็บอาการให้อยู่ แต๋วแตกวันไหนก็สึกวันนั้น..!

ถาม : ถ้าทำศัลยกรรมมา ?
ตอบ : ถ้าเป็นผู้ชายแล้วศัลยกรรมเป็นผู้หญิง เครื่องหมายเพศไม่มีแล้วถือว่าไม่ครบ ๓๒ จัดเป็นวิบัติ บวชไม่ได้

https://watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=201795&langid=1

 

มามั่วอัลไล ! คำจากพระไตรบอกตรงๆว่าห้ามบวช หากเจอให้จับสึกเสีย มีมาเก็บอาการได้ไม่ได้ด้วยนะ ไปแก้คำพระพุทธองค์และอนุโลมกันจนเละไปละเนี่ย

 

เขาไม่ได้เข้ามาด่า อ่านดีดีสิ

 

หุๆ

 

ใช่คับคุณเซเบอร์ เขาอนุโลมในยุคหลัง จำลำดับไม่ได้ แต่คลับคล้ายว่า ในยุคสังคายนาที่มีพระพุธโฆษาจารย์เป็นประธานที่อินเดียคับ

 

ปวีเคยได้ยินไหมครับ บทที่ว่าบุญกี่เท่ากี่เท่า ไล่จากปุชน โสดา สกิทา อนาคต อรหัน อัครสาวก ปัจเจก ...

จนไปทำบุญเปนสังฆทาน
มีอานิสงมากกว่าทำกับพระพุทธองค์


พระแม้นทุศีลก็สามารถเป็นปัจจัย

ให้พสกนิกรได้อานิสงแห่งสังฆทานในบวรศาสนา

ฆราวาสอย่าว่าแต่
โสดา แม้นอนาคา ก็หมดสิทธิ์

นะ เรื่องบารมี อำนาจธรรมฤทธฺมิ์ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ มีขนาดไหนก็ไปนึงเอาเอง

 

จะเข้ามาทำอะไรก็ทำไปเถอะ

ความเหนพวกนี้แค่ skimming ก็พอ
ร่อนออกแบบต้นกล้วย
ไม่มีแก่น
ไม่สมควรตอบโต้

 

ต้องไหว้พระภิกษุ จิฮับ

แต่ ถ้า พระภิกษุ เปิดโอกาสให้
แสดงข้อ อีด อึดชึ ข้อ ธรรม

ถึงจะ เปรี้ยงกันแบบ จีวรบิน อีกที

เช่น

มี ภิกษุไปขอ จอบ กับ อนาคามี
อะไรนี่แหละท่านก้ให้ ...ภิกษุทุ
สีลนั้น สำคัญตน ว่า ให้เพราะ
เหนเปน อรหันต์ ...

ฆราว่สอนาคา ก้ ทำอุบาย ไม่ให้
หรือ อะไรจำไม่ได้ ...

แต่ พอ ภิกษุ ถาม ว่าเหตุใดจึง
เปลี่บนแปร...ฮือๆ

อนาคา ถึงจะมี เหตุ ให้เปรี้ยง
หน้าหงายแบบเปนการส่วนตัว

แต่ในทาง สาธารณ ต่อหน้า
ธารกำนัล อนาคาแต่ไหน หาก
ไม่สละแม้นเส้นผ

ก้ต้องกราบ พระ เพื่อโลก!!

หมู่ชน จั๊บ

 

โดยธรรมเนียมทุกคนต้องกราบพระ โดยมานะก็จะไม่กราบ แต่ว่า พระอริยะเจ้าล้วนเริ่มจากทอนมานะทั้งหลายทิ้ง เรียกว่า สักกายทิฏฐิ คับ

 

ผมชอบสั้นๆ นะอย่าว่ากัน ผมมันคนไม่มีฤทธิ์ไม่มีตบะ ไม่ฌานและอภิญญาใดๆเลย ต้องทำใจเอานะท่านผู้อ่าน

 

ปวีเคยเห็นคนดังคนนึง เป็น ผช แกบอกได้โสดา มาบรรยายให้พระฟัง บรรยายจบพระก็ยกมือไหว้สาธุกันทั้งวัด ก็เลยว่าแปลกๆ ที่พระไหว้ฆราวาส

ขอบคุณทั้ง 2 คนสำหรับคำตอบนะ

 

แหม่
ก็ยังเดินดินกินข้าวแกงกันทั้งนั้น
หรื ใครในนี้ที่มีอภิญญา ?

 

เอ้า แทนที่ จะ หัดสังเกต

จะเหนเลย บัณเฑาะ แม้นที่ผมตั้ง
ประเด็น พวกกลับเพศได้ ตามวัน
เวลา นอ นอน....

ก้มี ปะปน บวชอยู่ มี พระวินัย
บอกการแก้ ตั้งหลายข้อ

ดังนั้น

พระวินัย ส่วนที่ ห้ามอุปสมบท ที่
อุปสมบทแบ้วให้สึกเสีย ยิ่ง กลิ่น ตุๆ

เพราะ สอบสวนพระวินับอื่น เหนชัด
ว่ามี ข้อปฏิบัติแก้ไข ไปตามวาระ

 

ดังๆ เปนผู้หญิง นับจำนวน
ไมล์เตชา ก้มี

พระก้ไหว้ แม้นจะ แก้ต่างไป
ต่างๆนานา

พระ จะ รักษา วินัยนี้ได้ ต้องให้
ฆราวาสที่มี วงศานุวงศทศบารมี
มาอยู่ตรงหน้า

นั่งนิ่งเชียวแหละ

 

ที่จริงในยุคนั้นเขาให้สึกเพราะให้กลับมาแก้ในขณะที่เป็นฆราวาส เพราะสมัยแรกพระขีณาสพเป็นพระอุปัชฌาย์ หยั่งรู้วาระจิตได้ ไม่มีอะไรตุๆหรอก เขาเรียกว่ายุคสมัยผ่านไปคนเริ่มเป็นมันมองยาก หากทราบก็จะเรียกมาสอบ ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้สึกแต่ให้หาทางพิจารณา ถ้าได้ก็ดีแต่ถ้าไม่ได้ นี่แหละเขาเรียกว่าทอนอายุพระศาสนาไง เล่าปัง