ธรรมะ จากเพจ พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สายหลวงปู่มั่น, 4 กันยายน 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    วันวิสาขบูชา 2562 ตรงกับวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม วันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มาบรรจบกัน โดยทั้งสามเหตุการณ์ได้เกิด ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า “วิสาขบูชา” ย่อมาจาก “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า “การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ” อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย

    ความหมายของวันวิสาขบูชา

    คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า “การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ” ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญ เดือน 6

    การกำหนดวันวิสาขบูชา

    วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน

    วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญ เดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่…

    1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ

    เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” แปลว่า “สมปรารถนา”

    เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า “พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย” แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส

    2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหาร ของอินเดีย

    สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ

    – ยามต้น : ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้
    – ยามสอง : ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ” คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย
    – ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ “อาสวักขยญาณ” คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญ เดือน 6 ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา

    3. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)

    เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงพระประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

    เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญ เดือน 6 นั้น

    -2562-ตรงกับวัน.jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  2. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  3. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    -หรือวันเ.jpg

    1f33b.png “วันวิสาขบูชา” หรือวันเพ็ญเดือน 6 นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนา มากถึง 3 เหตุการณ์ คือ เป็นวันคล้ายวัน ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  4. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  5. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  6. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    1f341.png พระพุทธพจน์ 1f341.png

    สตรีเป็นมลทินของพรหมจรรย์

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค! ในพรหมจรรย์นี้มีสุภาพสตรีเป็นอันมากเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในฐานะต่างๆ เป็นมารดาบ้าง เป็นพี่หญิงน้องหญิงบ้าง เป็นเครือญาติบ้าง และเป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยบ้าง ภิกษุจะพึงปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร?”

    “อานนท์! การที่ภิกษุจะไม่ดูไม่แลสตรีเพศเสียเลยนั้นเป็นการดี”

    “ถ้าจำเป็นต้องดูแล้วเห็นเล่า พระเจ้าข้า” พระอานนท์ทูลซัก

    “ถ้าจำเป็นต้องดูต้องเห็น ก็อย่าพูดด้วย อย่าสนทนาด้วย นั้นเป็นการดี” พระศาสดาตรัสตอบ

    “ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วยเล่า พระเจ้าข้า จะปฏิบัติอย่างไร”

    “ถ้าจำเป็นต้องสนทนาด้วย ก็จงมีสติไว้ ควบคุมสติให้ดี สำรวมอินทรีย์ และกายวาจาให้เรียบร้อย อย่าให้ความกำหนัดยินดี หรือความหลงใหลครอบงำจิตใจได้ อานนท์! เรากล่าวว่าสตรีที่บุรุษเอาใจเข้าไปเกาะเกี่ยวนั้น เป็นมลทินของพรหมจรรย์”

    “แล้วสตรีที่บุรุษมิได้เอาใจเข้าไปเกี่ยวเกาะเล่า พระเจ้าข้า จะเป็นมลทินของพรหมจรรย์หรือไม่?”

    “ไม่เป็นซิ อานนท์? เธอระลึกได้อยู่หรือเราเคยพูดไว้ว่า อารมณ์อันวิจิตร สิ่งสวยงามในโลกนี้มิใช่กาม แต่ความกำหนัดยินดีที่เกิดขึ้นเพราะความดำริต่างหากเล่าเป็นกามของคน เมื่อกระชากความพอใจออกเสียได้แล้ว สิ่งวิจิตรและรูปที่สวยงามก็คงอยู่อย่างเก้อๆ ทำพิษอะไรมิได้อีกต่อไป”

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  7. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  8. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  9. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ในหลวง ร.๙ ทรงอรูปฌานขั้นสูง”

    (ในหลวง ร.๙ สนทนาธรรมกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    ๐ เรื่องการปฏิบัติธรรม และกสิณวิญญาณ

    ต่อไปนี้เป็นการสนทนากันระหว่างหลวงพ่อ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )และในหลวงในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องสงเคราะห์ช่วยเหลือคนและที่ขาดไม่ได้คือเรื่อง ธรรมะ ในระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นี้ตอนหนึ่งเรื่องกรรมฐาน สำหรับเรื่อง “กสิณ”

    ในหลวง : หลวงพ่อบันทึกเสียงมาให้ผมคาสเซ็ทเดียว กสิณ ๑๐ อย่าง คาสเซ็ทเดียว

    หลวงพ่อ : ถ้าทำได้อย่างเดียว อย่างอื่นทำได้หมด
    ในหลวง : แต่ว่า กสิณวิญญาณ หลวงพ่อไม่ได้บอกมาด้วย

    ล่อ กสิณวิญญาณ เข้าให้ มันมีในแบบที่ไหนล่ะ(หัวเราะ) ไม่มีในแบบ ของท่านมี เอ้อ…แปลกจริงเหมือนกัน เราก็นั่งฟัง ถามมันเป็นอย่างไร กสิณวิญญาณ นี่ไม่มี เมื่อวานมวยวัดเลยไม่รู้ใครเป็นใคร ท่านไม่ชอบใช้ราชาศัพท์

    ท่านบอก ว่า คุยแบบลูกทุ่งๆ สบายก็มีกันแค่สองคน เมื่อวานไม่มีใครขัดคอกันเลย ปิดประตูคุยกัน เพราะว่าตอนที่ไปภูพิงค์ ท่านให้นั่งไม่มีที่พิง ใช่ไหม ต่างคนต่างนั่งพรมคนละผืน ไม่มีที่พิง เราออกมาเราก็บ่น ไอ้ภูพิงค์นี่มันพิงแต่ภู (หัวเราะ)

    เข้า ไปไม่มีที่พิงเลย พวกชาววังเขาออกมา เราก็บ่นเข้าไปอีก เมื่อวานนี้มีที่พิง สวนจิตร มีที่พิง มีที่พิงให้ มีเบาะสูงกว่าพระองค์ประทับหน่อยนะ แล้วเขาจัดมีทั้งหมากทั้งน้ำร้อน มีน้ำชาแล้วก็มีน้ำเย็น แต่ไม่มีเวลากินเลย พอจ้อก็ตั้งตัวไม่ติดเลย (หัวเราะ)

    โอ้โฮ! พูดถี่ยิบ ใครบอกพระเจ้าแผ่นดินพูดช้า ที่ไหนได้ โฮ้! ตามลำพัง ล่อกันถนัด เมื่อวานออกมาเหนื่อยแฮ่กเลย นี่ความจริงปล่อยให้ท่านชกคนเดียวตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วนะ

    เมื่อกี้เล่าถึงอะไร (พุทธบริษัทตอบ กสิณวิญญาณ) เออ..ใช่! จะลืม จะไหลไปเสียแล้วนะ กสิณวิญญาณ ท่านก็ตรัสถามว่า “หลวงพ่อทำมาคาสเซ็ทเดียว ทำไมกสิณวิญญาณ ไม่บอก?” เราเอ๊ะ! กสิณวิญญาณ มันมีที่ไหนเรียนมาเยอะแล้ว ไม่เจอะ กสิณวิญญาณก็นั่งนึก ก็เลยถามท่าน บอก”พระมหาบพิตรตรัส มันเป็นอย่างไร? กสิณวิญญาณ” ท่านก็บอกว่าแหม..ท่านละเอียดมากนะ เรื่องธรรมมะละเอียด ละเอียดจัด เรียกว่าพระที่คุยมาแล้วด้วยกัน

    ที่ ผ่านพระมาแล้ว อาตมากล้าพูดว่าหลายพันองค์ที่สัมผัสมาแล้วเรื่องปฏิบัติ นักเทศน์ไม่มีความสำคัญนะ นักปฏิบัติก็มีนะที่ว่าพระหลอกๆ ไม่ใช่หมายถึงเขาเลว หมายถึงว่า”สมมติสงฆ์”ใช่ไหม พระที่ยังไม่ถึงพระโสดาบันจะเป็นขั้นไหนก็ตาม แก่แค่ไหนก็ตาม พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกว่าพระ เรียกว่า “สมมติสงฆ์” ถ้าหากตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปท่านจึงจะเรียกได้

    นี่เคยสัมผัสกับพวก นี้มาเป็นร้อย ไม่ใช่เป็นของดี แล้วก็ยังไม่เคยมีใครพูดเรื่องกสิณวิญญาณ ไอ้เราก็อ่านพระไตรปิฎกก็ไม่มีจะนึก เอ๊ะ! พระอรหันต์รุ่นนั้นน่ากลัวจะบันทึกตก(หัวเราะ) ก็เลยถามอาการ

    พระองค์ก็ทรงอธิบายว่า “สมมติว่าผมจะจับภาพกสิณ คือภาพอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่จิตนึกอย่างพระพุทธรูปตั้งอยู่ข้างหน้านี่” ท่านก็ชี้ไปจุดใดจุดหนึ่ง เมื่อวานนี้ฉันออกท่ากันนะ ต่างคนต่างออกท่ารำกันไปในตัวเสร็จไม่ใช่ร้องอย่างเดียว ว่ากันเต็มที่ เพราะไม่มีใครขัดคอ เป็นห้องส่วนพระองค์ ปิดประตูเลย ปิดประตูลงกลอนเองเลย

    ชี้ไปที่พระพุทธรูป “อย่างผมนึกไปที่พระพุทธรูป ไอ้กระแสจิตนี่มันออกไปหาพระพุทธรูปที่มันยังไม่ถึง ไม่เอาเป็นองค์ อันนี้เขาเรียกว่าวิญญาณใช่ไหม?”

    บอก ใช่! เอาเข้าแล้ว ตัวนี้เรียกกสิณใช่ไหม บอกเขาไม่เรียกกสิณ ที่พระมหาบพิตรบอก กสิณวิญญาณ อาตมางงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้เรื่องเลย ท่านก็บอก “เขาเรียกว่าอะไรหรือครับ” หลวงพ่อ”เขาเรียกว่าวิญญาณัญจายตนฌาน” เป็นอรูปฌาน มันเลยกสิณไปแล้ว ต้อง มีกสิณเป็นภาคพื้นแล้วก็จึงใช้ตัวนี้ได้ บอก อ้อ…เล่นเราเกือบแย่หาว่าไม่บอก ท่านบอก บันทึกคาสเซ็ทไม่เห็นมี กสิณวิญญาณ ไอ้เราก็งงติ้วเลย

    นี่ท่านเลยบอกถ้าจะจำอันนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ ก็เลยบอก เขาเรียกว่า “วิญญาณัญจายตนฌาน” เป็น “อรูปฌาน” แต่ภาคพื้นจริงๆ ต้องมาจากกสิณก่อน ถ้าเราจับกสิณถึงฌาน ๔ แล้วค่อยมาจับวิญญาณ แต่ความจริงเขาจะไม่จับวิญญาณก่อน จะต้องจับอากาศก่อน ที่เรียกว่า “อากาสานัญจายตนฌาน”

    ไอ้ อากาสานัญจายตนฌาน แล้วก็เพิกทิ้งไป แล้วก็จับกสิณเข้ามาอีก ให้จิตตั้งฌาน ๔ ต่อไปก็จับวิญญาณัญจายตนฌาน หลังจากนั้นเมื่อจับได้แล้วก็ทิ้งไป จับกสิณขึ้นมาให้ทรงตัว ก็มาจับ อากิญจัญญายตนฌาน ที่เรียกว่าไม่มีอะไรเลย โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ หลังจากนั้นก็ทิ้งไป ก็จับ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นอรูปขั้นที่ ๔ เรียกว่าครบ “สมาบัติ ๘” อีตอนนี้ท่านก็งงบ้าง แล้วต่อไป ก็ผลัดกันงง

    เอ…นี่ ผมไม่รู้หรอก บอกมีคาสเซ็ท มีมาให้แล้ว เรื่องสมาบัติ ๘ ผมยังไม่ได้ฟังเลย เอาเข้าแล้ว ท่านจะไม่เอา ผลัดกัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ก็เลยอธิบายเหตุผลที่ถวายพอสมควร เมื่อถวายไปพอสมควรแล้วก็เรื่องนี้มา เรื่องกรรมฐานนี่นะว่ากันยาวเหยียด ว่าไปว่ามา อาตมานี่ขามันไม่ดีอยู่ข้าง ไอ้ขาขวานี่

    เวลา นี้ขัดสมาธิไม่ได้นาน พับเพียบก็ไม่ได้นาน แต่ของท่านวางแป๊ะไปด้านซ้าย ท่านอยู่ตลอด ไม่ขยับเลยเก่งจริงๆ ๕ ชั่วโมงครึ่งนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยแล้วไม่เคยขยับเขยื้อนแสดงอาการเมื่อย สู้! ถ้าเป็นมวยก็สู้เราไม่ได้ เราเป็นมวยแย๊บ เดี๋ยวพลิกซ้าย เดี๋ยวก็พลิกขวา(หัวเราะ) ท่านสู้เราไม่ได้เด็ด อีท่าห่วย สู้เราไม่ได้ เรียกท่าห่วย..ใช่ไหม.

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  10. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “อดีตชาติพระบรมมหาโพธิสัตว์ ในหลวง ร.๙”

    (เทศนาธรรมโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    ในหลวง เคยเกิดเป็น พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า และเคยเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตวันอธิราช และพระเจ้าพรหมมหาราช (“พระเจ้าตวันอธิราช” ไปเกิดเป็น “พระเจ้าพรหมมหาราช”) ทั้ง ๒ ครั้ง ดังนี้

    พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิ ในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรก ของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า

    พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น “พระเจ้าพรหมมหาราช” ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า “พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า” แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึงตกแก่พระโอรสองค์รองคือ “พระเจ้าชัยสิริ” (หลวงปู่ธรรมชัย) ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์จักรี สืบสันติวงศ์ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพรหมมหาราช มีพระเชษฐาคือ “พระเจ้าทุกขิตะ” (หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล)

    ย้อน กลับมาสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ

    – การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ

    – ด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ “พัศยศ” สำหรับผู้สอบบาลีได้

    – ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้

    – อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย

    – พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวของพระเจ้ากรุงสยามทุกประการ

    – ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นมรดกมานานนับพันปี

    (ทั้ง หมดนี้เป็นรากฐานที่พระเจ้าตวันอธิราช วางไว้ให้พระราชโอรสคือ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้น)
    ต่อ มา…หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ จะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า

    “พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ “กรุงเทพมหานคร” เมื่อนั้น “สุวรรณภูมิ” จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว…”

    – สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้

    “ดู ก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี “พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช” ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ “พระมหาเถระโพธิสัตว์”

    – พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค “ชาวศรีวิไล” ดังนี้

    (หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้ ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา ” พุทธภูมิ”
    วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ) ในชาติปัจจุบัน ของ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระบาทสมเด็จภูมิพลอดุลยเดชมหาราช)

    หลวง พ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า

    “เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?”

    หลวงพ่อถวายพระพรว่า : เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น”ปรมัตถบารมี” แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!

    “พุทธ ภูมิ” นี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น “วิริยาธิกะ” วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว “แสนกัป” อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ”

    ในขณะ นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า “พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านจะทรงสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่าทั้งสององค์นี่..จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..? ”

    หลวงพ่อถวายพระพรว่า “ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์”
    แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า “ฉันทั้งสององค์นี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วยและฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะฆ่าไหม..? ”

    พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าพระดลใจให้ตอบว่าดังนี้..

    “ก็ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และมาเกิดคราวนี้ ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลงให้คงอยู่ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่ต้องตายเพราะคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่อง ธรรมดา และต้องตายด้วยเรื่อง “คมอาวุธ” อันนี้ไม่มี..!”

    สรุป..ในหลวง เกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ในสมัยสุวรรณภูมิ และเกิดเป็นพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ในสมัยเชียงแสน ปรารถนา พุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ ตอนนี้บารมีใก้ลเต็ม และต้องเกิดสร้างบารมีอีก ๕ ชาติ

    ที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒ ถึง ๙๕
    ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๑
    ___________________________________

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  11. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  12. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    “ที่มันหนัก..
    เพราะเรากำเอาไว้
    ไอ้นี่..ก็ของข้า
    ไอ้นั่น..ก็ของข้า
    เจ้าด่าแม่ข้า
    เจ้าว่าพ่อข้า
    มีแต่..ข้าๆ”

    – หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล

    .jpg

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  13. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  14. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “หลวงปู่ขาว มีใจปฏิพัทธ์เมื่อแรกเห็นคู่บารมี”

    (จากธรรมประวัติ หลวงปู่ขาว อนาลโย)

    ในพรรษาแรกที่อยู่กับหลวงปู่มั่น มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้หลวงปู่ขาวมีใจไหวหวั่นกับสตรีเพศ หลวงปู่ เล่าให้ฟังว่า

    เช้าวันหนึ่ง ขณะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามปกติ สายตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมากับลูกสาว ท่านบอกว่า “มันเป็นอย่างไรบอกไม่ถูก ความรู้สึกมันวาบ เฉียบกระชับเข้าไปในหัวใจเลยทีเดียว นับแต่ครั้งนั้น พอเห็นหญิงนั้นคราวใดก็เป็นอยู่อย่างนี้ ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะเคยเห็นผู้หญิงสวย ๆ กว่าหญิงคนนี้มาแล้วก็ตาม”

    หลวงปู่อยากจะทดสอบความจริงซึ่งปรากฎภายในจิตใจดูว่า สิ่งที่ท่านรับรู้จะจริงเท็จแค่ไหน อยากจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะคิดอย่างไร จึงตัดสินใจพูดเป็นนัยเพื่อหยั่งดูใจเธอ ว่า

    “ที่อาตมาไปพักอยู่ที่อื่น ๆ นั้น ก็ไปแต่ภายนอก ส่วนใจยังห่วงญาติโยมทางนี้อยู่เสมอ”

    หญิงคนนั้นรู้สึกเขินอาย แล้วเธอก็พูดออกมาว่า
    “ตึกละเจ้า ตึกจริง ๆ นะเจ้า”

    ลงท้ายได้นิมนต์หลวงปู่ให้ไปเยี่ยมพ่อแม่ และไปบ้านของเธอ แสดงว่าเธอก็เป็นใจเหมือนกัน

    หลวงปู่เล่าให้ศิษย์ฟังภายหลังว่า

    “เรามีความละอายใจตนเอง และละอายพระอาจารย์ใหญ่มั่นเหลือเกิน เลยไม่ได้ไปตามที่เขาชวน”

    วันต่อมา เมื่อเข้าปรนนิบัติพระอาจารย์ใหญ่(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)ตามปกติ พระอาจารย์ใหญ่มั่นได้แย้มออกมาเชิงถามหลวงปู่ขาว ว่า

    “ของเก่าท่านขาว(คู่บารมี) แม่มันสวยกว่าลูกสาวเสียอีก ตระกูลนี้เคยเคารพนับถือพระธุดงคกรรมฐานมานาน เขาเคยปวารณาปัจจัย ๔ แก่คณะของพวกเรา”

    พระอาจารย์ใหญ่พูดเรื่อย ๆ ต่อไปอีกว่า

    “พวกเราเกิดมาในโลกนี้ เกิดตาย-เกิดตาย จะไม่ให้เป็นพ่อแม่ผัวเมียกันไม่มีเลย เพราะคนเราเกิดมานับกี่กัปกี่กัลป์อนันตชาติ นับไม่ถ้วน”

    จากหนังสือธรรมประวัติ “หลวงปู่ขาว อนาลโย”
    วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
    โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๔ หน้า ๑๕๒ – ๑๕๓

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  15. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “รอยพระบาทในหลวง ร.๙ นำสันติสุขสู่ชาติ”

    รอยพระบาทของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง ร.๙ หนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่ จ.เชียงราย

    รอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มีเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย เกิดขึ้นในสมัยที่เราทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ ๓๐ ปีที่แล้ว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหารผู้หาญกล้าที่ต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์ จนได้รับชัยชนะ คืนสันติสุขความร่มเย็นมาสู่ผืนแผ่นดินไทย

    ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนเหล่าทหารหาญ และราษฎร ณ ฐานปฏิบัติการดอยพญาพิภักดิ์ บนดอยยาว จ.เชียงราย ทรงพระกรุณาพระราชทานประทับ “รอยพระบาท” ของพระองค์ลงบนแผ่นปูนปลาสเตอร์ เพื่อเป็นดังขวัญกำลังใจแก่ทหารหาญ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ

    ในปัจจุบันนี้รอยพระบาทบนปูนปลาสเตอร์นั้นได้ถูกนำมาเก็บไว้ที่ศาลารอยพระบาท ณ ค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมือง จ.เชียงราย
    ______________________________________

    ในปี พ.ศ.๒๔๙๗ เริ่มสถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดเชียงราย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ส่งผู้ปฏิบัติงานจำนวนหนึ่งเข้ามาทางภาคเหนือของประเทศไทย เพื่อแสวงหาแนวร่วมพื้นฐาน เป็นชาวไทยภูเขาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน จ.เชียงราย ชายแดน จ.พะเยา และมีการปลุกระดมเพื่อเป็นแนวร่วมให้เข้ามาปฏิบัติการในพื้นที่ พคท. เปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธกับเจ้าหน้าที่ในภาคเหนือขึ้นเป็นครั้งแรก ที่บ้านน้ำปาน ตำบลนาไร่หลวง อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน เมื่อ วันที่ ๒๖ ก.พ.๒๕๑๐ ซึ่งถือว่าเป็นวัน “เสียงปืนแตก” ของ พคท.ในเขตภาคเหนือ ต่อจากนั้นได้มีการต่อสู้เรื่อยมา โดยในวันที่ ๑๐ พ.ค.๒๕๑๐ ได้มีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาล ที่บ้านห้วยชมภู ต.ยางฮอม อ.เทิง จ.เชียงราย พคท. สามารถจัดตั้งฐานที่มั่นในภาคเหนือได้ถึง ๙ แห่ง และฐานที่มั่นที่สำคัญแห่งหนึ่งคือ “ฐานที่มั่นดอยยาว-ดอยผาหม่น” จ.เชียงราย กองกำลังติดอาวุธของ พคท.ความเคลื่อนไหวขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการสร้างทางและการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคง การสู้รบเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น ยุทธการอิทธิพลชัย,ยุทธการขุนน้ำโป่ง และยุทธการเกรียงไกร ณ เนิน ๑๑๘๘ หรือที่เรียกว่า “ดอยพญาพิภักดิ์” นับเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย เนื่องจากในยุคสงครามเย็นที่มีการรบพุ่งกันระหว่างรัฐบาลทหารไทยกับกลุ่มผู้ฝักใฝ่ใน ลัทธิคอมมิวนิสต์(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย-พคท.) และชาวบ้านในพื้นที่ที่หลายๆคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐผลักไสให้ไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามจนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๒๔ พันโทวิโรจน์ ทองมิตร ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ ๔๗๓ ได้นำกำลังพลเข้าปฏิบัติการในยุทธการยึดเนิน ๑๑๘๘ บนดอยพญาพิภักดิ์ ได้สำเร็จและยังสามารถปราบปรามคอมมิวนิสต์ในพื้นที่นั้นลงได้

    ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหารหาญ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนเหล่าทหารหาญและพสกนิกร ณ ฐานปฏิบัติการพญาพิภักดิ์ บนดอยยาว ทรงประทับรอยพระบาทเอาไว้ก็คือ “ดอยพญาพิภักดิ์” หรือเรียกอีกชื่อว่า “ภูหลงถัง” ตั้งอยู่ที่ ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล จ.เชียงราย และได้มีการสร้างศาลาเพื่อประดิษฐาน รอยพระบาท ไว้บนดอยโหยด ค่ายเม็งรายมหาราชเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงมีพิธีการสมโภช และได้มีพิธีอัญเชิญรอยพระบาท ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปประดิษฐาน ณ ที่แห่งใหม่ เมื่อวันอังคารที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อเฉลิมฉลองในวันฉัตรมงคลสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในปี ๒๕๕๗ ทำให้ศาลาที่ประดิษฐานรอยพระบาท บนดอยโหยดเกิดความเสียหาย ปัจจุบันจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่ ณ ศาลารอยพระบาท บริเวณด้านหน้า กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๗ ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของกำลังพลคู่กับอนุสาวรีย์ผู้เสียสละ และให้สาธารณชน เยาวชนคนรุ่นปัจจุบัน รวมถึงนักท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ได้เข้ามาเยี่ยมชมสืบต่อไป

    (ที่มา www.chaoprayanews.com)

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
  16. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  17. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  18. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  19. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
  20. สายหลวงปู่มั่น

    สายหลวงปู่มั่น สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2017
    โพสต์:
    20,938
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +542
    เรื่อง “ญาณทัศนะหลวงปู่ชอบ รู้แจ้งทั่วไตรโลกธาตุ”

    (ปกิณกธรรม หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร)

    ความรู้ในธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบนี่ ต่อให้เราไปหลบอยู่พรหมโลก เพิ่น(องค์ท่านหลวงปู่ชอบ)ใช้เวลาฟ้าแลบเดียว ก็รู้ว่าผู้นั่นอยู่ที่ไหน

    กระผม ได้ยินมาว่า แต่ก่อนครูอาจารย์(จันทร์เรียน)ชอบส่งจิต ออกไปส่องดู พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ อยู่เรื่อยๆใช่ไหม

    พระอาจารย์จันทร์เรียน ท่านว่า

    “นิสัยในการปฏิบัติของเรา มันเป็นมาแบบนั่น เรามักจะไปดูนั่นดูนี่ซะก่อน ถึงจะเข้ามาพิจารณาดูข้างในใจเจ้าของ บ่ว่าพระเณรในวัด หรือหลวงปู่ชอบ เรานี่ก็ไปดูท่านหมดทั้งนั่นล่ะ”

    พระอาจารย์จันทร์เรียน “เราจะไปเอาข้อวัตรสรงน้ำหลวงปู่ชอบ ก่อนจะเข้าไปหาท่าน ที่กุฏิไม้สับฟาก วัดป่าสัมมานุสรณ์ เราก็ส่งจิตไปดูว่า ตอนนี้พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ ท่านทำอะไรอยู่หนอ”

    พระอาจารย์จันทร์เรียน “เห็นท่านนั่งเหลาไม้เกีย(ไม้สีฟัน)อยู่ที่กุฏิ เห็นท่านถักไม้ตาดกวาดลานวัด เห็นท่านนั่งสูบบุหรี่ขี้โยอยู่ที่กุฏิ พอเห็นแล้วตนเองก็เอามาคิด เอ…ครูบาอาจารย์ท่านเอาเวลาไหนไปภาวนาว่ะ มาส่องดูทีไร ก็เห็นแต่ท่านทำแต่ข้อวัตรข้างนอก ไม่เห็นท่านเดินจงกรมภาวนาซักที”

    พระอาจารย์จันทร์เรียน “พอตอนเย็น เราไปทำข้อวัตรให้กับท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ ท่านก็จ่ม(บ่น)ขึ้นมาลอยๆ อยู่กับผู้รู้แจ้งมักจอบ(ชอบแอบส่อง)คนภาวนานี่กะอยู่ยาก แต่ละวัน ก็มีพระมาจอบเบิ่งกัน(มีพระมาแอบส่องดูกัน)ว่าเราจะภาวนาตอนไหน หว่างหนึ่งนี่ (เมื่อสักครู่นี้)ก่อนที่ท่านเรียนจะมาหาเรา ก็มีพระแอบส่งจิตส่งใจ มาส่องดูว่าเราจะเดินจงกรมภาวนาตอนไหน พระผู้นั่น ที่มาแอบส่องดูเรา รูปร่างหน้าตาคือกันกับท่านจันทร์เรียนนี่ล่ะ”

    พระอาจารย์จันทร์เรียน ท่านว่าแบบขำๆ

    “กูกะว่ากูนี่คักแล้วเด้ แอบไปดูครูบาอาจารย์ภายใน โดยบ่ให้ท่านรู้ พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านก็ยังจับได้ เรานั้นบ่รู้ว่า ท่านก็แอบส่องดูเราอยู่ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านว่า ประสาของพอแค่นี่ โบ้ย(ไอ้หนู)… จันทร์เรียนเอ้ย มันเป็นของเล่นเด็กน้อยซื่อๆ(เฉยๆ)ดอก”

    พระอาจารย์จันทร์เรียน “คักบ้อมึงบาดทีเนี่ยะปานเล่นหมากลี่(สะใจไหมมึงปานเล่นซ่อนหา) ว่าจบพระอาจารย์จันทร์เรียน ท่านก็หัวเราะขำขันตนเอง”

    ตนเองว่า ขนาดท่านอาจารย์ ล่องหนไปในอากาศก็ยังหลบตาในใจทิพย์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่าน(องค์หลวงปู่ชอบ)ไม่พ้นเหรอ

    พระอาจารย์จันทร์เรียนท่านว่า

    “ความรู้ในธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบนี่ ต่อให้เราไปหลบอยู่พรหมโลก เพิ่น(องค์ท่านหลวงปู่ชอบ)ใช้เวลาฟ้าแลบเดียว ก็รู้ว่าผู้นั่นอยู่ที่ไหน”

    อย่างที่พวกท่านเห็นมานี้ ยังน้อยกว่าที่เราได้เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ ท่านแสดงให้เบิ่งดอก เรานี่ถ้าบ่ตีจนให้หมอบลงใจในธรรมแล้ว เรากะบ่ลงใจ ให้กับผู้ใดง่ายๆ คือกับพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ เด้”

    (บันทึก : ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท)

    [​IMG]

    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...